เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์
我开动物园那些年
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
拉棉花糖的兔子
Himazan แปล
ติดตามกำหนดการวางขายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
+++++++++++++++++++
ต้วนเจียเจ๋อที่ได้กลายมาเป็นผู้อำนวยการสวนสัตว์ไหเจี่ยวอย่างเป็นทางการได้เดินทางมาถึงที่นี่ และใช้กุญแจเปิดประตูเข้าไป ก็ได้เห็นว่าสภาพด้านในกับสภาพที่เห็นอยู่ด้านนอกนั้นรกร้างไม่ต่างกัน เสียงร้องของสัตว์ที่ส่งเสียงออกมาเป็นครั้งคราวนั้นไม่ได้มีชีวิตชีวาเลยแม้แต่น้อย กลับอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเสียด้วยซ้ำไป
ในตอนที่ต้วนเจียเจ๋อเดินผ่านกรงสัตว์ เขามองเห็นสิงโตที่ผอมแห้งจนเหลือแต่กระดูกนอนอยู่ในที่คับแคบ นกยูงหงอยเหงาไร้ชีวิตชีวา ลิงที่ริมฝีปากแห้งเหี่ยว และสัตว์อื่นๆ ที่ทั้งสกปรกทั้งผอมแห้งจนป่วยหนักรุนแรง
สัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์ไหเจี่ยวมีจำนวนไม่มาก ราวๆ สิบถึงยี่สิบสายพันธุ์ แต่สัตว์เหล่านี้ต้องการที่อยู่อาศัยที่กว้างขวางมากกว่านี้ กรงของที่นี่สร้างมามีขนาดค่อนข้างเล็ก และมีกรงจำนวนหนึ่งที่ยังว่างอยู่ ดูเหมือนกรงที่ว่างอยู่พวกนี้จะเป็นของสัตว์ที่เคยเลี้ยงไว้และล้มตายไป
กรงสัตว์ทั้งหมดยังเป็นกรงที่ค่อนข้างล้าสมัย ไม่เหมือนกับสวนสัตว์หลายๆ แห่งที่เปลี่ยนมาเป็นแบบผนังกระจกทั้งหมดเพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการเยี่ยมชม ภายใต้เงื่อนไขที่เป็นอยู่ แท้จริงแล้วไม่เป็นธรรมต่อบรรดาสัตว์เหล่านี้เอามากๆ
ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงที่ไม่มีเจ้าของ เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ที่เป็นพนักงานประจำของสวนสัตว์ก็ถูกไล่ออกไปตั้งนานแล้ว ทนายหวังจึงจ้างคนว่างงานที่ทำตัวลอยชายไปวันๆ มาทำหน้าที่ให้อาหารสัตว์อยู่เป็นประจำ ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าคนพวกนี้ไม่ใส่ใจดูแล ไม่เป็นมืออาชีพ และนึกไม่ถึงว่ายังแอบยักยอกอาหารสัตว์เอาไว้เองอีกด้วย
ตัวอาคารสำนักงานนั้นทรุดโทรมมาก เป็นอาคารสองชั้นขนาดเล็กที่ทาสีเคลือบไว้แบบลวกๆ และในขณะเดียวกันก็ยังใช้เป็นที่พักพนักงานอีกด้วย
ระหว่างทางที่เดินมานั้น ต้วนเจียเจ๋อเองก็ได้รับผลกระทบทำให้หดหู่ไร้ชีวิตชีวา เขาเปิดแอพโครงการแห่งความหวังหลิงเซียวขึ้นมา และกดเข้าไปที่ภารกิจของฉัน ไม่รู้ว่าภารกิจถูกตั้งเวลาไว้ในตอนนี้ หรือมีบุคคลอื่นรู้ว่าเขามาถึงที่สวนสัตว์แล้ว แถบภารกิจที่แต่เดิมเคยเป็นสีเทาก็สว่างขึ้นมาในที่สุด
“ภารกิจมือใหม่”
ต้วนเจียเจ๋อกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที โดยปกติแล้วภารกิจมือใหม่มักจะเป็นภารกิจง่ายๆ อีกทั้งยังแจกของรางวัลใหญ่สำหรับมือใหม่อีกด้วย
ต้วนเจียเจ๋อกดเข้าไปที่ภารกิจมือใหม่ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้
คำอธิบายภารกิจ : ชื่อที่โด่งดังและโดดเด่นเป็นพื้นฐานสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มาเปลี่ยนชื่อดีๆ เพื่อสวนสัตว์ของท่านกันเถอะ!
รางวัลภารกิจ : หลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้น ท่านจะได้รับอาหารสัตว์คุณภาพสูงสำหรับ 30 วัน ซึ่งจะแจกจ่ายให้ทุกวัน
การสนับสนุนของหลิงเซียว : เดิมทีสวนสัตว์มีสัตว์มากมายหลายสายพันธุ์ แต่ปัจจุบันสวนสัตว์ของท่านมีสัตว์เพียงแค่ 23 สายพันธุ์เท่านั้น พนักงานที่ถูกส่งมาโดยระบบหลิงเซียวจะมาประจำตำแหน่งสัตว์ เพื่อเพิ่มสีสันให้กับสวนสัตว์!
ต้วนเจียเจ๋อโล่งอก ไม่เลวเลยทีเดียว เขาที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์และการฝึกสัตว์ให้เชื่อง และอาหารของสัตว์พวกนี้ ถ้าจะให้เขาไปซื้อให้สัตว์ทีละตัวก็คงจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากไปหน่อย แถมตอนนี้เขาไม่มีพนักงานเลยแม้แต่คนเดียว
รางวัลสำหรับภารกิจนี้คืออาหารสัตว์คุณภาพสูง ซึ่งจะช่วยเขาแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดเก็บไปได้
การนำสัตว์สายพันธุ์ใหม่เข้ามาในสวนสัตว์ก็เป็นปัญหาเช่นกัน ต้วนเจียเจ๋อไม่มีช่องทางหรือเส้นสายใดๆ ถึงแม้ว่าสวนสัตว์จะมีเงินอยู่ในบัญชี แต่การจะนำสัตว์สายพันธุ์ใหม่เข้ามาหลังจากนี้ก็ยังถือเป็นเรื่องยาก แต่ระบบสนับสนุนของโครงการแห่งความหวังนี้ก็ใส่ใจและคำนึงถึงข้อนี้มาก โดยแทนที่จะส่งพนักงานมาก็เปลี่ยนเป็นสัตว์แทน นับว่ามีความใส่ใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ในตลาดแรงงานเต็มไปด้วยผู้คน ดังนั้นการจะหาพนักงานที่ดีนั้นสามารถหาได้ง่าย แต่จะหาสัตว์ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เวลาไม่คอยท่า ต้วนเจียเจ๋อรีบเปิดเครื่องมือค้นหาทันที เพื่อค้นหาว่าสวนสัตว์ไหเจี่ยวควรจะเปลี่ยนชื่อเป็นอะไรถึงจะดี
โดยปกติแล้วภารกิจสำหรับมือใหม่นั้นทำสำเร็จได้ง่ายมาก ง่ายถึงขนาดที่ต้วนเจียเจ๋อเองก็รู้สึกว่า เขาสุ่มตั้งชื่ออะไรไป ไม่แน่บางทีก็อาจจะสามารถผ่านภารกิจไปได้
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ต้วนเจียเจ๋อก็กรอกชื่อใหม่ของสวนสัตว์ลงไปในระบบ : หลิงโย่ว ไป่ตู้ [1] บอกไว้ว่าเป็นชื่อของสวนสัตว์แห่งแรกในสมัยโบราณที่ฟังแล้วดูมีเอกลักษณ์มาก
สรุปว่าระบบไว้หน้าเขามากและตัดสินให้ชื่อนี้ผ่านไปได้ แต่ที่แถบภารกิจยังไม่ขึ้นว่าภารกิจสำเร็จ
ต้วนเจียเจ๋อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจจุดสำคัญของสถานการณ์ว่า ควรจะต้องรอให้กระบวนการทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์ก่อน ถึงจะสามารถเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการได้ และทำให้ภารกิจมือใหม่สำเร็จเสร็จสิ้น
ต้วนเจียเจ๋อไม่รอช้า รีบเสิร์ชหาที่อยู่และข้อมูลติดต่อของโรงงานจากอินเทอร์เน็ตทันที เขารีบโทร.นัดหมาย จากนั้นก็โทร.ไปขอคำปรึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนในการเปลี่ยนชื่อสวนสัตว์
หลังจากที่โทร.เสร็จเขาก็เปิดเข้าไปดูที่ “การสนับสนุนของหลิงเซียว” อีกครั้ง ในนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าทางนั้นจะเริ่มส่งสัตว์มาที่สวนสัตว์แล้ว นี่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของรางวัลสำหรับภารกิจมือใหม่ด้วย สัตว์ตัวแรกได้ถูกส่งมาแล้ว ตอนนี้มันอยู่ระหว่างการขนส่ง
สัตว์ที่ถูกส่งมาโดยโครงการที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ก็น่าจะสุดยอดไม่ต่างกัน แล้วบริษัทขนส่งที่ไหนจะมาส่งให้ล่ะ หรือว่าจะวาร์ปผ่านมากลางอากาศ?
ต้วนเจียเจ๋อคิดขณะที่วิ่งเข้าไปที่กรงสัตว์ เขาบีบจมูกแล้วทำความสะอาดกรงใหม่เพื่อเตรียมไว้ให้สัตว์ตัวใหม่ได้เข้าไปอยู่ในนั้น
ไม่รู้ว่าสัตว์ที่ถูกส่งมาเป็นตัวอะไร แต่ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ปีกหรือสัตว์สี่ขาก็เตรียมกรงเอาไว้ก่อนดีกว่า เพราะยังไงซะจุดที่ให้นกอาศัยอยู่ก็ทำความสะอาดได้ง่ายกว่าอยู่ดี
ต้วนเจียเจ๋อยังคิดอีกว่า หลังจากนี้ไปน่าจะมีการแจ้งภารกิจที่ยกระดับสภาพความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เพราะตอนนี้สภาพการกินการอยู่ของสัตว์พวกนี้ย่ำแย่และเลวร้ายเอามากๆ
เดิมทีต้วนเจียเจ๋อไม่ได้มีความสนใจในการจัดการสวนสัตว์ แต่เมื่อเขาเห็นสัตว์ที่เหงาหงอย ไร้ชีวิตชีวา และบาดเจ็บไม่ได้รับความเป็นธรรม ในใจก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้ ถ้าหากไม่มีหนทางที่จะปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระ อย่างน้อยเพิ่มคุณภาพชีวิตของพวกมันให้ดีขึ้นสักนิดก็ยังดี
ในช่วงบ่าย ต้วนเจียเจ๋อได้ไปที่โรงงานอีกครั้งเพื่อสั่งทำป้ายขนาดใหญ่ เป็นป้ายที่มีหลอดไฟส่องแสงสว่างได้ นอกจากนี้ยังมีป้ายขนาดเล็กที่ไว้สำหรับตกแต่งภายในสวนสัตว์ หรือแม้กระทั่งการออกแบบทั้งหมดเขาก็ทำที่โรงงานแห่งนี้เช่นกัน เมื่อตกลงนัดหมายกันเรียบร้อย หลังจากที่ทำเสร็จทางโรงงานจะมาส่งให้ที่หน้าประตู ส่วนค่าใช้จ่ายในการติดตั้งนั้นจะคิดแยกต่างหาก
ในวันที่รอป้ายไฟจัดส่งมา นอกจากขั้นตอนการดำเนินงานที่ต้วนเจียเจ๋อต้องวิ่งไปวิ่งมาอยู่หลายรอบ ก่อนหน้านั้นเขาได้อ่านเอกสารต่างๆ ที่ได้รับมาจากทนายความ เมื่อพลิกสมุดบัญชีดูคร่าวๆ เขาจึงรู้ว่าในบัญชีมีเงินสดอยู่ไม่ถึงสองแสนหยวน เพราะช่วงหลายปีที่ผ่านมาธุรกิจนี้ดำเนินไปด้วยความยากลำบากและขาดทุนมากเกินไป
แม้จะมีเงินไม่มาก แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังต้องจ้างพนักงานเอาไว้ก่อน เงินที่มากกว่าหนึ่งแสนนี้สามารถประคองตัวได้ระยะหนึ่ง แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่จ้างพนักงานหลายตำแหน่งหรือให้เงินเดือนที่สูงเกินไป
เนื่องจากต้วนเจียเจ๋อไม่ค่อยเข้าใจระบบการจัดการของสวนสัตว์ เขาจึงทำตามความคิดของตัวเองโดยการโพสต์ประกาศรับสมัครพนักงานบนอินเทอร์เน็ต เตรียมรับสมัครเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาต้วนเจียเจ๋อได้จับตาดูคนที่ทนายหวังจ้างให้มาเลี้ยงสัตว์และทำความสะอาดกรง เมื่อพวกเขามาทำงาน เงินค่าจ้างของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นการจ่ายรายวันแบบตัวต่อตัว ทำให้พวกเขาไม่สามารถยักยอกหรือขโมยอาหารสัตว์ได้อีก
คนพวกนี้เป็นชาวบ้านที่ว่างงานจากหมู่บ้านใกล้เคียง พวกเขาไม่ได้ไม่พอใจกับการควบคุมคนของต้วนเจียเจ๋อ ตรงกันข้าม กลับถามว่ายังต้องการจ้างคนเพิ่มอีกไหม
พวกเขาทั้งหมดมาจากหมู่บ้านเดียวกัน ดังนั้นจึงง่ายต่อการรวมกลุ่มและสร้างเรื่องขึ้นมาอีก เนื่องจากการทุจริตที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ต้วนเจียเจ๋อจึงปฏิเสธไป
ผ่านไปสามสี่วัน ป้ายชื่อสวนสัตว์ที่สั่งทำขึ้นใหม่ก็ส่งมาถึง
ป้ายชื่อสวนสัตว์อันเก่าถูกนำลงมาหมด ต้วนเจียเจ๋อยืนรอคนของโรงงานอยู่ที่หน้าประตู จากนั้นก็คอยจับตาดูเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาติดตั้งป้ายได้เรียบร้อย
พนักงานขับรถของโรงงานพูดคุยกับต้วนเจียเจ๋อ “นี่เป็นสวนสัตว์ของคุณเหรอครับ”
ต้วนเจียเจ๋อพยักหน้า “ใช่แล้วครับ เดิมทีที่นี่คือสวนสัตว์ไหเจี่ยว แต่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อและจะเริ่มเปิดกิจการใหม่อีกครั้งครับ”
พนักงานขับรถ “อ้าว ถ้าอย่างนั้นเจ้านายของพวกคุณกำลังคิดอะไรอยู่ สู้ไปเปิดกิจการอยู่ใจกลางเมืองไม่ดีกว่าเหรอ ที่นี่เดิมทีก็ปิดตัวลงไปแล้ว”
เดิมทีในเมืองก็มี “สวนสัตว์” อยู่หลายแห่ง ขนาดพื้นที่ก็ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ส่วนมากจะอยู่ติดกับสวนสนุกหรือสวนสาธารณะ มีเพียงแค่สวนสัตว์ในเมืองตงไห่เพียงแห่งเดียวที่เป็นอิสระและยังนับว่าได้มาตรฐาน
เดิมทีธุรกิจของสวนสัตว์ไหเจี่ยวนั้นแย่มาก ไม่เพียงแต่สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ไม่ดี แม้แต่สัตว์ก็มีน้อย เพราะสภาพภูมิศาสตร์ที่แย่
แม้ว่าสวนสาธารณะไหเจี่ยวที่อยู่ใกล้เคียงจะได้รับความนิยมมาก แต่สวนสัตว์นี้อยู่ห่างกันเกินไป ผู้คนที่มาสวนสาธารณะไหเจี่ยวส่วนใหญ่ล้วนแต่มาปิกนิก ย่างบาร์บีคิว จึงเป็นเรื่องยากที่จะถูกสวนสัตว์เล็กๆ แบบนี้ดึงดูดให้เดินเข้ามา เพราะหากต้องการจะไปสวนสัตว์ ผู้คนส่วนใหญ่คงเลือกที่จะไปสวนสัตว์ในเมืองกันหมด
ต้วนเจียเจ๋ออายที่จะบอกว่าตัวเองคือผู้อำนวยการสวนสัตว์ เขายืนกรานว่า “ในอนาคตพวกเราต้องการจะขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น ในเมืองคงมีพื้นที่ไม่ใหญ่พอขนาดนั้น…”
คนขับรถยิ้มและพูดว่า “โอ้โห ถ้าอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าเจ้านายของพวกคุณกำลังทำโครงการใหญ่ละสิ อย่างการเปลี่ยนพื้นที่บนภูเขาไหเจี่ยวมาทำเป็นสวนสัตว์ซาฟารีอย่างนั้นสินะ”
ต้วนเจียเจ๋อพยักหน้า “เป็นความคิดที่ดีนะครับ”
ไม่ว่าใจจะใหญ่แค่ไหน ความฝันจะไกลเท่าไร หากเขาลงมือทำจริงๆ อะไรก็ฉุดเขาไม่อยู่
พนักงานจากโรงงานติดตั้งป้ายได้อย่างรวดเร็ว เมื่อลองทดสอบระบบไฟเป็นที่เรียบร้อย ต้วนเจียเจ๋อจึงจ่ายค่าดำเนินการ จากนั้นพวกเขาก็จากไปทันที
ต้วนเจียเจ๋อยืนชื่นชมป้ายไฟอันใหม่อยู่ที่หน้าประตู เขารู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็เริ่มครุ่นคิดว่า หลังจากเปิดกิจการอย่างเป็นทางการ กิจกรรมอะไรที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้…
“ที่นี่คือสวนสัตว์หลิงโย่ว?”
ต้วนเจียเจ๋อได้ยินน้ำเสียงที่เย็นชาดังขึ้นกะทันหันจากด้านหลัง เขาจึงหันกลับไปมอง
ชายคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีดำยืนอยู่ห่างจากเขาประมาณห้าก้าว มือข้างหนึ่งล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ส่วนอีกข้างวางอยู่บนที่จับกระเป๋าเดินทางที่อยู่ตรงเท้า
เขาสูงกว่าต้วนเจียเจ๋อประมาณครึ่งศีรษะ อวัยวะบนใบหน้าของเขาสมบูรณ์แบบจนข้ามขอบเขตข้อจำกัดเรื่องเพศไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นรูปทรงเว้าโค้งที่ชี้ขึ้นของปลายหางคิ้วและหางตา หรือจะเป็นริมฝีปากที่บางเฉียบของเขานั้น ล้วนแต่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและเย็นชา
เส้นผมสีแดงทองที่เป็นไฮไลท์อยู่บนบางส่วนของศีรษะเขานั้นนับว่าดูดีสวยงาม แต่มันก็ทำให้คนมองรู้สึกสับสนอยู่เล็กน้อย ชายที่หล่อเหลาเหมือนเทพบุตรผู้เย็นชาขนาดนี้ไม่น่าจะมีงานอดิเรกเป็นการทำสีผมถึงจะถูก
แต่อย่างไรก็ตาม ภายใต้แรงกดดันของเขา ความสงสัยข้อนี้…ไม่ว่าอย่างไรต้วนเจียเจ๋อก็ไม่กล้าที่จะถามออกไป
ต้วนเจียเจ๋อตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นหันมา จากนั้นก็เอ่ยปากถามประโยคที่สองออกมาด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “นายคือต้วนเจียเจ๋อ?”
ต้วนเจียเจ๋อเผยสีหน้าประหลาดใจ “ใช่ครับ ขอโทษนะครับ คุณคือ?”
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามนี้ สีหน้าบนใบหน้าที่งดงามของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปทันที น้ำเสียงเย็นชาด้วยความเดือดดาลพร้อมที่จะระเบิดออกมาและเต็มไปด้วยความอัปยศอดสู “ฉันคือลู่ยา เป็นสัตว์…ที่โครงการแห่งความหวังหลิงเซียวส่งมา”
ต้วนเจียเจ๋อ “…?”
ถึงแม้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมาจะทำให้ต้วนเจียเจ๋อรู้ซึ้งแล้วว่าชีวิตคนเรานั้นช่างไม่เที่ยงแท้ แต่แล้วเมื่อชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ตรงหน้าบอกด้วยความอัปยศอดสูว่าตัวเองเป็นสัตว์ตัวใหม่ที่ถูกส่งมา…นี่จึงเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดสาดเข้ามาในใจของเขา
ต้วนเจียเจ๋อถามด้วยความสับสน “คุณหมายถึง คุณเป็นพนักงานที่ถูกส่งมาใช่ไหมครับ”
ลึกๆ แล้วเขารู้สึกว่าบางที “ลู่ยา” คนนี้อาจจะเผลอหลุดปากพูดออกมาโดยที่ไม่ตั้งใจ
ลู่ยาพูดอย่างเกรี้ยวกราด “ฉันต่างหากที่ต้องถามนาย ตามปกติแล้วมันควรจะเป็นพนักงาน แต่ทำไมถึงกลายเป็นสัตว์ไปได้”
“เอ่อ ก็ระบบนั่นมันกำหนดแผนงานมานี่ครับ บอกว่าตามสถานการณ์ในตอนนี้ สวนสัตว์ของเรากำลังขาดแคลนสัตว์…”
ต้วนเจียเจ๋ออดไม่ได้ที่จะถอยหลังออกมาสองก้าว “แต่ผมคิดว่าการที่เปลี่ยนพนักงานให้กลายเป็นสัตว์มันอาจจะเป็นข้อผิดพลาดก็ได้ คุณอย่าโกรธไปเลยนะ ยังไงผมก็ไม่พาคุณออกไปจัดแสดงหรอก…”
ในตอนที่เขาพูดออกมา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“สภาพแบบนี้ ในตอนนี้ แน่นอนว่านายทำไม่ได้” ลู่ยาพูดหน้านิ่ง “ดังนั้นหลังจากนี้ ในเวลาทำงานของทุกวัน ฉันต้องคงอยู่ในร่างเดิมของตัวเองไว้”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
ประโยคนี้ได้ทำลายล้างทัศนคติทั้งสาม [2] ของต้วนเจียเจ๋อไปอย่างสมบูรณ์
ในตอนนี้เอง ลู่ยาก็มองประเมินต้วนเจียเจ๋อตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “นายคงไม่ได้เป็นคนของเผ่าพันธุ์มนุษย์จริงๆ หรอกนะ”
ตอนที่รู้ว่าสวนสัตว์แห่งนี้มาเปิดอยู่ที่โลกมนุษย์ ก็ทำให้เขาประหลาดใจมากพออยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผู้อำนวยการสวนสัตว์ตรงหน้าดูเหมือนจะเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง
“ก็ใช่น่ะสิครับ” ต้วนเจียเจ๋ออยากจะร้องไห้ “แต่ดูท่าทางแล้ว คะ…คุณคงจะไม่ใช่”
ลู่ยาเลิกคิ้วหนาของเขาขึ้น “เปิ่นจุน [3] เป็นอีกาทองสามขาตัวสุดท้ายระหว่างสวรรค์กับโลก [4] ”
โชคดีที่ตอนนี้สวนสัตว์ยังไม่มีนักท่องเที่ยว มีเพียงแค่ลุงยามที่กำลังนอนหาวอยู่ที่ประตูสวนสาธารณะเท่านั้น
ต้วนเจียเจ๋อมองไปยังป้ายสวนสัตว์ที่เป็นรูปวงกลมเล็กๆ ซึ่งอยู่ด้านหลัง และหันกลับมามองท่านอีกาทองสามขาซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าของสวรรค์และโลกที่อยู่ตรงหน้านี้ รอยยิ้มสุดท้ายบนใบหน้าของเขาก็พลันแข็งค้างไปทันที
[1] 百度เสิร์ชเอนจินอันดับหนึ่งของประเทศจีน
[2] 三观หมายถึง ทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิต และทัศนคติต่อคุณค่า
[3] 本尊คำเรียกแทนตัวเองว่าข้าผู้ยิ่งใหญ่ ลู่ยาในเรื่องจะเรียกแทนตัวเองด้วยคำนี้
[4] ตามตำนานของจีนเล่าว่า ในยุคกำเนิดโลกมีดวงอาทิตย์อยู่ 10 ดวง ผลัดกันส่องแสงลงสู่ผืนแผ่นดินเป็นเวลาหลายพันปี ดวงอาทิตย์นั้นคืออีกาทองสามขา พวกเขาเป็นโอรสแห่งองค์เทียนตี้ เจ้าแห่งสวรรค์ แต่แล้ววันหนึ่งดวงอาทิตย์กลับฉายแสงพร้อมกันทั้ง 10 ดวง ทำให้โลกแทบมอดไหม้ พระเจ้าเหยา กษัตริย์แห่งมวลมนุษย์จึงรับสั่งให้โฮ่วอี้ หาวิธีควบคุมดวงอาทิตย์ โฮ่วอี้จึงยิงธนูใส่ใดวงอาทิตย์ห้ร่วงมาทีละดวง จนเมื่อเหลือดวงสุดท้ายดวงเดียว พระเจ้าเหยาจึงร้องขอให้เขาละเว้น เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ โลกจึงเหลือดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียวมาจนทุกวันนี้