มหาวิทยาลัยซอมบี้
Zombies in College
喪病大學
顏涼雨 เหยียนเหลียงอวี่ เขียน
Jpolly Wu แปล
นิยาย 4 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE *
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน), death (การตาย),
depression (ภาวะซึมเศร้า), gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง) และ suicide (การฆ่าตัวตาย)
———————————————————–
ตอนที่ 66
ความสุขที่แท้จริงคืออะไร เดิมทีพวกเขาคิดว่าความหวังได้พังทลายไปพร้อมกับร่างแหลกละเอียดของซอมบี้ที่ร่วงลงไปแล้ว แต่แล้วความหวังก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในส่วนลึกของตู้เก็บของ
ฟ้าผ่าตอนกลางวัน [1] คืออะไรน่ะหรือ ก็คือตอนที่ถือสายเตรียมจะเสียบปลั๊กแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ‘เวรเอ๊ย! ไฟฟ้าดับ’
“ใช้พาวเวอร์แบงก์ได้ไหม”
“นาย คิด ว่า ยัง ไง ล่ะ”
ซ่งเฝ่ยเบ้ปาก ถลึงตามองชีเหยียนด้วยความอาฆาตแค้น เขาแค่อยากทำลายบรรยากาศน่าอึดอัด อย่าจริงจังนักได้ไหม!
ริมฝีปากของชีเหยียนเหยียดเป็นเส้นตรง ภายใต้แสงอ่อนจางของไฟฉาย บรรยากาศยิ่งดูอึมครึม
แต่หลังจากที่เหอจือเวิ่นลองครุ่นคิดพิจารณา เขาก็วางวิทยุอย่างเบามือ จับมันหงายขึ้น ใช้มือลูบคลำไปได้หนึ่งในสามส่วนก็หยุด “อยู่นี่เอง”
ซ่งเฝ่ยยังไม่ทันถามว่าคืออะไร เหอจือเวิ่นก็เปิดฝาทรงโค้งจนเกิดเสียงดัง “กึก” อย่างระมัดระวัง
ซ่งเฝ่ยไม่เคยใช้วิทยุแบบนี้ แต่หลักการผลิตไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นที่ใส่ถ่าน เพียงแต่ที่ใส่ถ่านนี้มีขนาดใหญ่ แตกต่างจากของรีโมตคอนโทรลกับเมาส์ไร้สายที่ใช้ถ่านเบอร์ห้าหรือเจ็ดอยู่มาก แต่ดูคล้ายกับที่ใส่ถ่านไฟฉายยุคก่อนที่เคยเห็นในบ้านตอนเด็กๆ “ถ่านเบอร์หนึ่งเหรอ”
เหอจือเวิ่นพยักหน้ายืนยันการคาดเดาของเขา ก่อนจะรายงานความต้องการ “สี่ก้อน”
ซ่งเฝ่ยเป็นกังวล อย่าว่าแต่ถ่านสี่ก้อนเลย แค่ก้อนเดียวก็ทำพวกเขาปวดหัวแล้ว “สมัยนี้ยังมีใครใช้ถ่านเบอร์หนึ่งอยู่อีกรึไง”
เหอจือเวิ่น “เอ่อ…พวกฉันไง”
ซ่งเฝ่ยทำหน้างง มองเหอจือเวิ่นที่ยกมือขึ้นด้วยความรู้สึกผิด “แล้วทำไมนายไม่รีบพูด!”
“แต่ถ่านทั้งหมดเก็บไว้ในโกดังห้องปฏิบัติการที่ชั้นหก หรือพวกเราต้องย้อนกลับไปเอาอีก”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ชีเหยียนเงยหน้าขึ้นช้าๆ หากไม่รู้จะไปหาถ่านได้จากที่ไหน นั่นอาจเป็นปัญหาใหญ่กว่า แต่ตอนนี้พิกัดของถ่านได้รับการยืนยันแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งความโหยหาโลกภายนอกได้ “พวกเราเจอวิทยุที่หายากที่สุดแล้ว ทำไมจะหาถ่านสี่ก้อนไม่เจอ”
ท่าทางของสหายร่วมรบดูยืนหยัดมั่นใจ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยนิ่งๆ ทันใดนั้นเหอจือเวิ่นก็เกิดภาพลวงตาราวกับหลุดเข้าไปในภาพยนตร์ “พี่ชี นายยิ้มแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับทอม ครูซ [2] เลย”
“มิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ลไม่มีสัตว์ประหลาด ต้องทูมเรเดอร์ [3] ต่างหาก” ชีเหยียนเอ่ยพลางยกยิ้มเล็กน้อย เป็นการหยอกเย้าแฟนหนุ่มด้วยความรัก “แอนเจลีนา โจลีรีบเก็บของเตรียมออกเดินทางได้แล้ว”
ซ่งเฝ่ยตอบกลับด้วยการเลิกคิ้วขยิบตาหยอกล้อ “ตอนนี้ผมยังสั้นอยู่ นายทนๆ มองไปก่อนนะ พอกลับไปไว้ผมยาวแล้วฉันจะถักเปีย รับรองว่านายจะต้องปลื้มใจสุดๆ ไปเลย”
ชีเหยียน “นายประเมินตัวเองต่ำเกินไปแล้ว ถึงแม้นายจะไว้ผมทรงเดียวกับจ้าวเฮ่อ ก็ทำให้ฉันขึ้นสวรรค์ได้อยู่ดี”
ซ่งเฝ่ย “จ้าวเฮ่อมีผมที่ไหนกัน”
ชีเหยียน “ไม่ใช่ว่าพอเขาไม่อยู่ นายก็เลยแอนตี้เขานะ”
ซ่งเฝ่ย “ดูเหมือนนายจะเป็นคนเปิดประเด็นก่อน”
ชีเหยียน “…เหมือนจะใช่”
ซ่งเฝ่ย “ฮิๆๆ”
ชีเหยียน “แต่จะว่าไป หน้าตาระดับจ้าวเฮ่อไม่จำเป็นต้องมีผมก็ได้”
ซ่งเฝ่ย “ใช่เลย น่าเสียดายชะมัด”
ชีเหยียน “อืม น่าเสียดาย”
ทำไมสองคนนี้ถึงเลิกกันเพราะหลักการมุมมองสามอย่าง [4] ต่างกันล่ะ เหอจือเวิ่นนึกถึงเรื่องราวความรักครั้งเก่าที่ซ่งเฝ่ยเคยเล่าให้ตนเองฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ ในความคิดของเขา บนโลกนี้ไม่มีใครเหมาะสมกันเท่าสองคนนี้อีกแล้ว ทั้งสองเหมือนว่าฉันผลักหัวนายเบาๆ เพราะนายยักคิ้วหลิ่วตาใส่ แล้วฉันก็จะชกนายเบาๆ คืนด้วยหมัดแห่งความรัก ไม่ว่าตอนที่ความสัมพันธ์ถูกทำลายหรือตอนที่กำลังหวานชื่น คนทั้งสองก็เอาแต่หวานใส่กันจนน่าโมโห คู่แล้วก็ไม่แคล้วกันหรอก
ทำไมน่ะหรือ
ไม่มีเหตุผลมากมายหรอก ก็แค่เพื่อความสงบสุขของโลกเท่านั้นเอง
การแสดงความรักไม่ได้ทำให้การเตรียมตัวก่อนออกรบล่าช้าออกไป ขณะที่เหอจือเวิ่นยังคงจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกที่ว่า ‘เทพจันทราช่างจับคู่ได้เหมาะสมกันจริงๆ’ สหายร่วมรบทั้งสองคนก็เก็บสัมภาระเรียบร้อย เตรียมจะออกเดินทางแล้ว
เหอจือเวิ่นตกใจ ล้วงมีดสั้นออกมาอย่างเงอะงะ แล้วกระเด้งตัวขึ้นจากพื้น “รอฉันด้วย!”
สหายสองคนที่เตรียมจะเปิดประตูหันกลับมาด้วยความสงสัย “นายจะทำอะไร”
เหอจือเวิ่นตอบอย่างแน่วแน่ “ไปด้วยกันไง”
ซ่งเฝ่ยถอนหายใจ หยิกแก้มของอีกฝ่าย “รออยู่ที่นี่นะ เด็กดี”
หลังจากเหอจือเวิ่นถูกซ่งเฝ่ยหยิกแก้ม เขาก็รู้สึกว่าสถานะของตนเองเสี่ยงต่อการเลื่อนจากสหายร่วมรบไปเป็นสัตว์เลี้ยงแสนน่ารักแทนเสียแล้ว เขาดึงมือของซ่งเฝ่ยออกอย่างไม่พอใจ “พวกนายสองคนออกไปเสี่ยงอันตราย แต่ให้ฉันซ่อนตัวอยู่ในนี้โดยที่ไม่ทำอะไรเลย แบบนั้นฉันจะยังเป็นคนอยู่ไหม!”
ซ่งเฝ่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นค่อยผ่อนลมออก
ชีเหยียนเอี้ยวศีรษะเล็กน้อย มองไกลออกไปนอกหน้าต่าง รู้ทันทีว่าซ่งเฝ่ยมีแผนรับมืออีกฝ่ายแล้ว
“พวกเราสองคนออกไปต่อสู้ นายคิดว่านายอยู่ที่นี่จะไม่ต้องสู้หรือไง ตรงกันข้าม นายต้องปกป้องวิทยุอยู่ที่นี่จนตัวตาย! หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ ห้องนี้ต่างหากที่เป็นแนวหน้าที่สำคัญและอันตรายที่สุด” ซ่งเฝ่ยอธิบายอย่างชัดเจนโดยที่ไม่ต้องทำร้ายน้ำใจกัน เป็นความอ่อนโยนที่เจือด้วยความเด็ดขาด ในความเด็ดขาดก็ซ่อนความละมุนละไมเอาไว้ เหมือนเข็มที่ซ่อนอยู่ในปุยฝ้าย ก่อนจะกล่าวอย่างจริงใจว่า “ลองคิดดูสิ ถ้านายไปกับพวกเราจนหาถ่านเจอแล้ว แต่เมื่อกลับมาก็พบว่าวิทยุหายไป แบบนั้นพวกเราก็ต้องต่อสู้เสียเลือดเสียเนื้อกันอีกครั้ง แล้วมันจะมีความหมายอะไร”
เหอจือเวิ่น “ฉัน…”
ซ่งเฝ่ย “ลองคิดดูอีกแง่ หากในอาคารมีคนอื่นอีก แต่เขาไม่ต้องการแบ่งปันข้อมูลภายนอกกับพวกเรา ทั้งที่พวกเราทุกคนเสี่ยงชีวิตออกมา แบบนี้เขาก็ฉกฉวยโอกาสไปง่ายๆ น่ะสิ”
เหอจือเวิ่น “แต่…”
ซ่งฝ่ย “ลองคิดดูในอีกแง่ของอีกแง่ นอกหน้าต่างยังมีอาจารย์ที่ยังคงดึงดันไม่ยอมแพ้ หากมันรู้ว่าพวกเราเอาสมบัติของมันไป แล้วปีนหน้าต่างกลับขึ้นมาจะทำยังไง”
เหอจือเวิ่น “ฉันอยู่ที่นี่เอง!”
ซ่งเฝ่ย “จริงเหรอ”
เหอจือเวิ่น “อืม แต่พูดตามตรง พอลองคิดตามภาพสุดท้ายของนาย ฉันก็ไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่…”
แต่ใครจะรู้ว่าหากเขายังไม่ยอมตกลง ซ่งเฝ่ยจะจินตนาการถึงเรื่องบ้าบออะไรอีก!
ชีเหยียนครุ่นคิด เขาควรทำอย่างไรกับแฟนหนุ่มเจ้าเล่ห์คนนี้ดีนะ
วิธีการแสดงความรักของชีเหยียนคือการมอบอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ให้อีกฝ่าย ด้วยการปล่อยมือเพื่อให้ซ่งเฝ่ยไปแกล้งคนอื่นจนหนำใจ
เหอจือเวิ่นมองดูสหายร่วมรบทั้งสองหายลับไปในโถงทางเดินที่อาบไล้ด้วยแสงจันทร์เย็นเยียบ ความคิดอันยุ่งเหยิงก่อนหน้านั้นถูกขจัดจนสิ้น ตอนที่ปิดและล็อกประตู มีเพียงสองความคิดที่ติดอยู่ในใจของเหอจือเวิ่น…พวกนายจะต้องกลับมาได้แน่นอน และฉันสาบานว่าจะปกป้องวิทยุจนตัวตาย
ความคิดแรกทำให้ใจเขาสงบและเชื่อมั่น
ส่วนความคิดหลังก็ทำให้เขากล้าหาญมุ่งมั่น
เมื่อหน้าต่างว่างเปล่าไร้บานกระจก กระแสลมหวีดหวิวก็พัดพลิ้วเข้ามาด้านใน เหอจือเวิ่นลุกขึ้นยืนและเดินไปที่หน้าต่าง ชะโงกศีรษะออกไปและกวาดตามองรอบๆ เขาทำเช่นนี้อยู่นานพักใหญ่ ก่อนจะมั่นใจว่าบริเวณโดยรอบปลอดภัยดี อย่าว่าแต่จะปีนจากข้างล่างขึ้นมาบนชั้นสิบสองเลย แค่คิดว่าปีนจากห้องข้างๆ มา อาคารเรียบลื่นก็ไม่มีที่ให้จับหรือเหยียบแล้ว
จังหวะที่ดึงตัวกลับมา ใบหน้าของเขาถูกลมพัดจนแดงก่ำ แต่หัวใจกลับไม่รู้สึกเหน็บหนาว ไม่เพียงไม่หนาว แต่ยังร้อนแรงราวกับเพลิงผลาญ คล้ายว่าเลือดในกายกำลังพลุ่งพล่าน เขาไม่ได้กล่าวเกินจริง หากตอนนี้มีใครต้องการตัวเขา เขาจะยืดอกแล้วพูดเต็มปากเต็มคำว่า ‘พวกเราไปกันเถอะ ลุยให้เต็มที่ไปเลย’
นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในความคิดของเขามาก่อน
เหอจือเวิ่นเป็นลูกศิษย์ที่ดีของอาจารย์ เป็นเด็กเนิร์ดในสายตาของเพื่อนร่วมชั้นมาตั้งแต่เด็กจนโต อีกทั้งเขายังไม่เคยจับมือเพื่อนนักเรียนหญิงเลยหลังจากเรียนจบชั้นอนุบาล ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมชั้นทุกเพศแม้แต่ครั้งเดียว อันที่จริง สมัยเรียนอยู่ชั้นอนุบาล ครั้งนั้นก็เป็นนักเรียนคนอื่นที่ตีเขา ส่วนเขาแค่เอาแต่ร้องไห้อยู่ต่างหาก
เมื่อเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมคณะหรือรูมเมตต่างก็เข้ากับเขาได้เป็นอย่างดี แต่ในความสามัคคีก็ย่อมมีความบาดหมางเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ มีครั้งหนึ่งที่พวกเขาเคยปิดห้องพักล้อมวงดื่มเหล้า รูมเมตคนหนึ่งดื่มมากจนเมา พอเหล้าเข้าปากก็หลุดพูดความในใจออกมาว่า “เหอจือเวิ่น นายมันคบคนเพียงผิวเผิน” เหอจือเวิ่นไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าผิวเผิน อะไรที่เรียกว่าไม่ผิวเผิน เขารู้เพียงแค่ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ยอมเสียสละเพื่อเขา และเขาเองก็จะไม่บุกน้ำลุยไฟเพื่อคนพวกนั้นเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ในยุคนี้ใครบ้างจะไม่ยึดถือคุณธรรมสองแขนง [5] ล้วนเห็นผลประโยชน์เป็นหลัก คนพวกนั้นก็คือรูมเมตทั้งสามคนที่ในวันนั้นเคยร่วมวงดื่มเหล้ากินกับแกล้มด้วยกัน หากวันหนึ่งบอกพวกนั้นว่า ‘มีโควต้าเรียนต่อในระดับบัณฑิตศึกษา [6] โดยจะเลือกเพียงหนึ่งคนจากพวกนายทั้งสามคน พวกนายคิดว่าควรเลือกใคร’ คิดว่าพวกเขาทั้งสามคนจะไม่ฉีกอกกันเองเหรอ จะต้องเป็นแบบนั้นแน่
ดังนั้นการระบาดของไวรัสจึงถือเป็นจุดเปลี่ยนใช่ไหม
เหอจือเวิ่นนึกย้อนความทรงจำอย่างละเอียด ดูเหมือนจะไม่ใช่
หนึ่งสัปดาห์ก่อน เขาทนหิวไม่ไหว ตอนที่หนีออกจากหอพักพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ เขาแทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะอยู่ร่วมกับใคร กระทั่งบุกมาถึงชั้นสองของโรงอาหาร เขาจึงพบว่าเหลือเพื่อนร่วมทางเพียงไม่กี่คนเท่านั้น พวกเขาทั้งหกคนจึงพยักหน้าเห็นด้วยในการจัดตั้งทีมผู้ลี้ภัยชั่วคราว
พวกเขาทั้งหกคนอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ดูเหมือนพึ่งพาอาศัยกันและกัน แต่ในความเป็นจริง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่ถือว่าแน่นแฟ้น เหมือนถูกบังคับให้อยู่ด้วยกันเพราะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากโลกภายนอกเสียมากกว่า ถึงแม้จ้าวเฮ่อ ฟู่ซีหยวน และอู๋โจวจะมาจากคณะเดียวกัน แต่พวกเขาก็แค่คุ้นเคยกันเท่านั้น ไม่ได้สนิทสนมกลมเกลียวกันเลย
ผ่านไปยังไม่ถึงสองวัน นักศึกษาแปลกๆ จากชั้นล่างก็บุกเข้ามา
จากนั้นทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป
ตอนที่เขาเสนอเรื่องค้นหาวิทยุกับห้องหนึ่ง เขาเพียงคิดอย่างตรงไปตรงมาว่าหากยืมพลังการต่อสู้ของห้องหนึ่งมาได้ อัตราความปลอดภัยและความสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้น
แต่เหตุผลเหล่านี้ดูโจ่งแจ้งเกินไป พวกเขาไม่ได้ปิดบัง เพียงแต่เปลี่ยนไปใช้วิธีการพูดที่รื่นหูกว่า
ทว่าห้องหนึ่งกลับไม่ได้พูดอะไร พวกเขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว สรุปได้ในสี่คำว่า ลงมือทำเลย!
จากนั้นพวกเขาก็ลงมือทำกันจริงๆ
ทีมย่อยเฉพาะกิจทั้งแปดคนเดินไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่บนถนน เมื่อพบเจออันตรายก็พุ่งเข้าปะทะ พบเจอซอมบี้ก็ใช้มีดแทงให้ตาย เหมือนไม่ได้ตระหนักว่าพวกเขาอาจตายจริงๆ ได้ทุกเมื่อ แต่เป็นเกมแบบสแตนด์อโลนที่มีเป็นร้อยชีวิต ทำให้ฟื้นคืนชีพได้สบายๆ
แล้วจะสนิทสนมกันได้อย่างไรน่ะหรือ ตอนนี้เหอจือเวิ่นเข้าใจแล้ว ในความสัมพันธ์จำเป็นต้องมีคนโง่ที่ไม่คิดถึงผลตอบแทนก่อน คนที่คิดว่าฉลาดกว่าถึงจะสามารถก้าวเท้าก้าวแรกและก้าวที่สองตามไปอย่างลังเลได้ จนท้ายที่สุดก็กลายเป็นคนโง่ไปเช่นเดียวกัน
เขาพบคนโง่แบบนี้ถึงสี่คนในชั่วอึดใจเดียว ไม่สิ หากแบ่งกลุ่มตามทฤษฎีอาจเป็นแปดคน จากนั้นห้องสองก็เปลี่ยนแปลงไปกว่าครึ่ง ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น เอาแค่สองคนนั้นในอาคารอี้ซินกับจ้าวเฮ่อที่ไม่รู้ว่าวิ่งกลับไปถึงโรงอาหารแล้วหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นยอมวิ่งอย่างบ้าคลั่งไปยังเส้นทางที่ไม่อาจย้อนกลับ ชนิดที่ว่าไม่มีใครโง่กว่าใครแล้วเรียบร้อย
หากตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยบอกว่า ‘มีโควตาเรียนต่อในระดับบัณฑิตศึกษา โดยเลือกเพียงหนึ่งคนจากสมาชิกห้องเกรียงไกรไม่ย่อท้อทั้งสองห้อง เชิญพวกนายเลือกมาได้เลย’ เหอจือเวิ่นคิดว่าทุกคนจะเลือกด้วยวิธีจับสลากถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ จากนั้นนักศึกษาซ่งก็คงจะพูดอย่างฉะฉานว่า ‘โชคดีก็ถือเป็นความสามารถรูปแบบหนึ่ง’
ทันใดนั้นแสงจันทร์ก็ถูกก้อนเมฆบดบัง ภายในห้องพักอาจารย์อับแสงลงจนมืดสนิท บรรยากาศน่าหดหู่
เหอจือเวิ่นนั่งนิ่งไม่ไหวติง หลับตาพิงมุมกำแพง กอดวิทยุไว้ในอ้อมอก ภายในใจเปี่ยมไปด้วยความหวัง เขาไม่รู้ว่าซ่งเฝ่ยกับชีเหยียนจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่เหอจือเวิ่นมั่นใจว่าพวกเขาจะต้องกลับมาแน่นอน
ต่อมาแสงจันทร์ที่มืดมิดพลันส่องสว่าง กระแสลมที่หยุดนิ่งก็พัดพามาอีกครั้ง เสียงฝีเท้าหนักและแข็งทื่อดังก้องมาจากโถงทางเดินบ้างเป็นบางครั้ง ในค่ำคืนเช่นนี้ เวลาทุกนาทีและวินาทียาวนานเสมือนหนึ่งปี แต่เหอจือเวิ่นยังคงโอบกอดวิทยุเอาไว้ แล้วรอคอยเงียบๆ ยาวนานถึงสี่ชั่วโมง
กระทั่งลูกปิงปองลูกหนึ่งกระเด้งผ่านประตูและกลิ้งไปตามโถงทางเดิน
[1] หมายถึง เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น ทำให้ตกใจอย่างมาก
[2] ทอม ครูซ นักแสดงดังชาวอเมริกัน นำแสดงในภาพยนตร์สายลับเรื่อง มิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล
[3] ภาพยนตร์แนวแอกชันผจญภัย เป็นเรื่องราวของหญิงสาวที่ชื่อว่าลาร่า ครอฟท์ นำแสดงโดยแอนเจลีนา โจลี นักแสดงดังชาวอเมริกัน
[4] ได้แก่ มุมมองต่อโลก มุมมองต่อชีวิต มุมมองต่อคุณค่า
[5] หมายถึง ถ้าได้ประโยชน์ถึงลงมือทำ แต่ถ้าเสียประโยชน์ก็จะไม่ขอข้องแวะ
[6] ระดับปริญญาโท หรือปริญญาเอก