ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง
王女韶华
溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน
ภวิษย์พร แปล
— โปรย —
แม้จะต้องเผชิญอุปสรรปัญหา
ล้วนฝ่าฟัน เอาตัวรอดมาได้ทั้งสิ้น
มู่หยวนอวี๋ประสบเหจุร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ความลับที่พยายามเก็บรักษามาตลอดชีวิตกลับมีคนล่วงรู้
มู่หยวนอวี๋จะรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ
และรักษาชีวิตอยู่ในเมืองหลวงได้ตลอดไปหรือไม่ …
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
บทที่ 99
เสียนเฟยคิดผิดแล้ว
จูจิ่นเซินเคยชินเสียแล้วกับการทำอะไรไม่เหมือนกับชาวบ้านชาวช่อง
ตอนที่เขาเข้าวังตรงกับช่วงเลิกการประชุมใหญ่พอดี ขุนนางนับร้อยจับกลุ่มกันสองสามคนเดินแยกกันออกมาจากประตูของฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ พอเห็นเขาปรากฏตัวกะทันหัน คนส่วนใหญ่ก็อึ้งตะลึง
จูจิ่นเซินไม่ได้สนใจสายตาที่พุ่งตรงมาที่ตนเอง หลังจากทักทายกับขุนนางสำคัญที่เดินมาด้านหน้าสุดสองสามคำก็เดินมุ่งหน้าไปด้านใน
พวกขุนนางมองแผ่นหลังที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกตาของเขาด้วยความรู้สึกเหม่อลอยยังไม่คืนสติ
ซ่งจ่งเสี้ยน[1] เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายส่ายศีรษะ พูดข้อความที่แฝงความหมายลึกล้ำประโยคหนึ่ง “ลมน่าจะเปลี่ยนทิศแล้ว”
ขุนนางศาลต้าหลี่ที่ยืนอยู่ข้างกายเขารับคำว่า “เปลี่ยนไปทางไหน”
“บ้างออกบ้างตก บ้างเหนือบ้างใต้”
ซ่งจ่งเสี้ยนพูดเสร็จก็สะบัดชายแขนเสื้อเดินหน้าต่ออีกครั้ง ขุนนางศาลต้าหลี่ไล่ตามเขาไป “เจ้าพูดก็เหมือนไม่ได้พูด!”
“เจ้านั่นแหละที่รู้ดีแต่ก็ยังจะถาม มุมมืดที่ขาดแสงดาวได้รับการชดเชยแล้ว แสงสว่างจะถูกคนอื่นช่วงชิงไปได้อีกหรือ” ซ่งจ่งเสี้ยนไม่เหลียวหลังกลับ “เกรงว่าอีกไม่นานโรคทางใจของเหล่าขุนนางทั่วทั้งราชสำนักก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง”
“ข้าว่าไม่แน่เสมอไป ทิศทางลมของดาวดวงที่เจ้าพูดถึงต่างหากที่ยากจะทำให้คนคาดเดาอย่างแท้จริง ระหว่างนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไร ยากที่จะบอกได้…”
จูจิ่นเซินมาถึงตำหนักเฉียนชิง
แสงอาทิตย์ร้อนแรงของฤดูร้อนสาดส่องลงบนร่างของเขา กระเบื้องเคลือบสีเหลืองอร่ามบนตำหนักที่ใหญ่โตโอ่อ่าสะท้อนประกายสีทองระยิบระยับเจิดจ้าจนแทบจะบาดตาคนมองได้
นี่คือบารมีอันน่าเกรงขามแห่งสถานที่พำนักของผู้ที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า
จูจิ่นเซินหรี่ตามอง เพียงไม่นานก็หลุบตาลง เดินไปตามระเบียงหยกฮั่นไป๋
การประชุมใหญ่สิ้นสุดลง ฮ่องเต้บอกให้ขุนนางทั้งหลายในสภาขุนนางย้ายมาที่ตำหนักนี้เพื่อเปิดการประชุมเล็ก ปรึกษาเรื่องภัยแล้งในส่านซีและกานซู่ที่เพิ่งถูกส่งเข้ามา
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินว่าจูจิ่นเซินขอเข้าเฝ้าก็หยุดไปชั่วขณะแล้วกล่าวว่า “เรียกเขาเข้ามา”
วังไหวจงขานรับแล้วเดินออกไปป่าวประกาศด้วยตัวเอง
เมื่อวังไหวจงเห็นจูจิ่นเซินที่สวมชุดสีแดง สวมกวานหยกเขียว ดวงตาที่พร่ามัวของวังไหวจงก็เป็นประกายจ้าในชั่วเสี้ยววินาที “องค์ชายรอง…ท่านดีขึ้นมากแล้ว!”
จูจิ่นเซินยิ้ม “วังกงกง”
“องค์ชายรีบเข้าไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงรอท่านอยู่ โอ้โฮ ดูสีหน้าของท่านตอนนี้สิ ช่าง…ฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นท่านต้องปลาบปลื้มอย่างถึงที่สุดเป็นแน่”
วังไหวจงพูดคุยกับเขาเสียงเบาอย่างสนิทสนม เดินอยู่ด้านข้างนำเขาเข้าไปในตำหนัก ทั้งคู่เดินตามทางที่ปูด้วยอิฐสีทอง จนมาหยุดที่ด้านล่างของแท่นไม้ที่ทาด้วยสีทอง จูจิ่นเซินก็ปัดชายเสื้อขึ้นแล้วคุกเข่าถวายคำนับ
ฮ่องเต้มองประเมินเขาอยู่นาน เงียบไปครู่ใหญ่ถึงกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
ฮ่องเต้ไม่ได้ถามจูจิ่นเซินว่าสุขภาพร่างกายเป็นอย่างไรแล้วบ้าง เพราะสองปีที่จวนของเขาถูกปิด คนอื่นไม่รู้สถานการณ์ล่าสุดของจูจิ่นเซิน แต่พระองค์ย่อมได้รับคำรายงานอยู่เป็นระยะ เพื่อจะได้เห็นกับตาว่าอาการของจูจิ่นเซินดีขึ้น ถึงได้ยอมปล่อยตัวออกมา
พวกขุนนางที่ยืนเข้าแถวอยู่สองฝั่งมองจูจิ่นเซินอย่างพินิจพิเคราะห์ ในใจเกิดความคิดแตกต่างกันไป แต่ต่างก็พากันเอ่ยปากอวยพร
จูจิ่นเซินไม่ได้เอ่ยอะไร
เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฮ่องเต้ก็ไม่ได้แน่นแฟ้นอะไรอยู่แล้ว ไม่ได้เจอกันสองปีก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร รอจนเสียงของเหล่าขุนนางเงียบลง บรรยากาศภายในห้องก็เงียบงันไปครู่หนึ่ง
แล้วฮ่องเต้ก็เป็นผู้ทำลายความเงียบลง ในบรรดาบุตรชายหลายคน หากจะพูดถึงรูปโฉม จูจิ่นเซินคือคนที่โดดเด่นที่สุด แม้ตอนที่เขาป่วยออดแอดก็ยังถือว่าโดดเด่นกว่าใครในบรรดาพี่น้อง พอมาวันนี้เมื่อร่างกายแข็งแรง ดวงตาใสกระจ่าง ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
ฮ่องเต้มองบุตรชายโดยไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ แต่กลับรู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์ น้ำเสียงที่ใช้จึงแฝงไปด้วยความยินดี “ดูท่าแล้วน่าจะมีการพัฒนาอยู่บ้าง ไม่ใจร้อนขี้หงุดหงิดเหมือนเมื่อก่อน”
หัวหน้าสภาขุนนางเสิ่นจดจำสัญญาเมื่อสองปีก่อนได้ จึงฉวยโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อนโดยการกล่าวว่า “ฝ่าบาท อาการประชวรขององค์ชายรองหายดีแล้ว ก็ควรจัดการคัดเลือกพระชายาได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากงานแต่งของจูจิ่นจื้อเป็นต้นมา ฮ่องเต้ก็ต้องทนฟังเรื่องนี้ด้วยความหงุดหงิดใจมาตลอด ในเวลานี้เมื่อไม่มีปัญหาอะไรแล้วจึงเห็นด้วย พยักหน้ารับยิ้มๆ “อนุญาต ร่างโองการ บอกให้หยุดงานแต่งที่จะจัดขึ้นในขอบเขตพื้นที่ของเมืองหลวงทั้งหมดไปก่อน…”
“เสด็จพ่อ ตอนนี้ลูกยังไม่สะดวกที่จะแต่งงาน”
ฮ่องเต้ถูกขัดจังหวะก็อึ้งตะลึง “ทำไม”
“ลูกถามท่านหมอหลี่แล้ว ตามคำบอกของเขา ภายนอกอาจจะดูเหมือนลูกหายดีแล้ว แต่พลังต้นกำเนิดที่ขาดแคลนมาตั้งแต่เกิดไม่สามารถบำรุงกลับมาได้เร็วขนาดนั้น ตอนนี้หากจะแต่งภรรยาก็ไม่มีปัญหา แต่หากคิดจะมีบุตร ลูกหลานของข้าก็อาจจะมีร่างกายที่อ่อนแอเหมือนตัวข้าในอดีต”
พวกขุนนางหันมามองหน้ากัน เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียด
เหล่าขุนนางที่อยากเร่งให้จัดงานแต่งงานต่างก็คิดว่า แต่งภรรยามาเพื่ออะไร…ก็เพื่อให้กำเนิดลูกหลาน เหตุผลหลังสำคัญกว่าเหตุผลแรกมากนัก เพราะเกี่ยวพันกับการสืบทอดชะตาของแคว้น
ทุกวันนี้จูจิ่นเซินเป็นคนขี้โรคคนเดียวก็มากพอจะปั่นป่วนให้ใจกษัตริย์และขุนนางหวาดหวั่นไม่เป็นสุขอยู่แล้ว หลังจากนี้อาจจะมีคนอย่างเขาโผล่มาอีก ความสะเทือนใจนี้ใครเล่าจะรับได้ไหว
คำว่า “ไม่สะดวก” ของเขามีน้ำหนักมากเกินไปแล้ว
หนักจนถึงขั้นไม่ควรเอามาพูดต่อหน้าเหล่าขุนนาง
พูดกันตามตรงแล้ว เขาไม่ควรบอกฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ…เพราะนี่จะเป็นการลดทอนน้ำหนักในการเป็นตัวเลือกเพื่อสืบทอดบัลลังก์ของเขาอย่างมาก
ขนาดฮ่องเต้ยังควบคุมสีหน้าของตัวเองไว้ไม่ได้ เพราะไม่เคยถามอาการของจูจิ่นเซินโดยละเอียด จึงไม่รู้เรื่องนี้
“เจ้า…” เขาชี้หน้าจูจิ่นเซิน แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
ส่วนวังไหวจงที่ยืนรับใช้อยู่ด้านข้างถึงกับลอบถอนหายใจ องค์ชายรองนี่ก็จริงๆเลย เรื่องที่เป็นความลับขนาดนี้ จะพูดก็ควรพูดกับฮ่องเต้เป็นการส่วนพระองค์ถึงจะถูก แต่กลับโพล่งออกมาต่อหน้าเหล่าขุนนาง ทีนี้จุดจบจะเป็นอย่างไร!
หัวหน้าสภาขุนนางเสิ่นฝืนยิ้ม “ก็แค่อาจจะเท่านั้น…”
“ข้าเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้” จูจิ่นเซินหันไปพยักหน้าน้อยๆให้เขาแทนการขออภัย “ข้ามีโรคภัยรุมเร้านอนป่วยอยู่บนเตียงมานานหลายปี เข้าใจความยากลำบากได้ดีที่สุด จึงไม่คาดหวังให้ลูกหลานต้องมาเผชิญกับความทรมานแบบเดียวกับที่ข้าได้รับ แล้วก็ทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นเสด็จพ่อทรงเป็นกังวลกับข้าไปอีกยี่สิบปี”
คำพูดนี้ถือว่าน่าฟัง
วังไหวจงค่อยโล่งอก แม้ว่าน้ำเสียงจะเรียบเฉย แต่คำพูดแบบนี้หลุดออกมาจากปากของจูจิ่นเซินได้ อีกทั้งยังเข้าอกเข้าใจความห่วงใยของฮ่องเต้ ก็ถือว่าหาได้ยากยิ่ง
แต่หัวหน้าสภาขุนนางเสิ่นกลับลำบากใจอย่างมาก “องค์ชาย โปรดอย่าถือสาหากกระหม่อมพูดตรงเกินไป องค์ชายคงจะไม่ถึงขั้นไม่มีชายา ไม่มีบุตรหลานเพียงเพราะสาเหตุนี้ตลอดไปเลยกระมัง”
“ห้าปี” จูจิ่นเซินแจ้งกำหนดเวลาแก่เขา “ท่านหมอหลี่บอกว่า ใช่ว่าข้าจะไม่มีโอกาสหายดีเสียเลย เพียงแต่ว่ายังจำเป็นต้องใช้เวลา ค่อยๆรักษาถึงจะหลีกเลี่ยงไม่ให้พิษร้ายทางกายนี้สืบทอดต่อไปยังลูกหลาน”
ในที่สุดฮ่องเต้ก็คลายความคับข้องใจลง “เขาแน่ใจหรือไม่ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง”
จูจิ่นเซินส่ายหน้า “เรื่องในอีกห้าปีข้างหน้า ต่อให้เป็นหมอเทวดาก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้แม่นยำขนาดนั้น แต่เขาช่วยรักษาลูกมาจนถึงทุกวันนี้ ลูกนับถือในวิชาแพทย์ของเขามาก แล้วก็เชื่อมั่นในการวิเคราะห์ของเขามากเช่นกัน”
นี่คือเรื่องจริง
จูจิ่นเซินยืนอยู่กลางตำหนัก การเปลี่ยนแปลงของเขาเป็นสิ่งที่ทุกคนประจักษ์แก่สายตา จะเรียกว่าหมอเทวดายอดฝีมือก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว
ราชบัณฑิตอาวุโสหยางที่อยู่ข้างๆพยายามจะเอ่ยโน้มน้าวอีกครั้ง แต่ฮ่องเต้กลับห้ามเขา “ท่านทั้งหลายออกไปก่อน นำโองการเรื่องการแก้ปัญหาภัยแล้งของส่านซีและกานซู่ไปแจกจ่ายเถอะ…เรื่องของเอ้อร์หลาง ตอนนี้อย่าเพิ่งนำไปป่าวประกาศ”
พวกขุนนางรู้ว่าเวลานี้ฮ่องเต้ต้องอารมณ์ไม่ดีมากแน่นอน จึงไม่โต้เถียงดึงดันอีก ทุกคนต่างขานรับแล้วพากันถอยออกไป
วังไหวจงที่มีไหวพริบเป็นเยี่ยมบอกให้พวกขันทีในตำหนักออกไปข้างนอก แล้วสั่งด้วยเสียงเบาให้พวกเขาปิดปากเงียบ ห้ามแพร่งพรายเรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่ออกไปแม้แต่คำเดียว
ในตำหนัก ฮ่องเต้นวดคลึงหน้าผาก “…เอ้อร์หลาง เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่ เจ้าไม่เสียดายตำแหน่งที่เรานั่งอยู่ในตอนนี้บ้างเลยหรือไร”
เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ บุตรชายคนนี้เพิ่งจะหายดีออกจากจวนมา เขาดีใจได้ไม่ทันถึงหนึ่งเค่อ อีกฝ่ายก็ทำลายมันลงเสียแล้ว
เมื่อก่อนนี้แม้บุตรชายจะทำตัวประหลาด แต่ก็ไม่เคยทำอะไรโง่ๆแบบนี้นี่นา
เป็นเหตุให้เขาจำต้องถามคำถามที่ตรงที่สุดและทิ่มแทงใจที่สุดคำถามนี้
จูจิ่นเซินกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองพูดเรื่องที่ร้ายแรงอะไร จึงไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับว่า “หรือเสด็จพ่อยังอยากจะมีหลานที่อ่อนแออีกคนหนึ่ง”
ฮ่องเต้ตวาด “เจ้าไม่ต้องแกล้งทำเป็นไขสือ…เราหมายความว่าอะไร เจ้าเข้าใจดี!”
แน่นอนว่าเรื่องนี้สมควรพูด แต่จะมาคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวไม่ได้หรือ ทำไมต้องพูดต่อหน้าขุนนางในสภาด้วย
โชคดีที่เรียกให้เขาเข้าเฝ้าตอนประชุมเล็ก หากเป็นการประชุมใหญ่ เขาก็จะพูดโพล่งแบบนี้ด้วยใช่หรือไม่!
จูจิ่นเซินหลุบตาลง “ลูกไม่พูด เสด็จพ่อคิดจะรับมือกับการเร่งรัดจากพวกขุนนางอย่างไร หากไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้น ไม่ยอมพระราชทานงานแต่งให้ลูกเสียที พวกขุนนางจะไม่เกิดความสงสัยและหวาดกลัวหรอกหรือ แทนที่จะหาถ้อยคำมากมายมาบอกปัด ไม่สู้บอกไปตามความจริง”
ไฟโทสะของฮ่องเต้ทุเลาลงไปได้อีกเล็กน้อย
การกระทำนี้ของจูจิ่นเซินอาจจะดูเหมือนมุทะลุวู่วาม แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับใช้วิธีการเปิดเผยข้อเสียของตัวเอง นำแรงกดดันทั้งหมดไปไว้ที่ตัวเขาเอง
ฮ่องเต้คงสบายหูไม่น้อย ทั้งๆที่รู้ดีว่าตอนนี้จูจิ่นเซินอาจมีปัญหาเรื่องการให้กำเนิดบุตร ขุนนางที่ยังกล้าเร่งรัดบีบบังคับคงมีไม่มาก เพราะใครก็ไม่อาจแบกรับผลลัพธ์ที่จะตามมาได้ไหว
แต่ว่าตัวจูจิ่นเซินเองอาจจะต้องเสียหน้า…ฮ่องเต้มองเขาด้วยสายตาลึกล้ำ จนถึงตอนนี้บุตรชายคนนี้ก็ยังไม่เคยผ่านเรื่องทางโลกใช่หรือไม่ ถึงไม่เข้าใจว่าบุรุษต้องการเกียรติในเรื่องนี้
บุรุษทั่วไปหากมีปัญหาในเรื่องนี้ คิดจะหลบซ่อนปิดบังยังแทบไม่ทัน แต่ตัวเขากลับดีนัก ป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ก็ยังไม่ยี่หระ ตอนพูดก็ไม่แสดงสีหน้าใดๆแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้รู้สึกว่าจำเป็นต้องชี้แนะเขาให้เข้าใจเพื่อจะได้ไม่ก่อเรื่องในภายหลัง จึงกล่าวว่า “ใจกตัญญูของเจ้านับว่าหาได้ยาก แต่หากคนอื่นเยาะเย้ยเหน็บแนมเจ้า เจ้าจะรับมืออย่างไร การถูกคนทั้งโลกมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับกันได้ง่ายๆหรอกนะ”
จูจิ่นเซิน “พรืด”
ฮ่องเต้ “…”
ฮ่องเต้เข้าใจแล้ว ไม่ใช่ว่าบุตรชายคนนี้ไม่เข้าใจว่าตัวเองจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร แต่ไม่ใส่ใจเลยต่างหาก! หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ก่อนที่คนทั้งโลกจะดูถูกเขา เขากลับชิงเหยียดหยามคนทั้งโลกไปก่อนแล้ว และเกรงว่าในใต้หล้าก็คงมีแค่ไม่กี่คนที่เข้าตา!
พยัคฆ์ร้ายไม่สนใจความคิดของมด
ฮ่องเต้ปวดหัวแปลบ รู้มานานแล้วว่าเขาหยิ่งทระนง แต่ไม่คิดว่าจะยโสได้ถึงเพียงนี้
แต่เขามีสายเลือดของโอรสสวรรค์ คือผู้ที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า เดิมทีเขาก็คู่ควรกับความภาคภูมิใจในสถานะอันสูงส่งของตนอยู่แล้ว
มองจากอีกมุมมองหนึ่ง เขามีหัวใจที่แข็งแกร่งดุจหินผา ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งเร้าภายนอก ก็ถือเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่ง
“เจ้ายืนกรานว่าจะทำเช่นนี้หรือ” ฮ่องเต้ขอคำยืนยันกับเขาอีกครั้ง “เราต้องหงุดหงิดรำคาญแทนเจ้ามาตั้งหลายปี จะหงุดหงิดเพิ่มไปอีกหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นไร”
เขาถามแบบนี้ อันที่จริงก็เท่ากับเห็นด้วยที่จูจิ่นเซินจะชะลอการคัดเลือกชายาออกไปก่อน เลี้ยงดูบุตรชายโง่คนหนึ่งกับบุตรชายที่อ่อนแอคนหนึ่งจนเติบใหญ่มาถึงทุกวันนี้ ความลำบากเกิดกับใครคนนั้นย่อมรู้ดีที่สุด ต่อให้พวกขุนนางจะเกลี้ยกล่อมแค่ไหน เขาก็ไม่กล้าเดิมพันกับความเป็นไปได้นี้
เขายื้อเรื่องแต่งงานของลูกชายคนโตมานานจนลูกชายอายุครบยี่สิบ แล้วก็เป็นเพราะไม่อาจถ่วงเวลาต่อไปได้อีก ถึงได้เลือกชายาให้จูจิ่นจื้อ ลึกๆในใจมีหรือที่เขาจะไม่กลัวว่าปัญหาทางด้านสมองของจูจิ่นจื้อจะสืบทอดต่อไปยังบุตรหลาน ตอนนี้ในใจเขาก็รู้สึกคร่ำเครียดมากพอแล้ว หากต้องเครียดเรื่องของจูจิ่นเซินอีก เขาก็แทบจะแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้ไม่ไหว
จูจิ่นเซินให้คำตอบยืนยันแก่เขา “ใช่ เสด็จพ่อไม่ต้องเป็นห่วง”
ฮ่องเต้มองเขาด้วยสายตาลึกล้ำ “ได้ ถ้าอย่างนั้นเราก็จะให้เจ้าได้สมหวัง”
พูดปากเปล่าอาจจะเชื่อถือไม่ได้ สุดท้ายแล้วเขาจะแบกรับแรงกดดันนี้ไว้ได้หรือไม่ ต้องทดลองดูถึงจะรู้ได้
หากแบกรับได้ เขาก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกแล้วจริงๆ
ฮ่องเต้ยกเลิกคำสั่งที่บอกให้ขุนนางใหญ่ในสภาขุนนางปิดข่าว ข่าวนี้จึงแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง
มู่หยวนอวี๋ตกใจจนตัวโยน ประตูใหญ่จวนองค์ชายรองเพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน ในจวนยังมีเรื่องมากมายต้องสะสาง จูจิ่นเซินจึงยังไม่ได้กลับมาเรียน พอนางได้ยินข่าวนี้ก็รีบพุ่งไปหาเขาทันที
“องค์ชาย ท่านพูดกับฮ่องเต้แบบนั้นจริงๆหรือ”
จูจิ่นเซินนั่งอยู่ใต้ชายคา คลี่พัดโบกไปมาอย่างเนิบช้าครั้งแล้วครั้งเล่า “อืม”
ท่าทางของเขาอันแฝงด้วยความพลิ้วไหวสง่างามที่มีมาตั้งแต่กำเนิดนั้นชวนมองอย่างยิ่ง มู่หยวนอวี๋เหลือบตามองอยู่หลายครั้ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะพูดเรื่องอะไร “นี่ นี่ไม่ค่อยเหมาะกระมัง”
แม้นางจะเป็นบุรุษตัวปลอม แต่ก็รู้ว่าบุรุษมีความทระนงในเรื่องนี้อย่างยิ่ง ต่อให้มีความเป็นไปได้ที่ลูกหลานของเขาจะอ่อนแอ แต่ก็คงไม่ได้หนักหนาสาหัสถึงขั้นใช้งานไม่ได้หรอกกระมัง และโดยทั่วไปแล้วบุรุษคนอื่นก็ไม่มีทางเอาเรื่องนี้ไปพูดให้ใครรู้เด็ดขาด
“มีอะไรไม่เหมาะ ถ้าข้าไม่พูด พวกเขาก็ไม่หยุดถาม ไม่สร้างความรำคาญให้เสด็จพ่อ ก็มาสร้างความรำคาญให้ข้า ถามครั้งหนึ่ง ข้าก็ต้องหงุดหงิดครั้งหนึ่ง ไม่สู้พูดออกมาตามตรง คงไม่มีคนที่ดวงตาไร้แววคนไหนกล้ามาพูดต่อหน้าข้าอีก”
ฟังดูแล้วก็เหมือนว่าจะมีเหตุผล เวลาห้าปีเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน มู่หยวนอวี๋คิดไม่ออกจริงๆว่าหากไม่พูดไปตามความจริงจะยังมีเหตุผลอะไรที่จะใช้ปฏิเสธได้อีก
แต่นางก็ยังคิดไม่ตก…เพราะนางควรจะปลอบใจจูจิ่นเซิน เพียงแต่ว่าคำปลอบใจนี้ยากที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาจริงๆ
พูดอย่างไรถึงจะเป็นการให้กำลังใจโดยไม่สร้างความเจ็บปวดให้แก่เขา
หลี่ไป่เฉ่าหิ้วตะกร้าไม้ไผ่ใส่ยาสมุนไพรเดินขึ้นบันไดมา แล้วหัวเราะหึๆเสียงเย็น
มู่หยวนอวี๋มองเขาอย่างงงงัน
หมอผู้เฒ่าคนนี้นอกจากจะอารมณ์ร้ายแล้ว เริ่มเป็นโรคประหลาดแบบนี้เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
…
หลี่ไป่เฉ่ากวาดตาผ่านใบหน้าของมู่หยวนอวี๋และจูจิ่นเซิน มองพวกเขาด้วยสายตาดูแคลนอย่างที่หมอเทวดาซึ่งมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งพึงจะทำ
ไม่นึกว่าในตระกูลของโอรสสวรรค์จะมีเรื่องแบบนี้ด้วย เฮอะ
ถูกเจ้าบุรุษตัวปลอมล่อลวงจิตใจจนไม่คิดแต่งภรรยาอย่างจริงจัง ป่วยเป็นโรคแค่สามส่วนกลับโม้เพิ่มไปซะเจ็ดส่วน หลอกคนใต้หล้าให้หลงเชื่อ
อะไรคืออีกห้าปีถึงจะหาย เป็นเพราะว่าห้าปีให้หลัง ซื่อจื่อตัวปลอมที่เขาหลงใหลคนนี้คงต้องกลับไปชายแดนใต้แล้วซะมากกว่า
ควรจะเปิดโปงหรือไม่
แน่นอนว่าเขาไม่ทำอย่างนั้น ป่วยสามส่วนก็คือป่วย ในฐานะหมอ เรื่องต้องห้ามที่ไม่สมควรทำที่สุดก็คือการพูดคำขาดไม่เหลือที่ว่างให้ตัวเอง ไม่อย่างนั้นหากเกิดปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมาจริงๆ ก็เท่ากับว่าเขาขุดหลุมฝังตัวเอง
จูจิ่นเซินเอ่ยปากแล้วว่าปลายปีนี้จะปล่อยตัวเขาไป เพื่อแลกกับคำสัญญานี้ เขาเองก็ควรจะปิดปากให้สนิท
เขาไม่ควรข้องเกี่ยวกับพวกชนชั้นสูงที่วุ่นวายพวกนี้ อยู่ให้ห่างหน่อยย่อมปลอดภัยกว่า
[1] จ่งเสี้ยนคือคำเรียกขานอีกอย่างหนึ่งของเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้าย