SocialOutcast
เมื่อผมตกหลุมรักคนที่เกลียดขี้หน้า
社交温度
卡比丘 ข่าปี่ชิว เขียน
G.N Voyager แปล
โปรย
เขาจำเสียงนี้ได้ดี
ไอ้ผู้ชายตุ้งติ้งน่ารังเกียจในห้องแล็บที่มหาวิทยาลัย
…
เพราะเพื่อนตัวดีของ ซ่งหย่วนสวิน แอบเล่นพิเรนทร์ติดตั้งแอปฯ หาคู่ไว้ในโทรศัพท์มือถือของเขา
แล้วจู่ ๆ มันก็เด้งเตือนการจับคู่กับบุคคลเลวร้ายที่สุดในความทรงจำของเขาอย่าง ฟางเจามู่
อีกทั้งไม่รู้ว่าปีศาจตนใดเข้าสิง แทนที่ซ่งหย่วนสวินจะลบแอปฯ นั้นทิ้ง
กลับเผลอคุยกับอีกฝ่ายไปเสียหลายประโยค
เรื่องราวหลังจากนั้นยิ่งบานปลาย
ทำให้ซ่งหย่วนสวินจำต้องแสร้งคุยต่อแล้วค่อยหาโอกาสสลัดอีกฝ่ายทิ้ง
แต่ไม่รู้ทำไม ไม่เพียงสลัดอีกฝ่ายออกไปไม่ได้ ดันติดต่อกันบ่อยขึ้นด้วยเนี่ยสิ!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 5
ตอนที่ฟางเจามู่กลับถึงบ้าน เขารู้สึกราวกับจะแข็งไปทั้งตัวและวิงเวียนศีรษะไปหมด จึงเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเป็นอันดับแรก ก่อนจะซุกตัวนอนใต้ผ้าห่มถึงสองชั่วโมง ตกบ่าย เขาตื่นขึ้นมาด้วยความหิวเลยตะเกียกตะกายลุกขึ้น ทว่าภายในห้องไม่มีของกินอะไรสักอย่าง ฟางเจามู่จึงทำได้เพียงอุ่นนมแล้วกลับไปนั่งดื่มบนเตียง ขณะที่สองมือประคองแก้วจิบนมเข้าไปสองสามอึก จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้นจากโทรศัพท์
ฟางเจามู่วางแก้วลงแล้วหยิบโทรศัพท์มาดู Andrew ส่งข้อความหนึ่งมาให้เขา ถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง ฟางเจามู่ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาดูเวลาก็พบว่ามันผ่านมาสี่ชั่วโมงแล้วนับจากที่เขาส่งข้อความให้ Andrew ครั้งล่าสุด ไม่รู้ว่า Andrew งานยุ่งขนาดไหนถึงได้เพิ่งถามว่าเขาถึงบ้านหรือยังหลังผ่านไปสี่ชั่วโมงแล้ว
“ถึงบ้านแล้วครับ” ฟางเจามู่พูดกับ Andrew “ผมหลับไปตื่นหนึ่งแล้วด้วย คุณเพิ่งเสร็จงานเหรอ”
[อืม] Andrew ตอบกลับมาคำเดียวฟางเจามู่ดื่มนมไปอีกอึก ด้วยความขี้เกียจเปิดผ้าม่านดูด้านนอกจึงเอ่ยถาม Andrew “ตอนนี้ฝนหยุดตกหรือยังครับ”
Andrew ตอบ [หยุดแล้ว]
ฟางเจามู่อดบ่นกับ Andrew ไม่ได้ “ผมสงสัยมาตลอดว่าตัวเองน่าจะถูกปีศาจฝนเกาะติด เมื่อไรก็ตามที่ผมไม่พกร่มออกจากบ้าน ไม่ว่าท้องฟ้าจะปลอดโปร่งแค่ไหนก็จะมีฝนตกลงมา แต่พอผมมาถึงบ้านฝนก็จะหยุดตกทันที”
ผ่านไปครู่หนึ่ง Andrew ก็ว่าฟางเจามู่ [งมงาย]
ขณะมองคำคำนั้น ฟางเจามู่รู้สึกว่า Andrew ผู้แข็งกระด้างก็มีมุมน่ารักอยู่เหมือนกัน หลังครุ่นคิดครู่หนึ่งเขาก็ใช้น้ำเสียงแฝงเลศนัยพูดกับ Andrew “ตอนนี้ผมอยู่บ้านคนเดียว ผมถ่ายรูปให้ได้นะ คุณอยากดูไหม”
หลังพูดจบ ฟางเจามู่ก็เสริมอีกประโยค “ถ้าอยากดูคุณก็ส่งข้อความเสียงมาให้ผม อย่าเอาแต่พิมพ์มาตกลงไหม”
ฟางเจามู่ชอบคุยกับคนอื่นมาก ดังนั้นเขาจึงรู้สึกทรมานที่ในมหาวิทยาลัยไม่มีคนให้พูดด้วยเลย
ตอนนี้พอมี Andrew ที่ไม่รู้จักเขาและยังทำให้เขารู้สึกดีปรากฏตัวขึ้นมา ฟางเจามู่จึงตามตอแยอีกฝ่ายไม่หยุด
ผ่านไปไม่นาน Andrew ก็ส่งข้อความเสียงมาจริง ๆ ฟางเจามู่กดฟัง Andrew ใช้น้ำเสียงเย็นชาของเขาพูดกับฟางเจามู่ “ไม่อยากดู”
ฟางเจามู่กอดโทรศัพท์พลางยิ้มอยู่นานก่อนจะถ่ายรูปเล่น ๆ ส่งไปให้ Andrew หนึ่งรูป พูดเชิงเยาะเย้ยเขา “ไม่อยากดูแล้วคุณจะส่งข้อความเสียงมาทำไมกัน”
ซ่งหย่วนสวินกำลังอยู่ในห้องสมุดกับเพื่อนร่วมคณะอีกสองสามคน เมื่อเห็นข้อความเสียงและรูปภาพที่เด้งขึ้นมาในแชต ฝ่ามือของเขาก็หยุดชะงักไป ก่อนกดดูรูปภาพที่ฟางเจามู่ส่งมาเป็นอย่างแรก
ฟางเจามูถ่ายรูปมาส่ง ๆ เกินกว่าครึ่งเป็นผ้าห่ม เผยให้เห็นช่วงไหล่กับใบหน้าเสี้ยวหนึ่งที่ถ่ายไม่ติดดวงตาข้างขวาทั้งดวง พวงแก้มของเขาผ่านการนอนทับจนแดงระเรื่อ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย ฟางเจามู่มีดวงตาดอกท้อ หางตามีไฝเม็ดเล็กอยู่หนึ่งเม็ด แม้แสงในห้องจะมืดมากและยังใช้กล้องหน้าถ่ายรูปอีก ทว่าผิวของเขาก็ขาวสว่างเหมือนหลอดไฟแอลอีดี
ซ่งหย่วนสวินมองเพียงไม่กี่วินาทีก็เก็บโทรศัพท์ แต่ไม่รู้ทำไมดวงตาของฟางเจามู่ถึงได้วนเวียนอยู่ในหัวสมองของเขาตลอด ไม่ยอมเลือนหายไปสักที
เขารู้สึกว่าเมื่อเทียบฟางเจามู่ตัวจริงกับในรูปภาพ ตัวจริงออกจะขาวกว่าหน่อย
เมื่อซ่งหย่วนสวินออกมาจากหอสมุด ดวงอาทิตย์ก็ใกล้จะลาลับแล้ว หลังเข้าไปนั่งในรถเขาก็เห็นฟางเจามู่บอกว่าสุดสัปดาห์หน้าตนเองจะเข้าเมือง ถามซ่งหย่วนสวินว่าต้องการออกมากินข้าวด้วยกันไหม
ซ่งหย่วนสวินนิ่งไปไม่กี่วินาทีก็ตอบฟางเจามู่ [ฉันไม่ว่าง]
เขาบอกไม่ถูกว่าตนเองสนทนาโต้ตอบกับฟางเจามู่ไปเพื่ออะไร ถึงขั้นต่อต้านการค้นหาสาเหตุจากก้นบึ้งของหัวใจอีกด้วย นี่เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งไม่เข้าท่าที่สุดเท่าที่ซ่งหย่วนสวินเคยทำในรอบยี่สิบกว่าปี แต่ถ้าจ้าวหานฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่ใส่ใจแอบใช้แอ๊กเคานต์นี้อีกล่ะ
แบบนั้นสู้ซ่งหย่วนสวินจัดการอย่างเย็นชาด้วยตัวเอง คอยควบคุมให้ฟางเจามู่หมดความสนใจในตัว Andrew ยังจะปลอดภัยเสียกว่า
“สุดสัปดาห์ก็ต้องทำงาน นี่คุณว่างแค่ตอนกลางคืนเหรอ” ฟางเจามู่ถามเขาก่อนพูดขึ้นอีกครั้ง “การทำงานมันน่าเหน็ดเหนื่อยชะมัด”
ซ่งหย่วนสวินขับรถจึงไม่ได้ตอบกลับ ระหว่างทางจากมหาวิทยาลัยกลับบ้าน เขาได้รับข้อความจากฟางเจามู่อีกสองข้อความ ซ่งหย่วนสวินขับรถเข้าไปในโรงจอดรถ หลังจากจอดรถเสร็จเรียบร้อยก็เปิดข้อความเสียงฟัง
ฟางเจามู่กล่าว “เมื่อก่อนผมไม่อยากทำงานเลยสักนิด อยากจะอยู่ในมหาลัยไปตลอดชีวิต
“แต่ถ้าต่อไปต้องเจอกับพวกที่อยู่ในห้องแล็บอย่างทุกวันนี้ สู้ไปทำงานยังดีซะกว่า”
จู่ ๆ ซ่งหย่วนสวินก็นึกถึงช่วงกลางเทอมที่แล้วขึ้นมา เพื่อนสมัยมัธยมของเขาที่ชื่อว่าหลี่เว่ยมาหาเขา ถามเรื่องเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย T หมอนั่นบอกว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเทอมหน้าจะมาแลกเปลี่ยนหนึ่งปี แต่พอถึงเทอมนี้คนที่มาแลกเปลี่ยนจริง ๆ กลับเป็นฟางเจามู่
ซ่งหย่วนสวินสอบถามหลี่เว่ยนิดหน่อยตามมารยาท แต่คำตอบของหลี่เว่ยกลับค่อนข้างเกรี้ยวกราด เขาบอกว่าไม่รู้ฟางเจามู่ใช้วิธีอะไรถึงเข้ามาเสียบแทนชื่อเขาไปได้ และยังใช้น้ำเสียงทีเล่นทีจริงสื่อเป็นนัย ๆ กับซ่งหย่วนสวิน “ว่ากันว่าหัวหน้าภาควิชาทำเหมือนเขาเป็นลูกชายแท้ ๆ แต่ใครจะไปรู้ล่ะ”
ต่อมาภายหลังซ่งหย่วนสวินได้พบฟางเจามู่ เขาถึงพอจะเข้าใจว่าคำพูดเหล่านั้นของหลี่เว่ยหมายความว่าอย่างไร
ตอนนั้นฟางเจามู่ไม่ได้เก็บเนื้อเก็บตัวอย่างตอนนี้ เขามักจะเดินไปซ้ายทีขวาทีอยู่ในห้องแล็บ เมื่อเขาเดินเฉียดมาข้าง ๆ ซ่งหย่วนสวินก็กล่าวว่าตัวเองก็เตรียมทำหัวข้อคล้าย ๆ กัน ซ้ำยังถามซ่งหย่วนสวินอีกหลายคำถาม
ซ่งหย่วนสวินอารมณ์เสียเพราะกลิ่นหอมบนร่างของฟางเจามู่จึงไม่ได้ตอบเขา พูดแค่ว่า “เฮ้เพื่อน นายมาห้องแล็บต้องฉีดน้ำหอมเยอะขนาดนี้ด้วยหรือไง”
รอยยิ้มในแววตาของฟางเจามู่จางหายไป สีหน้าของโจวเมิ่งและจางหรันอวี่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วย
จางหรันอวี่เป็นพวกชอบหาช่องประจบคนฮ็อต ก่อนเข้ามาเรียนเขาสืบจนได้ความมาว่าซ่งหย่วนสวินเป็นลูกชายคนเดียวของประธานกรรมการบริหารกลุ่มเภสัชกรรมชีวเคมีภัณฑ์อันดับต้น ๆ ของประเทศ หากนักศึกษาตั้งใจจะกลับไปพัฒนาประเทศหลังจบการศึกษา ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการคบค้าสมาคมกับครอบครัวของซ่งหย่วนสวิน จางหรันอวี่จึงเลียแข้งเลียขาเพราะอยากได้รับผลประโยชน์บางอย่าง ถึงแม้โจวเมิ่งจะไม่ได้ทำตัวเป็นสุนัขรับใช้เหมือนจางหรันอวี่ แต่หลังจากที่ซ่งหย่วนสวินแสดงท่าทีรำคาญฟางเจามู่ เธอก็ตีตัวออกห่างจากฟางเจามู่เงียบ ๆ เช่นกัน
ฟางเจามู่เป็นคนอ่อนไหวอย่างยิ่ง หลังสัมผัสได้ว่าตนเองไม่เป็นที่ต้อนรับของพวกเขาจึงไม่ได้ทำตัวร่าเริงเวลาอยู่ในห้องแล็บอีก ทว่ากลิ่นหอมบนเรือนร่างของเขากลับไม่จางหายไปเพราะคำติติงของซ่งหย่วนสวิน
เขากดดูรูปภาพที่ฟางเจามู่ส่งมาหลังนั่งอยู่ในรถพักหนึ่ง มองปุ่ม ‘บันทึกภาพ’ แต่สุดท้ายก็ล็อกหน้าจอไปโดยไม่ได้กดบันทึกไว้