เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์
我开动物园那些年
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
拉棉花糖的兔子
Himazan แปล
ติดตามกำหนดการวางขายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
+++++++++++++++++++
เช้าวันรุ่งขึ้นต้วนเจียเจ๋อตื่นแต่เช้า เตรียมตัวต้อนรับผู้ที่มาสัมภาษณ์งานคนแรก
น้ำเสียงและรูปลักษณ์ของหญิงสาวที่มาสัมภาษณ์คนนี้ก็เหมือนกับอายุของเธอ เธอหยิบประวัติส่วนตัวออกมาให้ต้วนเจียเจ๋อ พูดอย่างเขินอาย “ฉันชื่อซูซู หรือคุณจะเรียกฉันว่าเสี่ยวซูก็ได้ค่ะ”
ต้วนเจียเจ๋อมองดูอายุที่อยู่บนเรซูเม่ เธออายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปี จบการศึกษาในปีนี้เหมือนกัน “เอ๊ะ คุณเรียนเอกภาษาจีนเหรอครับ”
เสี่ยวซูกระอักกระอ่วน “ใช่ค่ะ แต่ว่าฉันมีใบประกอบวิชาชีพบัญชีนะคะ” แต่ก็เป็นแค่ใบรับรองใบเดียวที่มี
บัณฑิตที่จบสาขาการบัญชีและภาษาจีนมีเยอะมาก สถานการณ์การหางานก็ลำบาก เธอก็เหมือนกับต้วนเจียเจ๋อเมื่อครึ่งเดือนก่อนที่หางานมาเป็นเวลานาน
ต้วนเจียเจ๋อพยักหน้าอย่างเข้าใจดี พูดด้วยความจริงใจ “ที่จริงแล้วผมคิดว่าคุณสมบัติของคุณดีมากเลย แต่ผมอยากให้คุณเข้าใจสถานการณ์ของเราว่า ที่นี่ในตอนนี้มีเพียงแค่ผมคนเดียวที่เป็นผู้รับผิดชอบ เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ก็ยังหาไม่ได้ ได้แต่จ้างให้พวกชาวบ้านที่อยู่รอบๆ มาดูแลแทนชั่วคราว พอถึงตอนนั้นงานของคุณก็จะยุ่งวุ่นวายมาก นอกจากทำบัญชีกับขายตั๋วแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างอื่นให้คุณทำด้วย แน่นอนว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่นี่ไม่ได้เยอะมากนัก แต่รอให้ที่นี่เติบโตขึ้นเมื่อไหร่ เราก็จะจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นอีก…”
สำหรับเงินเดือนนั้น เขาให้เดือนละสี่พันหยวนรวมอาหารหนึ่งมื้อ เนื่องจากลู่ยาและสัตว์อื่นๆ ที่จะถูกส่งมาในอนาคตไม่ใช่คน เขาจึงไม่สามารถรวมที่พักให้ได้ มิฉะนั้นความลับอาจจะถูกเปิดเผยได้ง่ายๆ แต่ก็มีค่าที่พักเสริมแทนให้
ต้วนเจียเจ๋อเล่าสถานการณ์จริงให้เสี่ยวซูได้รับรู้ และยังพาเธอชมด้านในสวนสัตว์
แม้ว่าจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่เพราะอาหารคุณภาพสูงที่ได้รับเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา บรรดาสัตว์ทั้งหมดล้วนแต่มีขนเรียบลื่นมันวาวเปล่งประกาย เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ส่งเสียงร้องอย่างเต็มร้อย ทำให้รักษาหน้าของผู้อำนวยการไว้ได้
ในตอนนี้เองลู่ยาที่เดินล้วงกระเป๋ามาจากด้านหน้าก็ได้เดินเข้าไปในอาคารหลังเล็ก สีผมไฮไลท์…ไม่ใช่สิ ผมสีแดงทองเป็นธรรมชาติของเขาเปล่งประกายสะดุดตาภายใต้แสงอาทิตย์ แต่ที่สะดุดตามากไปกว่านั้น แน่นอนว่าจะต้องเป็นใบหน้าของเขา ที่มองดูแล้วทั้งตัวมีแต่ความหยิ่งยโส
การปรากฏตัวของลู่ยาตรงข้ามกับสภาพแวดล้อมที่ดูโทรมแบบนี้มาก เสี่ยวซูเห็นแล้วแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง “นั่นเป็นพนักงานในสวนสัตว์หรือเปล่าคะ” แต่เธอจำได้ว่าต้วนเจียเจ๋อบอกว่าตอนนี้มีเขาเป็นคนดูแลสวนสัตว์เพียงแค่คนเดียว จึงถามออกไปอย่างงุนงง “…เจ้าหน้าที่ให้อาหารสัตว์จากในหมู่บ้านเหรอคะ”
ต้วนเจียเจ๋อเหงื่อตก “ไม่ใช่ ๆ เขาก็เป็นแค่คนนอก”
ปัจจุบันนี้สวนสัตว์ยังไม่ได้เปิดให้บริการ ดังนั้นลู่ยาจึงสามารถเดินเตร็ดเตร่ไปมาได้ แต่หลังจากที่เปิดสวนสัตว์แล้ว เวลาที่เขาทำงานจะต้องกลายร่างเป็นสัตว์ ทุกวันอาจจะต้องเจอกับเสี่ยวซูบ่อยครั้ง ต้วนเจียเจ๋อจึงอธิบายอีกครั้ง “เขาไม่ได้เป็นพนักงานหรอกครับ รอให้สวนสัตว์เปิดเมื่อไหร่ เขาก็จะพักอยู่ที่นี่ในช่วงกลางคืนเท่านั้น”
เสี่ยวซูเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา “แบบนี้เองเหรอคะ มาแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
…เขามักจะรู้สึกว่าน้ำเสียงของเสี่ยวซูออกจะแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าแปลกตรงไหน
เสี่ยวซูก็คงจะพบเจอความลำบากมามากเช่นเดียวกัน เธอจึงตอบตกลงเซ็นสัญญาอย่างไม่ลังเล ต้วนเจียเจ๋อได้กำหนดเวลาเปิดทำการที่นี่ ช้าสุดคือหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน แต่ยังไม่ระบุวันที่ที่แน่นอน
เป้าหมายของเขาคือการเปิดสวนสัตว์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และเส้นตายของเวลาในการทำภารกิจก็คือต้องเปิดให้บริการสวนสัตว์ภายในหนึ่งเดือน สัตว์สายพันธุ์ใหม่ได้ซื้อเข้ามาหมดแล้ว ถ้าหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนเขายังไม่สามารถหาพนักงานใหม่เข้ามาเพิ่ม และโดนฟ้าผ่าลงมา เขาก็คงจะไม่ต้องเปิดสวนสัตว์กันพอดี
เดิมทีก่อนที่สวนสัตว์จะเปิดให้บริการ เสี่ยวซูไม่ต้องมาทำงานก็ได้ แต่เป็นเพราะหญิงสาวเสนอตัวขอใช้ช่วงเวลานี้มาฝึกอบรมหรือฝึกงาน โดยให้เงินเดือนเธอเพียงแค่ครึ่งเดียวก็พอ นี่คงเป็นเพราะว่ายากจนจนไม่มีทางเลือก
แต่ว่าตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องฝึกอบรมเลยนี่นา ต้วนเจียเจ๋อไม่มีทางเลือก เสี่ยวซูจึงทำได้แค่แสดงความผิดหวังออกมา การที่บอกให้เธอกลับไปทำงานพาร์ทไทม์เหมือนเดิมทำให้ต้วนเจียเจ๋ออึดอัดใจอยู่ไม่น้อย
เพราะว่าจะต้องเซ็นสัญญากับพนักงาน ต้วนเจียเจ๋อจึงติดต่อกับทนายหวังอีกครั้ง ทนายหวังสงสัยว่าทำไมต้วนเจียเจ๋อถึงไม่ขายสวนสัตว์แล้ว
ต้วนเจียเจ๋อกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และบอกไปว่าเขาตัดสินใจจะเปิดสวนสัตว์แล้ว และตอนนี้ก็กำลังหาพนักงานอยู่
ทนายหวังอวยพรต้วนเจียเจ๋ออย่างประหลาดใจเล็กน้อย แต่ต้วนเจียเจ๋อกลับรู้สึกว่า บางทีใจเขาไม่ได้คิดแบบนั้นเลย
ต่อมาต้วนเจียเจ๋อถึงได้พบว่าเขาได้เอาจิตใจคับแคบของตนไปตัดสินคนที่ใจคอกว้างขวางเสียแล้ว ทนายหวังตั้งใจโทร.มาหาเขา แล้วบอกกับเขาว่า น้องชายของพนักงานที่สำนักงานของพวกเขาช่วงนี้กำลังหางานอยู่ แต่กลับเจออุปสรรคทุกที่ ด้วยความที่โกรธมากเขาจึงตัดสินใจไปย้ายอิฐ
ทนายหวังพูดกับคนคนนั้นว่า หากนายไปย้ายอิฐ สู้ไปเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ไม่ดีกว่าเหรอ เขาคนนั้นก็สนใจขึ้นมาทันที สรุปก็คือ ทนายหวังได้แนะนำพนักงานคนใหม่มาให้กับต้วนเจียเจ๋อ นี่เป็นสิ่งที่ต้วนเจียเจ๋อต้องการมากที่สุด เขารีบกล่าวขอบคุณทันที
ไม่กี่วันต่อมา น้องชายเพื่อนร่วมงานของทนายหวังก็ได้มาสัมภาษณ์ ชายหนุ่มชื่อว่าหลิวปิน แม้ว่าจะมีหน้าตาที่อัปลักษณ์ แต่ก็เป็นคนที่สูงใหญ่แข็งแรง ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ คำพูดและการแสดงออกดูแล้วนับว่าเป็นคนตรงไปตรงมา เข้าโรงเรียนเร็วและจบการศึกษาปีเดียวกันกับต้วนเจียเจ๋อ แต่เขาอายุน้อยกว่าหนึ่งปี ต้วนเจียเจ๋อจึงให้เขาเรียกตัวเองเป็นพี่
หลิวปินคิดไม่ถึงว่าอายุของผู้อำนวยการกับตัวเองจะห่างกันแค่ปีเดียวก็รู้สึกตกใจมาก เขาพูดจากใจอย่างตรงไปตรงมาว่า “คนเราแต่ละคนมันช่างแตกต่างกันจริงๆ ผมลำบากเลือดตาแทบกระเด็นแต่ก็ยังหางานไม่ได้ พี่ต้วนกับผมก็อายุพอๆ กัน แต่กลับมาจ้างงานผม เฮ้อ! งานหายาก ยิ่งงานของวิชาชีพวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมก็ยิ่งยากไปอีก ผมเกือบจะต้องไปย้ายอิฐแล้ว”
เมื่อฟังคำตัดพ้อที่คุ้นหูเช่นนี้ ต้วนเจียเจ๋ออดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล “น้องชาย นายก็จบวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมมาเหรอ จบจากมหาวิทยาลัยไหนมา”
ทั้งสองได้แต่มองหน้ากันไปมา คิดไม่ถึงว่าต่างฝ่ายต่างก็มีที่มาเช่นนี้ หลังจากที่ทั้งคู่พูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับสาขาวิชาชีพก็ยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น
เหตุการณ์หลังจากนี้เป็นไปอย่างราบรื่น เดิมทีหลิวปินคิดว่าจะไม่โอเคกับงานนี้ แต่เมื่อรู้ว่าผู้อำนวยการกับตัวเองนั้นเรียนสาขาเดียวกัน เขาจึงไม่ลังเลที่จะทำงาน เพราะที่ทำงานนี้มีรุ่นพี่อยู่ ดังนั้นเขาจึงตกลงเซ็นสัญญาจ้างงานกับต้วนเจียเจ๋อ
ต้วนเจียเจ๋อรับสมัครพนักงานได้สองคนในชั่วพริบตา เมื่อกลับมาก็โทร.หาเสี่ยวซู บอกเธอให้เข้ามาฝึกอบรม
เป้าหมายของต้วนเจียเจ๋อก็คือพนักงานสามคน ตอนนี้รับสมัครเข้ามาได้สองคนแล้ว เขาคิดว่าสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้แล้ว จึงให้พวกชาวบ้านไม่ต้องกลับมาทำงานที่นี่อีก และรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย เพราะการที่จะต้องมาคอยจับตาดูพวกชาวบ้านทุกครั้งนั้นเหนื่อยยิ่งกว่าทำงานด้วยตัวเองเสียอีก
เสี่ยวซูดีใจมาก เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอยังสู้รบปรบมือกับงานพาร์ทไทม์ซึ่งเหนื่อยกว่างานที่นี่มาก มาถึงที่นี่แล้ว ต้วนเจียเจ๋อก็ดูแลหญิงสาวตามปกติ ให้เธอไปให้อาหารสัตว์เล็กๆ เช่นพวกนกและปลา รอให้พวกพนักงานเลี้ยงสัตว์เข้ามาครบเมื่อไหร่ เธอก็ไม่จำเป็นต้องมาให้อาหารบรรดาสัตว์เล็กๆ เหล่านี้อีก
อย่างไรก็ตาม ต้วนเจียเจ๋อที่อยู่มาก่อนพวกเขาหลายวันรู้ดีว่าลู่ยาสามารถทำให้บรรดาสัตว์นั้นเชื่องได้ และก็ยังเคยเห็นความตะกละของสัตว์เหล่านี้ ดังนั้นในตอนที่เขาให้อาหารพวกมันจึงไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไร
จะต้องกลัวอะไรกัน เจ้าสิงโตไม่มีทางคิดว่าตัวเขาอร่อยกว่าเนื้อที่เป็นรางวัลจากโครงการแห่งความหวังนั่นอย่างแน่นอน…
ท่าทางที่ดูชำนาญแบบนี้ทำให้เสี่ยวซูและหลิวปินนึกว่าต้วนเจียเจ๋อเป็นผู้เชี่ยวชาญเสียอีก
พวกเขาล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาว ผ่านไปแค่ไม่กี่วันทุกคนก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ลู่ยาจะออกมาอยู่ต่อหน้าผู้คนเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงเวลาอาหาร
ช่วงนี้ต้วนเจียเจ๋อกับลุงยามตรงสวนสาธารณะเข้ากันได้ดีมาก พอได้ยินว่าพวกเขาจะไปซื้อผักสดจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง ก็พาเขาไปหาพวกชาวบ้าน ในที่สุดก็ตกลงที่จะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งในทุกๆ เดือนเพื่อให้พวกชาวบ้านส่งผักสดจากในหมู่บ้านมาให้
เดิมทีถ้าเป็นผักเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาอาจจะขี้เกียจเกินกว่าจะมาส่งได้ แต่เนื่องจากสวนสัตว์แห่งนี้อยู่ติดกับสวนสาธารณะ พนักงานที่นั่นก็สั่งอาหารเป็นจำนวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงถือโอกาสนี้มาส่งให้
ในเมื่อมีผักแล้ว ต้วนเจียเจ๋อก็ลงมือทำกับข้าวด้วยตัวเอง เสี่ยวซูและหลิวปินก็อยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาสองคนไม่มีใครรู้วิธีทำอาหาร มื้อกลางวันนี้เขาจึงต้องทำอาหารสำหรับพนักงานเพิ่มอีกสองที่ แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วเขายังจะต้องเปิดเตาทำอาหารให้ลู่ยาด้วย
ดังนั้นทุกวันตอนเที่ยงหลิวปินและเสี่ยวซูที่กำลังหิวจนท้องร้องก็มองดูต้วนเจียเจ๋อที่หิวจนท้องร้องเหมือนกันยืนทำอาหารให้ลู่ยา ส่วนลู่ยานั่งลงข้างๆ และกินอาหารของตัวเอง (ต้วนเจียเจ๋อยังแอบแบ่งไว้นิดหน่อย แต่สำหรับสองคนนั้นลืมไปได้เลย) หลังจากนั้นต้วนเจียเจ๋อถึงลงมือทำอาหารให้กับพวกเขา สามคนต่อหนึ่งเมนู เห็นได้ชัดเลยว่าอาหารของลู่ยานั้นแตกต่างเป็นอย่างมาก
พูดตามตรง หลิวปินรู้สึกอิจฉามาก
“ผมรู้สึกว่า…กับข้าวของพี่ลู่มักจะดีกว่าของพวกเราเสมอเลยนะครับ” หลิวปินพูดขึ้นเบาๆ อันที่จริงกับข้าวของพวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างเท่าไรนัก ดูแล้วต้วนเจียเจ๋อก็ทำแบบเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่าเป็นที่จิตใต้สำนึกของเขาหรือเปล่า ถึงได้รู้สึกว่าอาหารของลู่ยานั้นดูน่าอร่อยกว่า”
เสี่ยวซู “เพราะในนั้นมีเครื่องปรุงไม่เหมือนกัน”
หลิวปินอ้าปากกว้าง “อะไร ผงชูรส?”
เสี่ยวซูยื่นทั้งสองมือออกมาทำเป็นรูปหัวใจ “มันคืออันนี้!”
หลิวปิน “…”
หลิวปินสั่นสะท้านไปทั่วร่าง ไม่กล้าที่จะโต้แย้งออกมา
หลังจากที่รับหลิวปินและเสี่ยวซูเข้ามาทำงาน ต้วนเจียเจ๋อก็ไม่ได้จ้างพนักงานคนที่สามทันที มีหลายคนที่โทรศัพท์เข้ามาสอบถาม แต่คนที่เข้ามาสัมภาษณ์จริงๆ มีเพียงแค่ไม่กี่คน ยิ่งคนที่จะเซ็นสัญญาก็ยิ่งไม่มีเลย
เช้าวันนี้ต้วนเจียเจ๋อตื่นขึ้นมาและเดินไปที่หน้าประตูเพื่อรับผัก เขาเห็นคุณลุงคนหนึ่งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนยืนอยู่ข้างคุณป้าที่มาส่งผัก คุณลุงคนนี้สวมแว่นตา มองดูแล้วน่านับถือมาก
คุณป้าแนะนำคุณลุงคนนี้ให้กับต้วนเจียเจ๋อ บอกว่าเขาคืออาจารย์จ้าวจากโรงเรียนประถมของหมู่บ้านถงซิน
อาจารย์จ้าวและต้วนเจียเจ๋อจับมือทักทายกัน สิ่งนี้ทำเอาต้วนเจียเจ๋อตกใจอยู่ไม่น้อย “สวัสดีครับ อาจารย์จ้าว”
“สวัสดี คุณคือเสี่ยวต้วนใช่ไหม ผมได้ยินมาว่าตอนนี้คุณเป็นผู้อำนวยการของสวนสัตว์หลิงโย่วแห่งนี้เหรอครับ” อาจารย์จ้าวยิ้มอย่างลำบากใจนิดหน่อย จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ที่ผมมาที่นี่ อันที่จริงแล้วผมมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณ…”
ทันทีที่อาจารย์จ้าวเปิดปากพูดออกมาช้าๆ ต้วนเจียเจ๋อถึงได้รู้จุดประสงค์ในการมาที่นี่ของเขา
แต่ไหนแต่ไรมา ก่อนที่สวนสัตว์แห่งนี้จะตกเป็นของต้วนเจียเจ๋อ ในช่วงนี้ของทุกปี สวนสัตว์ไหเจี่ยวได้ให้นักเรียนโรงเรียนประถมของหมู่บ้านถงซินเข้ามาเยี่ยมชมสวนสัตว์ฟรี
ในปีนี้ เด็กนักเรียนที่สามารถเข้าเมืองได้ก็จะเข้าไปในเมืองกันหมด ส่วนนักเรียนประถมที่ยังคงอยู่ในหมู่บ้านก็คือเด็กที่ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี ทางโรงเรียนที่ไม่สามารถจัดกิจกรรมนอกห้องเรียนให้ได้จึงได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนโครงการนี้ฟรี นับเป็นกิจกรรมใหญ่ที่พวกเด็กนักเรียนเฝ้ารอคอย
ต้วนเจียเจ๋อชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่คิดเลยว่าสวนสัตว์เล็กๆ ที่ใครหลายคนมองข้าม แท้จริงแล้วกลับมีบางคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยมันอยู่ เขาคิดอยู่พักหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “อาจารย์วางใจได้เลยครับ ข้อตกลงนี้จะยังคงดำเนินต่อไปได้ครับ อาจารย์สามารถพาพวกเด็กๆ มาที่นี่ได้ตลอดเวลาเลยครับ”
“ขอบคุณมากนะครับ” อาจารย์จ้าวจับมือของต้วนเจียเจ๋อพลางกล่าวขอบคุณซ้ำไปซ้ำมา ในตอนแรกเขาได้ยินว่าสวนสัตว์ไหเจี่ยวจะปิดตัวลง แต่ต่อมาเขากลับได้ยินอีกครั้งว่าสวนสัตว์ได้มีการเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเจ้าของ อันที่จริงเรื่องนี้ก็ทำให้เขาหมดหวังอยู่เหมือนกัน แต่ใครจะไปรู้ว่าผู้อำนวยการของที่นี่ยังดูวัยรุ่นเหมือนกับเด็กนักเรียนอยู่เลย แถมยังใจดีมากอีกต่างหาก
ก่อนที่จะลาจากกันไป อาจารย์จ้าวได้พูดคุยปรึกษากับต้วนเจียเจ๋อ และหวังว่าจะได้เจอกันใหม่ในอีกสองวันข้างหน้า
ถึงแม้ว่าสวนสัตว์จะยังไม่ได้เปิดทำการ แต่ต้วนเจียเจ๋อก็ตกปากรับคำไปเป็นที่เรียบร้อย เขารีบกลับไปบอกทุกคนว่า “ทุกคน พวกเราต้องทดสอบระบบภายในกันแล้วละ”
หลิวปินไม่มีการตอบสนองใดๆ “ทดสอบระบบภายใน?”
เสี่ยวซู “จะมีนักท่องเที่ยวมาเหรอคะ”
ต้วนเจียเจ๋อบอกเรื่องที่ตนจะต้อนรับเด็กนักเรียนประถมให้เข้ามาชมสวนสัตว์ฟรีให้พวกเขาฟัง หญิงสาวอารมณ์ดี รีบพูดขึ้นว่า “พระเจ้า เป็นแฟนคลับดั้งเดิมของสวนสัตว์ไหเจี่ยวนี่เอง ผู้อำนวยการคะ คุณคิดว่าพวกเขาจะถามพวกเราไหมคะว่าทำไมถึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นหลิงโย่วด้วย”
ต้วนเจียเจ๋อพูดอย่างใจเย็น “พวกเขาอาจจะถามก่อนก็ได้ว่า คำว่า ‘โย่ว’ อ่านออกเสียงยังไง”
เสี่ยวซู “…”
ต้วนเจียเจ๋อแอบไปหาลู่ยาอย่างลับๆ “เอ่อ เต้าจวิน พรุ่งนี้อยากกินอาหารแบบตุ๋นหรือแบบนึ่งดีครับ”
ลู่ยาที่กำลังนอนกระดิกเท้าดูทีวีอยู่ เห็นคนเลี้ยงสัตว์ที่มักจะโต้เถียงกับตัวเองอยู่ตลอดเวลามีท่าทีเชื่อฟัง ถามความคิดเห็นของตน เขาก็ทะนงตนขึ้นมาด้วยความพอใจ พูดอย่างสงวนท่าทีว่า “ถ้างั้นก็เอาครึ่งหนึ่งตุ๋นครึ่งหนึ่งนึ่งละกัน”
“ได้เลยครับไท่จวิน [1] ” ต้วนเจียเจ๋อแสร้งประจบเป็นลูกน้องที่ดี
ลู่ยารู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ยินอะไรผิดไป “นายพูดอะไรนะ”
ต้วนเจียเจ๋อทำหน้าไร้เดียงสา พูดว่า “ผมก็พูดว่า ‘ได้เลยครับเต้าจวิน’ ทำไมเหรอครับเต้าจวิน”
ลู่ยามองเขาด้วยความสงสัย จากนั้นก็ส่งเสียง “หึ” ออกมาและไม่ได้พูดอะไรต่อ
ต้วนเจียเจ๋อพูดขึ้นอีกว่า “คือแบบนี้ครับ ช่วงนี้ผมได้เรียนรู้ประสบการณ์การดำเนินกิจการของสวนสัตว์อื่นๆ จากอินเทอร์เน็ต ผมรู้สึกว่ามันไม่เลวเลยทีเดียว แต่ระดับความเชี่ยวชาญในการทำสวนสัตว์ของพวกเราตอนนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้ แล้วอีกสองวันข้างหน้าจะมีนักท่องเที่ยวมาทดสอบระบบภายในใช่ไหมครับ นี่เป็นก้าวแรกสู่ความสำเร็จในอนาคตของพวกเรา ผมเลยคิดว่า ควรจะทำให้พวกเขารู้ถึงความแตกต่างของสวนสัตว์ไหเจี่ยวกับหลิงโย่วในตอนนี้…”
ลู่ยามองต้วนเจียเจ๋อตาขวางทันที “นายอยากจะทำอะไรกันแน่”
ต้วนเจียเจ๋อ “แหะๆ …”
ลู่ยา “…”
[1] 太君 หมายถึงท่านผู้ยิ่งใหญ่ ในที่นี้คือต้วนเจียเจ๋อแอบประชดลู่ยาอยู่