[ทดลองอ่าน] พายุจารชนแห่งหล่งซี บทที่ 4 แผนลับกับปฏิบัติการ

พายุจารชนแห่งหล่งซี
风起陇西

 

หม่าป๋อยง
马伯庸 เขียน
เรืองชัย รักศรีอักษร แปล

 

 ท่ามกลางไฟสงครามแห่งยุคสมัยสามก๊ก
ยังมีสมรภูมิที่พงศาวดารไม่ได้บันทึกไว้
นั่นคือสงครามแห่งจารชนของเหล่าสายลับผู้เปี่ยมปฏิภาณ

เมื่อการข่าวรายงานว่ามีจารชนของแคว้นเว่ยแทรกซึมเข้าสู่ฮั่นจง
เพื่อขโมยอาวุธสงครามของแคว้นสู่ นั่นคือเครื่องยิงหน้าไม้
‘สวินสวี่’ หัวหน้ากองสันติบาลจึงออกคำสั่งให้คุ้มกันแบบร่าง
เครื่องยิงหน้าไม้ และช่างฝีมือ จากการบุกรุกของศัตรูอย่างเข้มงวด

ทว่ากองทัพกับกองสันติบาลกลับเอาแต่ระแวงซึ่งกันและกัน
ไหนจะศิษย์พรรคใต้ดินของลัทธิข้าวสารห้าโต่วคอยป่วนปั่น
ยังมี ‘หนู’ ตัวหนึ่งที่แฝงเร้นอยู่ในหมู่ขุนนางชั้นสูงของฮั่นจง

…สายลับแคว้นเว่ยที่ใช้รหัสนามว่า ‘จู๋หลง’
สงครามใต้ดินนอกสมรภูมิรบระหว่างการข่าวกรองของสองแคว้น
ภารกิจช่วงชิงและภารกิจพิทักษ์อาวุธล้ำค่าของแคว้นสู่นี้
มีเวลาเพียงสิบเอ็ดวันเท่านั้น!

 

ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์

บทที่ 4

แผนลับกับปฏิบัติการ

 

รายงานของเฉินกงมาถึงสำนักข่าวกรองสู่ก๊กหลังจากนั้นอีกสิบวัน ตรงกับวันที่ยี่สิบสี่เดือนสอง

แม้ว่าเว่ยก๊กและสู่ก๊กจะเป็นศัตรูกัน แต่ด้านการค้าขายกลับไม่อาจมองข้ามอีกฝ่ายหนึ่ง เว่ยก๊กต้องการเกลือสินเธาว์ ผ้าสู่ ขิงสู่จากเมืองอี้โจว ส่วนสู่ก๊กต้องการยา หนังสัตว์ เครื่องหอมและงานหัตถกรรม จึงมีพ่อค้ากลุ่มเล็ก ๆ เดินทางไปมาสองฟากของเทือกเขาฉินหลิ่ง เรื่องนี้ทหารป้องกันชายแดนของทั้งสองแคว้นจึงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยให้มีการติดต่อค้าขายแบบนี้

สายของสู่ก๊กจึงปะปนอยู่กับกลุ่มพ่อค้า จากซั่งกุยลงใต้ ผ่านเมืองหลี่เฉิง ป้อมเขาฉีซาน อำเภอเฉิง แล้วข้ามเทือกเขาฉินหลิ่ง จากนั้นจึงไปอู่เจียซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ข้ามแม่น้ำฮั่นสุ่ยตะวันตกที่นี่ เข้าไปยังเขตที่กองทัพสู่ควบคุมอย่างแท้จริง รายงานของเฉินกงถูกส่งต่อให้ม้าเร็วพิเศษ แล้วส่งไปยังอำเภอเหมี่ยนซึ่งเป็นศูนย์กลางของสู่ก๊กในฮั่นจงด้วยความเร็วสูงสุด

มหาเสนาบดีจูเก๋อบุกเบิกที่นารกร้างในฮั่นจง มุ่งมั่นในการเตรียมบุกเหนือ เขาไม่ได้ตั้งสำนักมหาเสนาบดีในหนานเจิ้ง แต่ต้องการให้อยู่ใกล้เขาฉีซานมากที่สุด จึงย้ายมาทางตะวันตกที่อำเภอเหมี่ยน ที่นี่ใกล้แม่น้ำเหมี่ยนสุ่ย ตะวันตกเฉียงเหนือติดกับถนนใหญ่ไปสู่เขาฉีซาน เหมาะที่สุดสำหรับเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนทัพบุกเหนือ

นอกจากสำนักมหาเสนาบดีแล้ว หน่วยงานอื่นก็ย้ายตามมา ในนี้รวมทั้งสำนักข่าวกรองซึ่งดูแลงานข่าวกรองด้วย

คนที่รับเอกสารคนแรกสุดคือเฝิงอิงรองหัวหน้าสำนักข่าวกรอง พอเขาอ่านเอกสารนี้แล้วก็หยิบเข็มขัดสัมฤทธิ์เคาะขอบเตากำยาน เตากำยานส่งเสียงดังกังวานสองครั้ง ทหารยามข้างนอกผลักประตูเข้ามาทันที ถามว่ามีอะไรจะสั่ง

“รีบไปแจ้งหัวหน้าเหยา อินจี๋กับหม่าซิ่นแห่งกองข่าวกรอง สวินสวี่แห่งกองสันติบาล อ้อ จริงสิ ยังมีหูจงแห่งสำนักที่ปรึกษากองทัพ ให้พวกเขารีบมาประชุมที่อารามเต๋าทันที”

“ขอรับ”

“จำไว้ต้องแจ้งด้วยปาก อย่าเขียน บอกพวกเขาว่าเป็นการเรียกประชุมฉุกเฉิน”

“ขอรับ”

ทหารยามเดินออกไป เฝิงอิงเอามือทั้งสองถูใบหน้าแรง ๆ ถอนหายใจยาว เขาจัดพู่กัน หมึก กระดาษและจานฝนหมึกบนโต๊ะให้เรียบร้อย เอาน้ำชาซึ่งดื่มไปครึ่งหนึ่งเทกลับไปอุ่นในเตา แล้วหยิบรายงานของเฉินกงเดินออกจากที่พัก มุ่งหน้าไปยังอารามเต๋า

‘อารามเต๋า’ มีชื่อทางการว่าสำนักรองของสำนักข่าวกรอง ตั้งอยู่ที่คฤหาสน์เศรษฐีแห่งหนึ่งทางตะวันตกของตัวอำเภอเหมี่ยน ด้านหลังติดเขาติ้งจวิน ด้านข้างยังมีลำธารใสสะอาดไหลผ่าน เนื่องจากคฤหาสน์แห่งนี้เคยมีหอบูชาของนิกายข้าวสารห้าโต่ว สำนักรองจึงถูกเรียกติดปากว่า ‘อารามเต๋า’ ส่วนเจ้าหน้าที่ในสำนักรองก็ถูกเรียกว่า ‘นักพรต’ แทบจะกลายเป็นคำเรียกอย่างเป็นทางการ

พูดในทางหลักการแล้วสำนักข่าวกรองสังกัดสำนักปกครอง สำนักใหญ่ตั้งอยู่ที่เฉิงตู แต่ในใจทุกคนรู้ดีว่าสำนักใหญ่ของสำนักข่าวกรองเป็นเพียงหน่วยงานติดต่อ คนในสำนักใหญ่มักใช้เวลาไปกับการเอาใจขุนนางราชสำนักที่อยากรู้อยากเห็น บทบาทจริง ๆ อยู่ที่สำนักรอง

เฝิงอิงมาที่สำนักรองแล้วตรงไปที่ห้องประชุมทันที ห้องประชุมเป็นห้องศิลาที่เจาะหน้าผาเป็นช่องอยู่ที่ภูเขาด้านหลังของอารามเต๋า ไม่มีหน้าต่าง หากปิดประตูศิลาแล้วคนนอกไม่มีวันแอบฟังการสนทนาในนี้ได้

“คราวนี้น่าจะเกิดเรื่องใหญ่”

เฝิงอิงเดินเข้าห้องประชุม มองโต๊ะห้าตัวที่ว่างเปล่าข้างหน้าแล้วคิดอย่างกังวล ขณะเดียวกันเขาก็ตื่นเต้นมาก เจ้าหน้าที่ข่าวกรองที่ปีนี้อายุสี่สิบคนนี้มีหน้าผากกว้างเรียบ ตามคำของหมอดูบอกว่าเป็นลักษณะของคนที่มีโชคลาภและเจริญรุ่งเรือง เวลานี้ชีวิตของเขากำลังเดินมาถึงทางแยก ตามระเบียบแล้วเบี้ยหวัดของรองหัวหน้าสำนักรองเท่ากับสองร้อยต้าน สำหรับขุนนางสู่ก๊กแล้วเป็นด่านที่สำคัญ ถ้าสามารถก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าสำนัก อนาคตต่อไปจะมีโอกาสมาก ถ้าล้มเหลวก็คงได้แต่อยู่ในตำแหน่งนี้จนแก่เฒ่า

ด้านหนึ่งเฝิงอิงรอให้เกิดเรื่องใหญ่ที่จะเป็นโอกาสให้สร้างความชอบ อีกด้านหนึ่งก็ภาวนาไม่ให้เกิดความวุ่นวาย โชคดี…หรืออาจจะโชคร้ายก็คือ สถานการณ์เฉพาะหน้าไม่ขาดเรื่องใหญ่หรือความวุ่นวาย เขาจึงได้แต่ระมัดระวังเต็มที่

เขารอไม่นานนัก ผู้เข้าร่วมประชุมก็ทยอยกันมาปรากฏตัวที่ห้องศิลา

วันนี้คนที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของฝ่ายข่าวกรอง คนที่มาถึงก่อนคืออินจี๋หัวหน้ากองข่าวกรอง เขาเป็นผู้เฒ่าผมขาวเครายาว แม้ร่างเตี้ยแต่เดินเหินคล่องเหมือนคนหนุ่ม กองข่าวกรองที่เขาดูแลอยู่เป็นหน่วยงานสำคัญที่สุดในสำนักข่าวกรอง การดำเนินงานด้านข่าวกรองทุกอย่างในต่างแดนของสู่ก๊กล้วนเกิดจากการวางแผนและปฏิบัติการภายใต้ความรับผิดชอบของกองข่าวกรอง

เนื่องจากเขตหล่งซีมีฐานะพิเศษในแนวรบด้านข่าวกรอง หม่าซิ่นที่ทำงานในสำนักสาขายงเหลียงซึ่งแยกดูแลงานในหล่งซีจึงปรากฏตัวตามอินจี๋

คนที่ปรากฏตัวต่อมาคือหูจงซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายในสำนักที่ปรึกษากองทัพ เป็นหน่วยงานที่เฝิงอิงรับผิดชอบเอง ภารกิจหลักคือนำเอาข่าวกรองมาเปรียบเทียบ จำแนก วิเคราะห์ ฯลฯ งานของหน่วยนี้ไม่เสี่ยงอันตรายเหมือนกองข่าวกรอง จนเรียกได้ว่าไร้รสชาติ สมาชิกของหน่วยไม่จำเป็นต้องกล้าหาญ แต่มีความสามารถในการสังเกตที่เฉียบแหลมและคิดละเอียดรอบคอบ ข้อดีทั้งสองนี้มีอยู่ในตัวของหูจงที่อายุสามสิบ เขามีความสามารถโดดเด่นในการวิเคราะห์ข้อมูลจนเคยได้รับคำชมจากมหาเสนาบดีจูเก๋อ

คนที่ตามหลังหูจงมาติด ๆ คือสวินสวี่แห่งกองสันติบาล พอเข้ามาก็ประสานมือคารวะทุกคนในห้อง แล้วยิ้มร่านั่งลงข้างหูจง หวังเฉวียนหัวหน้ากองสันติบาลเพิ่งเสียชีวิตจากการป่วย ยังไม่มีการแต่งตั้งใหม่ จึงให้สวินสวี่ที่เป็นหัวหน้าฝ่ายมาร่วมประชุม ภารกิจหลักของกองข่าวกรองอยู่ที่ต่างแดน แต่ภารกิจหลักกองสันติบาลอยู่ที่ภายใน รับผิดชอบตรวจหาจารชนข้าศึกในสู่ฮั่น

ตามหลักแล้วคนที่รับผิดชอบหน่วยงานนี้ควรจะเป็นผู้ที่ชอบวางอำนาจ แต่สวินสวี่ซึ่งเป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดเวลานี้กลับเป็นคนอ่อนโยน มองโลกในแง่ดี แม้เขาจะเป็นคนที่มีความสามารถ แต่เฝิงอิงยังสงสัยมาตลอดว่าเขาจะสามารถแบกรับงานที่ต้องกระทบกระทั่งกับขุนนางด้วยกันเองนี้ได้หรือไม่

พอทุกคนนั่งเรียบร้อย เหยาโย่วซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของสำนักข่าวกรองก็ก้าวเข้ามาในห้องศิลา ตาแก่คนนี้ปกครองสำนักข่าวกรองมาห้าปีแล้ว สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังร่างอ้วนนั้นคือสานุศิษย์ฝ่าเจีย[1]ผู้เย็นชาเข้มงวด ภายใต้การปกครองของเขา ความอ่อนโยนความละเอียดอ่อนในใจของคนทั่วทั้งสำนักข่าวกรองต่างแห้งเหือด เหลือเพียงความเย็นชา…แต่นี่ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายสำหรับหน่วยข่าวกรอง

เฝิงอิงเห็นคนมาครบแล้วจึงกระแอมทีหนึ่ง โผล่ศีรษะออกไปเรียกให้ทหารยามปิดประตูศิลา

“ทุกท่าน ครั้งนี้ที่เชิญทุกท่านมาเพราะข้าเพิ่งได้รับรายงานฉบับหนึ่งจากซั่งกุย” เฝิงอิงพูดพลางยื่นสำเนาของรายงานฉบับนั้นให้คนทั้งห้า “ถ้ารายงานนี้เป็นความจริง ข้าคิดว่าเรากำลังเผชิญอันตราย”

ทั้งห้าไม่ได้ตอบทันที ต่างก้มหน้าอ่านรายงานของเฉินกงอย่างละเอียด ผ่านไปชั่วจุดธูปหนึ่งก้านไหม้ทุกคนก็เงยหน้าขึ้น ทำท่าว่าอ่านจบแล้ว สีหน้าของแต่ละคนแสดงความรู้สึกกังวลและสงสัย

“ที่มาของรายงานฉบับนี้น่าเชื่อถือหรือไม่” เหยาโย่วขมวดคิ้วพลางถาม ดูออกว่าเขาใส่ใจมาก

เฝิงอิงตอบ “น่าเชื่อถือ มาจากเฮยตี้ (จักรพรรดิดำ) จารชนคนหนึ่งของเราที่แฝงตัวอยู่ในเทียนสุ่ย”

หม่าซิ่นซึ่งรับผิดชอบงานเขตหล่งซีรีบพูดเสริม “เฮยตี้เป็นจารชนที่เก่งที่สุดของเรา เรื่องที่เขาส่งมา ไม่ว่าจะเป็นข่าวกรองแข็งหรือข่าวกรองอ่อน มีคุณภาพสูงมาก วิเคราะห์ได้แม่นยำ”

“ถ้าข้าเป็นเขาก็คงได้ข้อสรุปอย่างเดียวกัน” หูจงพูดเนิบนาบ พร้อมกับเอามือขวาลูบสันจมูกตามความเคยชิน เป็นผลจากการใช้สายตามากเกินไปเป็นเวลานาน

“ในเมื่อที่มาน่าเชื่อถือ แสดงว่าเว่ยก๊กจะส่งจารชนกลุ่มหนึ่งเข้ามาขโมยวิทยาการเครื่องยิงหน้าไม้ของเรา…” เหยาโย่วใช้นิ้วเคาะโต๊ะช้า ๆ สองสามครั้ง เสียงดังทั่วห้องศิลาแคบ นี่ไม่ใช่ข่าวดี

เฝิงอิงพยักหน้า พูดต่อ “มีคำสั่งย้ายหม่าจวินเมื่อวันที่สิบเดือนสอง โรงงานผลิตอาวุธทหารเมืองจี้เฉิงคงเริ่มงานก่อนวันที่ยี่สิบเดือนหนึ่ง พิจารณาจากความเร็วในการส่งข่าวของม้าเร็วเว่ยก๊กกับระยะทางระหว่างกวนจงกับหล่งซี แผนขโมยน่าจะเริ่มประมาณวันที่สิบเดือนหนึ่ง”

“นั่นหมายถึงว่า…” อินจี๋โยกตัวไปข้างหน้าด้วยความกระวนกระวาย

“ใช่ จารชนเว่ยก๊กคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งคงเข้ามาในแคว้นเราแล้ว และเริ่มเคลื่อนไหวแล้วด้วย” เฝิงอิงหยุดครู่หนึ่ง ก่อนพูดเสริม “ถ้าเราโชคไม่ดี เขาอาจจะขโมยไปแล้ว ไม่แน่อาจจะกำลังเดินทางกลับเทียนสุ่ย”

เฝิงอิงพูดช้า ๆ เขาจงใจประเมินสถานการณ์ให้รุนแรงกว่าความจริง คนทั้งห้องจึงเบนสายตามาที่สวินสวี่ซึ่งรับผิดชอบงานต่อต้านการจารกรรม

สวินสวี่เกาหัว วางสำเนารายงานลงแล้วพูดขึ้น “ข้ารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ กองสันติบาลของเราในฮั่นจงเข้มงวดมาก มีทหารคอยดูแลช่างที่สร้างเครื่องยิงหน้าไม้และแบบร่าง ถ้าจารชนเว่ยก๊กเริ่มเดินทางจากเมืองเย่เฉิงเมื่อกลางเดือนหนึ่ง เดินทางด้วยความเร็วสูงสุด กว่าจะมาถึงอำเภอเหมี่ยนก็ปลายเดือนสองแล้ว ชั่วเวลาสั้น ๆ ย่อมยากที่จะยืนได้อย่างมั่นคง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทะลวงแนวป้องกันของเราเข้าไปขโมยเครื่องยิงหน้าไม้”

“’งั้นความเห็นของเจ้าคือ…” เหยาโย่วหรี่ตาลง เหลือบมองสีหน้าของเฝิงอิง แล้วหันไปถามสวินสวี่

“ข้ามีความเห็นว่าจารชนของเคว้นเว่ยคงเพิ่งมาถึงเขตแดนแคว้นเรา ยังเป็นช่วงที่ยังไม่มีที่ยืนมั่นคง ข้าว่าเราควรถือโอกาสจับเขาหรือพวกเขาให้ได้” สวินสวี่ตอบอย่างไม่ลังเล แล้วส่งสายตาไปยังอินจี๋และหม่าซิ่น “ถ้าคนของพวกเจ้าที่หล่งซีสามารถเข้าไปสืบรายละเอียดของแผนการนี้ในกองทัพเว่ยได้…”

“อย่าล้อเล่นน่า!” อินจี๋พูดแทรกสวินสวี่อย่างไม่พอใจ “เราสูญเสียจารชนคนสำคัญไปคนหนึ่ง เป็นความสูญเสียที่ไม่อาจชดเชยได้ ไม่อาจให้คนของเราไปเสี่ยงอันตรายอย่างนี้ ถ้าเกิดพลาดขึ้นมา เขตหล่งซีจะเสียหายหมด”

สวินสวี่ยังอยากจะโต้แย้ง แต่อินจี๋เอามือแตะหัวเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงผู้อาวุโสสอนคนรุ่นหลัง

“อย่าลืมสามเขต”

ทุกคนในที่ประชุมพอได้ยินคำนี้ ต่างก็นิ่งเงียบ

โดยทั่วไปแล้วสามเขตเป็นเพียงตัวเลขบอกจำนวนเขตการปกครอง แต่สำหรับคนของสำนักสำนักข่าวกรองแล้วสองคำนี้มีความหมายมากกว่านั้น หนึ่งปีก่อนหน้านี้ มหาเสนาบดีจูเก๋อยกกองทัพบุกเว่ยก๊กครั้งแรก เวลานั้นแม่ทัพหม่าซู่เป็นคนดูแลสำนักข่าวกรอง ก่อนที่จะยกกองทัพบุก สำนักข่าวกรองได้รับชัยชนะอย่างงดงามในแนวรบด้านข่าวกรอง จากการทำงานลับอย่างละเอียดรอบคอบ สามารถทำให้เจ้าเมืองของสามเขตเอาใจออกห่างจากเว่ยก๊ก และอาศัยการสร้างข่าวลวงทำให้กำลังหลักของกองทัพเฉามุ่งหน้าไปยังหุบเขาเสียกู่ ทำให้สถานการณ์การสู้รบพลิกผัน เขตหล่งซีซึ่งอยู่ในดินแดนของเว่ยก๊กจึงกลายเป็นของกองทัพสู่ในชั่วข้ามคืน

ที่น่าหัวเราะคือ พอการสู้รบอย่างเป็นทางการเปิดฉากขึ้น หม่าซู่กลับทำให้ศึกบุกเหนือทั้งหมดพังอย่างย่อยยับ ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การพ่ายแพ้ทางการทหาร ยังเป็นการทำลายเครือข่ายข่าวกรองของสู่ก๊กจนหมด ตอนที่สามเขตเอาใจออกห่างจากเว่ยก๊กนั้น หม่าซู่ด้วยความคิดอยากโอ้อวด รีบร้อนจะเอาชนะ ทำผิดระเบียบของงานข่าวกรองที่ต้องกระทำอย่างเงียบ ๆ แต่กลับออกคำสั่งให้สายทั้งหมดดำเนินการอย่างเปิดเผย เหมือนเป็นการเดินขบวนติดอาวุธต่อสู้

การกระทำนี้ไม่อาจพูดว่าไม่ได้ผลเลย ทำให้ผู้ที่เอาใจออกห่างเว่ยก๊กเห็นแสนยานุภาพของกองทัพสู่ เร่งให้คนเหล่านี้ตัดสินใจ แต่พอพ่ายแพ้ด้านการทหาร คนที่วิ่งออกไปเริงร่าใต้แสงตะวันถอยกลับไปที่มืดไม่ทัน หลายคนถูกจับและตายในคุก คนจำนวนไม่น้อยทรยศไปเข้ากับเว่ยก๊ก สร้างความเสียหายแก่สู่ก๊กมากขึ้นอีก เพราะคนที่ทรยศมีตำแหน่งสูงกุมข่าวกรองจำนวนมาก แต่จะคาดหวังอะไรจากคนที่ถูกทอดทิ้งล่ะ มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่ถอยกลับฮั่นจงทันเวลา

ความสูญเสียครั้งนี้ใหญ่หลวงมาก จนถึงเดี๋ยวนี้งานข่าวกรองของสำนักข่าวกรองในเขตหล่งซียังไม่สามารถฟื้นฟูถึงระดับก่อนสงคราม

ดังนั้น สามเขตสำหรับสำนักข่าวกรองจึงเป็นทั้งผลงานอันมีเกียรติและความทรงจำอันขมขื่น เรื่องนี้ไม่มีใครพูดออกมา แต่ทุกคนในสำนักข่าวกรองต่างรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่อาจลืมเลือน

“พูดได้ดี เราจะเสี่ยงอย่างนี้ไม่ได้”

เหยาโย่วสรุป สวินสวี่จึงปิดปากอย่างไม่พอใจ คนในห้องประชุมต่างนิ่งเงียบ ความเงียบนี้ในที่สุดก็ถูกหูจงทำลาย เขาโบกกระดาษในมือ แล้วพูดเนิบนาบเหมือนวิเคราะห์ข่าวกรองในสำนักที่ปรึกษากองทัพตามปกติ

“การขโมยวิทยาการเครื่องยิงหน้าไม้มีสองวิธี หนึ่งคือเอาแบบร่างหรือเครื่องยิงหน้าไม้ไป สองคือลักพาตัวหรือซื้อตัวช่างกลับไปหล่งซี ทั้งสองวิธีล้วนแต่ยากมาก ถ้าพิจารณาจากที่กองทัพเว่ยส่งหม่าจวินมา กองทัพเว่ยคงเอาแบบร่างหรือเครื่องยิงหน้าไม้ไป พอได้แล้วก็ให้หม่าจวินแยกชิ้นส่วนและทำตามแบบ”

“พูดถึงเครื่องยิงหน้าไม้ ต้องดูว่าพวกเขาจะขโมยเครื่องใหญ่แค่ไหน สนใจเครื่องยิงหน้าไม้รุ่นไหน” เฝิงอิงถามอีก

สวินสวี่เบ้ปาก พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “เรื่องนี้ต้องให้ฝ่ายทหารยืนยันจึงจะรู้…พวกทหารใจคอคับแคบ คิดค้นอาวุธใหม่อะไรออกมาไม่เคยบอกพวกเรา แต่พอความลับถูกเปิดเผยก็กล่าวหาว่าเรารักษาความลับไม่เข้มงวด แต่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นความลับอะไร”

“หัวหน้าสวิน ดูแล้วเจ้าควรจะรู้จักทำตัวให้ดี…” เฝิงอิงปราม จากนั้นก็หันไปทางเหยาโย่ว “ต้องให้คนของสำนักมหาเสนาบดีออกหน้ามาไกล่เกลี่ยกับฝ่ายทหารหรือไม่”

“เจ้าคิดว่าถ้าเชิญให้ที่ปรึกษาหยางมา สถานการณ์จะดีขึ้นหรือ”

เหยาโย่วย้อนถาม ห้าคนที่เหลือต่างยิ้มเจื่อน ๆ ที่สำนักสำนักข่าวกรองกับฝ่ายทหารสู่ก๊กไม่ถูกกันเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็รู้ สาเหตุครึ่งหนึ่งเป็นเพราะหน่วยงานทั้งสองมีวิธีการทำงานที่ขัดแย้งกันตามธรรมชาติ สาเหตุอีกครึ่งหนึ่งเป็นเพราะผู้บังคับบัญชาสองคน สำนักข่าวกรองแรกสุดขึ้นตรงต่อหม่าซู่ หลังจากหม่าซู่เสียชีวิต คนที่รับช่วงดูแลงานข่าวกรองแทนคือหยางอี้ที่ปรึกษาสำนักมหาเสนาบดี ความสัมพันธ์ระหว่างหยางอี้กับแม่ทัพเว่ยเหยียน (อุยเอี๋ยน) ผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายการทหารเป็นเหมือนน้ำกับไฟ ส่งผลให้สำนักข่าวกรองกับฝ่ายทหารเข้ากันไม่ได้

พอถึงตอนนี้หม่าซิ่นก็พูดขึ้น “ข้ากับแม่ทัพหม่าไต้เป็นคนตระกูลเดียวกัน ให้ข้าไปประสานงานกับฝ่ายการทหาร อาจจะสะดวกหน่อย”

เหยาโย่วคิด แล้วตอบ “แต่เจ้ายังรับผิดชอบงานข่าวกรองเขตหล่งซี เวลานี้กองทัพของเราอาจจะบุกอีกครั้งในฤดูวสันต์ งานสืบสภาพภาคเหนือไม่อาจรอได้ เอาอย่างนี้ เจ้าเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้แม่ทัพหม่าไต้ แล้วให้หัวหน้าสวินออกหน้าก็แล้วกัน”

สวินสวี่ประสานมือคารวะหม่าซิ่น “รบกวนท่านหม่าแล้ว”

เหยาโย่วเห็นว่าประชุมกันพอสมควรแล้ว จึงสรุป “เอาละ งานเวลานี้มีสองด้าน ด้านหนึ่งตรวจสอบคนที่น่าสงสัยจากหล่งซีมาฮั่นจงช่วงนี้ อีกด้านหนึ่งเฝ้าดูพื้นที่ที่เก็บแบบร่างและช่างที่ทำเครื่องยิงหน้าไม้อย่างใกล้ชิด สองเรื่องนี้จำเป็นต้องร่วมมือกับฝ่ายการทหาร…หัวหน้าสวิน คนกองสันติบาลพอไหม ต้องการย้ายคนหน่วยงานอื่นมาช่วยหรือไม่”

สวินสวี่ตอบอย่างตรงไปตรงมา “คนที่สามารถทำงานรูปธรรมที่แนวหน้าสุดยิ่งมากยิ่งดี ผู้บัญชาการระดับสูงยิ่งน้อยยิ่งดี”

“แค่นี้หรือ”

“อีกอย่าง ข้าอยากให้สำนักที่ปรึกษากองทัพส่งคนฉลาดหัวไวมาร่วมและช่วยเหลือสักสองสามคน”

“ไม่มีปัญหา ข้าจะส่งคนที่ดีที่สุดไป” หูจงพยักหน้า

พอถึงตอนนี้เฝิงอิงถือโอกาสแสดงความเห็น “ในเมื่อสำนักที่ปรึกษากองทัพจะเข้าร่วม เพื่อความปรองดองของหน่วยงานทั้งสอง ข้าเองจะช่วยหัวหน้าสวินทำงานที่จำเป็นบางอย่าง”

เหยาโย่วตอบรับคำหนึ่งแล้วพูดขึ้น “ดี ถ้างั้นเจ้าก็เข้าไปดูแลเรื่องนี้หน่อย”

เฝิงอิงก้มหน้าขานรับอย่างนอบน้อม “ขอรับ” แล้วพูดกับสวินสวี่อย่างสะใจ “หัวหน้าสวิน ต้องรายงานความคืบหน้าล่าสุดให้ข้าตลอดเวลา”

“น้อมรับคำสั่ง” สวินสวี่ตอบอย่างไม่เต็มใจนัก พร้อมกับพึมพำในใจ สุดท้ายก็ยังส่งคนระดับผู้บัญชาการมาคนหนึ่งอยู่ดี

กองสันติบาลมีแบบแผนของตัวเอง พวกเขามีความเชื่อมั่นว่าทั่วสู่ก๊กไม่มีใครเชี่ยวชาญกว่าพวกเขา ไม่อยากให้คนนอกมาคอยชี้โน่นชี้นี่ ต่อให้เป็นชั้นเหนือของตนก็ตาม

“ดีมาก งั้นเราไปทำงานของเรากันเถอะ ใช้วิธีการอะไรก็ได้ ต้องขัดขวางแผนการนี้ให้ได้” เหยาโย่วลุกขึ้น พร้อมกับสรุปการประชุมครั้งนี้ “ข้าหวังว่าอีกไม่กี่วัน ข้าคงได้เอกสารแถบแดงไปมอบให้ที่ปรึกษาหยางกับมหาเสนาบดีจูเก๋อ”

เอกสารของสู่ก๊กแบ่งเป็นแถบเขียว แดง ดำและม่วง เพื่อสะดวกในการจัดแบ่งประเภทของเอกสาร โดยทั่วไปเอกสารแถบแดงหมายถึงข่าวดีที่เป็นมงคลหรือสมควรประกาศอย่างเปิดเผย

พอประชุมเสร็จ ทั้งห้าก็มอบรายงานคืนให้เฝิงอิง เฝิงอิงเผาสำเนารายงานทั้งหมดในเตา เหลือแต่เอกสารตัวจริง จากนั้นทุกคนก็ออกจากห้องศิลา สวินสวี่กับหูจงเดินหลังสุด

“โส่วอี้ ครั้งนี้ขอบใจเจ้ามาก” สวินสวี่ตบไหล่หูจง หูจงได้แต่ยิ้ม สวินสวี่ยกนิ้วชี้สองข้างขึ้นประกบกัน “ข้าคิดมาตลอดว่าอยากให้สำนักที่ปรึกษากองทัพกับกองสันติบาลร่วมมือกันสักครั้ง คนในสำนักที่ปรึกษากองทัพฉลาดหัวไว แต่ขยับแขนขาไม่ได้ คนในกองสันติบาลกล้ามเนื้อแข็งแรง แต่ไม่ค่อยฉลาด ถ้าสองฝ่ายร่วมมือกัน คนสำนักที่ปรึกษากองทัพรับผิดชอบการวางแผน คนกองสันติบาลรับผิดชอบการปฏิบัติ น่าจะเหมาะสมที่สุด”

“ข้ากลับอยากดูว่าถ้ากองสันติบาลวางแผน สำนักที่ปรึกษากองทัพปฏิบัติ ผลจะเป็นอย่างไร…” หูจงตอบ เวลาพูดล้อเล่นเขามักจะทำสีหน้าจริงจัง

“ถ้าท่านเฝิงไม่คิดอะไรแผลง ๆ ก็ดี…” สวินสวี่ถอนหายใจ เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจเฝิงอิง แต่ไม่ชอบให้คนอื่นมาก้าวก่ายงานของเขา

ทั้งสองเดินเคียงกันไปที่ลานนอกอารามเต๋า สวินสวี่หันไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง แล้วลดเสียงลง “…ความจริงแล้ว โส่วอี้ เมื่อกี้มีคำหนึ่งที่ข้าไม่ได้พูดในที่ประชุม นั่นคือกลัวท่านเฝิงมาก่อความวุ่นวาย”

“ให้ข้าเดานะ เจ้าสงสัยว่าภายในของฮั่นจงมี ‘หนู’ ใช่หรือไม่” แม้หูจงจะพูดเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงกลับเป็นการยืนยัน

“ฉลาด” สวินสวี่ปีกจมูกขยับด้วยความพอใจ แต่แล้วสีหน้ากดูวิตกทันที “อาศัยแค่จารชนคนสองคนแฝงเข้ามาในแคว้นเราชั่วคราวแล้วขโมยแบบร่างหรือเครื่องยิงหน้าไม้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ในเมื่อกัวหวายเชื่อมั่นอย่างนี้ แสดงว่าในฮั่นจงมีพวกพ้องร่วมมือกับขโมยและเป็นคนระดับสูง ดีไม่ดีหนูตัวนั้นอาจจะเป็นขุนนางในสำนักมหาเสนาบดี ถึงขนาดอาจจะเป็นคนหนึ่งในที่ประชุมนี่…”

พูดถึงตรงนี้ สวินสวี่ก็แบมือทำท่าไม่รู้จะทำอย่างไร “คำพูดเหล่านี้จะให้ข้าพูดในที่ประชุมได้อย่างไร”

“นั่นต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ถ้าไม่รอบคอบ ชื่อเสียงของกองสันติบาลคงป่นปี้” หูจงสนับสนุน

“เฮ้อ เรื่องนี้ไม่ต้องวิตก เวลานี้ชื่อเสียงของกองสันติบาลก็ตกต่ำจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว”

ทั้งสองพูดคุยพลางเดินไปยังหน้าประตูอารามเต๋า สวินสวี่มองดูท้องฟ้า แล้วพูดด้วยความเสียดาย “เดิมทีอยากชวนเจ้าไปดื่มเหล้า แต่เวลานี้มีธุระต้องทำ รอให้จัดการธุระเสร็จ เราไปดื่มสักสองสามจอก”

“ทุกอย่างเพื่อฟื้นฟูฮั่น” หูจงขานรับง่าย ๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำชวนดื่มเหล้า

ทั้งสองร่ำลากันตรงนี้ สวินสวี่มองตามหลังหูจงจนหายลับไปบนถนนหลวง แล้วบอกทหารยามให้ไปเรียกคนทั้งหมดของกองสันติบาลมาประชุม

“บอกพวกเขา เวลานี้มีหนูให้เราจับแล้ว”

สวินสวี่พูดจบก็จัดเสื้อและผ้าโพกศีรษะให้เรียบร้อย กลับเข้าไปในอารามเต๋า นึกคาดหวังว่าแมวเหล่านี้ของเขาจะทำหน้าที่สมกับที่เป็นแมว

เวลานี้มีเขาทำงานที่ฮั่นจงตัวคนเดียว เมียกับลูกชายอายุห้าขวบอยู่ที่เฉิงตู สำหรับเขาแล้วบ้านที่ฮั่นจงไม่มีความหมายอะไร ส่วนใหญ่เขาพักอยู่ในอารามเต๋า พองานยุ่งก็ไม่คิดถึงบ้านแล้ว

 

เวลาเดียวกัน ทางขรุขระบนเขาห่างจากอำเภอเหมี่ยนสองร้อยสี่สิบลี้ มีคนคนหนึ่งกำลังเดินช้า ๆ สะพายห่อสัมภาระ คนผู้นี้อายุประมาณสี่สิบปี รูปร่างเตี้ยเล็กและยังหลังโกงเล็กน้อย ผิวดำหยาบ สวมงอบสานด้วยกก เป็นหมวกแบบที่ชาวเมืองอี้โจวชอบใส่เวลาออกนอกบ้าน แทบไม่มีราคาค่างวด ใช้บังแดดบังฝนได้ ที่เอวห้อยน้ำเต้าใส่น้ำ มีเสียงน้ำดังขลุก ๆ เสื้อผ้าเนื้อหยาบเต็มไปด้วยฝุ่นและรอยปะ บางเกินไปสำหรับอากาศอย่างนี้

เขาถือไม้ปลายแหลมสำหรับกันหมาป่าเดินมุ่งหน้าขึ้นเขาทีละก้าว ๆ ขณะนั้นมีเสียงรถม้าดังโครมครามอยู่ข้างหลัง ครู่หนึ่งก็มีรถบรรทุกสินค้าพื้นเรียบเทียมม้าคู่วิ่งผ่านไป พาให้ฝุ่นคลุ้ง

เขาโบกมือให้รถ คนขับรถม้ารีบดึงเชือกรั้งม้า แล้วหันมาตะโกนพูดกับชายคนนั้น “มีอะไรหรือ”

เขาเดินมาที่ข้างรถ พูดอย่างนอบน้อม “พี่ชาย ขอข้านั่งไประยะหนึ่งได้ไหม”

“ได้สิ” คนขับรถตบอกอย่างใจกว้าง “จะไปไหนหรือ”

“พาข้าไปส่งที่ซีเซียงก็ได้ ขอบใจ” ชายคนนั้นพูดติดสำเนียงชาวสู่อย่างชัดเจน ฟังเหมือนมาจากปาซี

“ได้ ข้าก็จะเอาต้นหม่อนไปส่งที่หนานเซียง ผ่านทางซีเซียงพอดี” คนขับรถม้าพูดพลางยกหัวแม่มือชี้ไปทางท้ายรถ ที่นั่นมีกล้าต้นหม่อนห่อผ้าที่ส่วนรากสิบกว่าต้น เขาขยับก้น ยื่นมือออกไปดึงชายคนนั้นขึ้นรถ แล้วตวัดแส้ ม้าลากรถทั้งสองตัววิ่งไปข้างหน้าต่อ

ไม่ว่าเป็นสมัยไหน คนขับรถส่งสินค้ามักจะคุยเก่ง คนขับรถม้าคนนี้ก็เช่นกัน พอรถออกตัว เขาเริ่มคุยจ้อ

“ข้าชื่อฉินเจ๋อ เป็นคนเหมียนจู๋ แต่รูปร่างข้าทำให้คนคิดว่าข้าเป็นคนสวีโจว ฮ่า ๆ แต่ข้าไม่เคยไปจงหยวน ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรถ้าเทียบกับเมืองอี้โจวของเรา อ้อ จริงด้วย เจ้าชื่ออะไร”

“ข้าแซ่หลี่ ชื่อหลี่อัน” คนเดินทางตอบสั้น ๆ คงเป็นเพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล

“ดูท่าทางเจ้าคงมาไกลมาก”

“ข้ามาจากอันคัง”

คนขับรถม้าพอได้ยินชื่อนี้ก็เบิ่งตากว้างมองเขา ครู่หนึ่งจึงถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงเวทนา “ดูออกแล้ว เจ้าคงเป็นพ่อค้าตกค้าง”

“เอาชีวิตรอดมาได้ก็ไม่เลวแล้ว” หลี่อันยิ้มอย่างขมขื่น

อันคังเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าซีเฉิง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอำเภอเหมี่ยน ห่างออกไปสามร้อยกว่าลี้ทางปลายแม่น้ำฮั่นสุ่ย ห่างจากซั่งยงไม่ไกลนัก หลังจากที่เมิ่งต๋า (เบ้งตัด) พ่ายแพ้แก่ซือหม่าอี้ (สุมาอี้) ที่นั่นจึงเป็นเขตยึดครองของเว่ยก๊ก แม้ในทางการเมืองสู่ก๊กกับเว่ยก๊กอยู่ในภาวะสงครามกัน แต่การค้าขายในหมู่ราษฎรไม่เคยหยุดชะงักภายใต้การยอมรับของทางการ เมื่อเทียบกับหล่งซีซึ่งมีเพลิงสงครามลุกโชน แนวชายแดนเว่ยซิ่ง ซั่งยงและอันคังค่อนข้างสงบมาตลอด บวกกับอยู่ติดแม่น้ำเหมี่ยนสุ่ยและแม่น้ำฮั่นสุ่ย การขนส่งสะดวกมาก จึงเป็นที่จับตาของพ่อค้า

ไม่เพียงแต่พ่อค้าฐานะดี ยังรวมถึงชาวบ้านยากจนมักจะเอาสินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ลอบเข้าไปขายในเขตเว่ยก๊ก แต่การค้าของชาวบ้านไม่ได้ทำกำไรให้ทางการมากนัก ยังสร้างปัญหาด้านการรักษาความปลอดภัยและการเมืองระหว่างแคว้น จึงมักจะถูกขัดขวาง ถูกยึดสินค้าทั้งหมด ถูกบีบให้กลับบ้านโดยไม่ได้อะไรเลย คนพวกนี้เรียกว่า ‘พ่อค้าตกค้าง’

คนที่ชื่อหลี่อันจากอันคังคนนี้ก็คือพ่อค้าตกค้างที่ว่า

“สมัยนี้ทำอะไรก็ไม่ง่าย” ฉินเจ๋อดึงหญ้าต้นหนึ่งจากข้างรถมาคาบในปาก “พี่ชายน้องชายสามคนของข้าถูกเกณฑ์เป็นทหารที่ฮั่นจง ข้ายังนับว่าโชคดี ถูกส่งมาขับรถม้า ในบ้านเหลือแต่แม่อายุหกสิบกว่ากับผู้หญิงสามคนทำนา ชีวิตความเป็นอยู่อัตคัตขัดสน”

“ใช่…” หลี่อันผูกห่อของบนหลังให้แน่น เห็นสีหน้าใต้เงามืดของงอบบนหัวไม่ชัด

รถม้ามาถึงซีเซียงเวลาพลบค่ำขณะที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ถนนหลวงสิ้นสุดลงที่ด่านซึ่งตั้งอยู่ตรงช่องเขาสูงชันห่างจากเมืองซีเซียงไปทางทิศตะวันออกสิบลี้ ทุกคนที่ผ่านทางต้องถูกตรวจที่ด่านนี้ก่อนจึงเข้าเขตฮั่นจงได้ เวลานี้ใกล้จะปิดด่านแล้ว ทหารซึ่งรีบร้อนอยากเลิกงานรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเห็นคนทั้งสองมาปรากฏตัวในเวลานี้

“จอดรถ ตรวจก่อน”

ทหารรักษาด่านเอาหอกวางขวางบนตะขอไม้สองข้างของทางเข้าด่าน ตะคอกใส่หลี่อันกับฉินเจ๋อ ฉินเจ๋อรีบจอดรถม้า ดึงคันห้ามล้อ แล้วล้วงเอาใบแสดงตัวที่ได้รับจากนายบ้านยื่นให้ทหาร บนผ้าผืนเล็กเขียนชื่อ รูปพรรณ ภูมิลำเนา ประเภทของทะเบียนราษฎร์และตราประทับของหมู่บ้าน ทหารตรวจรอบหนึ่ง ไม่พบความผิดปกติ จึงเงยหน้ามองหลี่อันซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ

“เจ้าสองคนมาด้วยกันหรือ”

“ไม่ใช่ เขาเป็นคนซีเซียง ระหว่างทางขออาศัยรถข้า เราสองคนเพิ่งรู้จักกันวันนี้” ฉินเจ๋อไม่พูดถึงที่หลี่อันเป็นพ่อค้าตกค้างด้วยความหวังดี เกรงว่าจะทำให้เขายุ่งยาก

ทหารพอได้ยินฉินเจ๋อพูดก็เดินมาข้างหน้าหลี่อัน มองเขาด้วยสายตาสงสัย แล้วตะโกนขึ้น “ใบแสดงตัวของเจ้าล่ะ”

หลี่อันล้วงใบแสดงตัวยับยู่ยี่จากอกเสื้อยื่นให้ทหาร ในใบแสดงตัวบอกให้รู้ว่าเขามาจากปาซี ทหารถามด้วยความสงสัย “เจ้าเป็นคนปาซี มาฮั่นจงทำไม”

หลี่อันตอบตามตรง “ข้าเป็นพ่อค้าตกค้าง เวลานี้ค้าขายขาดทุนหมดตัว ต้องไปขออาศัยพี่น้องที่ฮั่นจง”

ทหารทำท่าไม่เชื่อ ให้เขายืนแล้วกางแขนออก แล้วเริ่มค้นตามตัว ในถุงสัมภาระของหลี่อันมีแต่เสื้อผ้าเก่า เสบียงแห้ง กระโจม และมีดพร้า ทหารตรวจตัวเขาครู่หนึ่ง ไม่พบอะไรนอกจากเหาไม่กี่ตัว ทหารซึ่งยังไม่ยอมลดละหยิบน้ำเต้าจากเอวของเขามาเปิดแล้วเขย่า มีเสียงน้ำดังขึ้น

พอถึงตอนนี้มีทหารสองคนเดินออกจากในด่าน ตะโกนมาทางนี้ “เอ้อจื่อ ทำอะไรอยู่ รีบออกเวรมาดื่มด้วยกัน วันนี้บ้านเหล่าจางเอาเหล้าดีมาสองไห”

“จะไปเดี๋ยวนี้” ทหารคนนั้นรีบลุกขึ้น คืนใบแสดงตัวให้หลี่อัน ยกหอกขึ้น เร่งให้ทั้งสองรีบไป ทั้งสองบอกขอบใจ แล้วรีบขับรถม้าผ่านด่านไป ข้างหลังของทั้งสอง ประตูด่านหนักสองบานปิดดังตึง

พอเดินทางออกไปห่างราวห้าลี้ รถม้ามาถึงทางสามแยก ฉินเจ๋อหยุดรถม้า พูดกับหลี่อัน “น้องชาย ข้าส่งเจ้าแค่นี้ แล้วจะเดินทางทั้งคืนไปทางใต้กลับหนานเซียง เจ้าดูแลตัวเองให้ดี”

“เจ้าก็ดูแลตัวเองให้ดี” หลี่อันตอบ

ฉินเจ๋อเป่าปากทีหนึ่ง แล้วขับรถม้าหายลับไปท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน หลี่อันมองตามหลังเขาจนลับตา จู่ ๆ ก็ยืนยืดอกตัวตรง กลายเป็นคนรูปร่างปกติ เขารีบวิ่งไปคุกเข่าอยู่ในพุ่มไม้ข้างทาง เปิดถุงสัมภาระหยิบมีดพร้าออกมา ถอดด้ามออก ในนั้นมีเหล็กชิ้นเล็กมีรอยหยักประหลาด ใบแสดงตัวใบใหม่และยันต์กระดาษเหลืองลวดลายพิเศษ จากนั้นหลี่อันก็หยิบน้ำเต้าออกมา ใช้เล็บขูดยางไม้ที่ก้นน้ำเต้าออก หมุนเบา ๆ ฐานน้ำเต้าก็เผยออกมา ฐานน้ำเต้ามีของเหลวสีน้ำตาลซ่อนอยู่ หลี่อันเอาของเหลวนี้เทใส่ฝ่ามือถู แล้วถูใบหน้า ชั่วพริบตาคราบดำบนใบหน้าก็หายไป แทนที่ด้วยใบหน้าขาวเนียน

หลี่อันลุกขึ้น เปิดห่อสัมภาระ หยิบเสื้อผ้าเก่าออกมาฉีกผ้าป่านที่หุ้มข้างนอกออก ด้านในเป็นเสื้อผ้าแพรแขนสั้น ส่วนในกระโจมมีกางเกงขาก๊วยตัวหนึ่ง ผ้าโพกศีรษะผืนหนึ่ง และเข็มขัดหนังมีห่วงรูปเกือกม้าเส้นหนึ่ง

เขาเอาของเหล่านี้มาสวม เอาใบแสดงตัวใบใหม่และยันต์กระดาษเหลืองใส่ในอกเสื้อ แล้วรวบรวมเสื้อผ้าที่เหลือกับถุงสัมภาระเผาไฟ พอจัดการเรียบร้อย ‘หลี่อัน’ ก็เดินมุ่งหน้าไปที่เมืองซีเซียง ระหว่างทางเขาเห็นม้าเร็วนำสารสวนมา มุ่งหน้าไปยังด่านที่เขาผ่านมาเมื่อครู่

ตอนที่หลี่อันไปถึงซีเซียงนั้น ประตูเมืองปิดแล้ว เขาจึงค้างคืนที่โรงเตี๊ยมนอกเมือง คนรับใช้ชราในโรงเตี๊ยมยกเหล้าอุ่นมาให้เขาชามหนึ่ง แล้วถือโอกาสถาม “นายท่านมาจากไหนหรือ”

“อ้อ ข้ามาจากเฉิงตู ข้าชื่อหมีชง”

หลี่อันรับชาม ยิ้มตอบ เวลานี้เขาพูดสำเนียงเฉิงตูชัดเจน

 

[1] ฝ่าเจียคือสำนักนิติธรรมนิยม ยึดแนวทางการปกครองโดยใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า