พายุจารชนแห่งหล่งซี
风起陇西
หม่าป๋อยง
马伯庸 เขียน
เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
ท่ามกลางไฟสงครามแห่งยุคสมัยสามก๊ก
ยังมีสมรภูมิที่พงศาวดารไม่ได้บันทึกไว้
นั่นคือสงครามแห่งจารชนของเหล่าสายลับผู้เปี่ยมปฏิภาณ
เมื่อการข่าวรายงานว่ามีจารชนของแคว้นเว่ยแทรกซึมเข้าสู่ฮั่นจง
เพื่อขโมยอาวุธสงครามของแคว้นสู่ นั่นคือเครื่องยิงหน้าไม้
‘สวินสวี่’ หัวหน้ากองสันติบาลจึงออกคำสั่งให้คุ้มกันแบบร่าง
เครื่องยิงหน้าไม้ และช่างฝีมือ จากการบุกรุกของศัตรูอย่างเข้มงวด
ทว่ากองทัพกับกองสันติบาลกลับเอาแต่ระแวงซึ่งกันและกัน
ไหนจะศิษย์พรรคใต้ดินของลัทธิข้าวสารห้าโต่วคอยป่วนปั่น
ยังมี ‘หนู’ ตัวหนึ่งที่แฝงเร้นอยู่ในหมู่ขุนนางชั้นสูงของฮั่นจง
…สายลับแคว้นเว่ยที่ใช้รหัสนามว่า ‘จู๋หลง’
สงครามใต้ดินนอกสมรภูมิรบระหว่างการข่าวกรองของสองแคว้น
ภารกิจช่วงชิงและภารกิจพิทักษ์อาวุธล้ำค่าของแคว้นสู่นี้
มีเวลาเพียงสิบเอ็ดวันเท่านั้น!
ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์
บทที่ 5
ปฏิบัติการกับสืบค้น
ขณะที่หลี่อันเดินทางมาถึงซีเซียงนั้น สวินสวี่จัดแบ่งงานในกองสันติบาลเรียบร้อยแล้ว หนังสือราชการด่วนซึ่งมีข้อความ ‘ป้องกันคนร้ายแฝงตัวเข้ามา ตรวจใบแสดงตัวอย่างเข้มงวด’ ถูกส่งไปยังด่านทุกเมืองอย่างรวดเร็วที่สุด ที่ผ่านหน้าหลี่อันเมื่อครู่ก็เป็นม้าเร็วอีกตัวหนึ่ง
ทุกหมู่บ้านทุกอำเภอรอบอำเภอเหมี่ยนได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบทะเบียนราษฎร์ใหม่ ต้องระวังป้องกันคนแปลกหน้าที่ความเป็นมาไม่ชัดเจน กองสันติบาลยังส่งเจ้าหน้าที่ปลอมตัวเป็นราษฎรไปแฝงตัวตามเส้นทางหลักและเมืองสำคัญ นอกจากนี้ยังส่ง ‘นักพรต’ ที่เก่งกาจหลายคนไปแฝงตัวตามจุดพักม้าและโรงเตี๊ยม แต่การดำเนินงานของกองสันติบาลเกิดสภาพที่เข้มงวดทางเหนือผ่อนปรนทางใต้ เพราะคิดว่าศัตรูคงจะมาทางทิศเหนือ
หลังจากมอบหมายงานทั้งหมดเรียบร้อย สวินสวี่ให้ทหารยามคนหนึ่งมุ่งหน้าไปกองข่าวกรองเพื่อรับจดหมายจากหม่าซิ่นที่สำนักสาขายงเหลียง จดหมายฉบับนี้จะช่วยให้กองสันติบาลกับฝ่ายการทหารร่วมมือกันได้ดีขึ้น
จากนั้นสวินสวี่ก็ออกจากอารามเต๋า มุ่งหน้าไปยังค่ายทหารรักษาการณ์เมือง ให้ทหารยามหน้าประตูไปแจ้ง ไม่นานก็มีแม่ทัพร่างสูงใหญ่ในชุดราษฎรเดินออกมาจากค่ายทหาร พอเห็นสวินสวี่ก็ร้องทักด้วยความดีใจ “อ้อ เซี่ยวเหอ ลมอะไรหอบเจ้ามาถึงนี่”
“ข้าได้ยินว่าเมื่อวานเจ้าโดนเมียทุบตี จึงมาปลอบใจเจ้า”
“เจ้าตั้งใจมาล้อข้าเล่นหรือ”
“วางใจ ไม่ใช่แน่ คนของกองสันติบาลไม่เคยล้อเล่น”
ทั้งสองหัวเราะร่า ต่างตบแขนอีกฝ่ายหนึ่ง แม่ทัพคนนี้ชื่อเฉิงฝาน อายุสี่สิบปี ดูแลงานป้องกันอำเภอเหมี่ยน เป็นชายรูปร่างล่ำสัน นิสัยร่าเริง และเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของสวินสวี่ในกองทัพ นับว่าเฉิงฝานมีชื่อเสียงอยู่บ้างในอำเภอเหมี่ยน ไม่ใช่เพราะเขาพูดเสียงดัง แต่เพราะเมียเขาเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจขึ้นชื่อ
เฉิงฝานชวนสวินสวี่เข้าไปในกระโจม แบะเสื้อออกแล้วนอนบนเตียงไม้เผยอกและท้อง เอียงตัวถาม “เซี่ยวเหอ มาหาข้ามีอะไรหรือ”
“อ้อ คืออย่างนี้ ข้าอยากถามว่าฝ่ายทหารของพวกเจ้ามีใครที่ชอบคบหาสมาคมกับคนอื่นบ้าง” สวินสวี่คุ้นเคยกับการกระทำของเขา จึงไม่ได้ถือสา
“ใครที่ชอบคบหาสมาคมหรือ เจ้าจะทำอะไร คิดจะย้ายมาทำงานที่ฝ่ายทหารหรือไร”
“บอกไม่ได้ เจ้าก็รู้ว่างานข้าเป็นอย่างไร อย่าพูดมาก รีบบอกมา”
เฉิงฝานลูบหนวดสั้นข้างริมฝีปาก ร้องหึออกมา “ใต้หล้ามีวิธีขอร้องคนอย่างนี้ด้วยหรือ”
สวินสวี่ตอบ “งั้นข้าคงต้องไปขอร้องพี่สะใภ้แล้ว”
เฉิงฝานพอได้ยินก็รีบลุกจากเตียงไม้ “นี่ ๆ ๆ เซี่ยวเหอ วิญญูชนต้องรักษาคุณธรรม อย่าทำอะไรเกินไปนัก”
สวินสวี่ยิ้มพลางตบไหล่เขา ทำท่าล้อเลียน “ว่ามา”
เฉิงฝานล้มตัวลงนอนบนเตียงต่อด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม “เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าฝ่ายทหารของข้ากับสำนักข่าวกรองของเจ้าเข้ากันไม่ค่อยได้ ถ้าเจ้าจะขอร้องให้พวกเขาช่วย นั่นเป็นเรื่องยาก”
“ข้าถึงได้มาถามเจ้าอย่างไรเล่า มีนายทหารระดับสูงคนไหนบ้างที่มีอำนาจและคุยง่าย”
“คนแรกก็คือแม่ทัพจางอี้ แม่ทัพเฒ่าท่านนี้จิตใจดี อ่อนน้อมต่อทุกคน แต่ช่วงนี้สุขภาพไม่ค่อยดี กลับไปรักษาตัวที่เฉิงตูแล้ว และยังมีหวังผิง (อองเป๋ง) เขาเพิ่งเลื่อนตำแหน่ง ยังไม่เคยมีเรื่องกับใคร…อ้อ ใช่แล้ว เขาเป็นคนไม่รู้หนังสือ แต่ก็เกรงใจคนที่รู้หนังสือมาก พรุ่งนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าเวรที่จวนซือหม่า…ถ้าจะหาใครสักคนอย่าหาเว่ยเหยียนเด็ดขาด เวลานี้เขาแทบอยากกลืนทั้งสำนักข่าวกรองรวมทั้งหยางอี้หัวหน้าของเจ้า”
“ข้ารู้แล้ว” สวินสวี่พยักหน้า ลุกขึ้น “เอาละ ข้าพอจะมีตัวเลขในใจแล้ว ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน”
เฉิงฝานรู้ดีว่างานของกองสันติบาลเวลายุ่งขึ้นมาจะไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่แน่ไม่นอน จึงไม่รั้งไว้ ได้แต่บอกว่า “มีเวลาก็มาหาข้า จะได้ดื่มด้วยกัน”
“ถ้าพี่สะใภ้ไม่ถือสา” สวินสวี่พูดยิ้ม ๆ แล้วถือโอกาสออกจากกระโจมก่อนที่จะถูกเฉิงฝานตะคอกใส่
วันรุ่งขึ้นซึ่งก็คือวันที่ยี่สิบห้าเดือนสอง สวินสวี่ไปเยือนฝ่ายทหารอย่างเป็นทางการที่จวนซือหม่าในอำเภอเหมี่ยน
เป็นอย่างที่เฉิงฝานพูดจริง ๆ วันนี้คนที่มาต้อนรับคือเสนาธิการหวังผิง รูปร่างสูงใหญ่แต่หน้าตาพื้น ๆ ดูอย่างไรก็เหมือนเถ้าแก่ร้านเหล้าผู้อ่อนโยน สวินสวี่รู้ว่าไม่อาจมองข้ามคนผู้นี้ เวลานี้หวังผิงเป็นคนที่มีบารมีในกองทัพสูง ในศึกเจียถิง (ศึกเกเต๋ง) เมื่อปีที่แล้วเขาเป็นรองแม่ทัพของหม่าซู่ มีชื่อเสียงเลื่องลือเนื่องจากคัดค้านกลศึกของหม่าซู่ ขณะที่แม่ทัพทุกคนที่ร่วมรบในศึกครั้งนั้นรวมทั้งจูเก๋อเลี่ยงต่างถูกลงโทษ แต่หวังผิงกลับได้เลื่อนตำแหน่ง
พอทั้งสองพบกันก็ทักทายกันตามมารยาทก่อน แล้วสวินสวี่จึงพูดถึงรายงานของเฉินกง บอกว่ากองสันติบาลต้องการตรวจสอบโรงงานผลิตอาวุธของกองทัพ แน่นอนว่าสวินสวี่ไม่ได้พูดชัดเจนอย่างนี้ เขาเปลี่ยนคำว่า ‘ตรวจสอบ’ ซึ่งกระด้างกว่าเป็นคำว่า ‘สำรวจ’
พอหวังผิงได้ยินก็มีสีหน้าลำบากใจ เดินเอามือไพล่หลังไปมาในห้องสองรอบ แล้วหันมาพูดกับสวินสวี่ทันที “เว่ยก๊กจะมาขโมยเครื่องยิงหน้าไม้ของกองทัพเราหรือ”
“จริงแท้แน่นอน”
“นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะใช้วิธีต่ำช้าอย่างนี้!” หวังผิงด่าเบา ๆ
สวินสวี่พอเห็นอีกฝ่ายหนึ่งคล้อยตาม จึงถือโอกาสพูดต่อทันที “พวกข้าจึงต้องรีบหามาตรการเพื่อป้องกันความเสียหายร้ายแรง”
“อืม ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล แต่…” หวังผิงยื่นมือให้สวินสวี่ “เอารายงานของเฮยตี้มาให้ข้าดูได้หรือไม่ นี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าต้องรอบคอบหน่อย”
“รายงานนี้เป็นความลับ ฉบับคัดลอกทั้งหมดถูกทำลายไปแล้ว เวลานี้ต้นฉบับคงอยู่ที่มหาเสนาบดีจูเก๋อ ข้าว่าไม่เกินบ่ายนี้คงส่งมาให้แม่ทัพเว่ยเหยียน”
“อ้อ งั้นก็รอแม่ทัพเว่ยตรวจสอบด้วยตัวเองเถอะ ข้าไม่มีอำนาจอนุมัติให้ใครเข้าโรงงานผลิตอาวุธ” หวังผิงสีหน้าหนักใจ
“แต่นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน จารชนเว่ยก๊กเข้ามาในแคว้นเราแล้ว เวลานี้อาจจะมาถึงฮั่นจงแล้วก็ได้”
“ข้ารู้ แต่ฝ่ายทหารก็มีกฎระเบียบของทหาร เรื่องนี้ข้าทำอะไรไม่ได้” หวังผิงตอบ เขาเห็นสวินสวี่สีหน้าไม่ดี รีบพูดด้วยน้ำเสียงเห็นใจ “หัวหน้าสวี่ เจ้าเองก็รู้ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ทัพเว่ยกับที่ปรึกษาหยางของพวกเจ้า…”
สวินสวี่ขยับเท้า หัวเราะออกมาอย่างจนใจ เห็นชัดว่าหวังผิงกลัวว่าจะเข้าไปอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างเว่ยเหยียนกับหยางอี้ ไม่กล้าตัดสินใจเอง ในที่สุดหวังผิงจึงพูดขึ้น
“เวลานี้ทางที่ดีเจ้าควรเขียนทิศทางการสำรวจและรายการสำรวจออกมาเป็นเอกสารอย่างเป็นรูปธรรม ข้าจะส่งต่อให้แม่ทัพเว่ย ถ้าแม่ทัพเว่ยอนุมัติ เจ้าก็เริ่มได้ทันที”
“งั้นต้องรบกวนท่านแล้ว” สวินสวี่ล้วงเอกสารเกี่ยวกับการสำรวจซึ่งเขียนเตรียมไว้แล้วออกมา หวังผิงรับไปอ่าน เป้าสำคัญคือสำนักช่างทหารที่รับผิดชอบการค้นคว้าประดิษฐ์อาวุธและโรงงานผลิตอาวุธของกองทัพ สวินสวี่มีจุดหมายชัดเจน คือตรวจทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยิงหน้าไม้
“ข้าเข้าใจแล้ว ถ้างั้นเจ้ารอที่นี่ก่อน ข้าจะเอาไปให้แม่ทัพเว่ย”
พอหวังผิงพูดจบก็หันหลังออกไป สวินสวี่รอที่ห้องประชุมสำนักซือหม่าประมาณครึ่งชั่วยามก็มีทหารถ่ายทอดคำสั่งมาที่ห้องประชุมอย่างเร่งรีบ บอกสวินสวี่ว่า “แม่ทัพเว่ยต้องการพบท่าน”
สวินสวี่ลุกขึ้น แล้วเดินตามทหารถ่ายทอดคำสั่งไปยังห้องของหวังผิง เห็นหวังผิงสีหน้าแจ่มใส พอเห็นสวินสวี่ก็พูดเสียงดัง “หัวหน้าสวี่ เจ้าโชคดีมาก แม่ทัพเว่ยอนุญาตให้เจ้าเข้าไปตรวจสอบหน่วยงานทั้งสองได้”
ควรจะเป็นอย่างนี้ แม้สองฝ่ายขัดแย้งกัน แต่ไม่ควรทำให้เสียการใหญ่โดยไม่แยกแยะ…สวินสวี่คิดในใจ แต่ปากก็พูดขอบใจไม่หยุด คิดดูแล้วเว่ยเหยียนเองน่าจะได้รับแรงกดดันจากมหาเสนาบดีจูเก๋อ จึงเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว
“แต่เวลาตรวจสอบต้องมีคนฝ่ายการทหารของเราร่วมด้วย” หวังผิงบอก สวินสวี่พยักหน้า นี่เป็นเรื่องที่เขาคาดไว้แล้ว “อีกอย่างหนึ่งการตรวจสอบต้องไม่รบกวนการทำงานตามปกติ ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้ ฝ่ายการทหารของเรากำลังเตรียมทำสงครามอีกครั้งหนึ่ง แต่ละหน่วยงานมีงานยุ่ง ถ้าเป็นเพราะเรื่องจารชนซึ่งยังไม่แน่ชัดมาถ่วงเวลางานเตรียมรบ จะเป็นความผิดมหันต์”
สวินสวี่เชื่อว่าประโยคสุดท้ายนี้เป็นคำพูดที่เว่ยเหยียนพูดเอง หวังผิงเพียงแต่เอามาถ่ายทอดให้นุ่มนวลขึ้นเท่านั้น เว่ยเหยียนเคยแสดงความเห็นในที่ต่าง ๆ หลายครั้งทำนองว่า ‘กองสันติบาลรวมทั้งสำนักข่าวกรองมักจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และมักจะทำตัวเป็นลิงที่หลบอยู่ในที่ปลอดภัย คอยทำร้ายคนอื่น ดึงขาคนอื่น’
“ให้แม่ทัพหม่าไต้ไปตรวจสอบด้วยได้หรือไม่” สวินสวี่ถามตรง ๆ ถ้าเป็นหม่าไต้แม่ทัพปราบแดนเหนือคงไม่ทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบลำบากใจ หวังผิงคิดครู่หนึ่งแล้วตอบตกลง
สวินสวี่เคยพบหม่าไต้ครั้งหนึ่งเมื่อเก้าปีก่อน เวลานั้นสวินสวี่เป็นแค่เจ้าหน้าที่ในกองสันติบาล เป็นช่วงที่หลิวเป้ยครองราชย์ เผิงยั่งเจ้าเมืองเจียงหยางชักชวนให้หม่าเชา (ม้าเฉียว) แม่ทัพเพี่ยวฉี[1]ก่อกบฏ แต่หม่าเชาบอกข่าวลับให้หลิวเป้ยรู้ หลิวเป้ยรีบจับเผิงยั่งและออกคำสั่งลับให้กองสันติบาลตรวจสอบร่องรอยการก่อกบฏของหม่าเชาและหม่าไต้ญาติผู้น้อง สวินสวี่ร่วมการตรวจสอบพี่น้องคู่นี้ ได้ข้อสรุปว่า ‘สองพี่น้องตระกูลหม่ารู้ดีว่ามีคนไม่เชื่อถือตน จึงรอบคอบระมัดระวัง อยู่ในสภาพที่กระวนกระวายและหวาดหวั่น จิตใจเช่นนี้ย่อมไม่อาจก่อกบฏได้’
จนกระทั่งเมื่อสวินสวี่เห็นหม่าไต้อีกครั้ง เขาก็อดสะเทือนใจไม่ได้ ไม่เจอกันเก้าปี หม่าไต้ดูเหมือนแก่ไปสิบกว่าปี คนอายุสี่สิบกว่าแต่จอนผมหงอกแล้ว หางตากับหน้าผากมีรอยย่นเป็นชั้น ๆ แสดงถึงความวิตกในใจ ดวงตาดูเหนื่อยล้า ดูออกว่าเขายังสลัดไม่พ้นจากเงาในใจครั้งนั้น
“แม่ทัพหม่า ข้าสวินสวี่จากกองสันติบาล”
สวินสวี่แนะนำตัวเอง เขารู้สึกว่าพอหม่าไต้ได้ยินคำว่ากองสันติบาลก็ผงะ แววตามีความหวาดกลัวซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหน เขารีบพูดเสริม “การตรวจสอบครั้งนี้ต้องรบกวนให้ท่านร่วมด้วย”
“ได้ ๆ” หม่าไต้ตอบ เสียงนั้นเบาเป็นพิเศษ น้ำเสียงเหมือนพูดเอาใจ
“อ้อ ใช่ นี่เป็นจดหมายที่หม่าซิ่นฝากมาให้” สวินสวี่หยิบจดหมายจากอกเสื้อให้เขา
หม่าไต้รีบเปิดจดหมายออกอ่าน ตั้งใจอ่านออกเสียงรอบหนึ่งให้สวินสวี่ได้ยิน แล้วจึงพับใส่อกเสื้อ พูดกับสวินสวี่ “หัวหน้าสวิน ไปกันเถอะ”
นอกประตูจวนซือหม่ามีรถม้าสีดินเหลืองจอดอยู่คันหนึ่ง นี่เป็นสีที่ฝ่ายทหารใช้โดยเฉพาะ หม่าไต้กับสวินสวี่ก้าวขึ้นรถ คนขับรถม้าตวาดขึ้น รถม้าทะยานออกไป
หม่าไต้ถามอย่างเกรงใจ “ขอถามว่าหัวหน้าสวี่จะไปตรวจที่ไหน”
สวินสวี่คิดครู่หนึ่ง แล้วบอก “สำนักช่างทหาร ต้องสืบรู้ให้แน่ชัดว่าศัตรูหมายตาเครื่องยิงหน้าไม้แบบไหน จึงจะได้ป้องกันได้ตรงจุด”
“ดี” หม่าไต้พยักหน้า ทำท่าบอกให้คนขับรถม้ามุ่งหน้าไปทางสำนักช่างทหาร ไม่นานนักรถม้าก็แล่นออกจากเมืองทางประตูตะวันออก เดินทางไปประมาณสิบห้าลี้ก็ออกจากถนนหลวง ไปตามพื้นที่รกร้างไม่มีร่องรอยเส้นทาง มุ่งหน้าไปยังตีนเขาแห่งหนึ่ง รอบข้างเป็นป่าเงียบสงัด ไม่เห็นแม้แต่นกหรือหมาป่า
“สำนักช่างทหารตั้งอยู่ที่เร้นลับจริง ๆ”
“เส้นทางจากที่นี่ไปถนนหลวงถูกถมแล้วปลูกหญ้า คนนอกไม่มีวันหาเจอแน่”
ครู่หนึ่งรถม้าก็มาถึงเส้นทางบนเขา ลักษณะพื้นที่ที่นี่เป็นลานหินโล่งแจ้ง ตามพื้นเต็มไปด้วยก้อนหินสีเทาขนาดใหญ่น้อยต่างกันไป ทำให้เกิดทิวทัศน์แปลกตา เฉพาะโพรงใต้หินเท่านั้นที่มีต้นไม้สีเขียวงอกออกมา รถม้าจอดที่นี่
“ถึงแล้ว” หม่าไต้บอกสวินสวี่ สวินสวี่มองไปรอบ ๆ อย่างงุนงง พอมองไปทางขวามือห่างออกไปราวสิบกว่าก้าวก็เห็นทางเข้าสีดำของถ้ำแห่งหนึ่ง ทางเข้านี้อยู่ใต้หน้าผาที่ยื่นออกมา เป็นมุมตัดกับเนินเขา
สวินสวี่กับหม่าไต้เดินไปที่ปากถ้ำ สวินสวี่สังเกตเห็นผิวของหินผาใกล้เคียงหยาบขรุขระ มีแต่หินผาข้างถ้ำที่เรียบเป็นมัน คงมีคนเข้าออกบ่อย
ขณะที่เขาสังเกตดูอยู่นั้น มีทหารในชุดเกราะถือดาบด้ามห่วงปีนออกมาจากถ้ำ แล้วพูดขึ้น “ท่านทั้งสอง โปรดแสดงป้าย”
หม่าไต้หยิบป้ายพยัคฆ์ครึ่งซีกออกมาจากอกเสื้อ ทหารรับไปแล้วมอบให้ทหารคนหนึ่งที่ในถ้ำ ครู่หนึ่งทหารคนนั้นจึงพูดตอบ “ป้ายพยัคฆ์ประกบคู่กันแล้วถูกต้อง ตรวจไม่พบความผิดปกติ” พอทหารได้ยินอย่างนี้จึงผายมือให้ทั้งสองเข้าไป สวินสวี่นึกชมในใจ ดูแล้วงานรักษาความปลอดภัยที่นี่เคร่งครัดมาก
พอเข้าไปในถ้ำทางก็ค่อย ๆ ลาดลง สกัดพื้นเป็นบันไดตื้น ๆ สองแถว ยืดยาวออกไปเป็นทางสายแคบ สองข้างล้วนเป็นหินผา เจาะช่องเล็ก ๆ เว้าเข้าไป จุดเทียนไขไว้ในนั้น สวินสวี่ไม่รู้สึกอึดอัด ตรงข้ามกลับรู้สึกมีลมเย็นปะทะกับใบหน้า ถ้ำคงมีช่องระบายอากาศผ่านรอยแยกของหินผา
ตลอดทางเลี้ยวหลายแห่ง แต่ละครั้งที่เลี้ยวจะมีทหารคนหนึ่งตรวจป้ายพยัคฆ์ของทั้งสอง พร้อมกับเขย่ากระดิ่งสัมฤทธิ์แจ้งทหารยามจุดต่อไป พอถึงทางเดินที่กว้างขึ้นเล็กน้อย หม่าไต้กับสวินสวี่ก็ถูกตรวจค้นตามตัว ทหารยามอธิบายว่าเป็นระเบียบ คนที่เข้ามาต้องถูกตรวจค้นตามตัวยกเว้นมหาเสนาบดีจูเก๋อ แม้แต่เว่ยเหยียนก็ไม่เว้น
“ยกเว้นมหาเสนาบดีจูเก๋อหรือ” สวินสวี่โพล่งออกมา “ถ้าเป็นจักรพรรดิล่ะ”
ทหารยามนึกไม่ถึงว่าเขาจะถามอย่างนี้ ได้แต่นิ่งงันไม่รู้จะตอบอย่างไรดี หม่าไต้ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ พอได้ยินก็สะดุ้ง ตกใจกับการพูดเล่นอย่างนี้จนหน้าซีด
เดินไปประมาณสองร้อยก้าวจนสุดทางแล้วเลี้ยว สายตาของสวินสวี่เห็นทางโล่งทันที นี่คือห้องโถงไม่เป็นรูปทรงขนาดใหญ่มโหฬาร กว้างพอที่จะบรรจุอารามเต๋าถึงสามสี่หลัง เพดานโถงถ้ำโค้งมีลำแสงลอดผ่านรอยแยกหินผาลงมา ทำให้ภายในไม่มืดแม้แต่น้อย ผนังโดยรอบมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยเว้าเข้าไปมากมาย เหมือนห้องที่ก่อด้วยหินแกร่ง
ที่น่าอัศจรรย์ก็คือในถ้ำที่ไม่มีหน้าต่างกลับไม่อึดอัดแม้แต่น้อย เดินในนั้นไม่รู้สึกว่าหายใจไม่สะดวก
“มีช่องลมซ่อนอยู่ในที่ลับใช่หรือไม่” สวินสวี่ถามด้วยความอยากรู้ หม่าไต้ไม่ตอบ ดูเหมือนเขายังไม่หายตกใจจากการล้อเล่นเมื่อครู่
ห้องโถงใหญ่มีคนพลุกพล่าน ในนี้มีเครื่องกลรูปร่างประหลาดจำนวนมาก มีทั้งทำด้วยไม้และทำด้วยสัมฤทธิ์ มีคนในเสื้อคลุมสีดำเดินไปเดินมาระหว่างเครื่องกล บางครั้งหยุดก้มตรวจดู คนอีกส่วนหนึ่งถือพู่กันและกระดาษบันทึกอะไรบางอย่าง ไกลออกไปในถ้ำมีแสงสีแดงและเสียงเคาะดังตึงตัง คงเป็นห้องหลอมโลหะของสำนักช่างทหาร
ขณะที่ทั้งสองกำลังเหลียวมองไปมานั้น ชายชราร่างเตี้ยใส่เสื้อคลุมสีดำก็เดินเข้ามา เขามอบชิ้นส่วนในมือให้คนข้าง ๆ แล้วจ้องสวินสวี่อย่างระแวง ราวกับว่าสวินสวี่เป็นคนร้ายที่จะมาขโมยความลับ
“ผู้นี้คือหัวหน้าสวินจากกองสันติบาล การมาเยือนครั้งนี้ได้รับอนุญาตแล้ว นี่คือเอกสารอนุญาต”
หม่าไต้มอบป้ายพยัคฆ์และเอกสารให้ชายชรา ชายชรารับมาตรวจดูอย่างละเอียด พอไม่พบพิรุธจึงมอบคืนให้หม่าไต้ ท่าทางไม่ค่อยพอใจ
“ขอบอกไว้ก่อน ข้าจะบันทึกการสนทนาวันนี้ไว้ทั้งหมด แล้วมอบให้แม่ทัพเว่ย” ชายชราขมวดคิ้วพลางพูด
“ถ้าไม่เอาไปขายให้เว่ยก๊กอู๋ก๊กก็ไม่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของข้า” สวินสวี่รู้ดีว่าในฐานะของคนจากกองสันติบาล การพูดเล่นเป็นเรื่องต้องห้าม แต่ก็อดล้อเล่นไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าชายชราไม่รู้สึกขำด้วย เขาถอดถุงมือหนังกวางออกแขวนไว้กับตะขอ แล้วกวักมือ “มาทางนี้”
ทั้งสองเดินตามเขาไปในถ้ำข้างห้องโถงใหญ่ ถ้ำนี้สูงเลยศีรษะเล็กน้อย พื้นที่กว้างยาวประมาณยี่สิบสามสิบก้าว นอกจากเตียงไม้เก่าคร่ำคร่ากับเชิงเทียนสัมฤทธิ์แล้ว บริเวณที่เหลือเต็มไปด้วยกระดาษวาดรูปและเอกสาร
ชายชราดึงผ้าม่านที่ปิดปากถ้ำออก แล้วหันไปพูดเสียงแหบ
“ข้าชื่อเฉียวจวิ้น เป็นคนดูแลสำนักช่างทหาร พวกเจ้ามาหาข้ามีธุระอะไรหรือ”
“คืออย่างนี้…” หม่าไต้พูดถึงความเป็นมาอีกครั้งหนึ่ง “คำสั่งของของแม่ทัพเว่ย ให้เราช่วยเหลือหัวหน้าสวินในการตรวจสอบด้วย”
“อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว” เฉียวจวิ้นทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย สายตาของเขาจับจ้องที่สวินสวี่ “เจ้าอยากรู้อะไรบ้าง”
“เวลานี้กองทัพเราใช้เครื่องยิงหน้าไม้แบบไหนบ้าง”
เฉียวจวิ้นชำเลืองมองสวินสวี่ พูดน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้านึกว่าพวกเจ้ากองสันติบาลจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วเสียอีก”
“พวกข้าอยากฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ”
เฉียวจวิ้นร้อง ‘หึ’ อย่างเย็นชา เห็นชัดว่าคำยกย่องนี้ไม่ได้ผล เขาตอบ “หัวหน้าสวิน ที่เจ้าถามเป็นเรื่องใหญ่มาก ตั้งแต่รัชศกเจี้ยนชิ่งปีที่สี่ที่สำนักช่างทหารของเราก่อตั้งขึ้นมา มีการประดิษฐ์เครื่องยิงหน้าไม้แล้วสามสิบกว่าแบบ ในจำนวนนี้ที่เอามาใช้ในกองทัพมีสิบกว่าแบบ ถ้าเจ้าไม่ระบุให้แคบลง ข้าคงตอบยาก”
“ถ้างั้น เครื่องยิงหน้าไม้ที่ใช้เวลานี้มีกี่แบบ อะไรบ้าง”
“เวลานี้ที่กองทัพเราให้พลยิงหน้าไม้ใช้มีห้าหกแบบ ส่วนใหญ่เป็นหน้าไม้ยิงต่อเนื่องแบบคนเดียว กองทัพส่วนหนึ่งยังติดตั้งรถยิงหน้าไม้แบบแรงยิงสูงเพื่อเพิ่มอานุภาพในการโจมตี และมีส่วนหนึ่งเป็นเครื่องยิงหน้าไม้แบบง่าย ๆ ติดตั้งเฉพาะในกองทหารราชองครักษ์ อ้อ จริงสิ ยังมีหน้าไม้ไม้ไผ่แบบที่ส่งไปขายให้ตงอู๋…” พอพูดถึงตรงนี้เฉียวจวิ้นก็มีท่าทีพอใจมาก “…กองทัพตงอู๋ใช้หน้าไม้ที่ซื้อจากเรา ไม่ยอมใช้หน้าไม้ของอู๋หรือของเยว่”
“เมื่อปลายปีที่แล้ว เครื่องยิงหน้าไม้ที่ใช้ซุ่มโจมตีกองทัพหวังซวงเป็นแบบไหน”
“อ้อ เจ้าหมายถึงครั้งนั้นหรือ ครั้งที่กองทัพของเจียงเหวย (เกียงอุย) ซุ่มโจมตีใช่ไหม” เฉียวจวิ้นหันไปถามย้ำหม่าไต้ หม่าไต้พยักหน้า “ขอข้าคิดก่อน การรบครั้งนั้นพวกเขาคงติดตั้งรถยิงหน้าไม้แบบแรงยิงสูง ‘สู่ตู’ สิบห้าเครื่อง และหน้าไม้แบบใช้มือยิงต่อเนื่อง ‘หยวนหรง’ สองร้อยอัน เครื่องยิงหน้าไม้ทั้งสองแบบเป็นผลงานใหม่ล่าสุดของสำนักช่างทหาร ดูจากการสู้รบจริงได้ผลดีมาก”
พูดจบเฉียวจวิ้นก็ค้นหาหีบไม้ให้สวินสวี่สองหีบ สวินสวี่หยิบมาดูหีบหนึ่ง บนนั้นเขียนไว้ว่า
‘เครื่องยิงหน้าไม้ทำจากทองแดงบริสุทธิ์ ชื่อ ‘เพื่อฮั่นหกเก้าสอง’ มีแรงยิงสิบห้าต้าน แต่ละครั้งยิงลูกศรเหล็กขนาดกลางได้สิบดอก ระยะยิงพันก้าว ขณะที่สู่ตูมีระยะยิงแปดร้อยก้าว ในการทดสอบใช้ลูกศรหนึ่งดอกยิงทะลุเป้ารูปเกือกม้าสี่เป้า แต่ละเป้าห่างกันสองฉื่อ’
เฉียวจวิ้นพูดอย่างกระหยิ่มใจพร้อมกับชี้นิ้วไปด้วย ย้ำว่า “เห็นไหม เป้ารูปเกือบม้าสี่เป้า ลูกศรดอกเดียว โครงของตัวหน้าไม้ทำด้วยทองแดงทั้งหมด สามารถรับแรงมากกว่าเครื่องยิงหน้าไม้ดั้งเดิมถึงห้าต้าน ยังปรับรูปทรงให้เป็นรูปบันไดเอียง ที่ฐานติดตั้งลูกล้อแปดอัน เพิ่มความสามารถในการเคลื่อนย้ายและปรับตามสภาพพื้นที่ได้ดี เพิ่มช่องเล็งอีกอันระหว่างช่องเล็งกับสายหน้าไม้ ทำให้ความแม่นยำในการยิงสูงขึ้นห้าเท่า…สรุปแล้วแตกต่างจากเครื่องยิงหน้าไม้ดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง” พอเอ่ยเรื่องอาวุธ เฉียวจวิ้นก็พูดเก่งขึ้นมาทันที
“ร้ายกาจอย่างนี้เชียวหรือ” สวินสวี่พูดด้วยความประหลาดใจ
“แน่นอน เครื่องยิงหน้าไม้ของกองทัพเราเมื่อก่อน อย่างระดับ ‘ถงชวน’ ‘ฉานจ้ง’ รวมทั้งแบบ ‘ปาเยว่’ ที่ใช้เป็นหลักในเวลานี้ ตัวเลขบางด้านเหนือกว่าอาวุธของเฉาเว่ย และเวลานี้สู่ตูเหนือกว่าศัตรูทุกด้านแล้ว”
“แล้วหยวนหรงล่ะ”
“หยวนหรงออกแบบเพื่อใช้แทนหน้าไม้ยิงต่อเนื่องด้วยมือสำหรับคนคนเดียว สามารถยิงครั้งเดียวได้สิบดอกเช่นเดียวกับสู่ตู แต่หยวนหรงใช้ลูกศรเหล็กขนาดแปดชุ่น จึงมีพลังสังหารสูง ทหารคนเดียวพกติดตัวได้ ลำเลียงก็สะดวก ส่งไปยังพื้นที่แบบไหนก็ได้”
“หรือพูดอีกอย่างก็คืออาวุธที่ทำให้เฉาเว่ยอยากได้โดยยอมทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างก็มีแต่หยวนหรงกับสู่ตู”
“ใช่ ขณะนี้เป็นอาวุธที่มีอานุภาพยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาอาวุธชนิดเดียวกัน” เฉียวจวิ้นย้ำเรื่องนี้อีก “อ้อ หยวนหรงสร้างขึ้นภายใต้การชี้แนะของมหาเสนาบดีจูเก๋อ ช่างเป็นอัจฉริยะจริง ๆ”
สวินสวี่นิ่งเงียบ คิดในใจว่าคงใช่แน่ เป้าหมายของเว่ยก๊กต้องเป็นเครื่องยิงหน้าไม้สองแบบนี้
“แบบร่างของอาวุธสองแบบนี้เก็บไว้ที่ไหน”
“แบบร่างทั้งหมดมีสามชุด ชุดหนึ่งอยู่ที่สำนักช่างทหาร อีกชุดหนึ่งอยู่ที่สำนักใหญ่โรงงานอาวุธ และอีกชุดหนึ่งอยู่ที่สำนักมหาเสนาบดี”
สวินสวี่เริ่มประทับใจในการเปิดเผยตรงไปตรงมาของฝ่ายการทหารวันนี้ เขาเอามือลูบจมูก เสนอข้อเรียกร้องอีกขั้นหนึ่ง
“ขอดูของจริงได้หรือไม่”
“จำเป็นด้วยหรือ” เฉียวจวิ้นย้อนถามอย่างลังเล
“ถ้าได้เห็นของจริงจะช่วยให้มีภาพประทับในอาวุธสองแบบนี้ ในเมื่อติดตั้งให้กองทัพแล้วก็ไม่น่ามีความลับอะไรอีก”
เฉียวจวิ้นพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก พาทั้งสองไปที่ถ้ำอีกแห่งหนึ่ง ที่นี่มีเครื่องจักรหลายเครื่องตั้งอยู่ มีผ้าป่านปิดไว้ข้างบน เฉียวจวิ้นเปิดออกเครื่องหนึ่ง นั่นเป็นรถยิงหน้าไม้ทองแดงส่องประกายวาว ตัวรถรูปร่างแบนราบ ในนั้นมีคันโยกซับซ้อนแต่ไม่สับสน แสดงถึงระดับความละเอียดในการสร้าง หลังคารถเครื่องยิงหน้าไม้มีแผ่นป้ายตั้งไว้ เขียนว่า ‘สู่ตู’ สวินสวี่เดินรอบเครื่องยิงหน้าไม้รอบหนึ่ง แล้วยื่นมือทั้งสองไปกดที่ขาตั้งทั้งสองขา เห็นเครื่องยิงหน้าไม้ขยับเล็กน้อยแล้วหยุด
“ไม่มีผล เครื่องยิงหน้าไม้นี้อย่างน้อยต้องใช้สามคนจึงจะเคลื่อนย้ายได้ ถ้าใช้แรงสัตว์ก็ต้องมีคนสองคนประกบสองข้าง”
สวินสวี่หดมือกลับอย่างไม่พอใจ แล้วเท้าสะเอว “แยกชิ้นส่วนได้หรือไม่”
“แยกชิ้นส่วนหรือ อย่าล้อเล่นน่า ถ้าไม่ใช่คนที่ผ่านการฝึกโดยเฉพาะไม่มีทางแยกชิ้นส่วนได้”
สวินสวี่มองเครื่องยิงหน้าไม้แล้วพยักหน้า อย่างน้อยถ้าคิดจะขโมยสู่ตูของจริงคงเป็นไปไม่ได้
“รบกวนขอดูหยวนหรงหน่อยได้หรือไม่”
เฉียวจวิ้นยกแถบห่อผ้ายาวขึ้น ดึงผ้าคลุมออก นั่นเป็นหน้าไม้แบบยิงต่อเนื่องฝีมือประณีต เฉียวจวิ้นยื่นให้สวินสวี่ สวินสวี่รับมาแล้วลองกะน้ำหนักดู รู้สึกว่าไม่หนักนัก คนทั่วไปสามารถถือด้วยมือข้างเดียว
“แล้วนี่ล่ะ ถอดชิ้นส่วนได้หรือไม่”
“ได้แน่นอน ตอนออกแบบก็คำนึงถึงความสะดวกเป็นหลัก หน้าไม้แบบยิงต่อเนื่องแยกชิ้นส่วนได้สิบสองชิ้น เหมาะสำหรับให้ทหารติดตัว”
พอได้ยินเฉียวจวิ้นแนะนำอย่างนี้ สวินสวี่ก็ขมวดคิ้วพิจารณาหน้าไม้ในมืออย่างละเอียด เฉียวจวิ้นดูออกว่าเขาคิดอย่างไร จึงพูดเสียงแหบอย่างไม่พอใจ “เจ้ากลัวว่าจะมีคนขโมยออกไปหรือ วางใจเถอะ มาตรการความปลอดภัยของที่นี่เชื่อถือได้ที่สุด”
“งานของกองสันติบาลเราจะตั้งข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่ามาตรการความปลอดภัยทั้งหลายไม่น่าเชื่อถือ”
สวินสวี่ตอบอย่างราบเรียบ แล้ววางหน้าไม้ลงบนผ้าห่อ
เมื่อออกจากถ้ำสำนักช่างทหารก็เป็นเวลาเย็นแล้ว สวินสวี่กับหม่าไต้นั่งรถม้าคันเดิมกลับอำเภอเหมี่ยน ระหว่างทางจู่ ๆ หม่าไต้ก็ถามขึ้น “หัวหน้าสวี่วิตกว่าจารชนเว่ยก๊กคนนั้นจะขโมยหน้าไม้หยวนหรงใช่หรือไม่”
“ใช่ แบบร่าง ของจริง หรือช่างฝีมือ…สามอย่างนี้ถ้าได้อย่างใดอย่างหนึ่งไป หม่าจวินซึ่งเป็นนายช่างเครื่องกลอัจฉริยะคงจะทำเลียนแบบได้แน่” สวินสวี่เอนศีรษะไปด้านหลัง หลับตาลง ลำตัวโยกไปตามแรงสั่นของรถม้า
“หัวหน้าสวี่วิตกเกินไปแล้ว” หม่าไต้ลูบราวกั้นรถม้า “อาวุธเครื่องกลอย่างนี้ ฝ่ายทหารจะมีหมายเลขกำกับอย่างเคร่งครัด มีการตรวจตราทุกวัน ช่วงสงครามข้าไม่กล้ารับประกัน แต่ถ้าอยู่ในดินแดนต้าฮั่น หากหน้าไม้หายไปอันหนึ่งจะรู้ทันที”
“อืม”
“การรักษาแบบร่างก็ทำอย่างเข้มงวด การจะเข้าไปในสถานที่รักษาแบบร่างทุกแห่งต้องมีใบอนุญาตประทับตราของทั้งสามคน คือแม่ทัพเว่ยเหยียน แม่ทัพจางอี้และมหาเสนาบดีจูเก๋อ จึงจะเบิกดูได้ และในคำสั่งขอเบิกมาดูของทั้งสามคนยังมีรหัสลับเฉพาะของแต่ละคน การจะปลอมแปลงใบอนุญาตเป็นไปไม่ได้เลย”
“อืม…”
“ส่วนเรื่องช่างฝีมือยิ่งไม่ต้องพูดถึง ท่านน่าจะรู้ดี การจะพาช่างฝีมือทำเครื่องยิงหน้าไม้คนหนึ่งกลับไปหล่งซีเป็นเรื่องยากเพียงใด”
สวินสวี่เปลี่ยนท่านั่งให้สบายขึ้น เอามือหนุนท้ายทอย “แม่ทัพหม่าเข้าใจงานฝ่ายการทหารดีจริง ๆ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเองก็เป็นทหาร”
“คำโบราณกล่าวได้ดี กวนตงมีเสนาบดี กวนซีมีแม่ทัพ แม่ทัพหม่าสมกับที่เกิดในยงเหลียง”
สวินสวี่พูดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ เดิมทีเขาอยากจะชมหม่าไต้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ นึกไม่ถึงว่าพอหม่าไต้ได้ยินอย่างนี้ หน้าซีดทันที ปัดแขนเสื้อพลางพูดขึ้น “แม้ข้าจะเกิดที่ยงเหลียง แต่ก็เป็นแม่ทัพต้าฮั่น ไม่ยอมอยู่ข้างโจรสกุลเฉาเด็ดขาด”
“ไม่ต้องร้อนใจรีบแสดงความเด็ดขาดอย่างนี้หรอก…” สวินสวี่รู้สึกเบื่อ จึงจัดผ้าโพกศีรษะของตนเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกอึดอัด หม่าไต้คงรู้สึกว่าสำหรับคนกองสันติบาลแล้ว คำพูดนี้เท่ากับสงสัยว่าเขาซึ่งเกิดที่ยงเหลียงและเป็นแม่ทัพกุมความลับทางการทหารไว้มากอาจจะทรยศไปเข้ากับเฉาเว่ย
หม่าไต้รู้ดี การเลื่อนตำแหน่งและการประเมินเจ้าหน้าที่ทุกระดับล้วนอยู่ในสายตาของกองสันติบาล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเลี่ยวลี่[2]เวลานั้นก็เป็นผลงานของกองสันติบาล
รถม้ามุ่งหน้าต่อไป ล้อทั้งสี่เสียดสีกับพื้นถนนขรุขระส่งเสียงกุกกัก เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว ดวงดาวกับดวงจันทร์เริ่มปรากฏเลือนราง แสงสายัณห์ไกลออกไปยังไม่จางหายจากขอบฟ้า หน้าผากับเทือกเขาสองข้างทางอยู่ในสภาพกึ่งสว่างกึ่งมืดเคลื่อนผ่านไปทางด้านหลัง สองคนบนรถม้าต่างนิ่งเงียบ
จู่ ๆ สวินสวี่ก็นึกขึ้นได้ว่าทำไมหม่าไต้จึงมีความรู้สึกไวอย่างนี้ ตอนที่เขากับหม่าเชาญาติผู้พี่มาสวามิภักดิ์หลิวเป้ย เนื่องจากชาติกำเนิดเฉพาะตัว สองพี่น้องกลัวว่าจะถูกสงสัยว่าทรยศจึงรู้สึกหวาดวิตก นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เวลานี้ผ่านไปสิบกว่าปีแล้วจักรพรรดิจาวเลี่ย (หลิวเป้ย) สวรรคตแล้ว มหาเสนาบดีจูเก๋อดูแลราชกิจแทน แม้มหาเสนาบดีจูเก๋อไม่ได้เลื่อนตำแหน่งให้หม่าไต้ แต่ก็ยังถือว่าเขาเป็นผู้บัญชาการระดับสูงและให้ความเชื่อถือเต็มที่ ดูจากการที่หม่าไต้สามารถเดินทางมาที่สำนักช่างทหารซึ่งเป็นสถานที่ปิดลับอย่างนี้ ถ้าเช่นนั้นทำไมหม่าไต้ยังวิตกเสมอว่าจะมีคนสงสัยในความจงรักภักดีของเขา
เรื่องนี้น่าคิด…สวินสวี่ชายตามองหม่าไต้ อีกฝ่ายไม่พูดไม่จา สายตามองไปข้างหน้า ใต้แสงจันทร์สีหน้าของเขาซีดขาวเป็นพิเศษ
ครู่หนึ่งรถม้าก็เลี้ยวออกสู่ถนนหลวง ถนนเรียบทำให้รถม้าทะยานด้วยความเร็วเพิ่มขึ้น สวินสวี่มองเห็นทิวทัศน์สองข้างทางไม่ชัดแล้ว จึงหลับตาลง ครุ่นคิดถึงการดำเนินงานก้าวต่อไป ขณะที่เขาหลับตาลง คนขับรถม้าก็ตวัดแส้ รถม้าทะยานผ่านหน้าขบวนพ่อค้าข้างทาง ทำให้ลาตัวหนึ่งในขบวนตกใจ ยกขาหลังขึ้นเตะ
“รถม้าข้างหน้าทำไมรีบร้อนอย่างนี้! มืดค่ำแล้วยังวิ่งเร็วอย่างนี้ ไม่กลัวพลิกคว่ำตกเหวตายหรือ!”
พ่อค้าคนหนึ่งในกลุ่มชี้ไปยังรถม้าที่เฉียดผ่านพลางร้องด่า เพื่อนร่วมทางรีบเอามือปิดปากเขา “นี่ ระวังหน่อย ไม่เห็นหรือไง นั่นเป็นรถม้าสีดินเหลือง เป็นรถม้าทหาร เจ้าจะรนหาที่ตายหรือ”
หลายคนซึ่งอยู่ข้าง ๆ ต่างรีบปลอบลาซึ่งกำลังกระสับกระส่าย แต่ลาส่งเสียงฟืดฟาดไม่ฟังอะไรทั้งนั้น กระโดดดีดตัวขึ้นลง สัมภาระสองถุงบนหลังเกือบตกกระจายแล้ว คนเสื้อไหมสีน้ำตาลในขบวนเดินมาหน้าลา ใช้มือขวาจับคอลาไว้ ส่วนมือซ้ายกดสะโพกลา ออกแรงกดทั้งสองมือ ลาหยุดนิ่งทันที มีคนข้าง ๆ เอาฟางต้าไม่ยัดใส่ปากลา ลาเคี้ยวฟางข้าว เลิกตื่นกลัวแล้ว
“โชคดีที่ท่านหมีชงช่วยไว้ ขอบคุณ ๆ” พ่อค้าบอกขอบคุณ คนที่ถูกเรียกว่าหมีชงยิ้มแล้วปัดมือสองครั้ง
“ไม่ต้องเกรงใจ ทุกคนเดินร่วมทางกันก็ต้องดูแลกัน ทางข้างหน้าอีกไม่นานก็ถึงอำเภอเหมี่ยนแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้นในช่วงสุดท้าย”
“ใช่ ๆ” พ่อค้ารีบพยักหน้าหงึก ๆ
ขบวนพ่อค้าจึงออกเดินทางอีกครั้ง ระยะทางจากนั้นอีกสิบกว่าลี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาโชคดีได้เข้าเมืองก่อนประตูเมืองปิด ขบวนหยุดที่ลานกว้างในเมืองครู่หนึ่ง พ่อค้าที่มีน้ำใจถามขึ้น “ท่านหมีไม่ไปพักโรงเตี๊ยมกับพวกข้าหรือ ข้ารู้จักเถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่นี่ ได้ราคาถูกหน่อย”
“ไม่ละ มีเพื่อนมารับ” หมีชงปฏิเสธคำชวนของพ่อค้าอย่างเกรงใจ ทั้งสองจึงประสานมืออำลากัน พอขบวนพ่อค้าออกไปแล้ว หมีชงก็เลี้ยวขวาเข้าถนนใหญ่ พอผ่านทางแยกที่สามก็เลี้ยวซ้าย เขาคุ้นเคยกับสภาพในตัวอำเภอเหมี่ยนดี มีหน่วยรักษาการณ์หลายหน่วยเดินเฉียดผ่านเขาไป แต่ไม่มีใครใส่ใจเขา
หมีชงไปถึงร้านติดป้ายร้านบะหมี่เหิงเต๋อจึงหยุด เขาก้าวไปที่ประตูร้านแล้วเคาะ คนรับใช้เปิดหน้าต่างอย่างหงุดหงิด ตะโกนขึ้น “ไม่เห็นหรือประตูร้านปิดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
“ช่วยหน่อย ข้าต้องการซื้อข้าวสารห้าโต่วเท่านั้น” หมีชงทำท่าขอร้อง
“กี่โต่วนะ” คนงานเหลือบมองแล้วถาม
“ห้าโต่ว ไม่มากและไม่น้อย ถ้าเกินก็เอาออก ถ้าน้อยก็เอามาเพิ่ม”
คนงานเกาหูแล้วพูดด้วยความรำคาญ “ก็ได้ รอเดี๋ยว น่ารำคาญจริง ๆ ข้าวห้าโต่วต้องซื้อให้ได้วันนี้” ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงไม้ขัดประตูดังขึ้น ประตูเปิดออก
“รีบเข้ามาเถอะ”
คนงานเร่ง หมีชงก้าวเข้าไป ประตูปิดลงตามหลังเขา จากนั้นคนงานก็มองดูสภาพข้างนอกครู่หนึ่ง แล้วยื่นหน้ามามองสำรวจหมีชง พูดด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “มาจากทางเหนือหรือ”
“ใช่”
“คุรุเทพสบายดีหรือ”
“สบายดี”
หมีชงพูดจบก็หยิบยันต์กระดาษสีเหลืองลวดลายประหลาดแผ่นหนึ่งจากอกเสื้อ ยื่นให้คนงาน คนงานยื่นมื่อที่สั่นมารับไปดู แล้วสีหน้าก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที รีบคุกเข่าลงกับพื้น ปากก็พร่ำพูดอะไรบางอย่าง
ถึงตรงนี้มีชายสามคน แต่ละคนเปลือยอก หัวคาดผ้าดำ เดินมาจากห้องข้างหลัง และยังมีผู้หญิงปล่อยผมยาวไม่เกล้ามวยสองคน คนหนึ่งแก่แคนหนึ่งเด็ก พอทั้งหมดพอเข้ามาในห้องก็คุกเข่าลงกับพื้นเช่นเดียวกับคนงาน กราบคารวะยันต์ครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้หญิงสองคนนี้ถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้น หมีชงยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่พูดอะไร
ในที่สุดคนงานก็ลุกขึ้นเอายันต์ไปเก็บอย่างนอบน้อม ประคองคนอื่นซึ่งกำลังร้องไห้ให้ลุกขึ้น แล้วพูดกับหมีชง
“ข้าชื่อหวงอวี้ เป็นผู้อาวุโสนิกายข้าวสารห้าโต่ว อยู่ฮั่นจงไม่ได้ฟังคำสวดของท่านคุรุเทพนานแล้ว วันนี้ขอบคุณท่านที่นำยันต์มาให้ที่นี่ ทำให้ข้าได้ฟังคำสวดของท่านคุรุเทพอีก”
“ท่านล่างจงโหวอยากให้พวกเจ้าช่วยเหลือข้าอย่างเต็มที่ อย่างนี้แล้วท่านผู้เฒ่าคงจะดีใจ” หมีชงหาที่แล้วนั่งลง
“โปรดสั่งการมาเลย พวกข้ายินดีปฏิบัติตามทุกอย่าง” หวงอวี้ประสานมือพลางพูดเสียงดัง “เวลานี้มีทหารผีในฮั่นจงหลายพัน ผู้อาวุโสร้อยคน น้อมรับคำสั่งของท่าน”
มีรอยยิ้มผุดออกมาบนใบหน้าขาวซีดของหมีชง
[1] เพี่ยวฉี แปลว่าม้าบิน เป็นชื่อตำแหน่งแม่ทัพระดับสูง
[2] บุคคลสมัยสามก๊ก เป็นขุนนางที่ปรึกษาของแคว้นสู่ฮั่น ตอนที่จิงโจว (เกงจิ๋ว) ถูกหลี่ว์เหมิง (ลิบอง) โจมตี เลี่ยวลี่หนีเอาตัวรอดมาหาหลิวเป้ย (เล่าปี่) หลิวเป้ยไม่ว่าอะไร ยังตั้งเป็นเจ้าเมือง แต่หลังหลิวเป้ยสวรรคต เลี่ยวลี่วิจารณ์ว่าหลิวเป้ยบริหารผิดพลาดทำให้เสียจิงโจว และกวนอี่ว์ (กวนอู) ตาย ทั้งยังวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของขุนนางอื่น ๆ อีกมาก จึงถูกปลดเป็นสามัญชน พอหลังจากรู้ว่าจูเก๋อเลี่ยง (ขงเบ้ง) สิ้นลม เลี่ยวลี่ก็ตรอมใจตาย