[ทดลองอ่าน] พายุจารชนแห่งหล่งซี บทที่ 2 จงรักภักดีกับเสียสละ

พายุจารชนแห่งหล่งซี
风起陇西

 

หม่าป๋อยง
马伯庸 เขียน
เรืองชัย รักศรีอักษร แปล

 

 ท่ามกลางไฟสงครามแห่งยุคสมัยสามก๊ก
ยังมีสมรภูมิที่พงศาวดารไม่ได้บันทึกไว้
นั่นคือสงครามแห่งจารชนของเหล่าสายลับผู้เปี่ยมปฏิภาณ

เมื่อการข่าวรายงานว่ามีจารชนของแคว้นเว่ยแทรกซึมเข้าสู่ฮั่นจง
เพื่อขโมยอาวุธสงครามของแคว้นสู่ นั่นคือเครื่องยิงหน้าไม้
‘สวินสวี่’ หัวหน้ากองสันติบาลจึงออกคำสั่งให้คุ้มกันแบบร่าง
เครื่องยิงหน้าไม้ และช่างฝีมือ จากการบุกรุกของศัตรูอย่างเข้มงวด

ทว่ากองทัพกับกองสันติบาลกลับเอาแต่ระแวงซึ่งกันและกัน
ไหนจะศิษย์พรรคใต้ดินของลัทธิข้าวสารห้าโต่วคอยป่วนปั่น
ยังมี ‘หนู’ ตัวหนึ่งที่แฝงเร้นอยู่ในหมู่ขุนนางชั้นสูงของฮั่นจง

…สายลับแคว้นเว่ยที่ใช้รหัสนามว่า ‘จู๋หลง’
สงครามใต้ดินนอกสมรภูมิรบระหว่างการข่าวกรองของสองแคว้น
ภารกิจช่วงชิงและภารกิจพิทักษ์อาวุธล้ำค่าของแคว้นสู่นี้
มีเวลาเพียงสิบเอ็ดวันเท่านั้น!

ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์

 

บทที่ 2

จงรักภักดีกับเสียสละ

 

กัวหวายถูนิ้วไปมาช้า ๆ จ้องหน้าหม่าจุนเจ้าเมืองเทียนสุ่ยด้วยแววตาแข็งกร้าว ฝ่ายหลังใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผากตลอดเวลา ราวกับถูกถ่านไฟในเตาสัมฤทธิ์รูปตัวเซี่ย[1]ในห้องประชุมย่างจนละลาย

ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงเงยหน้าขึ้น พูดตะกุกตะกัก

“โป๋…โป๋จี้เข้าใจผิดหรือไม่ เมืองซั่งกุยจะมีสายสืบของกองทัพสู่ได้อย่างไร”

“งั้นหรือ แต่คนของข้ามีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าในเมืองซั่งกุยอย่างน้อยมีหนึ่งคนที่ทำงานในเครือข่ายข่าวกรองของกองทัพสู่อย่างลับ ๆ” กัวหวายพูดไม่เร็วไม่ช้า เสียงหนักแน่นมีพลัง เขาเป็นคนปกครองเมืองซั่งกุยอย่างแท้จริง คนไร้ความสามารถอย่างหม่าจุนไม่เคยอยู่ในสายตาของเขา

หม่าจุนเช็ดเหงื่อต่อ ยังพยายามกู้หน้าตัวเอง “ถ้ามีเครือข่ายข่าวกรองอย่างนี้จริง คนของข้าน่าจะรู้ พวกเขา…”

“ปัญหาอยู่ที่ว่าพวกเขายังไม่รู้” กัวหวายพูดขัดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ “ทหารของเจ้าล้วนแต่เป็นคนท้องที่ พวกเขามีความสามารถในการสู้รบน่ายกย่อง แต่ไม่ได้ผ่านการฝึกด้านจารกรรม แน่นอนว่านี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง…อี้ติ้ง!”

จู่ๆ กัวหวายก็ตะโกนเสียงดัง ประตูเปิดออกทันที นายทหารหนุ่มในชุดเกราะผลักประตูเข้ามา เดินไปที่กลางห้องประชุม อกผายไหล่ผึ่ง หมวกสีแดงบนศีรษะตั้งสูง สายคาดเกราะหนังที่อกรัดตึงพอดี

“นี่หลานชายข้า ชื่อกัวกัง ชื่อรองอี้ติ้ง ปีนี้อายุยี่สิบสี่ เป็นนายกองประจำค่าย” กัวหวายผายมือขวาออกมาแนะนำ กัวกังคารวะคนสำคัญด้านการทหารและการปกครองทั้งสอง คางเชิดขึ้น สายตาไม่มองหม่าจุนแม้แต่น้อย สีหน้าทะนงตัวและเย็นชา

“เป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถ เป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถจริง ๆ” หม่าจุนพูดเอาใจ

“เวลานี้เขามีอีกฐานะหนึ่ง เป็นเจียนจวินซือหม่า รับผิดชอบสืบการเคลื่อนไหวการจารกรรมของสู่ก๊กในเขตเทียนสุ่ย” กัวหวายบอก หม่าจุนตะลึง ฝ่ายทหารตั้งหน่วยงานต่อต้านการจารกรรมที่เทียนสุ่ยโดยไม่แจ้งเจ้าเมืองอย่างเขา เขารู้สึกเหมือนถูกหลอก

“เอ่อ…ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”

“อ้อ เจียนจวินซือหม่าเป็นตำแหน่งที่ไม่เปิดเผย ขึ้นตรงกับสำนักปกครองในเมืองเย่เฉิง ไม่ขึ้นต่อท้องถิ่น” กัวหวายจงใจย้ำคำว่าสำนักปกครอง ดูแล้วได้ผลจริง ๆ สีหน้าซีดขาวของหม่าจุนกลายเป็นหมองคล้ำ สำนักปกครองเป็นศูนย์กลางของราชสำนัก ขุนนางขี้ขลาดอย่างเขาไม่กล้ามีความเห็นต่อราชสำนักแน่

“เอาละ อี้ติ้ง เจ้าพูดเลย” กัวหวายเห็นหม่าจุนนิ่งเงียบ จึงพยักหน้าให้กัวกัง

“ขอรับ!”

น้ำเสียงของกัวกังแข็งกร้าวหนักแน่นเช่นเดียวกับชื่อ ไม่ต่างจากน้ำแข็งย้อยในฤดูหนาวที่แม่น้ำหวงเหอ “เมื่อวันที่ยี่สิบเดือนหนึ่ง ทหารเราตรวจเจอพ่อค้าเกลือเถื่อนจากฮั่นจงกลุ่มหนึ่งที่ทางบนเขาระหว่างเมืองซั่งกุยกับเมืองลวี่เฉิง ข้าวของของพวกเขามีป้ายคำสั่งปลอมทั้งของฝ่ายทหารและฝ่ายปกครองยี่สิบแผ่น และตราประทับเจ้าเมืองเทียนสุ่ยอีกสองอัน แน่นอนว่าเป็นของปลอม”

กัวหวายมองหน้าหม่าจุนแวบหนึ่งด้วยสายตาเห็นใจ ฝ่ายหลังขดตัวอยู่หลังโต๊ะ สีหน้ากระอักกระอ่วน

“จากคำสารภาพของพ่อค้าเกลือเถื่อน ก่อนเดินทางพวกเขาได้รับค่าจ้างก้อนใหญ่จากกองทัพสู่ กองทัพสู่ขอร้องให้เอาของนี้ไปส่งที่เมืองจี้เฉิงแล้วขายให้คนที่นัดหมายไว้แล้ว วันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ข้าส่งรองแม่ทัพสองคนปลอมตัวเป็นพ่อค้าเกลือเถื่อนเดินทางไปที่เมืองจี้เฉิง วันที่ยี่สิบเดือนหนึ่งติดต่อกับคนที่เป็นเป้าหมายได้สำเร็จ เราจับคนคนนี้ได้ จากนั้นจึงรู้ว่าคนท้องที่คนนี้รับจ้างขุนนางเมืองซั่งกุยคนหนึ่ง จากการชี้ตัวของเขา วันที่ยี่สิบแปดเดือนหนึ่งในที่สุดเราก็มั่นใจว่าขุนนางคนนั้นเป็นใคร”

หม่าจุนเริ่มขยับนิ้วมืออย่างกระวนกระวาย เรื่องแรกคือตราประทับจวนเจ้าเมืองปลอม ต่อมาก็เป็นเรื่องขุนนางทรยศ เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าวันนี้จะเป็นวันเคราะห์ร้ายของตน

กัวกังยังคงพูดด้วยจังหวะราบเรียบ แต่ให้ความรู้สึกเหมือนเสียงอาวุธเหล็กตีกระหน่ำ

“ตั้งแต่วันที่ยี่สิบเก้าเดือนหนึ่งเป็นต้นมา เราได้จับตาดูขุนนางคนนั้น วันแรกที่จับตาดู คนคนนี้อยู่ในซั่งกุยได้ติดต่อกับทหารกองทัพ นายทหารระดับกลางและระดับล่างรวมห้าครั้ง หลังจากสอบถามคนที่เขาติดต่อ ทางเราจึงรู้ว่าคนคนนี้มีวิธีการสอบถามที่แยบยลมากและปิดบังอย่างมิดชิด เขาสนใจเกี่ยวกับจำนวนกำลังทหารป้องกันอู่ตูกับอินผิงของกองทัพเรา รวมทั้งที่ตั้งจุดเก็บเสบียงสำคัญของเขตเทียนสุ่ย ที่สมควรพูดถึงก็คือ ขณะที่จับตาดูอยู่ เขาเคยออกไปข้างนอกครั้งหนึ่ง ทางเราสงสัยว่าเขาจะแลกเปลี่ยนข่าวกรองกับคนอื่นที่แฝงตัวอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นนกฮูกสู่ก๊กที่แฝงตัวเข้ามาในเมืองซั่งกุย”

พอเห็นแววตาของหม่าจุนงุนงงสับสน กัวหวายก็อธิบายว่านกฮูกเป็นคำที่หน่วยข่าวกรองเว่ยก๊กใช้เรียกจารชนของศัตรู พอฟังรายงานจบหม่าจุนก็กลืนน้ำลายอย่างต่อเนื่อง ถามอย่างวิตก “ถ้างั้นคนคนนั้นเป็นใคร เป็นขุนนางจวนเจ้าเมืองหรือไม่”

กัวกังพยักหน้า

หม่าจุนตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาทุบโต๊ะ พูดเสียงดัง “มีเรื่องน่าละอายอย่างนี้เชียวหรือ ใครกัน! บอกข้ามา ข้าจะให้คนไปจับตัวมัน!” เห็นชัดว่าเขาจะใช้ความโกรธกลบเกลื่อนความกระอักกระอ่วนของตน

“ไม่ต้อง” กัวหวายพูดอย่างเย็นชา “ฝ่ายทหารมีแผนการแล้ว จากการวิเคราะห์ของอี้ติ้ง ช่วงนี้เขาจะไปพบกับนกฮูกอีกตัวหนึ่งของเมืองซั่งกุย พอถึงเวลานั้นเราจะรวบทั้งหมด เจ้าเมืองหม่า เจ้าให้ทหารของจวนเจ้าเมืองไปล้อมข้างนอกประสานกับเราก็พอ”

หม่าจุนรู้สึกทั้งน้อยใจ ขุ่นเคือง กระอักกระอ่วนและหวาดหวั่นปะปนกัน จนกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกเป็นพัก ๆ ถึงอย่างไรในนามแล้วตนก็เป็นขุนนางระดับสูงสุดของเขตเทียนสุ่ย แต่เวลานี้กลับถูกคนเตะออกจากเขตแดนของตน เป็นการลบหลู่อย่างรุนแรง แต่เขาจะทำอะไรได้ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าเมืองยงโจวที่กุมอำนาจทหารอยู่ในมือ และยังมีเจียนจวินซือหม่าซึ่งเป็นคนของสำนักปกครองโดยตรง

สุดท้ายหม่าจุนเลือกที่จะอดกลั้น เขากัดฟัน กำจี้หยกที่ห้อยเอวอยู่ พยายามฝืนยิ้มออกมา

“ได้ ข้าจะออกคำสั่ง”

“ระวังด้วย เจ้าเมืองหม่า เรื่องนี้นอกจากเจ้าแล้วไม่อนุญาตให้คนอื่นรู้ คนจวนเจ้าเมืองไม่น่าเชื่อถือ”

กัวหวายพูดเตือนอย่างนี้เป็นเหมือนการตบหน้าดังฉาด ก่อนที่หม่าจุนจะรู้ตัว กัวหวายก็ลุกขึ้น หยิบพลั่วเล็กข้างตัวมาคุ้ยถ่านในเตา ทำให้ไฟลุกแดงขึ้น เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าส่งแขก หม่าจุนจึงต้องลุกขึ้นบอกลา แล้วจากไปด้วยความโกรธแค้น

รอกระทั่งหม่าจุนลับหลังไป กัวกังจึงเอ่ยปากถามกัวหวาย “ท่านอา ทำไมราชสำนักยอมให้คนไร้ความสามารถอย่างนี้มารับหน้าที่สำคัญที่นี่”

“อี้ติ้ง เรื่องของราชสำนัก ให้โอรสสวรรค์จัดการ เราทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ” กัวหวายเดินไปหาเขา จ้องหน้าหลานชายตรงๆ “ในฐานะที่เป็นเจียนจวินซือหม่า เจ้าทำเพียงคอยสังเกต อย่าไปสรุปคนอื่น การสรุปจะทำให้เกิดอคติและปิดบังเบาะแสบางอย่าง จำไว้อคติของเจ้าอาจเป็นฐานให้จารชนฝ่ายศัตรูดำรงอยู่ได้”

“ขอรับ หลานรู้แล้ว”

“ดีมาก เจ้าไปวางแผนรายละเอียดในการลงมือ”

“หลานจัดคนไว้แล้ว ครั้งนี้มีคนที่เป็นแกนกลางในการลงมือไม่เกินหกคน คนที่สนับสนุนรอบนอกจะรู้เป้าหมายรูปธรรมก่อนปฏิบัติการไม่นาน”

กัวหวายพยักหน้า ทำท่าให้เขาออกไป กัวกังประสานมือคารวะด้วยท่าทางหนักแน่น แล้วหันหลังก้าวออกจากห้องประชุม

เวลานี้ห้องประชุมเหลือแต่กัวหวายคนเดียว เขากลับไปที่โต๊ะ ดึงผ้าสีเหลืองที่แขวนผนังด้านหลังออก เป็นแผนที่หล่งซีอย่างละเอียดกินพื้นที่ผนังห้องกว่าครึ่ง เขาเดินจากด้านซ้ายไปด้านขวา แล้วจากด้านขวาไปด้านซ้ายของแผนที่ จากนั้นดึงแท่งถ่านจากใต้เตาออกมาวาดบนแผนที่สองสามแห่ง เห็นได้ชัดว่าเวลานี้เรื่องที่เขาคิดสำคัญกว่าการไล่ล่าจับนกฮูกสู่ก๊ก

 

รัชศกไท่เหอปีที่สาม วันที่สิบเดือนสอง

เฉินกงรู้สึกว่าควรออกไปเองสักครั้ง เขาหาทางสืบค้นฐานะที่แท้จริงของจี่ซื่อจงคนนั้นมาตลอด แต่ไม่ได้ผล พูดให้ชัดก็คือมีความเป็นไปได้หลายข้อ แต่ไม่มีข้อไหนถึงระดับที่น่าเชื่อถือ วันที่สิบห้าเดือนสองเป็นวันที่เขาจะส่งข่าวกรองไปยังอำเภอเหมี่ยน ถ้าก่อนส่งรายงานยังวิเคราะห์ไม่สำเร็จ ข่าวกรองชิ้นนี้คงไม่มีความหมาย

เขาตัดสินใจไปหา ‘ไป๋ตี้ (จักรพรรดิขาว)’ ไป๋ตี้เป็นจารชนอีกคนหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในเมืองซั่งกุย คนนี้อาจจะมีลู่ทางสืบข่าวกรองที่มีประโยชน์

เฉินกงกับไป๋ตี้ต่างไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หลักการทำงานของสำนักข่าวกรองแห่งสู่ก๊กคือจารชนที่ทำงานในแต่ละสายต้องแยกกันอย่างเด็ดขาด ทำงานสายตรง ไม่สร้างความสัมพันธ์แนวขวางเด็ดขาด ทำอย่างนี้แม้ว่าประสิทธิภาพในการหาข่าวจะต่ำ แต่สามารถประกันได้ว่าหากจารชนคนหนึ่งถูกจับจะไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อสายอื่น

สำนักข่าวกรองก็รอบคอบจนเรียกได้ว่าเป็นพวกยึดติดกรอบ เช่นเดียวกับมหาเสนาบดีจูเก๋อที่พวกเขาจงรักภักดี

หลังจากการบุกเหนือครั้งที่หนึ่งพ่ายแพ้ เครือข่ายข่าวกรองของสู่ก๊กได้ถูกทำลายอย่างย่อยยับ เฉินกงกับไป๋ตี้รู้ฐานะของกันโดยบังเอิญจากการสืบค้นครั้งหนึ่ง เฉินกงรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเยาะหยัน ทั้งสองต่างโชคดีที่รอดชีวิตจากการกวาดล้างของเว่ยก๊กครั้งนั้น จากนั้นต่างก็รู้การดำรงอยู่ของอีกฝ่ายหนึ่ง ปกติแล้วน้อยครั้งที่ทั้งสองจะได้พบหน้ากัน แต่พวกเขาติดต่อกันด้วยวิธีพิเศษ

คืนวันที่สิบเดือนสองเฉินกงไปถึงสนามโรงฝึกทหารในเมืองซั่งกุย เอาหินสามก้อนวางที่มุมขวาของประตูไม้บานหมุน บนสุดยังเพิ่มหินอีกก้อนหนึ่ง แต่หินก้อนสุดท้ายนี้เขาเอาหมึกทาด้านล่างของก้อนหินก่อนจะวางลงไป พอวางเรียบร้อยเฉินกงก็หายลับไปในม่านราตรีอีกครั้ง

บ่ายวันต่อมาเขาอ้างเหตุผลไปธุระที่จวนเจ้าเมืองแล้วเดินผ่านสนามอีกครั้ง เห็นการเปลี่ยนแปลงที่กองหินซึ่งไม่สะดุดตา หินก้อนบนสุดถูกพลิก หงายส่วนที่ทาหมึกขึ้น แสดงว่าไป๋ตี้ตอบแล้ว

วันที่สิบสองเดือนสอง เฉินกงออกจากประตูบ้านเมื่อผ่านยามซื่อสือ[2]ไปครึ่งหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบที่กำหนดไว้แล้ว เขาหวังว่าจะได้รับข่าวกรองที่เขาไม่รู้จากไป๋ตี้ บางทีอาจจะช่วยให้รู้ฐานะของจี่ซื่อจงคนนั้น

หลังจากเดินผ่านถนนสองสาย เฉินกงก็เห็นทหารสองคนถือหอกพิงกำแพงที่สี่แยกคุยกันอยู่ เฉินกงดูออกว่าเป็นลูกน้องของเจ้าเมืองหม่าจุนจึงประหลาดใจ เขาสังเกตว่าร้านเหล้าใกล้ ๆ ก็มีทหารนั่งอยู่หลายคนแต่ไม่มีใครดื่มเหล้า พอเดินไปถึงถนนอีกสายหนึ่ง เฉินกงเลี้ยวซ้าย เห็นปากซอยด้านขวามีทหารยาม ที่นี่มียามรักษาการณ์มาตลอดแต่วันนี้มีทหารมากกว่าปกติเท่าตัว ทหารคนหนึ่งพอเห็นเฉินกง ก็ทักทายอย่างเป็นมิตร

“อาลักษณ์เฉิน ไปไหนหรือ”

“อ้อ ก็เรื่องเสบียงอีกนั่นแหละ ชั้นเหนือเร่งทั้งวันให้เอาบัญชีมาตรวจสอบให้ชัดเจน”

เฉินกงเริ่มบ่น การบ่นเรื่องชั้นเหนือกับคนระดับเดียวกันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความสนิทสนม ทหารพยักหน้าอย่างเห็นใจ พลางถอนหายใจ “ใช่สิ วันนี้พวกข้าควรจะได้พัก แต่จู่ ๆ กลับถูกส่งมาที่นี่ไปไหนไม่ได้ พร้อมรับคำสั่งทุกเมื่อ”

“พร้อมรับคำสั่งอะไร” เฉินกงเกิดคำถามในใจ

“พวกข้าได้รับคำสั่งให้รอที่นี่ เรื่องที่ว่าจะให้ทำอะไรชั้นเหนือไม่ได้บอก”

เฉินกงพูดคุยกับทหารอีกไม่กี่คำก็ขอตัวไป ไม่รู้ทำไม เขารู้สึกว่าในใจไม่สงบ แต่ยังมุ่งหน้าเดินไปยังจุดนัดพบที่กำหนดไว้

 

“มั่นใจว่าเป็นคนนี้หรือไม่”

กัวกังยืนอยู่หลังกำแพงดิน ลูกน้องคนหนึ่งยื่นหน้าออกไปแล้วหดกลับ พอได้ยินคำถามจากหัวหน้า ก็พยักหน้า

“ไม่ผิด เป็นเขาแน่” เวลานี้คนที่ทำหน้าที่จับตาดูอยู่บนหลังคาบ้านอีกฟากหนึ่งของถนนจู่ ๆ ก็โบกธงเขียวไปทางทิศตะวันตกสามครั้ง

“เป้าหมายเริ่มเคลื่อนย้ายมาทางตะวันตก”

พอได้รับข่าวกัวกังก็เม้มปากแน่นโดยไม่รู้ตัว พูดกับลูกน้องซึ่งปลอมตัวเป็นชาวบ้านหลายคน

“พวกเจ้าสองคนเดินล่วงหน้าไปถนนอีกสายหนึ่ง อ้อมไปข้างหน้าเขา พวกเจ้าสองคนตามเขาไปข้างหลัง อย่าให้เขารู้ตัว”

ทั้งสี่ขานรับ แล้วออกจากกำแพงดิน ส่วนกัวกังหันหลังปีนขึ้นไปบนหอสูงยี่สิบจั้ง จากที่นั่นสามารถมองเห็นทั่วทั้งเขตตะวันตกของเมืองได้ สำหรับเขาแล้ว เขาชอบความรู้สึกอยู่ที่สูงก้มลงมอง เก็บภาพทุกอย่างไว้ในสายตา

เฉินกงไม่ได้สังเกตว่าบนหอสูงไกลออกไปมีคนจับตาดูอย่างประสงค์ร้าย ยังคงเดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าปกติ ข้างหน้ามีผู้หญิงสองคนกำลังซักผ้าอยู่ที่คูน้ำ กุลีคนหนึ่งแบกกระสอบใหญ่สองกระสอบเดินอย่างเหนื่อยแรง เด็กสองสามคนวิ่งอยู่กลางถนนเล่นแมลงปอที่ตายแล้วขวางทางรถม้าจึงถูกคนขับตะโกนดุ กำแพงด้านที่มีแดดส่องมีทหารหลายคนยืนพิงอยู่อย่างเกียจคร้าน เกราะหนังเก่าคร่ำคร่าถูกถอดวาง เสื้อตัวในถลกขึ้นมา คนหนึ่งก้มหน้าก้มตาเกาหัว ทุกอย่างดูปกติมาก

“นายท่าน เข้ามาดื่มน้ำแกงให้อุ่นก่อนเถอะ”

เถ้าแก่ร้านเล็กริมทางโผล่หน้าออกมาตะโกน กลิ่นหอมแรงของเนื้อแพะแทรกออกมาจากช่องประตู เฉินกงไม่ได้หยุด เขาแหงนหน้ามองดวงอาทิตย์ ก้าวเร็วขึ้นเล็กน้อย แล้วเลี้ยวขวาไป

ขณะเดียวกันนั้น กัวกังเอาสองมือประคองที่ขอบของหอคอยมองลงไป โน้มตัวไปข้างหน้า ดวงตาแหลมคมเหมือนเหยี่ยว เวลานี้เป้าหมายกำลังเลี้ยวมุ่งหน้าไปที่ตลาดโดยมีลูกน้องสองคนของเขาตามหลังห่าง ๆ อีกสองคนเดินตามไปข้าง ๆ

“รีบร้องหน่อย นกฮูก” กัวกังพึมพำ กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว เริ่มแรกตอนที่กัวหวายสนับสนุนให้เขารับตำแหน่งเจียนจวินซือหม่านั้น หลายคนคัดค้านด้วยเหตุผลว่าเขายังหนุ่มเกินไป เขาจึงร้อนใจอยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าที่อาเขาจัดการอย่างนี้ถูกต้อง

จู่ ๆ มีทหารลาดตระเวนหน่วยหนึ่งเดินผ่านหน้าเป้าหมายไป ชุดเกราะขนาดใหญ่และฝุ่นที่คลุ้งตลบบดบังสายตาของกัวกัง กัวกังเบิ่งตากว้าง ร้องด่าในใจ บ้าเอ๊ย ไปให้พ้น!

กว่าทหารจะพ้นไป กัวกังก็ไม่เห็นเป้าหมายแล้ว เขาตกใจ เป้าหมายคงเข้าไปในมุมอับลับสายตาที่ใดที่หนึ่ง เวลานี้กัวกังซึ่งอยู่บนหอคอยห่างออกไปมองหาไม่เจอ ได้แต่ฝากความหวังไว้กับลูกน้อง

เขาออกคำสั่งให้พลถ่ายทอดคำสั่งซึ่งอยู่ข้างหลังไปเปลี่ยนธงบนหอเป็นธงรูปตัวผีซิว[3]สีแดงขลิบเขียว เป็นธงที่บอกให้รู้ว่าที่หอมองไม่เห็นเป้าหมาย ขอให้ผู้ติดตามรีบรายงานตำแหน่ง พร้อมกันนั้นยังให้พลถ่ายทอดคำสั่งตีกลอง เพื่อเตือนให้ผู้ติดตามระมัดระวัง

ลูกน้องทั้งสามส่งสัญญาณตอบอย่างรวดเร็ว เป้าหมายหายลับสายตาไปแล้ว กัวกังกำหมัดแน่น เป้าหมายอยู่ไหนกันแน่ หายไปทันทีอย่างนี้เป็นเพราะเห็นผู้ติดตามใช่หรือไม่ ข้อสงสัยต่าง ๆ นานาบวกกับความขุ่นเคืองอันซับซ้อนผุดขึ้นมาในสมองของกัวกัง เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นที่หน้าผากของเขา

ยังดีที่สภาพเช่นนี้ไม่ได้ต่อเนื่องนาน กัวกังเห็นทหารคนที่สี่โบกมือขวามาทางหอคอยสามครั้ง แล้วชี้ไปที่ร้านเหล้าหนิวจี้ข้าง ๆ บอกให้รู้ว่าเป้าหมายเข้าไปในร้านเหล้า และยังไม่ออกมา

“คงนัดพบกันในนั้น!”

กัวกังตัดสินใจทันที สั่งให้ชักธงสีส้มซึ่งมีความหมายว่า ‘ติดตามต่อไป’ แล้ววิ่งลงจากหอคอยอย่างรวดเร็ว ทหารของเจ้าเมืองหม่าจุนยี่สิบคนอาวุธครบมือกำลังรอคำสั่งอยู่ใต้หอคอย กัวกังโบกมือเรียกพวกเขาให้ตามมา แล้วกระโจนขึ้นม้า มุ่งหน้าไปยังร้านเหล้าหนิวจี้

 

เฉินกงเดินช้า ๆ เข้าไปในร้านเหล้าหนิวจี้ เป็นร้านเหล้าร้านเดียวในเมืองซั่งกุย ช่วงนี้เนื่องจากมีทหารเพิ่มขึ้นทำให้กิจการรุ่งเรือง เวลานี้ใกล้เที่ยงแล้ว มีคนจำนวนมากมาดื่มคลายหนาว ชั้นบนส่วนใหญ่เป็นขุนนางกับนายทหารจวนเจ้าเมือง ชั้นล่างเป็นทหารกับชาวบ้านทั่วไป

“อาลักษณ์เฉิน เชิญข้างใน!”

คนงานในร้านมีผ้าขนหนูสีขาวพาดไหล่เชิญเขาเข้าไปในร้านอย่างกระตือรือร้น เฉินกงโบกมือ ทำท่าบอกว่าตนจะขึ้นไปข้างบนเอง คนงานจึงเดินไปต้อนรับแขกอื่นที่หน้าประตู ส่วนเฉินกงเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ขณะก้าวเดินเขามองไปรอบ ๆ มีแขกประมาณยี่สิบกว่าคนกำลังกินข้าวบ้างพูดคุยกันบ้าง ดูครึกครื้น ทันใดนั้นเฉินกงก็รู้สึกว่ามีสายตาประหลาดคู่หนึ่งมองมาที่ตน เขาหันหน้าไปมองทางขึ้นบันไดชั้นล่าง แล้วรู้สึกเหมือนเลือดในตัวจับแข็งทันที

 

กัวกังนำทหารมาถึงหน้าร้านเหล้าหนิวจี้ สภาพเช่นนี้ทำให้คนที่เดินไปมาตกใจ พากันหยุดมอง เขาลงจากม้า ออกคำสั่งให้ล้อมร้านเหล้าหนิวจี้ไว้ ไม่ให้ใครออกไปแม้แต่คนเดียว รอบนอกทหารจำนวนมากกว่านั้นกั้นเขตเมืองในรัศมีสองลี้รอบร้านเหล้านี้ ลูกน้องสามคนที่รับหน้าที่ติดตามตามมาทัน รายงานว่าคนที่สี่ตามเป้าหมายไปที่ชั้นสองของร้านเหล้าแล้ว

“ให้พวกข้ารอจนเขาเจอนกฮูกอีกตัวแล้วค่อยจับดีไหมขอรับ” ลูกน้องคนหนึ่งเสนอความเห็น

“ไม่ต้องรอ!” กัวกังตอบ “เวลานี้รอบร้านเหล้าในระยะสองลี้ถูกพวกเราควบคุมไว้แล้ว สองคนนั้นหนีไม่พ้นแน่!”

พูดจบกัวกังก็โบกมือ พาทหารฝีมือเยี่ยมสิบคนบุกเข้าไปในร้านเหล้า ทหารสองคนคุมที่ประตูหลัง ที่เหลือพุ่งขึ้นไปที่ทางขึ้นบันไดพร้อมกับกัวกัง คนงานคนหนึ่งกำลังยกถาดเปล่าลงมาพอดี กัวกังยกเท้าถีบชายเคราะหร้ายให้หลีกทาง ขณะที่กำลังจะขึ้นไป พอเงยหน้าก็เห็นเป้าหมายยืนอยู่ที่บันไดพอดี กัวกังรีบชักดาบออกมาแล้วตะโกนขึ้น “ยอมให้จับซะ!”

‘ไป๋ตี้’ ยืนอยู่ที่ข้างบนยิ้มอย่างดูแคลน แล้วอ้าปากตะโกนเสียงดัง

“เพื่อฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น!”

พอตะโกนจบเขาก็ตัวเกร็งล้มลงทันที บันไดนั้นแคบมาก กัวกังรีบรวบตัวไป๋ตี้ไว้ ทั้งสองกลิ้งลงบันไดสองสามขั้น ทหารซึ่งอยู่ข้างหลังเข้าไปรับไว้ กัวกังลุกขึ้นสลัดไป๋ตี้ให้พ้นไป ถึงตอนนี้เขารู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก พอก้มหน้ามองก็เห็นมีดสั้นเล่มงามปักเข้าที่อกของตน โชคดีที่มีเสื้อเกราะกันไว้ แค่ปลายมีดแทงทะลุผิวหนังเล็กน้อย

กัวกังรีบเปิดอกเสื้อของไป๋ตี้ซึ่งนอนที่พื้น อกซ้ายของไป๋ตี้มีมีดสั้นอีกด้ามหนึ่งปักอยู่ ทหารคนหนึ่งที่อยู่ใกล้คุกเข่าลงตรวจสอบลมหายใจ คลำชีพจร แล้วส่ายหน้า

“บ้าเอ๊ย…”

กัวกังขว้างมีดสั้นลงพื้นด้วยความโกรธ ในใจเต็มไปด้วยความเสียดายสุดขีด

 

เฉินกงมุ่งหน้าเดินไปทางบ้านของตนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เสียงอึงอลที่ดังมาจากร้านเหล้าหนิวจี้ข้างหลังห่างออกไปเรื่อย ๆ แต่เหงื่อที่ซึมออกมาจากสันหลังถูกลมพัดจนรู้สึกหนาวเป็นพิเศษ

เมื่อครู่ขณะที่เขาขึ้นไปชั้นสองก็เห็นไป๋ตี้นั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง เดิมทีเฉินกงอยากเดินเข้าไปหา แต่ไป๋ตี้ชำเลืองมองเขาอย่างแข็งกร้าวแวบหนึ่ง แล้วเบนสายตาไปทางด้านข้าง เหมือนไม่รู้จักเขา เฉินกงรู้สึกทันทีว่ามีอะไรผิดปกติ เขาหันหน้าไป เห็นเส้นเฉียงไปทางขวาสองเส้นที่ราวบันได เป็นรหัสลับหมายถึง ‘ความลับรั่วไหล รีบหนี’ นี่คือสัญญาณเตือนภัยสูงสุด

เฉินกงจึงหันหลังลงบันได ออกไปจากร้านเหล้าหนิวจี้โดยไม่หันกลับ ขณะที่เดินออกไปราวหนึ่งลี้ จู่ ๆ ก็มีทหารหน่วยหนึ่งมาปรากฏตัวที่ถนน ปิดทางออกถนนทุกสายที่ด้านหลัง ไม่นานนักเขาก็รู้ว่าไป๋ตี้เผยตัวแล้ว ไป๋ตี้ลอบสังหารกัวกังไม่สำเร็จจึงฆ่าตัวตาย

การตายของไป๋ตี้ทำให้เฉินกงเสียดายมาก เขาไม่รู้เลยว่าสหายผู้พลีชีพคนนี้ที่แท้แล้วชื่ออะไร เวลานี้เฉินกงรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ

การตายของไป๋ตี้ส่งให้เกิดผลรุนแรงตามมา หลังจากศึกบุกเหนือครั้งแรก เฉาเว่ยต้องการควบคุมการเคลื่อนไหวของการจารกรรม จึงจัดระบบทะเบียนราษฎร์อย่างเข้มงวด ไม่ว่าพลเรือนหรือทหารต้องไปลงทะเบียนที่ที่ทำการของแต่ละท้องที่ และมีการตรวจสอบเป็นประจำ ทำให้สู่ก๊กส่งจารชนใหม่เข้ามาแฝงตัวลำบาก เพราะคนแปลกหน้าไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎร์จะถูกตรวจพบทันที ดังนั้นคนที่จะทำงานได้จริงจึงมีแต่จารชนที่แฝงตัวอยู่ก่อนศึกบุกเหนืออย่างเฉินกงกับไป๋ตี้ เมื่อเขาตายไป จำนวนคนก็ลดลงเรื่อย ๆ ไม่อาจเพิ่มได้ การตายของไป๋ตี้ทำให้งานข่าวกรองของสู่ฮั่นต่อเว่ยมีเงาดำเข้าปกคลุม

อีกคนหนึ่งที่ท้อใจคือกัวกัง เขาสืบค้นฐานะของจารชนคนนี้ชัดเจนแล้ว คนผู้นี้ชื่อกู่เจิ้ง ชื่อรองจงเจ๋อ เป็นรองแม่ทัพตูเว่ยในจวนเจ้าเมือง มีตำแหน่งค่อนข้างสูง การตายอย่างกะทันหันของกู่เจิ้งทำให้ไม่สามารถตรวจสอบเครือข่ายข่าวกรองส่วนที่เหลือและไม่อาจประเมินได้ว่าเขาเคยก่อความเสียหายต่อเว่ยก๊กมาแล้วเท่าไร ที่น่าเสียดายคือนกฮูกอีกตัวหนึ่งได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย วันหลังถ้าจะตามหาก็คงไม่ง่าย หลังเกิดเหตุทหารเว่ยได้ตรวจค้นร้านเหล้าหนิวจี้และบริเวณใกล้เคียงหลายครั้งแต่ไม่พบอะไร

ปฏิบัติการครั้งนี้สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้วเป็นความล้มเหลวที่ไม่มีวันลืม

วันที่สิบสองเดือนสอง กลางดึกของวันเกิดเหตุ หลังประกาศห้ามออกจากบ้านแล้วเมืองซั่งกุยก็ตกอยู่ในความเงียบยกเว้นหอรักษาการณ์ มีแต่กระโจมใหญ่ค่ายทหารนอกเมืองที่มีแสงไฟจากเทียนไขวับแวม พอจะมองเห็นเงาเลือนรางของคนสองคน

“เจ้าส่งคนไปติดตามเป้าหมายมากเกินไป ทำให้เป้าหมายมีโอกาสรู้ตัวว่าถูกจับตาอยู่”

“ขอรับ”

“หลังจากเป้าหมายลับสายตา เจ้าแสดงออกมากเกิน ถูกคนที่เจ้าจับตาเล่นเล่ห์ หายไปกะทันหัน แล้วถือโอกาสสังเกตบริเวณโดยรอบ ดูว่ามีคนตกอกตกใจหรือไม่ เพื่อตัดสินว่าตนถูกจับตาอยู่ไหม”

“ขอรับ”

“อีกอย่างหนึ่ง เจ้าตัดสินด้วยความคิดของเจ้า ถ้าจุดต่อสายของเป้าหมายไม่ใช่ร้านเหล้าหนิวจี้ การที่เจ้าลงมือก่อนจะเปิดเผยแผนการ และความจริงก็เป็นอย่างนี้”

“ขอรับ”

“ที่สำคัญที่สุด เจ้าไม่ควรเสี่ยงลงมือก่อนที่เป้าหมายจะต่อสาย เจ้าลืมไปแล้วว่าจุดหมายของปฏิบัติการครั้งนี้คืออะไร”

“ขอรับ”

กัวหวายพูดข้อหนึ่งก็ยกนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่ง เขาไม่ได้ดุด่ากัวกัง แต่บอกข้อผิดพลาดของคนหนุ่มทีละข้ออย่างสงบ กัวหวายรู้ดี สำหรับคนอย่างกัวกังที่ใส่ใจชื่อเสียงเกียรติยศมากเป็นพิเศษ วิธีนี้ได้ผลกว่าการใช้แส้หนังฟาด

กัวกังใช้มือซ้ายถือหมวกไว้ ยืนก้มศีรษะอยู่หน้ากัวหวาย ตอบรับคำสั่งสอนของอาด้วยคำว่า ‘ขอรับ’ อย่างชัดเจน พร้อมกับกัดริมฝีปากล่างอย่างแรง มุมปากมีเลือดไหลออกมา

“อี้ติ้ง เจ้าต้องรู้ว่าภารกิจที่เรารับผิดชอบมีความสำคัญมาก สู่ก๊กจ้องจะเอาชายแดนของแคว้นเราตลอดเวลา ความผิดพลาดของเราแต่ละครั้งอาจจะส่งผลเสียร้ายแรง ทำให้เข้าแผนของศัตรู” กัวหวายพูด พร้อมกับใส่เสื้อคลุม เดินมาที่ทางเข้ากระโจม ดึงม่านสองข้างให้ตึง แล้วเอาผูกเชือกใหม่ ออกแรงดึง ม่านสองผืนผูกติดกันแน่น ลมหนาวข้างนอกเข้ามาไม่ได้

“แม้เวลานี้สู่ก๊กไม่มีการเคลื่อนไหวทางการทหาร แต่ความจริงมีการเริ่มทำสงครามในทางลับแล้ว” กัวหวายพูดถึงตรงนี้ก็มองดูกัวกังซึ่งยังคงก้มศีรษะอยู่ “นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมข้าจึงขอให้แม่ทัพเฉาเจินส่งเจ้ามาที่เทียนสุ่ย เวลานี้เป็นสงครามใต้น้ำ ส่วนเจ้าเป็นตัวเอกในสงครามครั้งนี้”

“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านอา! เดี๋ยวข้าจะไปพาตัวผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับกู่เจิ้งมาสอบสวนใหม่ ต้องค้นหานกฮูกอีกตัวหนึ่งให้ได้!”

กัวหวายยื่นมือขวาไปห้ามกัวกังซึ่งกำลังจะออกไป “เรื่องนี้มอบให้ลูกน้องเจ้าทำก็พอ เวลานี้เรายังมีงานสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง เป็นเรื่องที่ต้องจัดการเฉพาะหน้านี้ ฝ่ายทหารต้องการความร่วมมือจากเจียนจวินซือหม่าอย่างเต็มที่”

พูดจบ เขาหยิบผ้าแพรบางผืนหนึ่งออกจากอกเสื้อยื่นให้กัวกัง ฝ่ายหลังอ่านเสร็จก็เลิกคิ้วขึ้น แต่ไม่ได้แสดงความเห็น ได้แต่ยื่นผ้าแพรคืนให้กัวหวาย แล้วตอบ

“ท่านอา ท่านต้องได้แน่”

 

[1] สัตว์ในตำนาน รูปร่างคล้ายสิงห์ บ้างก็ว่าคล้ายวัวหรือกวาง มีเขาเดี่ยวหนึ่งเขา

[2] ช่วงเวลาระหว่าง 9 ถึง 11 โมงเช้า

[3] ผีซิวหรือปี่เซียะ เป็นสัตว์มงคลขับไล่สิ่งชั่วร้าย นำโชคลาภมาให้ ตัวผู้เรียกว่า ‘ผี’ ตัวเมียเรียกว่า ‘ซิว’ รูปร่างและเขาเหมือนกวาง ใบหน้า ศีรษะและขาเหมือนสิงโต มีปีกเหมือนนก หลังคล้ายปลา กินจุและไม่มีทวารขับถ่าย

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า