[ทดลองอ่าน] ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง เล่ม 1 บทที่ 1

ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง

王女韶华

溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน

ภวิษย์พร แปล

— โปรย —

มู่หยวนอวี๋ ซื่อจื่อน้อยแห่งนครอวิ๋นหนาน
แม้อายุอย่างน้อย แต่กลับกุมความลับที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลเอาไว้
หากความลับที่ว่านี้แพร่งพรายออกไป ไม่เพียงจะนำภัยมาถึงตน
คนรอบกายอย่างบิดาและมารดาย่อมไม่อาจรอดพ้น

เมื่อวันเวลาผันผ่าน บิดาไม่คิดปกป้อง
ซื่อจื่อน้อยย้อมต้องหาวิธีเอาตัวรอด ด้วยการเดินทางไปยังเมืองหลวง
พึ่งใบบุญของโอรสสวรรค์ ดังคำกฃ่าวที่ว่า ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด

การเดินทางไปยังเมืองหลวงของมู่หยวนอวี๋ในครั้งนี้ จะช่วยรักษาความลับ
อีกทั้งชีวิตน้อยๆ ของตนเองและชีวิตของคนในครอบครัวไว้ได้หรือไม่

_______________________________

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

บทที่ 1

 

พลบค่ำ

ท่ามกลางแสงสายัณห์ เกล็ดหิมะเกล็ดแล้วเกล็ดเล่าลอยล่องหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ ก่อนค่อยๆร่วงลงมาบนพื้นดิน บนต้นไม้ บนศีรษะของคนเดินถนน หรือไม่ก็บนหลังคามุงแฝก หลังคากระเบื้อง แม้แต่หลังคากระจกก็ล้วนถูกอาบย้อมด้วยความงดงามในเวลาเพียงไม่นาน ความงดงามเหล่านั้นทับซ้อนกันเป็นชั้นๆจนกระทั่งสีขาวเริ่มห่มคลุมไปทั่วบริเวณ

จวนเตียนหนิงอ๋องที่โอ่อ่าเคร่งขรึมตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหิมะแรกของต้นเหมันต์อย่างเงียบสงบ โคมไฟที่ห้อยอยู่ด้านหน้าทับหลังประตูส่องแสงเรืองรองอบอุ่นท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ประตูหลักสีชาดซึ่งฝังมือจับรูปหัวสัตว์ยังคงปิดสนิท มีเพียงประตูข้างฝั่งตะวันตกเท่านั้นที่เปิดแง้มไว้ เหล่าข้ารับใช้ชายที่สวมชุดดำและหมวกใบเล็กห่อตัวอยู่ในมุมข้างบันได กำลังกระทืบเท้า เป่าลมใส่มือเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น

ท้องฟ้ามืดแล้ว อีกทั้งยังมีหิมะตกลงมา ในช่วงเวลาเช่นนี้บนถนนสายยาวหน้าจวนอ๋องจึงไม่มีผู้คนสัญจรไปมาอีก ท่ามกลางความเงียบสงบมองเห็นเพียงหิมะโปรยปรายดุจใยสำลี ทว่าประตูข้างฝั่งตะวันตกบานนั้นก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะถูกปิดลง เหล่าข้ารับใช้เองก็ไม่เข้าไปในห้องเล็กของเรือนบริวาร[1]เพื่อหลบหิมะ คล้ายกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง

สีสันของสรรพสิ่งเริ่มแปรเปลี่ยน เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ ในที่สุดก็มีขบวนม้ากลุ่มหนึ่งควบมาจากปลายทางของถนนสายยาว เสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้นที่ปูเรียงด้วยหินสีเขียวได้ระเบียบดังเป็นจังหวะ เหล่าข้ารับใช้เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็รีบสลัดความหนาวเย็นทิ้ง พากันยื่นคอออกไปมอง

เห็นเพียงว่าม้าที่พุ่งทะยานนำมาหน้าขบวนคือม้าเร็วสีขาวปลอดราวหิมะตัวหนึ่ง ม้าตัวนั้นไม่เหมือนกับม้าสูงใหญ่ที่พบเห็นได้ทั่วไปในจงหยวน ลำตัวของมันเตี้ยสั้น ทว่าเรือนกายกลับแข็งแกร่งงดงาม องอาจไม่เป็นรองม้าทั่วไป อีกทั้งฝีเท้ายังหนักแน่นมั่นคง เพียงแต่ว่าเป็นเพราะขาที่เล็กสั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วศีรษะจึงดูใหญ่โตกว่าอย่างเห็นได้ชัด ยามที่ห้อตะบึงเข้าใกล้จึงเห็นลักษณะซื่อตรงน่ารักอยู่หลายส่วน ช่วยประสานรับขับดันกับเด็กชายบนหลังม้าได้อย่างน่าสนใจ

เด็กชายคนนี้ก็มีร่างเล็กเตี้ยเช่นกัน ดูแล้วอายุไม่เกินสิบเอ็ดสิบสองปี เขาสวมชุดคลุมขนนกสีชาดตัวใหญ่ สวมรองเท้าหนังกวางหุ้มข้อคู่เล็ก ใบหน้ากลมตุ้ยนุ้ย เพราะถูกลมและหิมะรุกราน แก้มทั้งสองข้างที่โผล่พ้นเสื้อคลุมออกมาจึงแดงก่ำ ดวงตาที่อยู่ท่ามกลางลมหิมะก็หรี่เล็กลง แต่กระนั้นก็ยังเห็นได้ว่าเขามีคิ้วที่เข้มและดวงตาที่คมกริบ ผิวพรรณขาวลออ เป็นลักษณะที่โดดเด่นเป็นพิเศษของผู้ที่เกิดและและเติบโตในเจียงหนาน แตกต่างไปจากเหล่าชายฉกรรจ์คนท้องถิ่นซึ่งอยู่ด้านหลังของเขาที่ผิวเป็นสีทองแดง

แม้จะยังอยู่ห่าง แต่เมื่อเหล่าข้ารับใช้เห็นคนกลุ่มนี้เขาก็รีบพุ่งตัวออกมา รอจนเด็กชายที่ควบม้านำหน้าขยับมาใกล้ ความเร็วของฝีเท้าม้าชะลอลง คนที่มีหน้าที่จูงม้าก็เข้าไปจูงม้า คนที่มีหน้าที่ประคองคนก็เข้าไปประคองคน ดูมีระเบียบวินัยและกระตือรือร้นยิ่ง อันที่จริงม้าที่เด็กชายขี่คือม้าเตียนหม่า[2]ซึ่งมีเฉพาะพื้นที่ ขาสั้นแต่ความอดทนเป็นเลิศ ด้วยความสูงของเด็กชายย่อมกระโดดลงจากหลังม้าได้ด้วยตัวเอง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนนิสัยดีไม่น้อยจึงปล่อยให้เหล่าข้ารับใช้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน จากนั้นเขาก็ปลดกระเป๋าผ้าปักลายใบหนึ่งออกจากเอวแล้วโยนไป เอามือกุมใบหน้าเย็นเฉียบของตัวเอง พ่นลมออกมาเสียงดังฟู่ “ข้าก็ไม่รู้ว่ามีเท่าไหร่ ไปแบ่งกันเอาเอง ให้ยุติธรรมหน่อย ห้ามตีกันอีกล่ะ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่กล้าตกรางวัลให้พวกเจ้าอีก”

ข้ารับใช้ที่ประคองเขาซึ่งดูมีอายุคล้ายว่าเป็นหัวหน้าข้ารับใช้กำลังแย้มยิ้มดุจดอกไม้ผลิบาน พลางกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “คราวนั้นเจ้าเด็กสองคนนั่นไม่รู้ความ สร้างความรำคาญแก่ท่านซื่อจื่อ[3] ได้ของรางวัลเป็นเรื่องน่าดีใจจะตายไป คนอื่นให้รางวัลยังไม่รู้จักรับไว้ ดันทะเลาะกันขึ้นมาเสียได้ วันนี้พวกเขาไม่ได้เฝ้าประตูแล้ว เพราะข้าไปรายงานต่อพ่อบ้านหลินเอ้อร์ให้ส่งพวกเขาไปทำความสะอาดคอกม้าสองเดือน จะได้จำไว้เป็นบทเรียน!”

เด็กชายก็คือมู่หยวนอวี๋บุตรชายคนโตของเตียนหนิงอ๋องรุ่นนี้ เรื่องราวเล็กๆน้อยๆอย่างพวกข้ารับใช้ตีกันเองเพราะแย่งของรางวัล เขาย่อมไม่เก็บมาใส่ใจอยู่แล้ว ก็แค่ชวนคุยเพียงหนึ่งประโยค เมื่อได้รับคำตอบจึงพยักหน้ารับอย่างง่ายๆแล้วจึงยกเท้าก้าวเดินเข้าประตูข้างไป

ผู้คุ้มกันที่ติดตามเขาออกเดินทางไปด้วยกันเดินตามมาด้านหลัง พอผ่านประตูเข้ามาแล้วก็แยกย้ายไปอีกทิศทางหนึ่งอย่างคุ้นทางดี

ข้ารับใช้ผู้นั้นรู้จักสังเกตสังกาจึงยัดกระเป๋าผ้าปักลายให้คนที่อยู่ข้างกายแล้วค้อมเอวเดินตามมู่หยวนอวี๋ต่อไป เดินไปพลางพูดไปพลาง “ติงเซียงยังรอซื่อจื่ออยู่ในห้องเล็กนะขอรับ ตอนที่ท่านออกไป อากาศยังดีอยู่เลย พอบ่ายคล้อยกลับฟ้ามืดหิมะตกลงมาเสียอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ท่านจะกลับมาจากอู่ติ้ง ทางฝั่งนั้นจะเตรียมชุดกันฝนไว้ให้หรือไม่ เฮ้อ ดูจากชุดที่ท่านสวมนี่คงตากหิมะมาตลอดทางแน่ๆ”

บนแผ่นดินที่ฟ้าสูงจักรพรรดิอยู่ห่างไกล[4]ผืนนี้ หลายครั้งอำนาจของผู้สูงศักดิ์มักจะเข้ามาแทนที่กฎหมายได้เสมอ นายน้อยที่นิสัยอบอุ่นอ่อนโยนอย่างมู่หยวนอวี๋หาได้ยากยิ่ง ดังนั้นแม้แต่ข้ารับใช้ที่เฝ้าประตูก็ยังกล้าบ่นจู้จี้กับเขา มู่หยวนอวี๋เองก็ชินเสียแล้ว จึงไม่ต่อปากต่อคำ เพียงพยักหน้ารับ แสดงให้รู้ว่ากำลังฟังอยู่ แค่นี้ก็ทำให้บ่าวคนนั้นดีใจเหลือล้น

พอเข้ามาในประตู เขาก็ชิงเดินนำไปสองก้าวอย่างลิงโลดแล้วเคาะประตูห้องเล็กห้องหนึ่งในเรือนบริวาร “พี่ติงเซียง รีบออกมาเร็วเข้า ท่านซื่อจื่อกลับมาแล้ว!”

เดิมทีประตูบานนั้นปิดงับไว้ครึ่งหนึ่ง พอได้ยินเสียงเรียก เด็กสาวรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งก็รีบเดินออกมา นางสวมเสื้ออ่าว[5]ชายสั้นสีม่วงอ่อนกับกระโปรงยาวสีฟ้าแกมเขียว ยามเยื้องย่างอรชรอ้อนแอ้น ตัวคนสมกับชื่อ เหมือนดอกติงเซียง[6]ที่ผลิบานอย่างแท้จริง

ในมือของนางถือร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่ง พอเห็นว่ามู่หยวนอวี๋ยืนตากหิมะก็รีบกางร่มเอาไปบังเหนือศีรษะของเขา ส่วนมืออีกข้างยื่นไปปัดเกล็ดหิมะที่ติดร่างเขาออกพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสารอาทร “เกอเอ๋อร์[7]เห็นว่าหิมะตก ทำไมไม่หาที่หลบแล้วสั่งให้คนนำความมาบอกก่อนล่ะเจ้าคะ ยังจะฝ่าหิมะกลับมา ดูสิดวงหน้าเล็กๆนี่เย็นจนแข็งไปหมดแล้ว เหนียงเหนียง[8]เห็นเข้าต้องปวดใจแน่”

คนผู้นี้คือสาวใช้ใหญ่ขั้นสองข้างกายพระชายาของเตียนหนิงอ๋อง คำเรียกขานเขาจึงแตกต่างจากคนอื่น แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนม มู่หยวนอวี๋เองก็มีท่าทีเคารพนาง เงยหน้าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “กลัวว่าท่านแม่จะรอจนร้อนใจ อีกอย่าง ทางพี่หญิงก็มีข่าวดี ข้าเลยอยากมาบอกท่านแม่ด้วยตัวเอง”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องมีบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เหนือมู่หยวนอวี๋ขึ้นไปยังมีพี่สาวคนโตซึ่งอายุห่างกับเขาถึงสิบห้าปีเต็ม นามว่ามู่จื่อย่วน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกว่างหนันเสี้ยนจู่[9]

กว่างหนันเสี้ยนจู่แต่งงานตั้งแต่เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน นางแต่งงานกับจ่านเหวยต้งบุตรชายคนโตของผู้บัญชาการทหารนครอวิ๋นหนาน

ปีนี้จ่านเหวยต้งเพิ่งจะอายุสามสิบปี กำลังทดสอบเป็นผู้บังคับกองพันอู่ติ้งใต้สังกัดกองบัญชาการทหารนครหลวง ปีหน้าก็ตัดคำว่า “ทดสอบ” นี้ออก เปลี่ยนมาเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ขั้นห้าชั้นกลางอย่างเป็นทางการได้แล้ว อันที่จริงด้วยความดีความชอบทางการทหารที่จ่านเหวยต้งสั่งสมมา ไม่จำเป็นต้องผ่านด่านทดสอบก็เลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับกองพันได้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าผู้บัญชาการจ่าน บิดาของเขาคือผู้ที่เข้มงวดในการสั่งสอนบุตร กลัวว่าคนอื่นจะครหาว่าเขาใช้บารมีของบิดาแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว จึงยืนกรานที่จะรั้งการเลื่อนขั้นของบุตรชายให้ช้าลง

แต่นี่กลับไม่เป็นปัญหาใดๆ บิดาแท้ๆของจ่านเหวยต้งคือผู้กุมตราทัพที่ควบคุมฝ่ายการทหารทั้งหมดของอวิ๋นหนาน พ่อตาคือจวิ้นอ๋อง[10]ต่างแซ่ที่หลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวของราชวงศ์ปัจจุบัน เมื่อเทียบกับพวกเพื่อนร่วมงานของเขาแล้ว การเลื่อนขั้นของเขาในเวลานี้จะช้าหรือเร็วล้วนไม่สำคัญ เลื่อนขั้นช้าหน่อยกลับยิ่งเป็นการวางรากฐานให้มั่นคงมากยิ่งขึ้น

หลังจากที่กว่างหนันเสี้ยนจู่ออกเรือนก็ให้กำเนิดธิดาติดต่อกันถึงสองคน เนื่องด้วยคลอดบุตรถี่เกินไปจึงส่งผลเสียต่อร่างกายเล็กน้อย ต้องบำรุงติดต่อกันมาจนถึงช่วงต้นปี ในที่สุดก็ตั้งครรภ์ได้อีกครั้ง สองวันนี้คือวันที่หมอตำแยคำนวณล่วงหน้าว่าจะเป็นวันคลอดของนาง คาดไม่ถึงว่าจะแม่นยำนัก มู่หยวนอวี๋ออกเดินทางไปในตอนเช้า ตอนเย็นก็กลับมาพร้อมข่าวดี

ข้ารับใช้ถอยออกไป ติงเซียงกางร่มเดินตามเขาเข้าไปด้านใน ได้ยินประโยคนี้แววตาก็เป็นประกาย “เสี้ยนจู่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

ฝีเท้าของมู่หยวนอวี๋แผ่วเบาว่องไว “ปลอดภัยทั้งแม่และลูก”

“โอ้ ช่างดียิ่งนัก เหนียงเหนียงเป็นกังวลอยู่นาน ในที่สุดก็วางใจได้สักที!”

มู่หยวนอวี๋พยักหน้ารับยิ้มๆ “ใช่แล้ว พี่ติงเซียง ข้าจะไปคารวะท่านพ่อก่อน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ท่านพ่ออยู่ในห้องหนังสือหรือเรือนชิงหว่าน”

พอพูดถึงเรื่องนี้ น้ำเสียงของติงเซียงซึ่งเดิมทีร่าเริงเปี่ยมสุขก็พลันลดระดับลงมาสองส่วน นางตอบอย่างติดขัดเล็กน้อย “…เรือนชิงหว่าน”

ดวงตาของมู่หยวนอวี๋ยังคงโค้งยิบหยี “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปที่นั่นกัน”

ติงเซียงตอบรับ ปรายตามองไปยังซีกหน้าด้านข้างของเขาอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง อดลอบถอนใจไม่ได้ ซื่อจื่อน้อยช่างดีขนาดนี้ นิสัยโอบอ้อม ใจกว้าง จัดการเรื่องราวได้อย่างพอเหมาะพอดี ทั้งบุ๋นและบู๊ล้วนตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เมื่อเทียบกับเหล่าคุณชายตระกูลถู่ซือ[11]ที่ทำตัวเหลวไหลไร้หัวคิดแล้วก็ไม่รู้ว่าโดดเด่นกว่าตั้งกี่เท่า แต่ทำไมท่านอ๋องถึงได้…

เฮ้อ

ต่อให้เป็นเดือดเป็นร้อนแทนมากแค่ไหนก็ไม่ใช่สิ่งที่นางซึ่งเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่งจะเอ่ยปากออกไปได้ง่ายๆ ติงเซียงจึงได้แต่กางร่มเดินไปเป็นเพื่อนเขาเงียบๆจนกระทั่งถึงหน้าเรือนชิงหว่าน

สิ่งปลูกสร้างตลอดทั้งจวนอ๋องเน้นความเคร่งขรึมกว้างขวางเป็นหลักเพื่อแสดงให้เห็นถึงบรรยากาศของความเป็นตระกูลอ๋องอย่างเต็มที่ มีเพียงสถานที่แห่งนี้เท่านั้นที่แตกต่างออกไป ผนังฉาบปูนหน้าต่างฉลุลาย ยามแสงลอดผ่านจึงเกิดเป็นเงาบุปผาและต้นหลิ่ว ของตกแต่งมากมายที่ถูกจัดวางเอาไว้ล้วนงามประณีตเหมือนถูกย้ายมาจากสวนดอกไม้ที่ใดที่หนึ่งของเจียงหนานซึ่งห่างไกลออกไปนับพันหลี่

สาวใช้ที่เดินออกมารับหน้ามีเรือนกายเล็กเตี้ย หน้าตางดงาม นางยอบกายคารวะแล้วกล่าวด้วยเสียงอ่อนหวาน “ขอซื่อจื่อโปรดรอสักครู่ บ่าวจะนำความไปแจ้งเดี๋ยวนี้”

สาวใช้นางนั้นหมุนกายเยื้องย่างจากไป ติงเซียงเบ้ปากใส่แผ่นหลังของอีกฝ่าย ด้วยบุคลิกสุภาพสง่างามของนาง กิริยาเช่นนี้จึงดูไม่ค่อยเหมาะสมกับนางนัก ยิ่งคำพูดที่หลุดจากปากก็ยิ่งตรงข้ามกับนิสัยของนางอย่างสิ้นเชิง “คนตัวเตี้ย ไส้พับทั้งท้อง[12]

มู่หยวนอวี๋หลุดหัวเราะพรืด

สาวใช้หลายคนข้างกายมารดาของเขาล้วนยอดเยี่ยมกันทั้งนั้น

สาวใช้ที่ออกมารับหน้าเมื่อครู่นี้คือสาวใช้ใหญ่ข้างกายหลิ่วฮูหยินผู้เป็นนายของเรือนชิงหว่าน นางไม่ได้มีความแค้นที่จริงจังอะไรกับติงเซียง แต่ที่ไม่บังเอิญเลยก็คือสาวใช้ผู้นั้นชื่อเจี๋ยเซียง อักษรตัวหนึ่งเหมือนกับชื่อติงเซียง อันที่จริงชื่อนี้หลิ่วฮูหยินไม่ได้เป็นคนตั้ง แต่เกิดจากความต้องการของเตียงหนิงอ๋องที่บอกว่า ให้ชื่อนี้เป็นการระลึกถึงเรื่องที่เขากับหลิ่วฮูหยินได้ผูกบุพเพสันนิวาสเข้าด้วยกันที่ข้างกอดอกเจี๋ยเซียง[13] หากคำพูดที่แสร้งให้ฟังดูสวยงามนี้ลอยตามลมสิบหลี่ไปเข้าหูคนของพระชายาจะเป็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้ติงเซียงจึงไม่ค่อยชอบหน้าเจี๋ยเซียงนัก ทว่าที่ไม่ชอบถึงขั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมพูดด้วย ถึงขั้นเมื่อเจี๋ยเซียงหันหลังให้ก็ทำหน้าเย้ยหยันด่าใส่กลับยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง

“ซื่อจื่อ”

เพียงไม่นานเจี๋ยเซียงก็กลับออกมา บนใบหน้ามีแววขออภัย “ท่านอ๋องพักผ่อนแล้ว กล่าวว่าทราบแล้ว ฟ้ามืดเต็มที ขอให้ซื่อจื่อไปพบพระชายาแทน เหนียงเหนียงต้องรอท่านอยู่แน่”

ความหมายนี้ก็คือไม่ต้องการให้มู่หยวนอวี๋เข้าไปพบในห้อง

มู่หยวนอวี๋เคยชินกับการปฏิบัติเช่นนี้มานานแล้ว สีหน้าของเขาจึงไม่แปรเปลี่ยน หลังจากยืนฟังเงียบๆอยู่ภายใต้ร่มกำบังหิมะจนจบก็ตอบกลับว่า “ได้ มีเรื่องหนึ่งจะแจ้งให้ท่านพ่อทราบ วันนี้ยามเที่ยงสองเค่อพี่หญิงใหญ่คลอดบุตรชายคนหนึ่ง น้ำหนักห้าจินสองตำลึง ปลอดภัยทั้งแม่และลูก”

เจี๋ยเซียงอึ้งงันก่อนจะรีบคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแสดงความยินดีกับเสี้ยนจู่แล้ว ขอซื่อจื่อโปรดรอสักครู่ บ่าวจะไปแจ้งท่านอ๋องเดี๋ยวนี้”

“ไม่ต้องหรอก” มู่หยวนอวี๋รั้งนางไว้ “ในเมื่อท่านพ่อพักผ่อนแล้ว พรุ่งนี้ข้าค่อยมาคารวะใหม่ก็ได้”

เจี๋ยเซียงลังเลเล็กน้อย “ซื่อจื่อ…จะไม่รอสักหน่อยหรือ บางทีท่านอ๋องอาจอยากรู้รายละเอียดเรื่องของเสี้ยนจู่ อันที่จริงเมื่อครู่นี้ฮูหยินของพวกเราก็ช่วยพูดโน้มน้าวให้…”

มู่หยวนอวี๋ส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่รบกวนท่านพ่อแล้ว”

ท่าทางของเขาไม่สะทกสะท้าน กลับเป็นติงเซียงที่จ้องนางด้วยแววตากรุ่นโกรธ เม้มปากพูดเบาๆ “ถุย ใครอยากจะขอให้เจ้าช่วย!”

นี่ก็คือสาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ติงเซียงเกลียดเจี๋ยเซียง เวลาที่มู่หยวนอวี๋มาเยี่ยมทักทายเตียนหนิงอ๋อง สิบครั้งมักจะมีถึงหกเจ็ดครั้งที่ไม่ได้พบ และเก้าในสิบครั้งของผู้ที่ออกมาแจ้งคำตอบก็คือเจี๋ยเซียง นางคือสาวใช้ใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลงานทั้งหมดข้างกายหลิ่วฮูหยิน โดยทั่วไปแล้วหากเป็นคนอื่นก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้ถ่ายทอดถ้อยคำของพ่อลูกที่สูงศักดิ์ที่สุดในจวนอ๋องแห่งนี้

หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว อันที่จริงเรื่องนี้จะโทษเจี๋ยเซียงก็ไม่ถูก เตียนหนิงอ๋องต้องการพบบุตรชายหรือไม่ นางที่เป็นเพียงสาวใช้จะมีสิทธิ์ตัดสินใจได้อย่างไร แต่ทุกครั้งล้วนเป็นนางที่ต้องรับบทคนชั่วนี้ เป็นธรรมดาที่ติงเซียงจะโกรธนาง

เสียงของติงเซียงเบามาก แต่มู่หยวนอวี๋ที่อยู่ติดกับนางกลับยังคงได้ยิน จึงดึงมือนาง “พี่ติงเซียง ข้าเริ่มหนาวแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”

ได้ยินเขาพูดว่าหนาว ติงเซียงจึงละวางความขุ่นเคืองแล้วรีบกล่าวว่า “เจ้าค่ะ”

มู่หยวนอวี๋จึงหมุนกายจากไป

 

 

[1] เรือนบริวาร หรือ 倒座房คือเรือนติดประตูกำแพงชั้นนอกของสิ่งปลูกสร้างแบบซื่อเหอย่วน 四合院ใช้เป็นห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นนอกบ้าน

[2] พันธุ์ม้าประจำท้องถิ่นอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ซึ่งคำว่า “เตียน” เป็นคำเรียกพื้นที่แถบอวิ๋นหนาน (มณฑลยูนนาน) ของจีนในปัจจุบัน ม้าเตียนหม่าเป็นพาหนะสำคัญในแถบเส้นทางสายไหมทางตอนใต้ (ตั้งแต่ทิเบต ซื่อชวน (เสฉวน) อวิ๋นหนาน มาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงภูฏานและรัฐสิกขิมของประเทศอินเดีย) ด้วยลักษณะพิเศษคือสันฐานมั่นคง มีกำลังกายและความอดทนสูง เหมาะต่อการเดินทางบนภูเขาสูงชันอันตราย

[3] ซื่อจื่อหมายถึงผู้สืบทอด ลูกชายผู้ที่จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากพ่อ

[4] เดิมหมายถึงสถานที่กันดารที่อำนาจของฝ่ายกลางเข้าไม่ถึง ปัจจุบันหมายถึงองค์กรเล็กที่อยู่ห่างจากองค์กรแม่ เวลาพบเจอปัญหามักจะตัดสินใจเอง ไม่ถูกผูกมัด

[5] เสื้ออ่าวคือเสื้อตัวนอกสำหรับหน้าหนาว แขนเสื้อกว้างแล้วสอบเข้าตรงข้อมือ สวมด้วยวิธีใช้สาบเสื้อทับกันหรือผ่าหน้ากลัดกระดุม มีทั้งเสื้อแบบตัวสั้นและแบบตัวยาวที่คลุมถึงเข่า

[6] ชื่อดอกไม้ชนิดหนึ่งของจีน ดอกสีม่วงและสีขาว มีกลิ่นหอม ใบอ่อนใช้ทำเป็นยาได้

[7] คำเรียกขานเด็กผู้ชายในสมัยโบราณ

[8] คำเรียกฮองเฮาหรือพระสนมในสมัยโบราณ

[9] เสี้ยนจู่ ย่อมาจาก เสี้ยนกงจู่ คือพระธิดาในอ๋อง เทียบได้กับ “เจ้าฟ้า”

[10] จวิ้นอ๋อง เป็นตำแหน่งรองจากอ๋อง

[11] ตำแหน่งหัวหน้าชนเผ่ากลุ่มน้อยที่ราชวงศ์มอบให้แก่หัวหน้าเผ่าต่างๆเพื่อให้ช่วยปกครองและดูแลคนของชนเผ่านั้นๆต่างพระเนตรพระกรรณฮ่องเต้

[12] หากดูตามความหมายโดยตรงของประโยคคือ ระดับความยาวของลำไส้ทุกคนล้วนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่คนตัวเตี้ยที่เนื่องจากพื้นที่ในช่องท้องมีน้อย ลำไส้ที่อยู่ด้านในจึงต้องพับทบโค้งไปโค้งมา ทว่าความหมายแฝงที่แท้จริงคือ คนตัวเตี้ยมีเล่ห์อุบายเยอะ ในท้องมีแต่ความคิดชั่วร้าย เป็นคำด่าอย่างหนึ่ง

[13] ดอกไม้ชนิดหนึ่งของจีน เป็นช่อสีขาวแซมเหลือง และเจี๋ยก็แปลว่าผูก แปลว่าปม

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า