ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง
王女韶华
溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน
ภวิษย์พร แปล
— โปรย —
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
บทที่ 50
ตอนที่เข้าไปในจวนสืออ๋องและได้พบกับจูจิ่นเซินอีกครั้ง เขาเพิ่งจะเลิกเรียนกลับมาจากตำหนักหน้า ตำราบันทึกพิธีการเล่มหนึ่งถูกโยนไว้ตรงมุมโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ เขานั่งตัวตรงอยู่ใต้หน้าต่าง มือซ้ายถือตำราหมากล้อมกลางเก่ากลางใหม่ดูเปื่อยยุ่ยเล่มหนึ่ง โถเก็บเม็ดหมากสีดำและสีขาวสองโถต่างก็วางอยู่ข้างมือ มืออีกข้างหนึ่งของเขาวางทาบไว้ด้านบนโถเก็บเม็ดหมาก เขาขยับมือเข้าไปคีบเม็ดหมากออกมาเป็นระยะเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด เมื่อเคลื่อนสายตาออกจากตำราในขณะที่จะวางเม็ดหมากลงไปบนกระดานก็เห็นว่าตัวเองคีบหมากผิดสี จึงโยนตัวหมากกลับคืนลงไปอย่างเบามือ
เกิดเสียงดัง “ติ๊ง” เบาๆหนึ่งครั้งมาจากด้านในโถหยกสีเขียว
และมู่หยวนอวี๋ก็เดินเข้ามาในขณะเกิดเสียงนั้น
แล้วจึงคำนับทักทาย “คารวะองค์ชาย องค์ชายดื่มยาหรือยัง”
หลินอันที่เดินนำนางเข้ามาและเลิกผ้าม่านให้รีบหันมามองด้วยสายตาซาบซึ้งใจทันที…เป็นคนดียิ่งนัก!
เมื่อเทียบกันแล้ว ดวงตาดำขลับที่เหลือบมองขึ้นมาของจูจิ่นเซินกลับยากจะคาดเดา
“…” มู่หยวนอวี๋รีบเปลี่ยนคำพูด “พูดผิดๆ ข้าแค่อยากถามว่าองค์ชายกินอะไรหรือยัง ข้ามาในเวลานี้ไม่รู้ว่ารบกวนเวลาอาหารขององค์ชายหรือไม่”
พลาดแล้วแท้ๆ นางไม่ได้อยากจะเข้ามาถึงก็สร้างความรำคาญใจให้อีกฝ่ายทันทีเสียหน่อย ทั้งหมดเป็นเพราะหลินอันที่เอาแต่บ่นกับนางเรื่องยา แถมก่อนที่จะเข้ามานางยังพูดถึงด้วย พอเข้ามาเลยหลุดปากถามไปโดยปริยาย
จูจิ่นเซินวางตำราหมากในมือลง “ยังไม่ได้กิน อาหารของข้ารสชาติค่อนข้างจืด เจ้าชอบกินอะไรก็บอกหลินอันเอาเองแล้วกัน”
มู่หยวนอวี๋ทำหน้าเมื่อย นี่นึกว่านางมาขอข้าวกินหรือไง แต่เขาจะเข้าใจแบบนี้ก็ไม่แปลก…นางเดินเล่นมาเกือบครึ่งวัน เพิ่งจะมาเอาป่านนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะมาให้ตรงกับเวลากินข้าวพอดีหรอกหรือ หาไม่แล้วตอนที่นางเข้ามาคงไม่เปิดปากถามจูจิ่นเซินทันทีว่า “ดื่มยา” หรือยัง
จึงต้องอธิบายว่า “ไม่กล้ารบกวนองค์ชาย ข้ามาคราวนี้เพราะมีเรื่องสำคัญจะรายงาน…ขอองค์ชายโปรดอ่าน”
หยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ ส่งให้หลินอัน หลินอันก็รับแล้วส่งต่อไปอีกที
จูจิ่นเซินรับมาถือไว้ในมือ ไล่สายตาอ่านว่องไว
มู่หยวนอวี๋ยืนอยู่ด้วยความกระอักกระอ่วน ช่วยไม่ได้ เรื่องนี้นางไม่ใช่ฝ่ายถูก ก่อนหน้านี้เรื่องก็แพร่สะพัดไปจนพวกขุนนางรับรู้กันหมด จูจิ่นเซินใจกว้างไม่คิดบัญชีย้อนหลังกับนาง แต่คราวนี้กลับดีนัก มาเป็นบทความเลยทีเดียว…บอกเล่ากันปากต่อปากมีน้ำหนักไม่เท่ากับเป็นลายลักษณ์อักษร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่ยังเป็นหนังสือร้องเรียนอย่างเป็นทางการ และมีความเป็นไปได้มากว่าจะกลายมาเป็นรายงานฉบับย่อ เมื่อถึงเวลานั้นผลงานอันทรงเกียรติของนางก็อาจจะถูกส่งไปตามจุดพักม้าจนรับรู้กันทั่วหล้า…
ภาพเหตุการณ์นั้นงดงามจนนางไม่กล้าจินตนาการถึง
จูจิ่นเซินอ่านจบก็วางจดหมายฉบับนั้นไว้บนโต๊ะ นิ้วเรียวยาวชี้ไปบนหน้าหนังสือแล้วถามนาง “ฮ่องเต้ให้คนคัดลอกหนังสือนี่มาให้เจ้า เพื่อให้เจ้าเขียนคำอธิบายตอบกลับไปงั้นหรือ”
มู่หยวนอวี๋พยักหน้ารับอย่างระแวดระวัง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เขียนสิ” ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยเห็นเป็นเรื่องสำคัญ แล้วหันหน้ามาพูดเสริมเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “อ้อ เจ้าไม่ค่อยอ่านตำราเลยเขียนหนังสือโต้แย้งไม่เป็น แล้วทำไมเจ้าไม่พาที่ปรึกษาสักคนมาเมืองหลวงด้วย…ช่างเถอะ ข้าเขียนให้เจ้าก็ได้ เจ้ากลับไปก็คัดลอกด้วยตัวเองสักรอบ อย่าส่งไปทั้งอย่างนั้น เสด็จพ่อจำลายมือของข้าได้”
จากนั้นเขาก็สั่งให้คนไปหยิบพู่กันและหมึกมา มู่หยวนอวี๋แทบจะคุกเข่าให้เขา…ทำไมเขาถึงได้ดีกับนางขนาดนี้นะ ไม่โกรธ แถมยังช่วยเขียนคำอธิบายแทนนางอีกด้วย!
แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง แต่ก็ต้องรีบปฏิเสธ “ไม่ๆ องค์ชาย ข้าเขียนเป็น ข้าแค่อยากมาปรึกษากับองค์ชายเท่านั้น เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับองค์ชาย ข้ากลัวว่าหากข้าใช้คำพูดที่ไม่ถูกต้องจะทำลายชื่อเสียงขององค์ชาย”
จูจิ่นเซินตอบกลับด้วยสองพยางค์ที่เรียบง่ายฉับไว “ตามใจ”
หากเป็นก่อนหน้าที่จูจิ่นเซินบอกว่าจะเขียนหนังสือโต้แย้งแทนนาง บางทีมู่หยวนอวี๋ที่ได้สมปรารถนาแล้วก็อาจจะบอกลาทันที แต่หากนางชักขาเดินหนีตอนนี้คงรู้สึกเหมือนติดค้างน้ำใจของผู้อื่น นางจึงรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก “องค์ชาย ถ้าอย่างนั้นข้าเขียนที่นี่ เขียนเสร็จแล้วให้องค์ชายช่วยตรวจแทนข้า หากไม่มีปัญหาค่อยนำไปยื่นถวายฮ่องเต้ดีหรือไม่”
เดิมทีการเขียนหนังสือโต้แย้งก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะแค่ต้องเขียนชี้แจงข้อเท็จจริงบวกกับยอมรับผิดเท่านั้น อธิบายว่าความขัดแย้งระหว่างนางกับองค์ชายและกั๋วจิ้วนั้นมีต้นสายปลายเหตุอย่างไร ยอมรับว่าวิธีการที่นางใช้ตรงไปตรงมาและหยาบคายเกินไปจริง ข้อที่บอกว่าไร้มารยาทนั้นสามารถผลักให้เป็นความผิดของตัวเองได้ ส่วนเรื่องอื่นก็ช่างเถอะ…เรื่องที่ว่านางกว้านซื้อของจนหมดร้านอะไรนั่น นางจ่ายเงินซื้อของ ของมาเงินไป ไม่ได้ไปบังคับแย่งชิง นับว่าสมเหตุสมผล อาจจะถือโอกาสร่ำร้องระบายทุกข์ว่าตนเดินทางไกลนับพันหลี่มายังเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นขนบธรรมเนียมหรือสภาพอากาศก็ล้วนต้องปรับตัวให้ได้ แต่กระนั้นปณิธานของนางก็ยังไม่แปรเปลี่ยน ใจที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนยังคงแรงกล้าดุจเดิม
จูจิ่นเซินค้นพบว่าเมื่อส่งความหวังดีออกไปแล้วได้รับการตอบกลับเป็นเรื่องที่มีความสุขอย่างมาก มู่หยวนอวี๋ไม่เห็นสำคัญเรื่องที่ตนถูกฟ้องร้อง แต่กลับวิ่งมาแจ้งข่าวกับเขาในทันทีเพียงเพราะกลัวว่าเรื่องนี้จะทำลายเกียรติของเขา
นี่ทำให้เขาที่จิตใจสงบยินยอมเปิดเผยความนัยที่ซ่อนอยู่ออกมาอีกนิด “หนังสือร้องเรียนฉบับนี้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เจ้า ในเมื่อเจ้าเขียนเป็น แค่ตอบกลับไปตามกฎระเบียบก็พอ ข้าจะอ่านหรือไม่ ไม่สำคัญ”
มู่หยวนอวี๋ลังเลอยู่ชั่วครู่ “…องค์ชายก็คิดอย่างนี้เหมือนกันหรือ”
จูจิ่นเซินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “เจ้ามองออกด้วยรึ”
มู่หยวนอวี๋พยักหน้ารับ ก็เพราะว่ามองออก นางถึงได้ยืนกรานจะให้จูจิ่นเซินได้อ่านก่อนแล้วตัวเองค่อยยื่นถวายฮ่องเต้
เหตุผลไม่ใช่อะไรอื่น หวาหมิ่นผู้นี้รู้ความเคลื่อนไหวของนางนับจากที่มาถึงเมืองหลวงชัดเจนเกินไป แม้ข้อที่บอกว่านาง “กระทำตามอำเภอใจไม่สำรวม” จะคลุมเครืออยู่บ้าง แต่ในคำอธิบายกลับเกี่ยวพันไปถึงเรื่องน่าอายในจวนเหวินกั๋วกงที่คิดจะปิดแต่กลับยิ่งฉาวโฉ่ ถ้าอย่างนั้นความขัดแย้งก็ปรากฏให้เห็นแล้ว ในเมื่อสืบข่าวเรื่องของนางมาอย่างละเอียดขนาดนี้ ทำไมจะไม่รู้ว่านางถูกลงโทษเพราะข้อที่หนึ่งและข้อที่สองแล้ว
โทษข้อที่หนึ่งและข้อที่สองก็คือเรื่องเดียวกัน แต่ในหนังสือร้องเรียนกลับแบ่งแยกออกเป็นสองข้อ หากจะบอกว่าคิดเพิ่มจำนวนโทษเพื่อกุเรื่องให้ใหญ่โตสะเทือนขวัญมากกว่าเดิม ในความเป็นจริงแล้วทำเช่นนี้กลับไม่มีความหมาย เหตุผลเดียวกัน…เพราะนางถูกลงโทษไปแล้ว
ถ้าอย่างนั้นทำไมต้องแบ่งแยก ผลลัพธ์หลังจากแบ่งข้อกล่าวหาออกเป็นสองข้ออาจทำให้ได้คำตอบ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้น แท้จริงแล้วจูจิ่นเซินไม่ใช่ตัวละครหลักที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ทว่าในหนังสือกล่าวโทษที่ผู้ตรวจการหวาหมิ่นเขียนมาเล่นงานกลับตั้งจูจิ่นเซินไว้เป็นอันดับหนึ่ง เพิ่มบทบาทให้แก่เขาที่ถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้อง ป่าวประกาศว่าเขาไม่ลงรอยกับมู่หยวนอวี๋ ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาไม่อาจหลบเลี่ยงสภาพการณ์อันน่าอเนจอนาถได้พ้น
ความไม่เป็นธรรมชาติทั้งหลายที่ซุกซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ หากจะอธิบายว่าเป็นเพราะผู้ตรวจการที่แสวงหาความก้าวหน้าคนหนึ่งคิดจะทำลายชื่อเสียงของซื่อจื่อเตียนหนิงอ๋อง มู่หยวนอวี๋ก็คิดว่าเหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้น
จูจิ่นเซินก้มหน้าลง ไล่ปลายนิ้วลงบนตัวอักษรซึ่งหมายความว่า “กระทำตามอำเภอใจไม่สำรวม” แล้วเอ่ยน้ำเสียงเรียบเฉย “เซี่ยงจวงรำดาบ เจตจำนงอยู่ที่เพ่ยกง[1]…คงจะนึกว่าตัวเองฉลาดมากกระมัง ทว่าแม้แต่เด็กหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่งก็ยังไม่อาจตบตา วิธีการของสตรีแต่งงานแล้ว มักจะเป็นลูกไม้กระจอกน่าเบื่อแบบนี้เสมอ”
สตรีแต่งงานแล้ว
ฮองเฮาหรือว่าเสียนเฟย
มู่หยวนอวี๋ทบทวนสองชื่อนี้อยู่ในใจตัวเองโดยอัตโนมัติ บุคคลในระดับจูจิ่นเซินนี้ คนที่มีเหตุผล มีคุณสมบัติ ขณะเดียวกันก็มีความกล้ามากพอที่จะลงมือกับเขาก็มีแค่สตรีที่อยู่เบื้องหลังฮ่องเต้สองคนนี้เท่านั้น
ขอบข่ายของผู้ต้องสงสัยสามารถกำหนดได้ง่ายดายยิ่ง
จูจิ่นเซินไม่คิดจะอธิบายเพิ่มเติม แค่ให้หลินอันพานางไปที่ห้องหนังสือ
ที่จวนของเขามีห้องหนังสืออยู่สองห้อง ห้องหนังสือใหญ่อยู่ที่ตำหนักหน้า ข้างห้องนอนของเขามีห้องหนังสือเล็กด้วย ตอนนี้ที่นางเข้าไปก็คือห้องหนังสือเล็กซึ่งอยู่ติดกัน
ในห้องมีชั้นวางหนังสือไม้จื่อถานขนาดใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดานตั้งติดผนังสองหลัง ด้านหน้ามีโต๊ะไม้จื่อถานตัวใหญ่สลักลายดอกจือหลัน บนโต๊ะวางของอย่างกระถางไฟลวดลายหรูอี้ พู่กัน หมึก แท่นฝนหมึกและกระดาษครบครัน
มู่หยวนอวี๋ร่างเค้าโครงบทความโต้แย้งเกือบสมบูรณ์ตั้งแต่ตอนอยู่บนรถม้าแล้ว เวลานี้เมื่อจับพู่กัน รวบรวมสมาธิก็สามารถเขียนได้อย่างราบรื่นคล่องแคล่ว
ระหว่างที่เขียน บางครั้งก็ได้ยินเสียงกระทบเบาๆของเม็ดหมากดังมาจากห้องข้างๆ จูจิ่นเซินน่าจะศึกษาตำราหมากล้อมของตัวเองต่ออีกครั้งหนึ่งแล้ว
มู่หยวนอวี๋อดนึกไม่ได้ว่า แม้องค์ชายผู้นี้จะเป็นโรค ม.สอง แต่กลับสุขุมเยือกเย็นยิ่งนัก ถูกคนเล่นงานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ร้อนใจ
หนังสือโต้แย้งแปดร้อยกว่าตัวอักษร เกินครึ่งเป็นคำอธิบาย ส่วนที่เหลือเป็นการยอมรับผิดควบกับคำประจบประแจงอย่าง “ฝ่าบาททรงพระปรีชา” นางเขียนได้รวดเร็วยิ่ง เพียงไม่นานก็ใกล้จะเขียนเสร็จแล้ว
จูจิ่นเซินเดินเข้ามา มองนางเงียบๆอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “เจ้าเคยเรียนหนังสือมาก่อนจริงๆ”
ตัวอักษรที่งดงามเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการฝึกฝนในวันเดียว ถ้อยคำที่ใช้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าผ่านการฝึกฝนเป็นประจำมาก่อนก็แสดงให้เห็นถึงพื้นฐานของนาง
มู่หยวนอวี๋กำลังตั้งใจปั้นเรื่องปิดท้าย ไม่ทันสังเกตว่าเขาเดินเข้ามา จู่ๆก็ได้ยินเสียงดังขึ้นเหนือศีรษะ นางจึงสะดุ้งตกใจ พู่กันในมือที่กำลังลากลงจึงสะบัดออกเล็กน้อย เขียนผิดไปหนึ่งคำ
นี่ไม่ใช่หนังสือทางการ กลับไปยังต้องคัดลอกอีกหนึ่งฉบับ มู่หยวนอวี๋จึงเขียนใหม่อย่างไม่คิดอะไรมาก อมยิ้มน้อยๆและตอบกลับว่า “คำพูดประโยคนี้ขององค์ชาย ข้าไม่ชอบฟัง ข้าจำเป็นต้องทำตัวเป็นคนไม่รู้หนังสือ จะได้ไม่เสียแรงที่มาจากชายแดนหรือไง”
“อ๋องน้อยเผด็จการบ้านนอกแห่งตระกูลมู่ไม่ควรเป็นแบบนั้นหรอกหรือ”
จู่ๆมาได้ยินคำเรียกขานกิตติมศักดิ์นี้ มู่หยวนอวี๋ก็ดีใจจนเนื้อเต้น…เพราะแสดงว่านางยังมีโอกาสได้เรียนรู้น่ะสิ!
“องค์ชาย ท่านไปได้ยินมาจากไหน”
จูจิ่นเซินตอบ “หลินอันเป็นคนบอก”
“คำพูดของคนช่างน่ากลัวยิ่งนัก คำคนสามคนก็กลายเป็นเสือได้[2]” มู่หยวนอวี๋ปลงอนิจจังอย่างยิ่ง “องค์ชายไม่รู้อะไร ตอนอยู่อวิ๋นหนานชื่อเสียงข้าดีมาก แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอมาอยู่เมืองหลวงถึงถูกคนเข้าใจผิดจนกลายเป็นเช่นนี้ได้”
จูจิ่นเซินไม่ได้พูดอะไร พลันยื่นมือออกมาจับคางของมู่หยวนอวี๋…เขาน่าจะอยากทำอย่างนี้ แต่คงไม่เคยทำกับใครมาก่อน ท่าทางจึงไม่คล่องแคล่วนัก แต่มู่หยวนอวี๋ยังโตเป็นผู้ใหญ่ แม้ใบหน้าจะกลมป้อม แต่ร่างกายยังเล็กอยู่มาก เป็นเหตุให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำเช่นนี้คือกลายเป็นว่าเขากุมหน้าของมู่หยวนอวี๋ไว้เกือบครึ่ง
จูจิ่นเซินเองก็คิดไม่ถึงว่าสภาพการณ์จะออกมาเป็นแบบนี้ แต่จู่ๆก็สัมผัสผิวนุ่มลื่นได้เต็มฝ่ามือ เขาเลยขยับมือบีบแก้มนางโดยไม่รู้ตัว จากนั้นถึงได้บังคับให้มู่หยวนอวี๋หันหน้ามาแล้วเชยคางของมู่หยวนอวี๋เพื่อสบตากับเขา
มู่หยวนอวี๋ “…”
ชั่วขณะที่ถูกสัมผัสแตะต้อง นางเกือบจะยกมือผลักจูจิ่นเซินออกไป แต่โชคดีที่ในมือยังกุมพู่กันด้ามหยกจึงหยุดยั้งการกระทำนี้ไว้ได้ นางเลยไม่ได้ลงมือจริงๆ
จูจิ่นเซินไม่รู้สักนิดเลยว่าตัวเองเกือบจะถูกรังแกเป็นครั้งที่สอง เขาจ้องหน้ามู่หยวนอวี๋พลางกล่าว “กลัวรึ แต่ทำไมสีหน้าเมื่อครู่นี้ของเจ้าเหมือนจะ ‘ชอบใจ’ มากกว่า”
มู่หยวนอวี๋ใจเต้นแรงทันที
ตอนที่นางเอ่ยประโยคนั้น นึกว่าตัวเองก้มหน้า อีกทั้งจูจิ่นเซินยังตัวสูงกว่านางก็น่าจะมองไม่เห็น จึงไม่ได้ปกปิดสีหน้าที่แท้จริงของตน
ถูกคนภายนอกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบุคคลประเภทเดียวกับหลี่กั๋วจิ้ว สำหรับนางแล้วเป็นเรื่องดีหรือร้าย แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องดี
นี่คือยันต์คุ้มกันกายที่มีประสิทธิภาพอีกชั้นหนึ่งนอกเหนือจากมู่หยวนเม่า
ระหว่างที่เดินทางมาเมืองหลวงนางก็เคยคิดพิจารณาว่าควรจะแสร้งทำตัวเป็นคุณชายเสเพลดีหรือไม่ ลังเลอยู่หลายรอบสุดท้ายก็ตัดสินใจล้มเลิกความคิดนี้ เพราะเดิมทีตัวนางก็ไม่ได้มีนิสัยเช่นนั้น เสแสร้งเพียงชั่วขณะนั้นง่าย แต่เสแสร้งนานหลายปีนั้นยาก หากเผยพิรุธให้คนจับได้และย้อนกลับมาเล่นงาน นางมีกี่ปากก็ไม่อาจอธิบายได้ชัดเจน
การอธิบายที่ไม่ชัดเจนแม้จะไม่ทำให้คนอื่นสงสัยเรื่องเพศที่แท้จริงของนาง เพราะความเชื่อมโยงระหว่างสองเรื่องนี้ไม่ได้มีมากนัก แต่เจตจำนงที่ทำให้นางอยากมาเมืองหลวงคือมุ่งมั่นศึกษาเล่าเรียน พอมาถึงจริงๆ กลับต้องมาเล่นละครที่จะทำให้ตัวเองแปดเปื้อนจนทำให้ฮ่องเต้ก็รู้สึกว่าตนที่เป็นเพียงเด็กน้อยกลับมีกลอุบายลึกล้ำไม่ต่างจากพวกจิ้งจอกเฒ่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้เป็นตัวของตัวเองจะดีกว่า
ตอนนี้นางรู้สึกว่าการตัดสินใจนี้ของตนถูกต้องอย่างมาก…เห็นไหมล่ะ คนฉลาดเยอะขนาดนี้ นางแค่หลงลืมตนไปชั่วขณะก็ถูกจูจิ่นเซินจับได้แล้ว
“องค์ชาย ข้าไม่ได้รู้สึกยินดี เพียงแต่คิดว่าเรื่องเหลวไหลนี้ช่างน่าขัน ข้าไม่ใช่คนแบบนั้น จึงไม่รู้สึกว่าต้องโมโหอะไร ยกตัวอย่างเช่นองค์ชาย ท่านเองก็ไม่เคยถือสาเรื่องที่พวกคนปากยื่นปากยาวปั้นแต่งขึ้นไม่ใช่หรือ”
จูจิ่นเซิน “ใครบอกเจ้า ข้าถือสา”
…แบบนี้ก็คุยกันไม่ได้แล้ว
นางแอบนินทาอยู่ในใจ แต่พลันรู้สึกเจ็บแก้มเพราะจูจิ่นเซินบีบแก้มนางอีกรอบ ทั้งยังพูดว่า “เจ้าเพิ่งหายป่วยไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมีเนื้อมากขนาดนี้ เอามาจากไหนนักหนา”
“…” มู่หยวนอวี๋ไม่สบอารมณ์ จึงขมวดคิ้วแล้วตีมือเขา “เพราะข้าป่วยถึงได้ตั้งใจกินยา ไม่เหมือนองค์ชายที่ทำตัวเหมือนเด็ก”
หลินอันยืนหลบอยู่ตรงมุมประตู ฉวยโอกาสที่จูจิ่นเซินหันหลังให้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางหันมาเห็นว่าเขาทำสีหน้าเช่นไรพยักหน้าเห็นด้วยแรงๆ ขาดก็แค่ยกนิ้วโป้งตามเท่านั้น
จูจิ่นเซินลูบหลังมือที่ถูกตีจนเจ็บ หรี่ตาลงแล้วพูดว่า “เจ้ากล้าประชดข้า”
“มิกล้า ข้าพูดตามความจริง องค์ชายคิดมากไปแล้ว”
จูจิ่นเซินแค่นเสียงหึหนึ่งที ไม่ได้เถียงกับนางต่อ แต่หันไปหยิบหนังสือโต้แย้งของนางขึ้นมาอ่าน
แล้วก็ชี้ไปยังเนื้อความตอนหนึ่งในหนังสือโต้แย้ง “เจ้าบอกว่าจวนเหวินกั๋วกงทำอะไร ครอบครัวของเขาไม่ได้เกี่ยวดองกับครอบครัวของเจ้าผ่านการแต่งงานหรอกหรือ”
จูจิ่นเซินไม่เหมือนคนที่ชอบเอาเรื่องของคนอื่นไปโพนทะนา มู่หยวนอวี๋จึงบอกกับเขาตามตรง “เกี่ยวดองเป็นญาติกันเพราะการแต่งงานจริง แต่ไท่ไท่ของบ้านเขามาพูดจาให้ร้ายข้าก่อน ในหนังสือร้องเรียนก่อนหน้านี้องค์ชายเองก็คงเห็นแล้ว ในนั้นมีคำพูดที่แฝงความนัยว่าข้าไม่เคารพผู้อาวุโส เดิมทีข้าเห็นแก่หน้าพี่หญิงสามของข้าจึงไม่คิดจะโต้แย้งเรื่องพวกนี้ แต่ว่า…” นางหยุดไปครู่ รู้สึกว่าหากต้องอธิบายเรื่องไร้สาระระหว่างมู่จื่อเฟยกับมู่จื่อจิ้งก็ยุ่งยากเกินไป จึงพูดแค่ว่า “สรุปคือ พวกนางไม่ดีต่อข้า ข้าเองก็ไม่คิดจะสนใจอะไรอีกแล้ว เรื่องราวเป็นอย่างไรก็ยกมาพูดกันให้ชัดเจนไปเลย พวกนางจะทำอะไรก็ปล่อยพวกนางไป ข้ามีธุระของตัวเองที่ต้องทำ ไม่อยากมัวมาเสียเวลากับพวกนางอีก”
จูจิ่นเซินพยักหน้ารับช้าๆด้วยท่าทางครุ่นคิด
เขาไม่ได้ติเรื่องหนังสือโต้แย้งของมู่หยวนอวี๋อีก แล้วก็ไม่ได้พูดรั้งให้นางอยู่กินข้าวด้วยกันต่อ มู่หยวนอวี๋เห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้วจึงบอกลา นางไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้เพียงไม่นานนางจะต้องเสียใจอย่างมหันต์กับการที่ตัวเองเล่าเรื่องทั่วไปในบ้านซึ่งเหมือนไม่สำคัญในช่วงท้ายนั้น
[1] เป็นสำนวน มีที่มาจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ คือ แม่ทัพนามเซี่ยงจวงถูกมอบหมายให้สังหารหลิวปัง (เพ่ยกง) จึงใช้อุบายแสดงรำดาบในงานเลี้ยงหงเหมินเพื่อลอบสังหารเพ่ยกง โดยมักใช้เปรียบเปรยถึงบุคคลผู้ซึ่งคำพูดกับการกระทำไม่ตรงกัน หรือกระทำการโดยมีวาระแอบแฝง
[2] เป็นสำนวนซึ่งมีที่มาจากยุครณรัฐ เมื่อขุนนางผู้หนึ่งถามผู้ครองนครว่า ถ้ามีคนบอกว่ามีเสืออยู่ในเมือง ท่านจะเชื่อหรือไม่ แน่นอนว่าผู้ครองนครย่อมไม่เชื่อ แต่ถ้ามีคนถึงสามคนมาบอกว่ามีเสืออยู่ในเมือง ผู้ครองนครก็อาจลังเลใจและเชื่อว่ามีเสืออยู่จริง สำนวนนี้จึงหมายถึง เมื่อคนได้ยินได้ฟังถ้อยคำของผู้อื่นที่พูดกรอกหูซ้ำๆย่อมจะคล้อยตามคำพูดนั้น จนทำให้เรื่องเท็จกลายเป็นเรื่องจริงไปในที่สุด