ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง
王女韶华
溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน
ภวิษย์พร แปล
— โปรย —
มู่หยวนอวี๋ ซื่อจื่อน้อยแห่งนครอวิ๋นหนาน
แม้อายุอย่างน้อย แต่กลับกุมความลับที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลเอาไว้
หากความลับที่ว่านี้แพร่งพรายออกไป ไม่เพียงจะนำภัยมาถึงตน
คนรอบกายอย่างบิดาและมารดาย่อมไม่อาจรอดพ้น
เมื่อวันเวลาผันผ่าน บิดาไม่คิดปกป้อง
ซื่อจื่อน้อยย้อมต้องหาวิธีเอาตัวรอด ด้วยการเดินทางไปยังเมืองหลวง
พึ่งใบบุญของโอรสสวรรค์ ดังคำกฃ่าวที่ว่า ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด
การเดินทางไปยังเมืองหลวงของมู่หยวนอวี๋ในครั้งนี้ จะช่วยรักษาความลับ
อีกทั้งชีวิตน้อยๆ ของตนเองและชีวิตของคนในครอบครัวไว้ได้หรือไม่
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
บทที่ 2
เรือนชิงหว่าน ในห้องปีกข้างฝั่งตะวันตก
บนเตียงหลัวฮั่นที่ทำจากไม้จื่อถานแกะสลักลวดลายตัวชือ[1]ซึ่งตั้งอยู่ใต้หน้าต่างปูพรมผ้าปักดิ้นสีแดงสดเอาไว้ เตียนหนิงอ๋องที่สวมชุดลำลองซึ่งเป็นชุดคลุมนักพรตเต๋าสีดำกำลังนั่งเอนหลังอยู่บนเตียง หรี่ตาลงน้อยๆด้วยท่าทางผ่อนคลาย มือข้างหนึ่งวางไว้บนโต๊ะตัวเล็กที่ตั้งอยู่ตรงกลาง
ข้างเตียงมีสาวงามคนหนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดอ่าวตัวยาวสีแดงอ่อนสาบเสื้อเปิดอ้า รวบผมเป็นมวยเรียบง่าย ปักปิ่นไข่มุกหนึ่งอัน นางกำลังทุบไหล่ให้เตียนหนิงอ๋องเบาๆ ทุกครั้งที่มือของนางขยับ ไข่มุกบนปิ่นก็จะส่ายไหวเบาๆตามไปด้วย ด้านล่างเตียงวางโคมวังหลวง[2]ไว้หนึ่งดวง แสงโคมตัดสลับกับประกายแสงของไข่มุก ขับให้สาวงามยิ่งงามชดช้อยน่าหลงใหลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
สาวงามคนนี้ก็คือหลิ่วฮูหยินซึ่งนับตั้งแต่เข้าจวนอ๋องมาก็ได้รับความรักความโปรดปรานไม่เสื่อมคลาย เมื่อเจี๋ยเซียงเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วก้าวเข้ามารายงานเรื่องกว่างหนันเสี้ยนจู่อีกครั้ง นางก็หยุดมือพลางเหลือบตามองสีหน้าของเตียนหนิงอ๋องอย่างระแวดระวัง
เห็นเพียงว่าเขาลืมตา เลิกคิ้วสูง และมุมปากยกยิ้ม
เห็นได้ชัดว่านี่คือสีหน้าของความปีติยินดี หลิ่วฮูหยินจึงเอ่ยถามเจี๋ยเซียงด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “มีข่าวดีแบบนี้ ทำไมไม่เข้ามาบอกแต่แรก ซื่อจื่อล่ะ ยังไม่รีบเชิญให้เข้ามาเล่ารายละเอียดอีก ผู้หญิงคลอดลูกเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ไม่รู้ว่าเสี้ยนจู่เจอกับอันตรายอะไรบ้างหรือไม่”
นางพูดพลางคอยสังเกตเตียนหนิงอ๋องไปด้วย เห็นว่าถึงแม้เขาจะไม่ได้พยักหน้าตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ นี่ก็คือการยอมรับโดยปริยาย หลิ่วฮูหยินลอบผ่อนลมหายใจ หันไปมองเจี๋ยเซียง สายตาฉายแววเร่งรัด
เจี๋ยเซียงเข้าใจสีหน้าของคนเป็นนาย แต่กลับไม่ได้ทำตามคำสั่ง พูดเสียงเบาว่า “พอซื่อจื่อได้ยินว่าท่านอ๋องพักผ่อนแล้วก็กลับไป…”
มุมปากของเตียนหนิงอ๋องลู่ลง ความยินดีที่เพิ่งปรากฏหายวับไม่มีเหลือ
หลิ่วฮูหยินเผยอปากอยากพูดอะไรบางอย่างเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ แต่ก็ไม่รู้จะพูดเช่นไร เวลานี้เป็นช่วงใกล้มื้อค่ำ ยังอยู่ห่างจากช่วงเวลาพักผ่อนตามปกติของเตียนหนิงอ๋องอีกนานนัก ก่อนหน้านี้ที่เตียนหนิงอ๋องพูดเช่นนั้นก็เป็นแค่ข้ออ้างเพราะไม่อยากเจอหน้าบุตรชายเท่านั้น และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ในใจของบิดาและบุตรทั้งสองต่างก็รู้กันดี แต่สถานการณ์อย่างในวันนี้ ซื่อจื่อกลับมาพร้อมกับข่าวดี ทั้งๆที่มีโอกาสเข้ามาคารวะทักทาย ทว่าเขากลับหมุนตัวจากไปอย่างไม่ลังเล…
แม้จะบอกว่าเป็นความต้องการของเตียนหนิงอ๋องเอง แต่หากมองจากมุมของตนแล้วคงหนีไม่พ้นความรู้สึกว่าถูกบุตรชายหักหน้า
ความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากร่างของเตียนหนิงอ๋องในเวลานี้ยิ่งยืนยันได้อย่างชัดเจน
ในห้องตกสู่ความเงียบ เจี๋ยเซียงรู้สึกได้ว่าบรรยากาศผิดปกติจึงกระวนกระวายใจเล็กน้อย นางอ้าปากจะพูดว่า “ซื่อจื่อยังไปได้ไม่ไกล บ่าวไปเชิญเขากลับมาดีหรือไม่” แต่คำพูดยังไม่ทันหลุดออกจากปาก หลิ่วฮูหยินที่สังเกตเห็นนางเข้าเสียก่อนจึงชิงพูดว่า “ข้างนอกให้คนจัดสำรับอาหารเย็นไว้หรือยัง
เจี๋ยเซียงกลืนคำพูดกลับลงไป เปลี่ยนมาพูดว่า “…สั่งให้คนไปที่ห้องครัวแล้ว อีกไม่นานน่าจะกลับมาเจ้าค่ะ”
หลิ่วฮูหยินพยักหน้ารับแล้วจึงหันไปถามเตียนหนิงอ๋องเสียงอ่อนหวาน “ท่านอ๋อง อนุภรรยาจะออกไปดูสักหน่อย หากเรียบร้อยแล้ว จะมาเชิญท่านอ๋องย้ายห้องไปรับประทานอาหาร”
เตียนหนิงอ๋องหลุบเปลือกตาลงต่ำ ส่งเสียง “ฮึ” หนึ่งทีอย่างเสียไม่ได้
หลิ่วฮูหยินจึงเดินนำเจี๋ยเซียงออกไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
พอทิ้งม่านผ้าแพรหนาหนักลง สีหน้าอ่อนโยนของหลิ่วฮูหยินก็แปรเปลี่ยนมาเป็นความอ่อนใจ
เจี๋ยเซียงยังมีสองเรื่องที่ไม่เข้าใจจึงกดเสียงพูดให้เบาลง “ฮูหยิน เหตุใดถึงไม่ให้ข้าไปเชิญซื่อจื่อกลับมา มีข่าวดีของเสี้ยนจู่อยู่ หาได้ยากนักที่ท่านอ๋องจะอารมณ์ดี ซื่อจื่อย่อมต้องรับน้ำใจของฮูหยิน…”
หลิ่วฮูหยินส่ายหน้า “หากซื่อจื่อยังไม่กลับไปก็ว่าไปอย่าง แต่นี่คนก็จากไปแล้ว จะให้ไปเรียกกลับมาอีกก็เห็นจะไม่ใช่เรื่อง”
เจี๋ยเซียงได้ยินอย่างนี้ก็พอจะเข้าใจได้ แต่นางอายุยังน้อย รับตำแหน่งเป็นคนสนิทของฮูหยินได้ไม่นานนัก ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงคลื่นใต้น้ำที่ถูกอำพรางอยู่ภายใต้เกียรติศักดิ์ของจวนเตียนหนิงอ๋องแห่งนี้ ความไม่เข้าใจจึงมีมากกว่า เลยพึมพำว่า “เป็นพ่อลูกสายเลือดเดียวกันแท้ๆ อีกทั้งท่านอ๋องยังมีบุตรชายอยู่แค่คนเดียว แม้แต่ที่ให้ลำเอียงก็ยังไม่มี แล้วทำไมถึงยังต้องคิดเล็กคิดน้อยกันถึงขนาดนี้”
หลิ่วฮูหยินถอนหายใจเบาๆ “เจ้าถามข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะไปถามใคร…”
หลิ่วฮูหยินคือคนเมืองกูซูแห่งเจียงหนาน เกิดมาพร้อมบุคลิกอ่อนโยนนุ่มนวล เพียงมีความกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้า เจี๋ยเซียงที่เป็นผู้หญิงด้วยกันยังอดสงสารไม่ได้ นางเดินตามหลังหลิ่วฮูหยินไปทางประตูได้สองก้าวก็เอ่ยปลอบว่า “ช่างเถิด วันหน้าฮูหยินก็ไม่ต้องไปสนใจเรื่องพวกนั้นแล้ว สนไปก็ล้วนแต่เปลืองแรงเปล่า ทั้งไม่มีประโยชน์ แล้วก็ไม่มีใครรับน้ำใจฮูหยิน เมื่อครู่ตอนที่ข้าออกไปบอกให้ซื่อจื่อรอสักครู่ ติงเซียงคนข้างกายพระชายาที่ตามซื่อจื่อมายังพูดจาแขวะข้า ข้าก็หวังดีไม่ใช่หรือไง”
หลิ่วฮูหยินได้ยินแล้วกลับไม่โกรธ กล่าวอย่างใจกว้างว่า “นางคือคนข้างกายของพระชายา เห็นเจ้าย่อมไม่ถูกชะตาเป็นธรรมดา เจ้าแค่อดทนก็พอแล้ว ซื่อจื่อคงไม่ได้พูดอะไรกระมัง”
เจี๋ยเซียงพยักหน้ารับ “ซื่อจื่อยังเกรงใจเหมือนเดิม แต่หากเขายอมรออีกสักหน่อยก็คงดีกว่านี้”
หลิ่วฮูหยินยกมือเลิกม่านบังตาขึ้น มองไปยังเกล็ดหิมะที่ตกถี่อยู่นอกระเบียงพลางพูดเบาๆ “เจ้าไม่เข้าใจ ท่านอ๋องไม่อยากเจอซื่อจื่อ แต่พอไม่ได้เจอจริงๆกลับอารมณ์ไม่ดี ทางที่ดีที่สุดคือไม่ต้องพบเจอ ทว่าซื่อจื่อกลับกตัญญูต่อบิดามารดาจากใจจริง ใจท่านอ๋องจึงคิดแต่จะให้ซื่อจื่อขอร้องตัวเอง พร้อมปรนนิบัติรับใช้ด้วยความยินดี ท่านอ๋องถึงจะสบายอารมณ์ แต่ซื่อจื่อไม่ใช่ข้ารับใช้ ไยต้องมาเป็นที่รองรับอารมณ์ให้คนอื่น เขาจะก้มหัวก็ได้ แต่จะไม่ก้มก็ได้ ท่านอ๋องเองก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี”
เจี๋ยเซียงเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็คล้ายจะไม่เข้าใจ “ที่ฮูหยินพูดมาก็ถูก ไม่เคยเห็นซื่อจื่อทำอะไรผิดมาก่อนจริงๆ ไม่รู้ว่าทำไมท่านอ๋องถึงเป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เหตุใดฮูหยินยังต้องคอยเป็นตัวกลางประสานความสัมพันธ์ให้พวกเขาด้วยเล่าเจ้าคะ”
บนใบหน้าหลิ่วฮูหยินมีรอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง “ท่านอ๋องกับซื่อจื่อเป็นอย่างไร ล้วนเป็นเรื่องของพวกเขา ส่วนข้าทำอะไร ก็เป็นเรื่องของข้า”
เจี๋ยเซียงรู้ว่าเจ้านายที่ตัวเองติดตามภายนอกเป็นคนอ่อนโยน แต่ภายในกลับเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง จึงเก็บคำบ่นลงไป หันกลับมาพูดคล้อยตาม “ฮูหยินใจกว้าง ยังดีที่ไม่ถือว่าทุ่มใจไปเสียเปล่าทั้งหมด ยามที่ซื่อจื่อพบฮูหยินยังนับว่ามีมารยาทมากเป็นพิเศษ แต่ทางเรือนตะวันตกนั้น ซื่อจื่อกลับไม่คิดจะสนใจไยดี”
เรือนตะวันตกที่นางพูดถึงคือที่พักอาศัยของฮูหยินอีกคนแห่งจวนเตียนหนิงอ๋อง ฮูหยินผู้นั้นแซ่เมิ่ง อายุเยอะกว่าหลิ่วฮูหยินหลายปี เรือนที่พักอาศัยก็ดี เป็นรองแค่เรือนหรงเจิ้งที่พระชายาเตียนหนิงอ๋องพักอาศัยเท่านั้น
ปีนั้นหลังจากหลิ่วฮูหยินเข้าจวนมา เตียนหนิงอ๋องได้นางก็เหมือนคนที่ได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าที่สุด เมื่อเห็นว่าพื้นที่ว่างที่เหลืออยู่ในจวนอ๋องกว้างใหญ่ล้วนไม่เข้าตา จึงมีความคิดว่าจะให้เมิ่งฮูหยินหลีกทาง แม้เมิ่งฮูหยินจะเป็นอนุภรรยา แต่จะดีจะชั่วก็มีบรรดาศักดิ์ อีกทั้งยังให้กำเนิดบุตรสาวสองคนแก่เตียนหนิงอ๋อง บิดาของนางยังเป็นขุนนางตำแหน่งไม่เล็กไม่ใหญ่ ไหนเลยจะยอมเสียหน้า จึงโวยวายอย่างไม่ยินยอม
หลิ่วฮูหยินเพิ่งจะเข้าจวน ไม่อยากมีปัญหากับผู้อาวุโส จึงเป็นฝ่ายเกลี้ยกล่อมให้เตียนหนิงอ๋องถอยหนึ่งก้าว เตียนหนิงอ๋องก็ยอมเชื่อฟังคำโน้มน้าวของนาง เพียงแต่ว่ายิ่งซาบซึ้งในความรู้มารยาทของนางยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงไม่ได้บอกให้เมิ่งฮูหยินย้ายออกอีก แต่กลับเลือกสถานที่อีกแห่งหนึ่ง รื้อถอนเรือนทั้งหมดทิ้งแล้วปลูกสร้างเรือนใหม่อีกครั้ง
เดิมทีเชื้อสายของเตียนหนิงอ๋องนี้ก็เป็นชาวฮั่นที่ย้ายมาจากจงหยวน เพียงแต่ว่าคนหลายรุ่นก่อนได้ให้กำเนิดลูกหลานอยู่ที่ชายแดนใต้ การกลมกลืนไปกับวัฒนธรรมท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ รูปแบบของสิ่งปลูกสร้างและการตกแต่งจึงได้รับอิทธิพลเหล่านั้นมาด้วย เกิดเป็นความแตกต่างจากรูปแบบของจงหยวน เพื่อคลายความคิดถึงบ้านเกิดของอนุภรรยาที่รัก เตียนหนิงอ๋องถึงกับไม่เสียดายเงินทอง ยอมขนช่างและวัสดุมากมายจากเจียงหนานอันเป็นบ้านเกิดของหลิ่วฮูหยินมาถึงที่นี่ ใช้เวลาไปมาก ในที่สุดก็สร้างเรือนชิงหว่านที่เล็กกะทัดรัดแต่งามประณีตแห่งนี้ได้สำเร็จ
เมื่อเรือนชิงหว่านสร้างเสร็จ หลิ่วฮูหยินก็นั่งอยู่บนตำแหน่งคนโปรดได้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกันปมแค้นที่ผูกกับทางฝ่ายของเมิ่งฮูหยินก็กลายเป็นเงื่อนตายไปอย่างสมบูรณ์
พอได้ยินเจี๋ยเซียงพูดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มของหลิ่วฮูหยินก็จางไป แต่ปากกลับพูดว่า “อย่าพูดเหลวไหล ข้าไม่หวังจะข่มคนอื่น หวังเพียงว่าซื่อจื่อจะไม่ฟังคำยุแยงจากคนถ่อยจนเข้าใจข้าผิดก็พอ”
เจี๋ยเซียงเข้าใจความหมายของนางได้เป็นอย่างดี เตียนหนิงอ๋องอายุใกล้จะห้าสิบปีแล้ว ทว่าหลิ่วฮูหยินเพิ่งจะสามสิบ สามีแก่อนุสาว ทั้งสองคนอายุห่างกันมากขนาดนี้ อีกทั้งร่างกายของเตียนหนิงอ๋องก็ไม่ได้แข็งแรงสักเท่าไหร่ เนื่องด้วยในอดีตเคยป่วยหนักครั้งใหญ่ แม้จวนอ๋องจะไม่ขาดแคลนหมอเทวดาหรือยาวิเศษจึงค่อยๆรักษาตัวกลับมาได้ แต่ถึงกระนั้นก็เสียพลังชีวิตต้นกำเนิดไปบางส่วน ตอนนี้หลิ่วฮูหยินอาจจะมีเกียรติรุ่งโรจน์ แต่ช่วงบั้นปลายชีวิตในอนาคตจะเป็นอย่างไร เกรงว่าเตียนหนิงอ๋องคงดูแลนางไม่ได้อีก กลับกลายเป็นซื่อจื่อน้อยคนนั้นที่น่าจะช่วยนางได้มากยิ่งกว่า
เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่กระนั้นเจี๋ยเซียงก็ยังอดถอนหายใจไม่ได้อยู่ดี “หากฮูหยินมีนายน้อยเป็นของตัวเองก็คงดี มีคนให้คอยดูแลเอาใจใส่ ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้อีก”
“…”
ในดวงตาของหลิ่วฮูหยินมีแววซับซ้อนยากวิเคราะห์วูบผ่านไป เป็นแววตาที่ไม่ว่าอย่างไรเจี๋ยเซียงก็ไม่อาจเข้าใจ แต่เป็นเพราะหลิ่วฮูหยินก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว นางจึงไม่มีโอกาสที่จะเห็นแววตานั้นได้ทัน นางเห็นเพียงว่าหลิ่วฮูหยินก้มมองหน้าท้องที่แบนราบของตัวเองแวบหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าหรือจะไม่คิด แต่ข้าอายุปูนนี้แล้ว…”
นางส่ายหน้า “ช่างเถอะ ยังดีที่ซื่อจื่ออ่อนโยนรู้มารยาท ไม่ใช่คนใจคอโหดเหี้ยม”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่สำหรับการเป็นที่โปรดปรานมาสิบกว่าปีทว่ายังไร้บุตร ลึกๆในใจก็ใช่ว่าหลิ่วฮูหยินจะไม่เสียดาย เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าจึงสลายไปพร้อมกับความผิดหวัง
พอพูดจบ เจี๋ยเซียงที่ปากมากจนไปสะกิดปมซึ่งทำให้เจ้านายเศร้าใจก็เสียใจภายหลังทันที ยังดีที่มองเห็นกลุ่มสาวใช้สวมชุดปี่เจี่ย[3]เดินมาตามระเบียง ในมือพวกนางบ้างก็ประคองถาด บ้างก็ถือกล่องบรรจุอาหารที่ไปรับมาจากห้องครัวเล็ก จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฮูหยิน อาหารเย็นพร้อมแล้ว ท่านไปยืนข้างในเถอะเจ้าค่ะ ตรงนี้เป็นช่องลมพอดี เดี๋ยวผ้าม่านพัดขึ้นจะถูกไอเย็นเอาได้”
เตียนหนิงอ๋องยังอยู่ในห้อง หลิ่วฮูหยินเองก็ไม่อยากจะจมอยู่ในภวังค์แห่งความกังวลตรงนี้จึงพยักหน้ารับแล้วเดินห่างจากม่านบังตา ก้าวเท้าเบาๆเข้าไปข้างใน
[1] ชือ 螭 คือมังกรที่ไม่มีเขาในเทพนิยายของจีน
[2] โคมหกเหลี่ยม หรือแปดเหลี่ยม ทุกด้านบุผ้าแพรหรือกระจกวาดภาพสี ด้านล่างมีพู่ห้อย เดิมทีใช้ในวังหลวง จึงเป็นที่มาของชื่อ “โคมวังหลวง”
[3] เสื้อยาวครึ่งตัวบน สาบเสื้อเปิดอ้าต้องกลัดกระดุม ไม่มีแขน ไม่มีคอ คล้ายเสื้อกั๊กในสมัยปัจจุบัน