พายุจารชนแห่งหล่งซี
风起陇西
หม่าป๋อยง
马伯庸 เขียน
เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
ท่ามกลางไฟสงครามแห่งยุคสมัยสามก๊ก
ยังมีสมรภูมิที่พงศาวดารไม่ได้บันทึกไว้
นั่นคือสงครามแห่งจารชนของเหล่าสายลับผู้เปี่ยมปฏิภาณ
เมื่อการข่าวรายงานว่ามีจารชนของแคว้นเว่ยแทรกซึมเข้าสู่ฮั่นจง
เพื่อขโมยอาวุธสงครามของแคว้นสู่ นั่นคือเครื่องยิงหน้าไม้
‘สวินสวี่’ หัวหน้ากองสันติบาลจึงออกคำสั่งให้คุ้มกันแบบร่าง
เครื่องยิงหน้าไม้ และช่างฝีมือ จากการบุกรุกของศัตรูอย่างเข้มงวด
ทว่ากองทัพกับกองสันติบาลกลับเอาแต่ระแวงซึ่งกันและกัน
ไหนจะศิษย์พรรคใต้ดินของลัทธิข้าวสารห้าโต่วคอยป่วนปั่น
ยังมี ‘หนู’ ตัวหนึ่งที่แฝงเร้นอยู่ในหมู่ขุนนางชั้นสูงของฮั่นจง
…สายลับแคว้นเว่ยที่ใช้รหัสนามว่า ‘จู๋หลง’
สงครามใต้ดินนอกสมรภูมิรบระหว่างการข่าวกรองของสองแคว้น
ภารกิจช่วงชิงและภารกิจพิทักษ์อาวุธล้ำค่าของแคว้นสู่นี้
มีเวลาเพียงสิบเอ็ดวันเท่านั้น!
ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์
ต้นเรื่อง
ชั่วขณะที่หวังซวงตระหนักว่าตนกำลังตกอยู่ในอันตราย ทุกอย่างก็สายไปแล้ว
เริ่มแรกเขาสังเกตเห็นแสงไม่ปกติสว่างวาบอยู่สองฟากของเทือกเขา ไม่ใช่สะท้อนจากเสื้อเกราะหรือคมอาวุธแน่ ขอบเขตของแสงกว้าง น่าจะสะท้อนจากโลหะบางอย่าง ชั่วพริบตาก็มีเสียงทุ้มต่ำเป็นจังหวะช้า ๆ ดังกึกก้อง ฟังคล้ายเสียงลวดเหล็กที่ขึงตึงขึ้นเรื่อย ๆ ตามสัญชาตญาณของทหาร เขาได้กลิ่นแห่งลางร้ายแล้ว
“หยุดไล่ตาม ที่นี่แคบมาก รีบถอยหลัง!”
หวังซวงรั้งม้าหันกลับ ร้องตะโกนดังลั่น รอบตัวเขามีทหารม้าเว่ยก๊กประมาณพันคน เวลานี้กองทหารหน่วยนี้เข้าไปอยู่ในหุบเขาแคบ หน้าผาสีเทาสองข้างเอียงเข้าหาใจกลาง บีบให้พวกเขาต้องเรียงตัวกันเป็นแถวยาวเหยียด
พอบรรดาทหารม้าซึ่งผ่านการฝึกอย่างดีได้ยินคำสั่งก็ทยอยกันรั้งม้าหันหลังกลับ เปลี่ยนกองหลังเป็นกองหน้า แล้วถอยไปที่ปากหุบอย่างเป็นระเบียบโดยไม่เสียกระบวน แต่ถอยได้ไม่นานหวังซวงก็ได้ยินเสียงร้องสั่งสำเนียงชาวสู่ดังอยู่เหนือศีรษะ เขาแหงนหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ มองไปทางด้านบนฝั่งขวาของหุบ ครั้งนี้เขาเห็นชัดเจนแล้ว พลหน้าไม้ร้อยกว่าคนยืนเรียงแถวหน้ากระดาน แต่ละคนถือเครื่องยิงหน้าไม้หัวกว้าง เล็งลูกศรมายังทหารม้าเบื้องล่างอย่างดุดัน ใต้แสงอาทิตย์หัวลูกศรโลหะเปล่งแสงอำมหิตวาววับ
“แย่แล้ว…”
หวังซวงพูดยังไม่ทันจบ ลูกศรหลายร้อยดอกก็ส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งลงมาเป็นเงาดำมืดฟ้ามัวดินราวกับฝูงตั๊กแตน ขบวนแถวกองทัพเว่ยถูกโจมตีกะทันหันจนแตกกระจายทันที ทหารหลายสิบคนยังไม่ทันรู้ตัวก็ถูกยิงล้มลงกับพื้น ทหารม้าที่อยู่ใกล้กับเครื่องยิงหน้าไม้ถูกยิงตรึงกับหน้าผาทั้งคนกับม้า เลือดกระเซ็นไปทั่ว
กองทัพเว่ยยังไม่ทันหายตื่นตระหนกก็ถูกระดมยิงเป็นชุดที่สอง ตามด้วยชุดที่สาม ชุดที่สี่ ชุดที่ห้า…อานุภาพนี้สะเทือนทั่วกองทัพเว่ย ทหารสับสนอลหม่าน การถูกโจมตีกะทันหันทำให้สับสนจนทำอะไรไม่ถูก หลังจากถูกระดมยิงชุดที่แปด กองทัพเว่ยก็พ่ายแพ้ยับเยิน กองทหารม้าที่เป็นระเบียบกลายเป็นกลุ่มคนและม้าศึกที่ตื่นตระหนก ส่งเสียงร้องด้วยความสิ้นหวังพลางกรูกันไปยังปากหุบ ระหว่างทางมีทหารและม้าจำนวนมากถูกลูกศรจากทั่วทุกทิศยิงเข้าใส่จนร่างเป็นเหมือนเม่น แม้กองทัพสู่มีพลหน้าไม้เพียงร้อยกว่าคน แต่ยิงลูกศรลงมาหลายพันดอก ปลิดชีวิตของทหารกองทัพเว่ยระลอกแล้วระลอกเล่า
“นี่มันอะไรกัน!” หวังซวงคำรามด้วยความหวาดกลัว ตลอดชั่วชีวิตการเป็นทหาร เขาไม่เคยเห็นการโจมตีด้วยหน้าไม้ที่มีอานุภาพรุนแรงและหนาแน่นมากอย่างนี้
ไม่มีใครตอบคำถามของเขา เพราะไม่มีใครรู้
ครึ่งหนึ่งของทหารที่อาบห่าฝนลูกศรอยู่ไม่มีใจจะคิดเรื่องนี้ อีกครึ่งหนึ่งสูญเสียความสามารถในการคิดไปตลอดกาล องครักษ์ข้างตัวหวังซวงลดจำนวนลงหนึ่งในสามทันที เขาเห็นกับตาตัวเอง ทหารใกล้ชิดคนหนึ่งถูกลูกศรยิงทะลุตา เบิ่งตากว้างหงายหลังล้มลงกับพื้น
หวังซวงรู้ว่าไม่อาจควบคุมสถานการณ์เวลานี้ได้ จำต้องบากหน้าหนีตามทหารไปยังปากหุบ
ขอแต่ให้หนีออกไป ปรับขบวนทัพใหม่ในที่โล่ง ก็ยังมีความหวัง
หวังซวงคิดพร้อมกับสะกดความรู้สึกเจ็บปวด เมื่อครู่ขณะที่ถูกซุ่มโจมตีเขาถูกลูกศรยิงสามดอก แต่ไม่บาดเจ็บถึงชีวิต เมื่อเทียบกับทหารเหล่านั้น หวังซวงซึ่งมีฐานะเป็นแม่ทัพใหญ่นับว่ายังโชคดี แม้จะมีลูกศรหลายดอกปักที่หลังและแขนซ้าย แต่เกราะหุ้มคอและเกราะหุ้มแขนที่หนาหนักปกป้องไว้ไม่ให้ลูกศรแทงทะลุผิวหนัง
การโจมตีอย่างน่ากลัวของกองทัพสู่ไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง เงาลูกศรมืดฟ้ามัวดิน เหมือนแหแห่งความตายขนาดยักษ์แผ่ลงมาคลี่คลุม เครื่องยิงหน้าไม้ที่กองทัพสู่ใช้มีอานุภาพสูงมาก แม้กองทัพเว่ยจะอาศัยม้าที่ขี่เป็นโล่กำบัง ก็ยังถูกยิงพร้อมกับม้า หวังซวงไม่ใส่ใจศักดิ์ศรีของแม่ทัพใหญ่ เขาทิ้งม้าศึกกับหอก คลานด้วยมือและเท้าไปที่ปากหุบอย่างทุลักทุเล ทหารม้าสองข้างกลายเป็นเครื่องกำบังป้องกันชีวิตให้เขา ทหารเคราะห์ร้ายถูกยิงจนเหมือนเป้า พลัดตกจากหลังม้าทันที ผู้บัญชาการรบจึงถือโอกาสหนีเอาตัวรอดไปยังปากหุบ
ในที่สุดหวังซวงก็อาศัยเกราะหนาและโชคชะตาพาตนให้รอดชีวิตมาถึงปากหุบ เขาหันหลังมองกลับไปอย่างขวัญเสีย เห็นหุบเขากลายเป็นนรกบนดิน ซากศพกลาดเกลื่อน แทบไม่มีชีวิตใดยืนอยู่ได้ ทุกแห่งเต็มไปด้วยฝุ่นธุลีและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ในหุบเขาแคบแห่งนี้แทบไม่มีสุ้มเสียง คนและม้าส่วนใหญ่ล้วนถูกลูกศรหลายสิบดอกจากหลายทิศทางแทงทะลุตายทันที
หวังซวงเงยหน้าขึ้นด้วยใจระทึก สองฟากเหนือหุบขึ้นไปทหารกองทัพสู่ยังคงถือเครื่องยิงหน้าไม้ที่เปี่ยมด้วยรังสีสังหารเล็งลงมา ค้นหาคนที่ยังรอดชีวิต วัตถุรูปร่างประหลาดทำด้วยโลหะมีอานุภาพในการสังหารอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตั้งแต่กองทัพเว่ยถูกซุ่มโจมตีจนถึงเวลานี้ชั่วเวลาเพียงจุดธูปหนึ่งก้านไหม้ แต่กองทหารม้าพันคนแทบจะย่อยยับทั้งหมด
เวลานี้หวังซวงมองเห็นธงขนาดใหญ่เขียนอักษร ‘ฮั่น’ และทหารกองทัพสู่ในชุดทหารสีดินเหลืองนับไม่ถ้วนมุ่งหน้าเข้ามาล้อมเขาไว้ เมื่อเห็นว่าหมดหนทางหนีเอาตัวรอด เขาก็คำรามอย่างสิ้นหวังคราหนึ่ง ชักกระบี่ออกมา ถลึงตาสีแดงเลือดใส่ศัตรู ชั่วพริบตาก็ถูกหอกสี่ด้ามของทหารสู่พุ่งเข้าใส่ร่างจากทิศทางต่างกัน ทหารอีกคนหนึ่งบุกเข้ามาฟันดาบใส่ ศีรษะของแม่ทัพใหญ่เว่ยก๊กผู้นี้ขาดกระเด็นในทันที
เดือนหนึ่งรัชศกไท่เหอแห่งเว่ยปีที่สาม แม่ทัพใหญ่เฉาเจิน (โจจิ๋น)* ได้ถวายฎีกาให้จักรพรรดิเฉารุ่ย (โจยอย) มีข้อความว่า ‘จูเก๋อเลี่ยง (จูกัดเหลียง) ผู้นำทัพสู่ระดมทหารบุกเมืองเฉินชัง (ตันฉอง) โจมตียี่สิบกว่าวัน บาดเจ็บล้มตายอย่างหนักจนต้องถอยทัพกลับ ซ้ำรอยเดิม โอรสสวรรค์ทรงพระปรีชา สามทัพสนองตามพระบัญชา แคว้นเล็กทำเรื่องที่ขัดต่อสวรรค์ เป็นเรื่องน่าหัวเราะ’
ฎีกาฉบับนี้ทำให้การเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าของราชสำนักเว่ยเพิ่มสีสันมากขึ้น จักรพรรดิเฉารุ่ยและคนรอบข้างต่างพูดถึงด้วยความพอใจเป็นเวลานาน แน่นอนว่าในฎีกานี้เฉาเจินไม่ได้กล่าวถึงการที่แม่ทัพหวังซวงตายในสนามรบขณะรุกไล่โจมตีทหารศัตรูที่ถอยหนี เขาคิดว่าเรื่องที่ขัดต่อบรรยากาศเช่นนี้ไม่ควรทูลจักรพรรดิ นั่นเป็นเพียงความผิดพลาดเล็กน้อยในการสู้รบครั้งหนึ่ง
ที่เมืองอี้โจวซึ่งไกลออกไป ศีรษะของหวังซวงซึ่งใช้ปูนขาวหุ้มอย่างดีถูกนำไปส่งที่เฉิงตูเป็นการเฉพาะ เรื่องนี้ทำให้จักรพรรดิหลิวซ่าน (เล่าเสี้ยน) ซึ่งกำลังอึดอัดกับความพ่ายแพ้ในการบุกขึ้นเหนือทรงรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง
ดังนั้นปลายปีนี้ ผู้คนสองฟากของเทือกเขาฉินหลิ่งต่างมีความสุขกับการต้อนรับรัชศกไท่เหอปีที่สามแห่งเว่ยและรัชศกเจี้ยนซิงปีที่เจ็ดแห่งสู่ในระดับต่างกัน
(*หมายเหตุผู้แปล –เรื่องนี้เป็นนิยายที่เดินเรื่องในยุคสามก๊ก ตัวละครส่วนใหญ่ถูกสมมุติขึ้น ผู้แปลเรียกชื่อตามภาษาจีนกลาง ถ้าในเรื่องกล่าวถึงบุคคลที่มีอยู่ในพงศาวดารสามก๊ก จะวงเล็บชื่อไว้เพื่อให้ผู้อ่านชาวไทยที่คุ้นเคยได้ทราบว่าคือใคร)