ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง
王女韶华
溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน
ภวิษย์พร แปล
— โปรย —
มู่หยวนอวี๋ ซื่อจื่อน้อยแห่งนครอวิ๋นหนาน
แม้อายุอย่างน้อย แต่กลับกุมความลับที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลเอาไว้
หากความลับที่ว่านี้แพร่งพรายออกไป ไม่เพียงจะนำภัยมาถึงตน
คนรอบกายอย่างบิดาและมารดาย่อมไม่อาจรอดพ้น
เมื่อวันเวลาผันผ่าน บิดาไม่คิดปกป้อง
ซื่อจื่อน้อยย้อมต้องหาวิธีเอาตัวรอด ด้วยการเดินทางไปยังเมืองหลวง
พึ่งใบบุญของโอรสสวรรค์ ดังคำกฃ่าวที่ว่า ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด
การเดินทางไปยังเมืองหลวงของมู่หยวนอวี๋ในครั้งนี้ จะช่วยรักษาความลับ
อีกทั้งชีวิตน้อยๆ ของตนเองและชีวิตของคนในครอบครัวไว้ได้หรือไม่
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
มู่หยวนอวี๋นอนหลับฝันหวานอย่างสุขสงบในเรือนเล็กของตัวเอง ตื่นขึ้นมายามเช้า เดินออกนอกประตูไปมองก็เห็นว่าหิมะบางเบาหยุดตกแล้ว
ผ่านมาหนึ่งคืน บนทางเดินแผ่นหินสีเขียวหลงเหลือเพียงความชื้นเล็กน้อย ไม่ต้องกวาดพื้นก็มองไม่เห็นร่องรอยว่าหิมะเคยตก กลับเป็นตอนเดินผ่านเส้นทางไผ่เขียวเสียอีกที่พอจะมองเห็นเกล็ดหิมะเกาะอยู่บนยอดไผ่เขียวขจีได้บางส่วน
พอลมพัดมาก็ร่วงพรูสู่เบื้องล่างเป็นระลอก
มู่หยวนอวี๋ไปคารวะทักทายพระชายาเตียนหนิงอ๋องที่อยู่ใกล้ก่อน จากนั้นถึงไปพบเตียนหนิงอ๋องที่เรือนชิงหว่าน
ระหว่างทาง “บังเอิญ” เจอกับมู่จื่อฟาง
เมื่อคืนวานมู่จื่อฟางมาพักอยู่กับเมิ่งฮูหยินมารดาแท้ๆของตัวเอง เวลานี้นางเปลี่ยนมาสวมเสื้ออ่าวขนเตียว[1]สีม่วงดอกบัว ด้วยพบเจอเรื่องว้าวุ่นใจ นางจึงหลับไม่สนิทนัก ผงแป้งที่โบกลงบนหน้าสามารถอำพรางสีผิวที่หมองคล้ำได้ แต่กลับไม่อาจบดบังหนังตาที่ปูดบวม ตอนที่เดินพ้นออกมาจากทางแยก นางพยายามเค้นรอยยิ้มตะลึงระคนยินดี “น้องเล็ก บังเอิญจริง เจ้าก็จะไปคารวะท่านพ่อด้วยหรือ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เดินไปพร้อมกันเถอะ”
มู่หยวนอวี๋เห็นว่ามือของนางสอดอยู่ในเสื้ออ่าวขนสัตว์ ท่าทางเหน็บหนาวจนต้องห่อไหล่ก็รู้ว่านางคงมารออยู่ตรงนี้ได้สักพักแล้วแต่ไม่คิดจะเปิดเผย จึงเพียงทักทายกลับด้วยรอยยิ้ม “อรุณสวัสดิ์พี่หญิงรอง”
แล้วจึงเดินไปพร้อมกันตามความต้องการของนาง
นางรู้ว่ามู่จื่อฟางคิดอะไรอยู่ คงไม่พ้นอยากอาศัยให้นางช่วยรับความเดือดดาลของเตียนหนิงอ๋อง น่าเสียดายนัก เมื่อคืนวานนางคร้านจะเอาใจเตียนหนิงอ๋องเลยรีบร้อนจากมา ด้วยจิตใจที่กว้างกว่าปลายเข็มแหลมไม่เท่าไรของเตียนหนิงอ๋อง วันนี้ย่อมไม่อยากพบหน้านางแน่นอน
แล้วก็จริงดังคาด นางยืนรออยู่ด้านล่างขั้นบันไดของเรือนชิงหว่านเพียงครู่เดียว เจี๋ยเซียงก็กลับออกมาแจ้งด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความลำบากใจว่า มู่หยวนอวี๋ไม่ต้องเข้าไปคารวะ เชิญกลับไปได้
เกรงว่าคราวนี้เตียนหนิงอ๋องคงโกรธหนัก ขนาดข้ออ้างว่า “พักผ่อนแล้ว” ก็ยังไม่มีให้ เจี๋ยเซียงไม่กล้าเพิ่มคำพูดเข้าไปเองโดยพลการ ทว่าความหมายของประโยคง่ายๆนี้ก็คือคำขับไล่อย่างตรงไปตรงมา เจี๋ยเซียงไม่อยากล่วงเกินมู่หยวนอวี๋แม้แต่น้อย เวลาพูดจึงติดขัดอย่างหาได้ยาก
มู่หยวนอวี๋กลับไม่สนใจอะไรมากมาย ไม่พบนาง นางก็ไป
มู่จื่อฟางกลับนิ่งอึ้ง รีบดึงรั้งนางเอาไว้ “น้องเล็ก เจ้าจะไปเลยหรือ”
มู่หยวนอวี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “ท่านพ่อน่าจะมีธุระสำคัญต้องทำ ข้าไม่รบกวนเขาแล้ว พี่หญิงรอง ท่านเองก็ไม่ต้องร้อนใจ รออยู่ตรงนี้สักพักเถอะ ข้ายังมีธุระ”
พอนางทำท่าจะปลดมือของมู่จื่อฟางออก มู่จื่อฟางก็ร้อนใจขึ้นมาครามครัน รีบออกแรงรั้งตัวนางไว้อีกครั้ง สงบสติอารมณ์ได้แล้วก็กล่าวเสียงเบา “น้องเล็ก เจ้าทำให้ท่านพ่อโกรธใช่ไหม เด็กดี อย่าดื้อดึงอีกเลย เจ้าทำอะไรผิดเพราะความซุกซนไปชั่วขณะก็เข้าไปขอโทษท่านพ่อเถอะ ท่านพ่อรักและเอ็นดูเจ้ามาโดยตลอด มีหรือจะไม่ให้อภัยเจ้า นึกจะสลัดมือแล้วเดินหนีก็เดินหนีได้อย่างไร”
หากเขาไปแล้วเรื่องของนางล่ะจะว่าอย่างไร พอคิดถึงว่าต้องเผชิญหน้ากับเตียนหนิงอ๋องเพียงลำพัง ขาของนางก็เริ่มอ่อนยวบ
เฮ้อ ยังคงเป็นน้องชายที่ยังเชิดหน้าชูตาอยู่ได้ เห็นได้ชัดว่าเตียนหนิงอ๋องที่อยู่ข้างในอารมณ์ไม่ดี เขายังจะทำเฉยอยู่ได้ ดูสิว่าถูกเลี้ยงมาตามใจแค่ไหน
มู่หยวนอวี๋เอ่ย “ข้าไม่ได้ทำให้ท่านพ่อโกรธสักหน่อย ไม่เชื่อท่านถามพี่เจี๋ยเซียงดูสิ”
ด้วยความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเมิ่งฮูหยินกับหลิ่วฮูหยิน เจี๋ยเซียงจึงเลือกยืนข้างมู่หยวนอวี๋โดยไม่ลังเล กล่าวพร้อมยิ้มเอาใจ “ซื่อจื่อเป็นเด็กดีรู้ความมาโดยตลอด”
มู่จื่อฟางหมดคำพูดจะเอ่ย เพียงแต่ว่าใจไม่ยินยอมจึงไม่คิดปล่อยมือ มู่หยวนอวี๋จึงต้องเอ่ยปาก “พี่หญิงรอง ข้ามีธุระจริงๆ ข้าบอกกับท่านแม่แล้วว่าวันนี้จะไปเยี่ยมพี่ชายสาม หากท่านยังรั้งข้าไว้ เวลาล่วงเลยไป ข้าอาจจะไม่ได้ไปนะ”
ดวงตาที่ฉายแววกังวลของมู่จื่อฟางเป็นประกายวาบ รีบถาม “เจ้าจะไปเยี่ยมน้องชายสาม”
มู่หยวนอวี๋พยักหน้ารับ “ข้าคิดว่า ไม่ว่าพี่หญิงรองจะวางแผนรับมือกับเรื่องนี้ไว้อย่างไร พี่ชายสามได้รับบาดเจ็บ คนของบ้านเราก็ควรจะไปเยี่ยมเยียนสักหน่อย และนี่ก็เป็นมารยาทของตระกูลเรา ยิ่งไปเร็วก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของพวกเรา พี่หญิงรองเห็นด้วยไหม”
เมื่อคืนวานมู่จื่อฟางก็อยากลากมู่หยวนอวี๋เข้ามามีเอี่ยวด้วย แต่ถูกพระชายาเตียนหนิงอ๋องขัดขวางไว้อย่างเข้มงวด นางจึงไม่กล้าแข็งข้อ กลับไปก็กลัดกลุ้มอยู่ทั้งคืน เวลานี้ได้ยินว่ามู่หยวนอวี๋เต็มใจไปด้วยตัวเองจึงรีบเอ่ยคล้อยตาม “ต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว น้องเล็ก เจ้ารู้ความเข้าใจมารยาทดีจริงๆ”
มู่หยวนอวี๋กล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าไปแล้วนะ พี่หญิงรอง หากท่านพ่อถามถึงข้า รบกวนท่านบอกท่านพ่อให้ข้าด้วยแล้วกัน”
คราวนี้มู่จื่อฟางไม่กล้ารั้งเขาไว้อีก แต่พอนึกถึงว่าต้องเผชิญหน้ากับเตียนหนิงอ๋องเพียงลำพังก็ยังอดหวาดหวั่นไม่ได้ เลยคิดไม่ตกว่าควรจะปล่อยมือดีหรือไม่ มู่หยวนอวี๋ฉวยโอกาสนี้ออกแรงเล็กน้อยก็สลัดมือนางทิ้งได้สำเร็จจึงเดินจากไป
…
สลัดมู่จื่อฟางได้แล้วมู่หยวนอวี๋ก็กลับไปกินอาหารเช้า คว้าของขวัญที่พระชายาเตียนหนิงอ๋องเตรียมไว้เรียบร้อยก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าคันใหญ่ รถม้าจึงเคลื่อนตัวเนิบช้ามุ่งหน้าไปยังจวนเฟิ่งกั๋วเจียงจวินที่อยู่ห่างไปเกินครึ่งเมือง
จะว่าไปแล้วมิตรภาพระหว่างลูกพี่ลูกน้อง “ชาย” อย่างมู่หยวนอวี๋และมู่หยวนเม่าคู่นี้เริ่มขึ้นได้ก็เพราะมู่หยวนอวี๋
ระหว่างนี้นางต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อย โอกาสที่คนทั้งสองได้พบหน้ากันมีน้อยเกินไป อีกทั้งพวกผู้ใหญ่ยังมีความแค้นต่อกัน ตอนเด็กมู่หยวนอวี๋ถูกเลี้ยงมาอย่างดี เนื้อบนใบหน้ามีมากกว่าตอนนี้เสียอีก ทั้งอวบอ้วนทั้งขาวนวลเนียน แถมยังนิสัยดี ชอบยิ้มตาหยีอยู่ตลอดเวลา ใจจริงของมู่หยวนเม่านั้นไม่เคยรังเกียจนาง แต่เพราะนึกถึงความรู้สึกของนายท่านรองมู่บิดาของเขาจึงไม่กล้ารับไมตรีที่มู่หยวนอวี๋หยิบยื่นให้ง่ายๆ ก็มักจะเป็นมู่หยวนอวี๋ที่คอยไปป้วนเปี้ยนล้อมหน้าล้อมหลังเขาอยู่เสมอ
คำสุภาษิตกล่าวไว้ดี ไม่ยื่นมือตบหน้าคนที่ส่งยิ้มให้[2] โดยเฉพาะใบหน้านี้ยังเยาว์วัยและสุภาพอ่อนโยนถึงเพียงนั้น มู่หยวนอวี๋ตอแยอยู่หนึ่งปี ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่สองปี มู่หยวนเม่าก็เป็นเพียงเด็กที่มีจิตใจบริสุทธิ์คนหนึ่ง ในที่สุดก็ทานทนไม่ไหว
แรกเริ่มยังหลบๆซ่อนๆ เวลามู่หยวนอวี๋ไปพูดกับเขา เขาก็จะตอบกลับมาเบาๆ เวลาแบ่งผลไม้ให้เขา เขาจะลังเลอยู่ชั่วครู่ มองดวงหน้าน้อยๆของญาติผู้น้องที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นก็รับผลไม้มาแล้วแอบยัดไว้ในชายแขนเสื้อ
พอความสัมพันธ์เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง หลังจากนั้นก็จัดการได้ง่ายแล้ว จากที่หลบๆซ่อนๆก็เริ่มเปิดเผยในที่แจ้ง นี่คือสิ่งที่มู่หยวนเม่าคิดไปเอง แท้จริงแล้วตั้งแต่ต้นจนจบล้วนหนีไม่พ้นสายตาของนายท่านรองมู่ผู้เป็นบิดาของเขา
สำหรับนายท่านรองมู่แล้ว เตียนหนิงอ๋องคือคนหน้าด้านชั่วร้ายอำมหิต ไม่ใช่คนดีเลยแม้แต่น้อย
เจ้าเด็กที่น้องชายสารเลวให้กำเนิดมาก็ย่อมไม่ใช่คนดี
ภายนอกนายท่านรองมู่ไม่ได้พูดอะไร แต่อันที่จริงกลับมองดูด้วยสายตาเฉยชา อยากจะรู้ว่ามู่หยวนอวี๋ที่พยายามตีสนิทกับมู่หยวนเม่ามีแผนการชั่วร้ายอะไรอยู่กันแน่
มองอยู่หนึ่งปี มองอยู่สองปี ก็ยังมองสายสนกลในไม่ออก
เด็กน้อยสองคนขลุกอยู่ด้วยกัน หากไม่พูดคุยก็จูงมือกันวิ่งเล่นไปทั่วจวนอ๋อง สองปีมานี้โตขึ้นแล้ว ออกจากบ้านได้แล้ว มู่หยวนอวี๋ลองหยั่งเชิงโดยเป็นฝ่ายมาหามู่หยวนเม่าถึงบ้านแล้วพากันออกไปเที่ยวเล่น นายท่านรองมู่ไม่ได้ขัดขวาง แต่กลับแอบส่งคนให้ติดตามไปอย่างลับๆ
แต่ก็ยังไม่พบคำตอบใดๆ
หากวัดกันถึงระดับความล้ำค่า มู่หยวนอวี๋มีน้ำหนักมากกว่ามู่หยวนเม่ามากนัก เขาคือหน่อเนื้อเชื้อไขที่แบกอนาคตของจวนอ๋องไว้บนบ่า ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนล้วนมีคนล้อมหน้าล้อมหลังให้ความคุ้มครอง หลังจากที่มู่หยวนอวี๋เริ่มเรียนวรยุทธ์ พระชายาเตียนหนิงอ๋องยังไปขอทหารส่วนตัวจากครอบครัวเดิมของตัวเองมาอีกกลุ่มหนึ่ง ทหารส่วนตัวกลุ่มนี้ก็เป็นคนเผ่าไป่อี๋เช่นกัน พวกเขาฟังแต่คำสั่งจากมู่หยวนอวี๋คนเดียว แม้แต่เตียนหนิงอ๋องก็ยังไม่ไว้หน้า
ในมือมีคนเหล่านี้อยู่ มู่หยวนอวี๋คิดจะทำอะไรย่อมง่ายดาย แต่นางเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์จนน่าเหลือเชื่อ เวลาที่พามู่หยวนเม่าออกไป คนทั้งสองเดินเล่นอยู่แค่ในเมืองเท่านั้น เตร็ดเตร่เข้าตรอกนี้ออกตรอกนั้น ซื้อของเล่นเล็กๆน้อยๆสารพัดชนิด พอแยกกันก็กลับบ้านใครบ้านมัน มู่หยวนเม่าออกไปด้วยความอารมณ์ดีและกลับมาด้วยความพึงพอใจ
นับตั้งแต่ที่มู่หยวนอวี๋เข้ามาใกล้ชิดกับมู่หยวนเม่า จนกระทั่งความสัมพันธ์ของคนทั้งสองสนิทสนมแน่นแฟ้น นายท่านรองมู่แอบสังเกตการณ์อย่างลับๆมานานหลายปี ในที่สุดก็จำต้องยอมรับว่า เขาใช้มุมมองของผู้ใหญ่ไปคิดให้เรื่องสลับซับซ้อนเอง อันที่จริงหากคิดอย่างละเอียดก็จะรู้ได้ว่า ต่อให้เตียนหนิงอ๋องมีแผนการชั่วร้ายก็ไม่มีทางส่งมู่หยวนอวี๋มาเป็นผู้ลงมือ เขามีลูกชายสามคน ต่อให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดกับบุตรชายคนเล็กจริงๆก็ยังรับได้ ทว่าเตียนหนิงอ๋องมีลูกชายแค่คนเดียว ไม่อาจทนกับความสูญเสียได้แม้เพียงเสี้ยว
พอหลุดจากอคติมาได้ นายท่านรองมู่ก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย มู่หยวนอวี๋นิสัยแตกต่างไปจากพี่สาวทั้งหลายของเขา บุตรสาวสี่คนของจวนอ๋องล้วนปฏิบัติตามเตียนหนิงอ๋อง เพิกเฉยและเย็นชาต่อลุงรองที่มีความแค้นต่อกันอย่างเขา เมื่อเทียบกันแล้ว แม้ท่าทีของมู่หยวนอวี๋จะไม่ถือว่ากระตือรือร้นนัก แต่อย่างน้อยก็มีความเคารพนับถือให้ แถมยังคอยมาหามู่หยวนเม่าตลอดเวลาโดยไม่กลัวว่าคนของจวนเฟิ่งกั๋วเจียงจวินจะผลักไสไล่ส่ง
และเอาเข้าจริงแล้ว ตัวของหย่งเม่าจะมีอะไรให้คนอื่นวางแผนเล่นงานกันล่ะ
อย่าว่าแต่ตำแหน่งเฟิ่งกั๋วเจียงจวินของเขาที่สืบทอดต่อไปไม่ได้ พวกลูกหลานย่อมต้องวางแผนอนาคตกันเอาเอง ต่อให้สืบทอดตำแหน่งได้ มีหรือจะไปถึงมือมู่หยวนเม่า บรรดาศักดิ์ของขุนนางที่ว่างงานเมื่อเทียบกับตำแหน่งอ๋องของเตียนหนิงอ๋องแล้ว ช่างต่างกันไกลลิบลับ ในฐานะซื่อจื่อของเตียนหนิงอ๋องคนปัจจุบัน เตียนหนิงอ๋องในอนาคตอย่างมู่หยวนอวี๋ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสียเวลาวางแผนใช้อุบายกับญาติผู้พี่ของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
หลานชายคนนี้มาสนิทสนมกับหย่งเม่า น่าจะเป็นเพราะอยากหาเพื่อนเล่นในวัยเดียวกันอย่างบริสุทธิ์ใจ
เขาก็น่าสงสาร ในจวนเตียนหนิงอ๋องที่กว้างใหญ่ มีเพียงเขาคนเดียวที่เป็นเด็ก “ผู้ชาย” แม้จะมีผู้ติดตามมาก แต่จะเหมือนกับเพื่อนหรือพี่น้องที่สามารถพูดคุยด้วยฐานะที่เท่าเทียมกันได้อย่างไร เขาโดดเดี่ยวถึงเพียงนั้น กว่าจะได้เจอกับหย่งเม่าไม่ใช่เรื่องง่าย จะไม่ชื่นชอบเขาได้อย่างไร
พอคิดอย่างนี้ ในที่สุดนายท่านรองมู่ก็เปิดใจกว้าง ยอมปล่อยวางเรื่องการคบค้าสมาคมระหว่างเด็กรุ่นเล็กลงอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งลึกๆในใจของเขายังมีความคิดที่เก็บซ่อนไว้ไม่ยินดีบอกใคร นั่นคือไม่รู้ว่าอนาคตหย่งเม่าจะเป็นอย่างไร แม้ในบ้านจะมีทรัพย์สมบัติ แต่จะอย่างไรก็ต้องยกให้ลูกชายคนโตสองคนก่อน ถึงเวลานั้นจะเหลือมาถึงลูกชายคนเล็กมากน้อยเพียงใดก็ยังบอกไม่ได้ การที่เขาเล่นสนุกกับมู่หยวนอวี๋มาตั้งแต่เด็ก ผูกมิตรกันมาตั้งแต่ยังเล็ก รอให้อนาคต อนาคต…
ต่อให้พูดกับตัวเอง นายท่านรองมู่ก็ไม่มีทางยอมรับว่าเขามีความคิดที่จะตักตวงผลประโยชน์จากสายเลือดของน้องชายสารเลวผู้นั้น พูดได้แค่ว่าต่อให้ไม่มีผลประโยชน์ อย่างน้อยก็ไม่ถือว่ามีผลร้าย!
จากเหตุผลที่ว่ามา รอจนวันนี้มู่หยวนอวี๋มาถึง ต่อให้มู่หยวนเม่าเพิ่งจะถูกมู่จื่อฟางทำร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ นายท่านรองมู่ก็ไม่ได้พาลไปโกรธนาง มู่หยวนอวี๋คารวะทักทาย บอกถึงจุดประสงค์การมา เขาก็เพียงแค่พูดเรียบๆว่า “หย่งเม่าอยู่ในห้องท่านป้ารองของเจ้า เจ้ามาแล้วก็ไปดูเขาสักหน่อยเถอะ”
มู่หยวนอวี๋ถอนหายใจโล่งอก ตอนลงจากรถนางก็เตรียมใจรอรับการระบายโทสะจากนายท่านรองมู่ไว้แล้ว ไม่นึกว่าจะผ่านด่านได้ง่ายดายขนาดนี้จึงรีบพูดว่า “ขอรับ”
นางถอยออกมานอกประตู พาบ่าวที่ช่วยถือของเยี่ยมเดินไปทางเรือนด้านหลังภายใต้การนำทางของข้ารับใช้
นายท่านรองมู่เห็นว่านางจากไปแล้ว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น อ้าปากตวาดกร้าว “บอกให้คนเตรียมตัว เตรียมกันพร้อมแล้วหรือยัง!”
พ่อบ้านของจวนเฟิ่งกั๋วเจียงจวินเข้ามาโค้งกาย “เรียนนายท่าน มารอกันที่หน้าประตูพร้อมแล้ว รอแค่คำสั่งจากนายท่านเท่านั้น”
นายท่านรองมู่ขบฟัน แค่นเสียงเย็น “ไป ก่อเรื่องแล้วหนีไปหลบอยู่บ้านเดิม ลูกชายข้าจะปล่อยให้คนมาตีเปล่าได้หรือ ตามข้าไปถามน้องชายคนดีคนนั้นของข้า!”
เขาสวมเสื้อคลุมเสร็จก็พุ่งออกไปนอกประตูอย่างเดือดดาล
[1] 貂鼠เตียวสู่ คือสัตว์จำพวกหมาไม้ชนิดหนึ่ง คล้ายมิงก์หรือเฟอร์เรต พบมากในเอเชียเหนือและเอเชียกลาง มักถูกล่าเพื่อนำขนมาทำเสื้อขนสัตว์ซึ่งมีราคาแพง
[2] เป็นสำนวน หมายถึง เมื่อคู่กรณีสำนึกผิดและขอโทษแล้ว เราก็ไม่มีใจคิดจะลงโทษหรือทำร้ายคู่กรณีอีก