[ทดลองอ่าน] พายุจารชนแห่งหล่งซี บทที่ 1 แฝงตัวกับจงรักภักดี

พายุจารชนแห่งหล่งซี
风起陇西

 

หม่าป๋อยง
马伯庸 เขียน
เรืองชัย รักศรีอักษร แปล

 

 ท่ามกลางไฟสงครามแห่งยุคสมัยสามก๊ก
ยังมีสมรภูมิที่พงศาวดารไม่ได้บันทึกไว้
นั่นคือสงครามแห่งจารชนของเหล่าสายลับผู้เปี่ยมปฏิภาณ

เมื่อการข่าวรายงานว่ามีจารชนของแคว้นเว่ยแทรกซึมเข้าสู่ฮั่นจง
เพื่อขโมยอาวุธสงครามของแคว้นสู่ นั่นคือเครื่องยิงหน้าไม้
‘สวินสวี่’ หัวหน้ากองสันติบาลจึงออกคำสั่งให้คุ้มกันแบบร่าง
เครื่องยิงหน้าไม้ และช่างฝีมือ จากการบุกรุกของศัตรูอย่างเข้มงวด

ทว่ากองทัพกับกองสันติบาลกลับเอาแต่ระแวงซึ่งกันและกัน
ไหนจะศิษย์พรรคใต้ดินของลัทธิข้าวสารห้าโต่วคอยป่วนปั่น
ยังมี ‘หนู’ ตัวหนึ่งที่แฝงเร้นอยู่ในหมู่ขุนนางชั้นสูงของฮั่นจง

…สายลับแคว้นเว่ยที่ใช้รหัสนามว่า ‘จู๋หลง’
สงครามใต้ดินนอกสมรภูมิรบระหว่างการข่าวกรองของสองแคว้น
ภารกิจช่วงชิงและภารกิจพิทักษ์อาวุธล้ำค่าของแคว้นสู่นี้
มีเวลาเพียงสิบเอ็ดวันเท่านั้น!

ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์

 

ภาคหนึ่ง

ฮั่นจงสิบสองวัน

 

แพ้แล้ว

ถึงเขาจะยับยั้งแผนร้ายของข้าศึกต่อสำนักใหญ่สำเร็จ ถึงเขาจะสลายเครือข่ายของนิกายข้าวสารห้าโต่วในฮั่นจงสำเร็จ ถึงเขาจะจับช่างทำเครื่องยิงหน้าไม้ที่พยายามหนีสำเร็จ ถึงสุดท้ายเขาส่งผลทางอ้อมต่อความตายของหมีชง แต่ก็ยังพ่ายแพ้อย่างราบคาบ การที่แบบร่างถูกเผยออกไปนั้นทำให้ชัยชนะทั้งหมดไร้ความหมาย เขายังคงล้มลงในจุดที่ใกล้กับชัยชนะมากที่สุด

 

 

บทที่ 1

แฝงตัวกับจงรักภักดี

 

รัชศกไท่เหอปีที่สามแห่งเว่ย วันที่หกเดือนสอง เมืองซั่งกุยเขตเทียนสุ่ยในเว่ยก๊ก

เฉินกงก้าวออกประตูบ้านพอดีกับที่เสียงเคาะบอกเวลายามเฉินสือ[1] ดังขึ้น เขาสวมงอบ สวมชุดยาวสีเขียวเข้มที่ซีดเล็กน้อยแต่ซักสะอาด ห้อยถุงผ้าไว้ที่เอว ในนั้นมีพู่กัน หมึก กระดาษและจานฝนหมึก เฉินกงสำรวจสัมภาระอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนจะใส่สลักประตูแล้วผลักประตูรั้วบ้านออกไป

“หัวหน้าอาลักษณ์เฉิน ออกไปแต่เช้าเชียว” เพื่อนบ้านตรงกันข้ามพอเห็นเขาออกมา ก็ทักขึ้น

“ใช่ สถานการณ์พิเศษ” เฉินกงเองตอบยิ้ม ๆ

ปีที่แล้วสู่ก๊กกับเว่ยก๊กสู้รบกันครั้งใหญ่สองครั้ง จากนี้ไปอาจเกิดสงครามขึ้นได้ทุกเมื่อ ทำให้เมืองซั่งกุยซึ่งตั้งอยู่ในเขตแนวหน้าอาจถูกศัตรูคุกคามได้ตลอดเวลา จำเป็นต้องเตรียมพร้อมสู้รบ พวกเขาซึ่งเป็นขุนนางประจำจวนเจ้าเมืองจึงมีงานรัดตัว

“แต่งตัวอย่างนี้ จะเดินทางไกลหรือ” เพื่อนบ้านถาม

“อืม วันนี้มีตลาดนัด เจ้าเมืองหม่าให้ข้าไปซื้อล่อมาใช้ในกองทัพ” เฉินกงบอก เพื่อนบ้านตอบรับ ทั้งสองพูดคุยทักทายกันสองสามคำ แล้วร่ำลากันไป

ถนนใหญ่ผู้คนจอแจ ส่วนใหญ่เป็นทหารกองทัพเว่ยสวมเกราะสีดำ เดินเป็นแถวยาวมาลาดตระเวนดูความเคลื่อนไหวในตลาด ก้าวเดินอย่างเป็นระเบียบไปตามถนนดินเหลืองส่งเสียงดังสวบๆ ราวกับจะเตือนคนที่เดินไปมาว่า ‘เวลานี้เป็นยามศึกสงคราม’

ซั่งกุยตั้งอยู่ในเขตเทียนสุ่ยทางทิศเหนือของเขาฉีซาน เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างเหลียงโจวกับฮั่นจง ถ้าที่นี่ถูกชิงไป หล่งซีทั้งหมดจะเผยต่อหน้ากองทัพสู่ กองทัพเว่ยจึงย้ายศูนย์กลางการป้องกันหล่งซีทั้งหมดมาที่นี่ ซั่งกุยจึงกลายเป็นกองบัญชาการใหญ่กองทัพเว่ยในเขตหล่งซี ทำให้ที่นี่กลายเป็นค่ายใหญ่ที่มั่นคงไม่อาจตีแตกได้ เวลานี้เป็นที่ตั้งค่ายทหารหนึ่งหมื่นสองพันนายของกัวหวาย (กุยห้วย) เจ้าเมืองยงโจว ในขณะที่ซั่งกุยมีประชากรเพียงสองหมื่นกว่าคน

เฉินกงเดินอ้อมทหารเหล่านี้ มุ่งหน้าไปยังตลาดทางตะวันออกของเมืองซึ่งมีพ่อค้าม้าอยู่ พ่อค้าม้าจำนวนมากจากซีเหลียงและซั่วเป่ย ดินแดนทางเหนือของกำแพงยักษ์ มาค้าขายที่นี่ พวกเขาได้กลิ่นสงคราม รู้ว่าจะขายสินค้าของตนได้ราคาดี

พอเข้าใกล้ตลาดค้าม้าก็ได้กลิ่นขี้ม้าแสบจมูก ม้าดีหลายสายพันธุ์กำลังส่งเสียงฟืดฟาดในคอกไม้ที่กั้นเป็นช่อง ๆ บนรั้วกั้นแขวนป้ายทำด้วยเปลือกไม้ มีข้อความเขียนด้วยหมึกบอกแหล่งที่มา เพศ และอายุของม้า ส่วนพ่อค้าเอามือกอดอกยืนอยู่ข้าง ๆ ร้องบอกลักษณะพิเศษของม้าตนให้ผู้คนที่ผ่านมา ด้านข้างมีคอกที่ดูทรุดโทรมกว่าขายลาและล่อ สถานที่ไม่สวยหรูเท่าคอกม้า คนขายม้าส่วนใหญ่เป็นคนเผ่าเชียงและซยงหนู รูปร่างหน้าตาค่อนข้างแปลก ส่วนคนขายลาและล่อส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าชาวจงหยวน

พอเห็นม้าเหล่านี้ เฉินกงดูเหมือนจะเริ่มวอกแวก เอาแต่เดินไปเดินมาตามคอกรอบแล้วรอบเล่า ตัดสินใจไม่ได้ ในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นป้ายที่แขวนบนคอกลาเจ้าหนึ่งซึ่งดูมีลักษณะพิเศษ ป้ายนั้นมีหมึกจาง ๆ แต้มจุดหนึ่งเยื้องคำว่า ‘ลา’ เหมือนทำหมึกหยดใส่โดยไม่ตั้งใจขณะเขียน ถ้าไม่สังเกตจะดูไม่ออก เฉินกงเดินอ้อมหลายรอบ เริ่มถามราคาจากเจ้าที่สี่ด้านขวาของคอกลานี้ ถามทีละเจ้าไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็มาถึงหน้าคอกเจ้านี้

“ลานี้มีเจ้าของหรือไม่”

เฉินกงถามเสียงดัง เจ้าของลารีบเดินมา พยักหน้าและโค้งคำนับ พร้อมกับตอบรับ เขาเป็นชายชาวจงหยวนร่างเล็กผอมแห้ง อายุไม่มากแต่มีรอยย่นทั่วใบหน้า เส้นผมมีเศษหญ้าติดทั่ว

“นายท่าน ลาตัวนี้ราคาข้าวห้าหู[2] หรือไม่ก็ผ้าสองพับ”

“แพงเกินไป ลดหน่อยได้ไหม”

เจ้าของลามีสีหน้าลำบากใจทันที ผายมือทั้งสองข้าง “นายท่านเห็นใจเถอะ ที่นี่คือหล่งซี ไม่อุดมสมบูรณ์อย่างเมืองหลวงเก่าของเรา”

พอได้ยินเจ้าของลาพูดอย่างนี้ แววตาของเฉินกงก็ฉายแววเฉียบคม ครู่หนึ่งเขาจึงตอบช้าๆ “เจ้าพูดถึงเมืองหลวงเก่าหมายถึงที่ไหน ลั่วหยางหรือฉางอัน”

“แน่นอนต้องเป็นฉางอัน ที่ประทับของชื่อตี้ (จักรพรรดิแดง)[3]

“อ้อ…”

เฉินกงพอได้ยินเขาพูดอย่างนี้ก็มองไปรอบ ๆ โดยสัญชาตญาณ พอเห็นว่าไม่มีใครใส่ใจการสนทนาของพวกเขา จึงให้เจ้าของลาจูงลาออกมา แล้วล้วงเอาเงินห้าพวงออกจากอกเสื้อมอบให้เขา เจ้าของลารับเงินแล้วขอบใจครั้งแล้วครั้งเล่า และยังช่วยเอาอานใส่หลังลาให้อย่างกระตือรือร้น

สายตาของทั้งสองประสานกัน แล้วพยักหน้าให้กันอย่างเข้าใจ

เฉินกงจูงลาเดินมายังมุมที่ไม่มีคน เอาอานออกจากหลังลา อานนี้รูปร่างเหมือนบันไดพับ ข้างในใช้กิ่งหลิ่วขดเป็นโครง ข้างนอกหุ้มด้วยหนังวัวดูแข็งแรงมาก ทนทานต่อการเดินทางไกล เฉินกงเอามือคลำที่รอยเย็บที่ขอบริมด้านล่างของอาน พบว่าริมข้างหนึ่งเปิดออกได้ เขามองรอบ ๆ ไม่มีคน จึงดึงมุมหนึ่งของหนังวัวขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วยื่นมือเข้าไปที่ด้านท้องของอาน หยิบกระดาษสาพับเรียบร้อยออกมาแผ่นหนึ่ง เฉินกงเอากระดาษสาใส่ในช่องลับในอกเสื้อ จากนั้นก็กดหนังวัวให้ปิด จูงลาออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จากนั้นเขาเดินดูคอกม้าและลาอีกหลายแห่ง ซื้อลาสามตัว ล่อสองตัวและม้าสองตัว รอกระทั่งตะวันลับเขา เฉินกงจึงเอาสัตว์ที่ซื้อมาทั้งหมดไปยังคอกม้าของจวนเจ้าเมือง ปฏิเสธเพื่อนร่วมงานที่ชวนไปกินเหล้า ตรงกลับบ้านของตนทันที

เวลานี้เขาอยู่ตัวคนเดียว เพื่อนบ้านต่างรู้ว่าเมียเขาป่วยตายตั้งแต่ก่อนย้ายมาอยู่ที่เขตเทียนสุ่ย แต่เขาไม่คิดจะแต่งงานใหม่ เวลานี้มีเพียงคนใช้ชราหูหนวกเป็นใบ้ช่วยดูแลบ้าน

พอกลับถึงบ้าน คนใช้ชรายกน้ำแกงเนื้อแพะกับปิ่งสองอันมาให้ เฉินกงรับไว้ แล้วโบกมือให้เขาไปพัก ตัวเองเดินเข้าห้องนอน ปิดประตูห้อง ห้องนอนไม่ใหญ่ สองข้างเป็นชั้นหนังสือ ในนั้นมีหนังสือหลายชุดหนาบางต่างกัน ริมหน้าต่างมีเตียง ข้างเตียงมีโต๊ะเล็กสีแดง ข้าง ๆ มีฉากกั้นวาดเป็นรูปนางรำรำชีผาน

พอเฉินกงมั่นใจว่าในห้องมีแต่เขาคนเดียว จึงลากฉากกั้นมาบังด้านหลัง แล้วคุกเข่าหน้าโต๊ะเล็ก จุดเทียนไข ล้วงกระดาษสาออกจากช่องลับในเสื้อ

กระดาษสาเต็มไปด้วยอักษรลายมือแบบลี่ถี่[4] เป็นข่าวกรองเกี่ยวกับเว่ยก๊กยี่สิบกว่าข้อ ตั้งแต่การโยกย้ายตำแหน่งขุนนางลงมาถึงราคาข้าว เขียนไว้อย่างละเอียด บางข้อเป็นข้อมูลลับ บางข้อเป็นข้อมูลที่มีแต่ขุนนางระดับสูงในสำนักอำมาตย์ สำนักราชเลขาและสำนักมหาเสนาบดีจึงจะมีสิทธิ์อ่าน แต่เวลานี้หัวหน้าอาลักษณ์เล็ก ๆ ในจวนเจ้าเมืองเทียนสุ่ยกลับอ่านอยู่

ความจริงแล้วนอกจากเฉินกงจะเป็นอาลักษณ์จวนเจ้าเมืองเทียนสุ่ย ยังมีฐานะลับเป็นจารชนแห่งสำนักข่าวกรองสังกัดสำนักมหาเสนาบดีสู่ฮั่น[5]ที่ประจำอยู่ในเขตเทียนสุ่ย ดูแลงานรวบรวมข่าวกรองในเขตกวนจงและหล่งซีของเฉาเว่ย[6]

สำนักข่าวกรองเป็นหน่วยงานลับของสู่ก๊ก สังกัดสำนักมหาเสนาบดี ขึ้นชื่อว่าเก่งกาจและมีประสิทธิภาพสูง ทำหน้าที่รวบรวม ถ่ายทอด เรียบเรียง และวิเคราะห์สภาพของศัตรู สู่ฮั่นให้ความสำคัญต่องานข่าวกรองมากเป็นพิเศษ มหาเสนาบดีจูเก๋อมีความเห็นว่างานข่าวกรองที่ดีจะช่วยแก้จุดอ่อนด้านจำนวนทหารของสู่ก๊ก ดังนั้น ตั้งแต่ช่วงที่บุกใต้ จูเก๋อเลี่ยงก็ส่งหม่าซู่ (ม้าเจ๊ก) เสนาธิการทัพไปควบคุมงานข่าวกรองเว่ยก๊กที่ฮั่นจงด้วยตัวเอง หม่าซู่อาศัยคนเก่าแก่ของหลิวจาง (เล่าเจี้ยง) และจางหลู่ (เตียวฬ่อ) เป็นฐาน ก่อตั้งสำนักข่าวกรองขึ้นแล้วค่อยๆ สร้างเครือข่ายข่าวกรองที่แน่นหนาในเฉาเว่ย โดยมีเฉินกงทำงานแฝงตัวซึ่งอันตรายที่สุด คนทำงานข่าวกรองแนวหน้าด้วยการปลอมตัวอยู่ในเขตศัตรูอย่างเขาถูกเรียกว่าจารชน

เฉินกงเกิดที่เมืองเหลียงโจวเขตอันติ้ง ต่อมาพออายุสิบกว่าขวบได้ติดตามบิดาย้ายไปที่เฉิงตู เขาจึงเป็นที่ต้องตาของหม่าซู่หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง หลังจากผ่านการฝึกอย่างเข้มงวด เขาถูกส่งไปยังยงเหลียงเพื่อรับหน้าที่เป็นจารชน ความจริงได้พิสูจน์ว่าหม่าซู่มีสายตาแม่นยำมาก เฉินกงทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่เพียงแต่ทำให้งานของเครือข่ายข่าวกรองดำเนินไปอย่างราบรื่น ยังเข้ารับราชการในจวนเจ้าเมืองเทียนสุ่ยในตำแหน่งอาลักษณ์ หลังจากการบุกเหนือครั้งที่หนึ่ง เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าอาลักษณ์ ตั้งแต่นั้นจึงได้เกี่ยวข้องกับเอกสารระดับสูงขึ้น ฐานะของเขาก็สูงขึ้นด้วย

ข่าวกรองที่เฉินกงกุมอยู่เวลานี้ส่งมาจากเมืองเย่เฉิง ที่นั่นมีจารชนระดับสูงของสู่ฮั่น ชื่อรหัสว่า ‘ชื่อตี้’ ชื่อตี้ส่งข่าวกรองเข้ามาด้วยวิธีที่กำหนดล่วงหน้าตามกำหนดเวลา เฉินกงอยู่ในเมืองซั่งกุยซึ่งเดิมคือเมืองจี้เฉิง เขาตั้งสถานีส่งต่อ ทำหน้าที่ส่งข่าวกรองเหล่านี้ไปยังอำเภอเหมี่ยนในฮั่นจงอันเป็นที่ตั้งของสำนักมหาเสนาบดี

ช่วงที่หน่วยงานราชการระดับล่างยังใช้ติ้วไม้ไผ่อยู่นั้น จารชนสู่ก๊กเริ่มใช้กระดาษสาซึ่งแพงกว่าส่งข่าวกรอง เพราะอ่อนนิ่มพับง่าย ซ่อนในที่ลับได้สะดวกและราคาถูกกว่าผ้า

เฉินกงอ่านอย่างละเอียดรอบหนึ่งแล้วจัดประเภทของข่าวกรองยี่สิบกว่าข้อนี้ ตามศัพท์เฉพาะของสำนักข่าวกรองแห่งสู่ก๊ก ข่าวกรองบางส่วนถูกเรียกว่าข้อมูล ‘แข็ง’ ตัวอย่างเช่น จำนวนทหารป้องกันเมืองเย่เฉิง รายได้ต่อปีจากภาษีที่ดินของเขตกวนจง ชื่อทูตที่ไปประจำอู๋ก๊ก ฯลฯ รายงานเรื่องเหล่านี้โดยตรงได้ แต่ข่าวกรองบางอย่างถูกจัดเป็นข้อมูล ‘อ่อน’ เช่น การโยกย้ายผู้บัญชาการกองทัพในเขตหล่งซี การเลื่อนตำแหน่งขุนนางในราชสำนัก หรือกฎหมายที่ประกาศใหม่ ฯลฯ สำหรับข่าวกรองประเภทหลัง เฉินกงไม่อาจส่งไปที่อำเภอเหมี่ยนโดยตรง ต้องแนบการวิเคราะห์และความเห็นของเขาไปด้วย พร้อมกับเสนอผลที่ตามมาจากข่าวกรองนี้รวมทั้งผลกระทบต่อสู่ก๊ก ถ้าเกี่ยวข้องกับการโยกย้ายขุนนางสำคัญยังต้องแนบประวัติ นิสัยใจคอและคำเล่าขานเกี่ยวกับคนคนนั้น

ความจริงแล้วในทางหลักการ งานเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของจารชน จารชนเป็นเพียงคนส่งข่าวกรองเท่านั้น การวิเคราะห์ข่าวกรองเป็นความรับผิดชอบของสำนักที่ปรึกษากองทัพในสังกัดสำนักข่าวกรอง แต่เนื่องจากข่าวกรองอ่อนบางส่วนต้องอาศัยคนที่เข้าใจสถานการณ์ภายในของเฉาเว่ยช่วยวิเคราะห์จึงจะมีค่า ดังนั้นในทางปฏิบัติข่าวกรองประเภทนี้ต้องให้เฉินกงจัดการ เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจึงส่งไปยังอำเภอเหมี่ยน หลังจากความพ่ายแพ้จากการบุกเหนือครั้งที่หนึ่งของสู่ฮั่น เครือข่ายข่าวกรองเขตหล่งซีได้ถูกกวาดล้างอย่างหนัก คนทำงานใต้ดินจำนวนมากถูกจับ เฉินกงเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ เขาจึงมีความสำคัญต่องานวิเคราะห์ข่าวกรองมาก

ข่าวกรองครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นข่าวกรองแข็ง ไม่จำเป็นต้องทำการวิเคราะห์ เฉินกงนึกได้อย่างนี้จึงรู้สึกผ่อนคลายลง ทุกครั้งที่เขาวิเคราะห์ข่าวกรองจะรู้สึกวิตก เพราะกลัวว่าถ้าวิเคราะห์ผิดพลาดอาจจะเกิดความเสียหายต่อสู่ก๊กอย่างใหญ่หลวง เวลานี้เขาสังเกตพบข่าวกรองข้อสุดท้ายบนกระดาษสา

เมื่อเทียบกับข่าวกรองข้างหน้าที่ละเอียดยืดยาว ข่าวกรองข้อนี้กลับสั้นกระชับ แต่เฉินกงรู้ว่าสั้นกระชับมักจะหมายถึงไม่สมบูรณ์ เขาจำเป็นต้องเพิ่มเติม ข่าวกรองข้อนี้เขียนว่า ‘มีข่าวว่าจะส่งจี่ซื่อจงไปที่หล่งตามที่หวายขอ ไม่รู้ชื่อ’ นี่เป็นการเขียนย่อ หากพิจารณาประโยคทั้งหมด ความหมายคือ ‘จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ช่วงนี้ราชสำนักปฏิบัติตามข้อเสนอของกัวหวาย (กุยห้วย) ได้ส่งจี่ซื่อจงคนหนึ่งมายังเทียนสุ่ยในเขตหล่งซี ไม่รู้ชื่อ’

พอเฉินกงเห็นข่าวกรองข้อนี้ก็ขมวดคิ้ว จี่ซื่อจงเป็นชื่อตำแหน่งขุนนางในราชสำนัก เป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดจักรพรรดิ ถ้าไม่ใช่ตามเสด็จ น้อยมากที่ขุนนางตำแหน่งนี้จะออกจากเมืองหลวงไปที่อื่น มักจะไม่ติดต่อด้านการงานกับทางกองทัพ แต่ข่าวกรองนี้กลับบอกว่ามีจี่ซื่อจงคนหนึ่งมาที่เทียนสุ่ยตามลำพังและยังเป็นการปฏิบัติตามข้อเสนอพิเศษของกัวหวายผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพแถบเทียนสุ่ย นี่ไม่น่าสงสัยหรอกหรือ

“เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ อำนาจหน้าที่ของจี่ซื่อจงไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายทหารเลย แต่ไหนแต่ไรมาจักรพรรดิเว่ยก๊กไม่เคยมอบหมายให้จี่ซื่อจงไปตรวจสอบกองทัพ” เฉินกงพูดกับตัวเอง “คงต้องหาทางสืบให้ได้ว่าจี่ซื่อจงที่ส่งมาเป็นใคร”

สัญชาตญาณบอกเขาว่านี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะแม้แต่ชื่อตี้ซึ่งแฝงตัวอยู่ในเมืองเย่เฉิงก็ยังไม่รู้ฐานะของจี่ซื่อจงคนนี้ แสดงว่าเป็นความลับขั้นสูง และความลับขั้นสูงมักจะมีความสำคัญเป็นพิเศษ

เฉินกงอ่านข่าวกรองอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วเผากระดาษสาแผ่นนี้ในเตา ข้อความยี่สิบกว่าข้อประทับอยู่ในสมองของเขาหมดแล้ว เอกสารไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ต้องลดร่องรอยที่อาจจะเปิดเผยฐานะของตน นี่เป็นหลักการของจารชนในการรักษาตัวรอดเมื่ออยู่ในหมู่ศัตรู

รุ่งขึ้นเฉินกงตื่นแต่เช้า ทำธุระส่วนตัวง่าย ๆ แล้วเปิดประตูเดินออกไป เวลานี้ปกติแสงทองจะเริ่มฉาย แต่ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้ม แหงนหน้ามองเห็นเมฆดำปกคลุมซั่งกุย ราวกับจะหยุดอยู่อย่างนี้

หัวหน้าอาลักษณ์เดิมทีควรจะมีห้องทำงานเฉพาะในจวนเจ้าเมือง แต่เวลานี้ที่จวนเจ้าเมืองนอกจากห้องของเจ้าเมืองหม่าจุนแล้วที่เหลือถูกลูกน้องของกัวหวายยึดครองหมด บรรดาเจ้าหน้าที่อาลักษณ์จึงต้องไปอาศัยเรือนชาวบ้านในเมือง ห้องหัวหน้าอาลักษณ์ของเฉินกงเป็นเรือนไม้ข้างยุ้งเก็บฟาง สถานที่นี้ไม่ดีนัก เวลาลมแรงมักจะมีเศษฟางปลิวเข้ามาในห้อง ที่เฉินกงเลือกที่นี่เพราะอยู่ใกล้ที่เก็บเอกสารและหนังสือราชการของราชสำนัก ในฐานะจารชนผู้ทำหน้าที่วิเคราะห์ เขาจำเป็นต้องมีห้องเก็บเอกสารขนาดใหญ่

เขาเข้าไปลงชื่อเข้างานในห้องหัวหน้าเสมียนก่อน วันนี้เพื่อนร่วมงานที่มาทำงานมีไม่มาก คนส่วนใหญ่ถูกส่งไปรวบรวมข้าวของยังไม่กลับมา อีกสองสามคนยังไม่ตื่น ในห้องกว้างจึงมีแต่ซุนลิ่งกำลังก้มหน้าเขียนหนังสือที่โต๊ะทำงานอยู่เพียงคนเดียว เฉินกงรู้จักเขา คนคนนี้มีความสามารถอยู่บ้าง แต่นิสัยทะนงตน เมื่อสองปีก่อนถูกขับออกจากเมืองหลวงเพราะไปวิพากษ์วิจารณ์คนสำคัญ โดยถูกย้ายมาทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายการศึกษา ในสายตาคนส่วนใหญ่ ในพื้นที่ที่มีการสู้รบบ่อยครั้งอย่างเทียนสุ่ย ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการศึกษาเป็นงานที่น่าขัน ซุนลิ่งจึงกลัดกลุ้มไม่พอใจมาตลอด

“อ้อ อาจารย์ ตื่นแต่เช้าเชียว”

เฉินกงวางร่มลงพร้อมกับทักทายเขา ซุนลิ่งไม่ได้เงยหน้าขึ้น ยังคงตวัดพู่กันอย่างคล่องแคล่ว เฉินกงรู้นิสัยของเขาดีจึงไม่ถือสา เดินไปที่โต๊ะทำงานของตน หยิบพู่กันที่เย็นจนแข็งกระด้างไปอังกับเตาถ่าน เวลาผ่านไปชั่วจุดธูปหนึ่งก้านไหม้ ซุนลิ่งจึงถอนหายใจยาว โยนพู่กันทิ้งเสียงดัง ‘แปะ’ ราวกับทำงานที่ลำบากสำเร็จแล้ว

“อาลักษณ์ เมื่อกี้เรียกข้าหรือ”

ถึงตอนนี้ซุนลิ่งเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเฉินกงอยู่ด้วย เฉินกงร้อง ‘อืม’ ออกมาคำหนึ่ง แล้วฝนหมึกอย่างช้า ๆ ตอบเนิบนาบ “ใช่ แต่เจ้าง่วนอยู่กับงาน ไม่ได้ยิน”

ซุนลิ่งโคลงหัวอย่างรู้สึกผิด หยิบกระดาษที่เขียนอักษรเต็มหน้ายื่นให้เฉินกงดู พูดขึ้น “ข้าจะไปขนไม้”

“ขนไม้หรือ” เฉินกงถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมคราวนี้ชั้นเหนือส่งเจ้าไปขนไม้ไปจากซั่งกุย”

ตามคำสั่งจากกองทัพ ต้องรวบรวมยุทธปัจจัยโดยเฉพาะไม้และเสบียงไปไว้ที่ซั่งกุยให้มากที่สุด แต่เวลานี้กลับมีการขนไม้จากซั่งกุยไปที่อื่น ทำให้เฉินกงรู้สึกประหลาดใจ

“แย่แล้ว ๆ ไม่มีเวลาแล้ว ไม่พูดกับเจ้าละ ดูแลตัวเองให้ดี” ซุนลิ่งพูดพลางรีบเก็บร่างฎีกา เอาเสื้อนวมมาคลุม จัดผ้าโพกหัวให้เข้าที่ แล้วประสานมือคารวะลาเฉินกง

พอส่งซุนลิ่งไปแล้ว เฉินกงก็กลับไปที่โต๊ะทำงาน เริ่มนึกถึงเรื่องจี่ซื่อจงลึกลับคนนั้น เรื่องที่ต้องสืบให้แน่ชัดก็คือจี่ซื่อจงในราชสำนักมีใครบ้าง หากรู้รายชื่อจี่ซื่อจงแล้ว การสืบฐานะของคนผู้นั้นจะตีวงแคบลงมาก ตอนนี้เองเว่ยเลี่ยงก้าวเข้าประตูมา

เว่ยเลี่ยงเป็นเจ้าหน้าที่เอกสารจวนเจ้าเมืองเทียนสุ่ย อายุห้าสิบกว่า สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในตัวเขาคือจมูกโด่งใหญ่สีแดง จนทำให้หลายคนสงสัยว่าเขามีสายเลือดคนทางตะวันตก ตู้เก็บเอกสารเป็นขอบเขตอำนาจของเขา เมื่อกี้เฉินกงรอเขาอยู่ คนผู้นี้ชอบดื่มเหล้า มักดื่มจนเมามาย พอเห็นท่าทางสะลึมสะลือของเขาขณะเข้าประตูมา ก็รู้ว่าเมื่อคืนเขาแอบดื่มเหล้าอีกแล้ว

เฉินกงเข้าไปหาเขา พูดเบาๆ “นี่ เมื่อคืนแอบกินเหล้าใช่ไหม”

เว่ยเลี่ยงรีบโบกมือ สั่นหัวบอกว่าไม่ ๆ แล้วสะอึกทีหนึ่ง จากนั้นจึงพูดเบาลง “อาลักษณ์ เมื่อวานข้ามีข่าวดี เลยดื่มสองสามจอก อย่าบอกให้ใครรู้ ถ้าแม่ทัพกัวได้ยินเข้าคงไม่ดีแน่”

แม่ทัพกัวที่เขาพูดถึงหมายถึงกัวหวายเจ้าเมืองยงโจว กัวหวายเป็นแม่ทัพที่มีอำนาจของกองทัพเว่ยในเขตหล่งซีเวลานี้ สมัยหนุ่มเคยเป็นนายทหารระดับกลางภายใต้บัญชาของเซี่ยโหวยวน (แฮหัวเอี๋ยน) เป็นแบบฉบับของทหาร พูดน้อยยิ้มยาก เคร่งครัดสมถะ เป็นที่หวาดกลัวของขุนนางฝ่ายบุ๋นจวนเจ้าเมืองทุกคน

เฉินกงตบไหล่เว่ยเลี่ยง พูดยิ้ม ๆ “เอาละ วางใจ ข้าไม่ไปฟ้องแน่ แต่เจ้าต้องจำไว้ ดื่มให้น้อยหน่อย ดื่มมากจะเสียงาน”

“ข้าเป็นคนดูแลเอกสาร จะมีการงานอะไรให้เสีย อย่างมากก็แค่เอกสารในตู้โดนหนูแทะ” เว่ยเลี่ยงพึมพำ เฉินกงเห็นสบโอกาส จึงบอกเว่ยเลี่ยงว่าเขาอยากไปหาดูเอกสารเกี่ยวกับการเก็บเสบียงและสัตว์เลี้ยงที่ตู้เก็บเอกสาร เว่ยเลี่ยงพอได้ยินจึงรับปากทันที ล้วงตราประทับจากอกเสื้อให้เฉินกงไปเอง แล้วฟุบกับโต๊ะ เรียกคนงานรีบอุ่นยาสร่างเมามาให้

เฉินกงถือตราประทับของเว่ยเลี่ยงเดินออกจากห้อง รู้สึกเสียดาย เจ้าเมืองหม่าจุนครองตำแหน่งเจ้าเมืองเทียนสุ่ยมาสี่ปีแล้ว เป็นขุนนางระดับสูงที่ขี้ขลาดไร้ความสามารถ ขุนนางใต้บัญชาส่วนใหญ่เป็นคนพื้น ๆ เหมือนเจ้าเมือง หรือไม่ก็ไม่ใส่ใจอะไร คู่ต่อกรของมหาเสนาบดีจูเก๋อตอนบุกเหนือครั้งที่หนึ่งในช่วงแรกก็คนพวกนี้ จึงไม่แปลกที่กองทัพสู่จะเอาชนะได้อย่างง่ายดาย

ห้องเก็บเอกสารอยู่ที่ถนนด้านหลังของเรือนหัวหน้าเสมียน สุดถนนทางขวามือ ที่นี่ไม่มีเรือนอื่น มีร่องน้ำตื้น ๆ ล้อมรอบเพื่อป้องกันไฟไหม้ลามมาทำลายเอกสาร คนที่เปิดประตูให้เฉินกงเป็นเสมียนแก่ เฉินกงยื่นตราประทับของเว่ยเลี่ยงให้เขาดูแวบหนึ่ง ชายชราคนดูแลเอกสารพยักหน้า หยิบกุญแจทองเหลืองจากเอวพวงหนึ่งให้เฉินกง แล้วเดินกลับไปผิงไฟต่อในห้อง

เฉินกงเดินไปตามทาง ใช้กุญแจไขเปิดห้องเอกสารแล้วผลักประตูเข้าไป ห้องนี้กว้างขวางสว่างดี แต่หนาวจัด มีตู้หนังสือทำด้วยไม้สิบกว่าตู้ตั้งเรียงกันเป็นแถว ในนั้นเต็มไปด้วยเอกสาร ประกาศ จดหมายติดต่อ และเอกสารอื่นของเมืองเทียนสุ่ย หนังสือไม้ไผ่แทบทั้งหมดมีฝุ่นเกาะ สันหนังสือสีขาวเทาทำให้บรรยากาศเพิ่มความหนาวเหน็บ

เฉินกงไม่แตะต้องเอกสารขึ้นราเหล่านี้ เอกสารเหล่านี้ไม่ใช่จุดหมายของเขา เขาอยากค้นหาหนังสือแสดงความยินดีจากขุนนางของปีที่แล้ว ซึ่งก็คือเดือนเก้ารัชศกไท่เหอปีที่สอง เขาจำได้ว่าในเดือนเก้ารัชศกไท่เหอปีที่สองจักรพรรดิเฉารุ่ยแต่งตั้งพระโอรสเฉามู่เป็นฝานหยางอ๋อง ตามธรรมเนียมแล้วหลังจากที่ลูกหลานราชตระกูลได้รับบรรดาศักดิ์ครั้งแรก บรรดาขุนนางจะถวายหนังสือแสดงความยินดีให้จักรพรรดิ อวยพรให้ราชตระกูลขยายดินแดนออกไปเรื่อย ๆ เป็นปราการให้ราชสำนัก หนังสือแสดงความยินดีนี้มีรายชื่อขุนนางราชสำนักเกือบทั้งหมด แล้วคัดลอกส่งไปยังเมืองและเขตทุกแห่งเพื่อร่วมแสดงความยินดี ดังนั้นเมืองเทียนสุ่ยก็น่าจะมีเก็บไว้ชุดหนึ่ง หากอ่านรายชื่อบนหนังสือแสดงความยินดีฉบับคัดลอกก็จะรู้ว่าจี่ซื่อจงปัจจุบันมีใครบ้าง

งานนี้ไม่ยาก หนังสือแสดงความยินดีเพิ่งเก็บเข้ามัดไม่นาน เขียนอยู่ในกระดาษสีเหลืองขอบขลิบทอง จึงดูสะดุดตาบนตู้หนังสือ เฉินกงกวาดตาแวบหนึ่งก็หาเจอ

เขาถูมือทั้งสองข้างเป่าไอร้อนใส่ แล้วเขย่งเท้ายื่นมือไปหยิบหนังสือแสดงความยินดีออกมาเปิดอย่างรวดเร็ว เป็นอย่างที่เขาคาด หนังสือแสดงความยินดีเขียนด้วยอักษรสละสลวยหลายพันตัว ข้างขวาของหน้าหนังสือใช้อักษรขนาดเล็กเขียนตำแหน่ง ชื่อ และภูมิลำเนาของขุนนางที่แสดงความยินดี หนังสือแสดงความยินดีนี้เขียนเมื่อเดือนเก้าปีที่แล้ว ห่างจากเวลานี้ไม่ถึงห้าเดือน คงมีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก สามารถใช้อ้างอิงได้

‘จี่ซื่อจง’ ตำแหน่งนี้มักจะเป็นตำแหน่งควบ ขุนนางใหญ่ในราชสำนักส่วนใหญ่ได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรดิให้ควบตำแหน่งนี้เพื่อเป็นเกียรติ เช่น แม่ทัพใหญ่เฉาเจิน มหาอำมาตย์หลิวฟ่าง ราชบัณฑิตซูหลิน เป็นต้น คนเหล่านี้ล้วนแต่ควบตำแหน่งจี่ซื่อจง แต่พวกเขาไม่ใช่เป้าหมายของเฉินกง เขาต้องการสืบค้นคนที่อยู่ในตำแหน่งจี่ซื่อจงโดยตรง

หลังจากตรวจคัดแยกแล้ว เฉินกงพบจี่ซื่อจงที่อยู่ในตำแหน่งโดยตรงห้าคน เขาท่องชื่อและภูมิลำเนาของทั้งห้าคนไว้แล้วเก็บหนังสือแสดงความยินดีไว้ที่เดิม ขณะนี้สืบค้นได้ผลอย่างนี้ ส่วนเรื่องที่ว่าจี่ซื่อจงผู้ลึกลับคนนั้นเป็นใครในห้าคนนี้ ยังต้องรอวิเคราะห์จากข่าวกรองครั้งต่อไป

พอทำงานสำเร็จ เฉินกงก็ออกไปจากห้องอย่างเร่งรีบ ห้องนี้หนาวเย็นจริง ๆ เขาเอากุญแจคืนให้เสมียนชราแล้วออกไปจากเรือน เวลานี้เมฆบนท้องฟ้ายังคงรวมตัวกันอยู่โดยไม่มีวี่แววว่าจะมีหิมะตก จู่ ๆ เฉินกงก็รู้สึกว่าข้างหลังเขามีสายตาคู่หนึ่งกำลังเฝ้าดูตนอยู่ เขาหันไปดู แต่ถนนว่างเปล่าไม่มีใครแม้แต่คนเดียว

 

[1] ช่วงเวลาระหว่าง 7 ถึง 9 โมงเช้า

[2] หู มาตราชั่งตวงวัดของจีน โดย 1 หู เท่ากับ 10 โต่ว 1 โต่วเท่ากับ 10 เซิงหรือ 10 ลิตร

[3] ชื่อตี้ แปลว่าจักรพรรดิแดง หมายถึงฮั่นเกาจู่หลิวปัง หรือเล่าปัง ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น

[4] ลี่ถี่ หรืออักษรลี่ซู พัฒนามาจากอักษรจ้วนเล็กอีกที เป็นกระบวนการเปลี่ยนอักษรจีนจากภาพมาสู่อักษรสัญลักษณ์ เปลี่ยนจากโครงสร้างทรงกลมเป็นทรงสี่เหลี่ยม ทำให้เขียนง่ายกว่าเดิม

[5] สู่ฮั่น เป็นชื่อราชวงศ์ที่หลิวเป้ยตั้งขึ้นในสมัยสามก๊ก ครอบคลุมดินแดนเสฉวน อวิ๋นหนาน และฮั่นจง

[6] เฉาเว่ย หมายถึงเว่ยก๊กแห่งราชตระกูลเฉา หรือวุ่ยก๊กของตระกูลโจโฉนั่นเอง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า