[ทดลองอ่าน] เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์ : ตอนที่ 42.2

มื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์
我开动物园那些年

 

ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
拉棉花糖的兔子

 

Himazan แปล

 

ติดตามกำหนดการวางขายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

+++++++++++++++++++

 

ตอนที่ 42.2

 

ทางทีมงานซีรีส์เรื่อง นกขมิ้นขับขานพันลี้ ใช้เงินโปรโมทไปจำนวนหนึ่งก่อนซีรีส์ฉาย พวกเขาได้ส่งเหล่านักแสดงไปโปรโมทในรายการต่าง ๆ พร้อมทั้งเล่าเรื่องของเหมิงฉีฉี แม้กระทั่งการเปลี่ยนบทและเรื่องราวต่าง ๆ จนทำให้เหมิงฉีฉีถูกพูดถึงขึ้นมาอีกครั้ง

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนพูดถึงเป็นเสียงเดียวกันก็คือเหล่านักแสดงสัตว์ของหลิงโย่ว ในช่วงสุดท้ายของซีรีส์มีการกล่าวขอบคุณสวนสัตว์ซาฟารีหลิงโย่วด้วย หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่านักแสดงสัตว์ส่วนใหญ่ทางหลิงโย่วเป็นคนจัดหามาให้

การแสดงอันยอดเยี่ยมของพวกมันโดดเด่นมาก ทางทีมงานจึงไม่พลาดโอกาสที่จะปล่อยภาพเบื้องหลังออกมาให้ทุกคนได้เห็น ว่าการแสดงของนักแสดงกับสัตว์พวกนั้นมีวิธีการถ่ายทำอย่างไร เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจได้มากขึ้น

ปรากฏว่าการแสดงระหว่างคนกับสัตว์พวกนั้น บางตัวมีเจ้าหน้าที่ใช้อาหารหลอกล่อเพื่อให้สัตว์ทำท่าทางที่สอดคล้องกับที่ต้องการ บางตัวใช้การตัดต่อเข้ามาช่วย แต่ทั้งหมดไม่ได้มีการใช้ CG แต่อย่างใด

และสิ่งที่ตลกที่สุดน่าจะเป็นฉากระหว่างเหมิงฉีฉีกับนก ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่มาหลอกล่อ…

ผู้กำกับกล่าวว่า “ฮ่า ๆ ทุกครั้งที่ถ่ายมาถึงฉากแบบนี้ พวกเราจะปล่อยให้เหมิงฉีฉีแสดงความสามารถออกมาได้เต็มที่เลยครับ”

ควรพูดว่าให้เหมิงฉีฉีกับนกได้แสดงกันอย่างอิสระมากกว่า แต่การแสดงของคู่นี้ก็ “โด่งดัง” และเรียกความชื่นชอบจากผู้ชมได้มากมายจริง ๆ

ผู้กำกับบอกว่าโชคดีที่เปลี่ยนแปลงคาแร็กเตอร์ของตัวละครตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์แบบนี้ บทบาทนี้ถึงแม้ตัวของเหมิงฉีฉีจะไม่ได้รับความรักจากนก แต่ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญหรือไม่พอใจให้กับผู้ชม กลับกันกลายเป็นว่าทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ภาพลักษณ์ดีขึ้น

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร การออกอากาศของซีรีส์เรื่อง นกขมิ้นขับขานพันลี้ นอกเหนือจากทีมผู้กำกับและนักแสดงที่รับผลประโยชน์แล้ว การโปรโมทเพื่อส่งเสริมเรื่องการคุ้มครองสัตว์ก็เป็นไปด้วยดี ความนิยมของหลิงโย่วก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน

หลังจากออกอากาศ ซีรีส์เรื่องนี้ก็ได้รับความนิยมและโด่งดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ชมมากมายหลั่งไหลมาที่หลิงโย่วเพื่อมาดูสถานที่ถ่ายทำและถ่ายภาพร่วมเฟรมกับคู่หูของเหมิงฉีฉี

หากกล้าพอก็สามารถคอสเพลย์เป็นนางเอกได้ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่ถืออาหารไปยืนอยู่ตรงหน้าพวกนกกระจอกก็ได้แล้ว

 

เด็กสาวในชุดกระโปรงยาวสีเขียวคนหนึ่งกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ริมถนนยามเที่ยงคืน

เธอเดินไปอย่างไรจุดหมาย ตั้งแต่ย่านในเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่านไปจนถึงตรอกซอยร้างเล็ก ๆ ซอยหนึ่ง เธอดูอ้างว้างราวกับไม่มีความหวังในชีวิต

เมื่อคุณลุงคุณป้าผู้ใจดีที่เพิ่งเลิกงานเห็นเธอเข้า พวกเขาต่างก็อดถามเด็กสาวหน้าตาสวยคนนี้ไม่ได้ว่า “เป็นอะไรเหรอหนู สอบได้คะแนนไม่ดีเหรอ ทะเลาะกับพ่อแม่หรือเปล่า”

หญิงสาวตอบอย่างเศร้าใจ “ฉันตกงานแล้ว”

โถ เด็กน้อย อายุแค่นี้ก็ต้องออกไปทำงาน แถมยังตกงานอีก คุณลุงคุณป้าพูดปลอบใจเธอสองสามประโยค แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก คนน่าสงสารบนโลกใบนี้มีเยอะมากเกินไปจริง ๆ

เด็กสาวเดินมาจนถึงชายหาดโดยไม่ทันรู้ตัว เห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่งกำลังทะเลาะกัน หรือที่ถูกควรจะบอกว่าผู้ชายหลายคนรุมทำร้ายผู้ชายคนหนึ่งต่างหาก

เธอนั่งยอง ๆ คอยมองเหตุการณ์อยู่ด้านข้าง ดึกป่านนี้แล้วยังจะมารุมทำร้ายกันอีกเหรอ จากมุมด้านข้างที่เธอนั่งมองอยู่ทำให้ผู้ชายกลุ่มนั้นรู้สึกแปลก ๆ พลางคิดในใจว่า เธอคงจะไม่ได้แจ้งตำรวจหรอกนะ พวกเขาจึงเตะชายคนนั้นอีกสองสามทีก่อนจะพากันหนีไป

ชายคนที่โดนรุมทำร้ายนอนขดอยู่บนพื้น เขาพลิกตัวพลางส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย…”

เด็กสาวเดินเข้าไปคุกเข่าข้าง ๆ เขา “คุณมีโทรศัพท์หรือเปล่า ฉันติดต่อครอบครัวของคุณให้เอาไหม”

เมื่อเข้าไปใกล้ เธอถึงพบว่าตัวของผู้ชายคนนี้ฟุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า

เขาลืมตามองเด็กสาวที่มีใบหน้างดงามตรงหน้าอย่างงุนงง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “ฉันไม่มีครอบครัว มีโทรศัพท์แล้วจะมีประโยชน์อะไร…ถึงอย่างไรก็ติดต่อคนที่เป็นครอบครัวของฉันไม่ได้หรอก”

ดูไม่ออกเลยว่าตกลงแล้วเป็นเพราะเจ็บปวดที่กาย หรือว่าเจ็บปวดที่ใจกันแน่

แต่เด็กสาวกลับดวงตาเป็นประกาย แล้วนั่งลงทันที “คุณติดต่อครอบครัวไม่ได้เหรอ”

ชายคนนั้นแหงนหน้ามองท้องฟ้าไม่ตอบอะไร

เด็กสาวจึงถามต่อ “ทำไมถึงไม่พูดล่ะ ฉันไม่ใช่คนไม่ดีนะ ฉันชื่อสุ่ยชิง เป็นผู้ส่งสาส์น”

“ผู้ส่งสาส์น? เธอหมายถึงพนักงานนำจ่ายน่ะเหรอ เธอทำงานอยู่ที่ไปรษณีย์ละสิ…สมัยนี้ยังมีคนส่งจดหมายอยู่อีกเหรอ…” เขาพึมพำ

สุ่ยชิงประคองใบหน้าตัวเอง “ไม่มีคนส่งจดหมายแล้ว ฉันเลยเป็นผู้ส่งสาส์นที่ว่างงานอยู่นี่ไง”

“ฉันก็ตกงานเหมือนกัน เฮ้อ!” ชายคนนั้นเอามือปิดหน้า เด็กสาวที่เดินเข้ามาทำตัวสนิทสนมกับเขา เผลอทำให้เขาพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาจนได้ แต่เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่คนแปลกหน้า พูดไปก็เท่านั้นแหละ “พ่อแม่ฉันเสียไปตั้งแต่ตอนฉันยังเล็ก ต่อมาฉันก็ได้แต่งงานกับเพื่อนร่วมงาน พวกเราทั้งคู่รักกันมาก แต่บางทีฉันอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าละมั้ง สุดท้ายเธอก็ถูกพระเจ้าพรากไปอีก”

อยู่ ๆ ชายคนนั้นก็สะอื้นออกมา

“ฉันยังไม่ได้บอกลาเธอเลย…”

สุ่ยชิงหยิบพู่กันกับกระดาษออกมาจากอกเสื้อ “ก็บอกให้เร็วกว่านี้สิ คุณอยากบอกอะไรกับภรรยาบ้าง อะนี่ เขียนเลย”

ชายคนนั้นมองไปที่กระดาษในมือของสุ่ยชิง โปสการ์ดแผ่นนั้นเป็นรูปทิวทัศน์ของทะเลตงไห่ เห็นได้ชัดว่าเป็นโปสการ์ดของเมืองตงไห่ เด็กคนนี้อาจจะทำงานอยู่ที่ไปรษณีย์จริง ๆ ก็ได้ แต่เขาไม่มีอารมณ์จะมาเขียนอะไรในตอนนี้ เลยทำได้เพียงแค่พึมพำออกมา

“อาหมิ่น ผมคิดถึงคุณจังเลย คุณคงโกรธผมมากที่ไม่ได้บอกลาคุณ ผมอ่านกระดาษโน้ตที่คุณเขียนเอาไว้ก่อนหน้านี้ทุกวัน มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนคุณยังไม่ได้จากไปไหน ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าที่คุณพูดว่าหลังจากกลับมาแล้วมีเรื่องจะบอก เรื่องที่ต้องการจะบอกผมก่อนที่คุณจะจากไปมันคือเรื่องอะไรกันแน่…”

เมื่อเห็นชายคนนั้นไม่สนใจตัวเอง สุ่ยชิงก็เริ่มร้อนรน พอได้ยินเขาพูดพึมพำอยู่คนเดียว สุ่ยชิงก็รีบหยิบพู่กันทันที “ไม่เป็นไร ข้อความปากเปล่าก็ได้! ฉันจดให้เอง!”

ชายคนนั้นดูไม่ค่อยมีสติเท่าไรนัก หลังจากเขียนเสร็จสุ่ยชิงจึงเอื้อมมือไปหยิบบัตรประชาชนของเขาขึ้นมาดู เมื่อครู่เขาเพิ่งถูกคนรุมทำร้ายและไร้แรงขัดขืน นึกว่าสุ่ยชิงจะขโมยเงิน “โดนคนพวกนั้นเอาไปหมดแล้ว อย่ามายุ่งกับฉัน”

สุ่ยชิงจำชื่อกับวันเดือนปีเกิดบนบัตรประชาชนแล้วยัดเก็บกลับไปที่ตัวเขา

“คุณรอก่อน รอก่อนนะ! อย่าไปไหนนะ!” สุ่ยชิงยังไม่วางใจ เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน…

 

ชายคนนั้นไม่รู้ว่าเด็กสาวน่ารำคาญจากไปตั้งแต่เมื่อไร เขานอนนิ่งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ จนตอนนี้พอจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง ลมตอนกลางคืนพัดผ่าน ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่าง เขาจึงรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีลุกขึ้นยืน คิดอยากจะออกไปจากที่นี่

แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเดิน จู่ ๆ ก็มีก้อนหินก้อนหนึ่งร่วงลงมาจากด้านบน

“โอ๊ย!” เขาจับไหล่ตัวเองพลางแหงนหน้ามอง บนท้องฟ้าที่มืดสนิท เห็นเพียงแค่เงาของนกตัวหนึ่งบินผ่านไป ไม่รู้ว่าเป็นนกอะไร

หินนี่หรือว่านกตัวนั้นจะทิ้งลงมา? เขารู้สึกเจ็บไปหมด จึงนั่งลงพลางลูบไหล่ของตัวเอง ชายคนนั้นถึงกับน้ำตาร่วง “ทำไมแม้กระทั่งนกก็ยังรังแกคนหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างฉันล่ะ…”

ในตอนนี้เอง สุ่ยชิงวิ่งกลับมา เธอหอบแฮกแล้วยื่นโปสการ์ดที่หยิบออกมาจากอกเสื้อให้เขา “ฉันกลับมาแล้ว อาหมิ่นก็ส่งข้อความปากเปล่ามาเหมือนกัน เธอบอกให้คุณดูแลตัวเองให้ดี ห้ามเศร้าโศกเสียใจเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เธอจะรอคุณอยู่ที่ข้างล่างนั่น”

ชายคนนั้นเงยหน้าจ้องสุ่ยชิงตาเขม็ง “เธอเป็นบ้าหรือไง!”

ความเศร้าโศกของชายคนนั้นพลันหายไปในทันที ยัยเด็กคนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเสียสติเอาเรื่องภรรยาของเขามาพูดจาแบบนี้

สุ่ยชิงมองชายคนนั้นแล้วเอ่ยต่อ “อืม…เธอยังพูดอีกว่า วันนั้นที่เธอบอกว่ากลับมาแล้วมีเรื่องจะบอกกับคุณก็คือ หัวหน้าของเธอตอบตกลงแล้ว รอเพียงแค่การอนุมัติอย่างเป็นทางการ ถึงตอนนั้นเธอก็สามารถย้ายสาขาไปที่สำนักงานได้ ไม่ต้องกลับมาสัปดาห์ละครั้งอีกแล้ว”

ชายคนนั้นตกใจมาก เขามองสุ่ยชิงอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง หลังจากที่อาหมิ่นเสียชีวิต หัวหน้าก็มาแสดงความเสียใจและบอกเขาว่าความจริงเธอได้รับการอนุมัติเรื่องย้ายสาขาเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากปกติแล้วเธออาศัยอยู่ที่หอพักของบริษัทซึ่งอยู่ไกลจากที่ทำงานมาก

แต่เด็กคนนี้รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร หรือว่าเธอจะเป็นนักแสดงที่พวกเพื่อน ๆ จ้างให้มาแกล้งเขา? หรือว่าอาหมิ่นอยู่ที่อีกโลกหนึ่งจริง ๆ …ภายในใจของเขาอยากจะเชื่อเรื่องความเป็นไปได้ที่ไร้เหตุผลแบบนี้มากที่สุด

“ฉันกลัวว่าคุณจะหนีไปก็เลยรีบกลับมา ทั้งหมดก็มีเท่านี้แหละ” ขณะพูดสุ่ยชิงก็โบกมือทักทายจิงเว่ยที่บินอยู่บนท้องฟ้า

“เธอ เธอ เธอ… เธอเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงรู้เรื่องของอาหมิ่น” ชายคนนั้นรีบเข้ามาคว้าโปสการ์ดบนมือของสุ่ยชิง แต่ก็มีแค่สิ่งที่สุ่ยชิงจดเอาไว้เพียงคำสั้น ๆ ง่าย ๆ เพื่อช่วยเตือนความจำตอนกลับมาถ่ายทอดข้อความปากเปล่าเท่านั้น

สุ่ยชิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันคือผู้ส่งสาส์น”

“อาหมิ่น…” ชายคนนั้นนึกถึงคำพูดของอาหมิ่นที่บอกไม่ให้เขาเศร้าโศกเสียใจขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่าตอนนี้เขาทิ้งทุกอย่างไปหมดแล้วแม้กระทั่งงานของตัวเอง จึงอดกุมหน้าร้องไห้ไม่ได้ “อาหมิ่น ผมจะต้องลุกขึ้นมาได้อีกครั้งแน่นอน”

“อืม ฉันควรกลับได้แล้ว”

เมื่อได้ยินเสียงของเด็กสาว เขาก็รีบเงยหน้ามองทันที ทว่าในตอนที่เงยหน้าขึ้นมา ร่างของเด็กสาวคนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ที่นี่คือชายหาด สภาพแวดล้อมรอบตัวมีแต่ความว่างเปล่า ต่อให้บินได้ เธอก็คงไม่สามารถบินหายไปได้ทันทีแบบนี้หรอก

ชั่วพริบตา ความคิดหนึ่งในสมองของชายคนนั้นก็ระเบิดออกมาทันที เขาเงยหน้าตะโกนเสียงดังลั่น “อย่าเพิ่งไป! เธอช่วยฉันส่งจดหมายอีกครั้งหนึ่งสิ!!!”

ทว่าบนผืนฟ้าที่กว้างใหญ่ มีเพียงนกสองตัวที่ทำราวกับว่าโดนเสียงของเขารบกวนจึงกระพือปีกบินหนีไป ตอนนี้นอกจากคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ อีก

 

“ตำนานเมืองเรื่องใหม่ของตงไห่ วิญญาณเด็กสาวชุดเขียวในยามค่ำคืน…” ต้วนเจียเจ๋ออ่านพาดหัวข่าวในโมเมนต์วีแชทจากโทรศัพท์ “ไม่นานมานี้มีข่าวแพร่กระจายในตงไห่ว่า หากเดินไปตามริมถนนตงไห่ยามค่ำคืนก็อาจจะพบเจอกับวิญญาณเด็กสาวในชุดกระโปรงสีเขียวคนหนึ่ง ถ้าหากบอกความต้องการหรือคำขอของตัวเองให้เธอฟัง วิญญาณเด็กสาวชุดเขียวผู้ใจดีจะทำให้ความปรารถนาของคุณเป็นจริง ว่ากันว่าในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เธอเป็นคนใจบุญ หลังจากเสียชีวิตไปแล้วเธอก็ยังคอยช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เหมือนเดิม…”

“นี่มันอะไรกันเนี่ย” อ่านจบต้วนเจียเจ๋อถึงกับหมดคำพูดจนอยากจะบอกเรื่องจริงไปเสียเลย “นี่มันเรื่องเหลวไหลอะไรกัน มีสำนักหลินสุ่ยอยู่แท้ ๆ ยังจะมีผีผู้หญิงมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ตามริมถนนได้อย่างไร”

“ใช่ ฉันตอบรับคำขอของทุกคนเสียที่ไหนกัน” สุ่ยชิงพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “ฉันตอบรับแค่คนที่จะส่งจดหมายเท่านั้น”

“ครับ คุณก็เลยไปส่งถึงยมโลกเลย?” ต้วนเจียเจ๋อมองสุ่ยชิง

หลังจากที่ตำนานเรื่องใหม่นี้แพร่กระจายออกไป นักพรตของสำนักหลินสุ่ยก็กังวลใจมาก ถึงขนาดคอยไปดักซุ่มโจมตีวิญญาณเด็กสาวตนนั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ตามที่คิดเอาไว้ ในที่สุดโจวซินถังก็มาหาผู้อำนวยการสวนสัตว์ เพราะสุ่ยชิงอ้างว่าตนอยู่ที่สำนักหลินสุ่ย

ที่นี่คือเมืองตงไห่ การมีข่าวเรื่องตำนานวิญญาณเด็กสาวออกมาแบบนี้ สำนักหลินสุ่ยของพวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

สุ่ยชิงร้องไห้ “คนที่ถูกเลิกจ้างยังได้รับอนุญาตให้กลับมาทำงานอีกได้ แต่ฉันตกงานแบบนี้ จะทำอย่างไรล่ะคะ”

“…”

สุ่ยชิงมองต้วนเจียเจ๋อด้วยความขมขื่น แล้วมองไปทางเต้าจวินที่กำลังนั่งอยู่บนขอบหน้าต่างโดยไม่พูดอะไรสักคำ เธอตัดพ้ออย่างหดหู่ “ถ้าไม่ทำงานชีวิตจะมีความหมายได้อย่างไรล่ะคะ ฉันนึกว่าผู้อำนวยการจะเข้าใจฉันเสียอีก”

ต้วนเจียเจ๋อเหงื่อตก “ผมเข้าใจคุณครับ งานหายากมาก ตอนแรกผมก็เกือบจะต้องไปขนอิฐ[1] เหมือนกัน แต่ต่อให้ผมเข้าใจคุณ มันก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ”

เดิมสุ่ยชิงหางานใหม่บนโลกมนุษย์ได้แล้ว นั่นก็คือคอยช่วยลู่ยาส่งจดหมาย ไม่เพียงแต่มีงานทำ ยังมีหน้ามีตาอีกด้วย มีใครเคยเห็นลู่ยาเต้าจวินใช้คนส่งจดหมายให้ตัวเองกันบ้างล่ะ

แต่หลังจากที่ต้วนเจียเจ๋อกับลู่ยาคบกัน นานวันลู่ยาก็ยิ่งไม่ต้องการสุ่ยชิง เพราะความสัมพันธ์ของเขากับต้วนเจียเจ๋อสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงไม่ต้องการผู้ส่งสาส์นอย่างนกชิงเหนี่ยวอีกต่อไป

นกชิงเหนี่ยวผู้น่าสงสารจึงตกงานอีกครั้ง ดังนั้นทุกวันเลยต้องออกไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ริมถนนด้วยความเสียใจ พอมีคนรู้เรื่องนี้ก็ทำให้เธอมีโอกาสหางานใหม่ได้อีกครั้ง

มนุษย์ใช้โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ในการส่งข้อความก็จริงอยู่ แต่ก็มีบางสถานที่ที่ข้อความของพวกเขาไม่สามารถส่งไปถึงได้

ซึ่งเรื่องนี้แตกต่างกับนกชิงเหนี่ยว ในสามโลกไม่มีที่ไหนที่นกชิงเหนี่ยวไม่คุ้นเคย ต่อให้ทะเลกลายเป็นนา ตำแหน่งที่ตั้งก็ยังอยู่ในใจเสมอ! ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด เส้นทางจะไกลเท่าไร นกชิงเหนี่ยวก็สามารถไปส่งจดหมายให้ถึงมือได้!

…แน่นอนว่าสำหรับตอนนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้เป็นนาย สุ่ยชิงเหลือบมองผู้อำนวยการและสมาชิกครอบครัวของเขา

ลู่ยาพูดด้วยความรำคาญใจ “เอาละ เธอไปให้ไกลกว่านี้อีกหน่อยไม่ได้หรือไง เธอไม่ใช่จิงเว่ยเสียหน่อย ทำไมถึงต้องจับจ้องอยู่แต่ที่ตงไห่ด้วยล่ะ”

สุ่ยชิง “…”

ต้วนเจียเจ๋อ “ที่เต้าจวินพูดก็มีเหตุผล ที่สำคัญสำนักหลินสุ่ยเป็นมิตรของพวกเรา อย่าสร้างความลำบากใจให้พวกเขาเลยครับ คุณก็อย่าเพ่งเล็งไปที่มนุษย์มาก บางครั้งพอส่งจดหมายได้แล้ว พวกเขาก็อาจจะตกใจจนช็อกตายได้เลยนะ”

“…” สุ่ยชิงพูดขึ้นอย่างละอายใจ “ฉันรู้แล้วค่ะ ฉันจะเน้นไปที่คนต่างถิ่นกับปีศาจแล้วกันนะคะ”

ต้วนเจียเจ๋อไม่กล้าตำหนิอะไรสุ่ยชิง คนบ้างานผิดตรงไหน ตอนกลางวันสุ่ยชิงก็ตั้งใจทำงานมาก ตกกลางคืนพอสวนสัตว์ของพวกเขาปิดให้บริการ สุ่ยชิงก็สามารถไปหางานทำข้างนอกได้

 

หลังจากที่สุ่ยชิงออกไป ลู่ยาก็พูดขึ้น “ชิงเหนี่ยวดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวโง่ไปหน่อย”

“ใครมีสามขาก็คือดีที่สุดใช่ไหมครับ…ผมจะบอกคุณให้นะ สุ่ยชิงมีพ่อมีแม่ คุณอย่าหลงตัวเองให้มากนักเลย!”

“…”

ต้วนเจียเจ๋อเป็น “ผู้ดูแล” มาหลายปี มีหรือจะไม่รู้ว่าลู่ยากำลังคิดอะไรอยู่ คำพูดที่ชอบพึมพำออกมาตามปกติของตัวเองมันเผยธาตุแท้ออกมาตั้งนานแล้ว!

ลู่ยาทำปากแข็ง “เปิ่นจุนเปล่าเสียหน่อย เปิ่นจุนไม่ได้ขาดแคลน! เปิ่นจุนมีลูกตั้งห้าสิบกว่าตัว!”

“…” ต้วนเจียเจ๋อกำลังจะเอ่ยปาก แต่กลับมีเบอร์แปลกโทร.เข้ามาก่อน เขาจึงรีบรับสาย “ฮัลโหล”

เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากอีกด้าน “ใช่ผู้อำนวยการต้วนหรือเปล่า สวัสดีครับ ผมฟู่เฟิง”

ต้วนเจียเจ๋อนึกอยู่ครู่หนึ่งถึงจำได้ นี่คือรองผู้กำกับการกองตำรวจสันติบาล พวกเขาพบกันระหว่างการประชุมในเมือง ซุนอ้ายผิงรู้จักกับเขา ทั้งสองเคยทักทายกันแต่ก็ไม่ได้ผูกมิตรอะไรกันมากไปกว่านั้น

เจ้าหน้าที่ตำรวจติดต่อมาเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ต้วนเจียเจ๋อนึกว่าอีกฝ่ายจะมาตรวจสอบเรื่องวิญญาณเด็กสาวในชุดเขียว เลยตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ “ท่านรองฟู่? สวัสดีครับ”

ฟู่เฟิงท่าทางร้อนรนเล็กน้อย รีบพูดเข้าประเด็นทันที “เรื่องมันยาว ผมขอสรุปสั้น ๆ แล้วกัน คืออย่างนี้ครับ ตอนนี้มีอาชญากรกลุ่มหนึ่งข่มขู่และจับตัวประกันหลายคนเอาไว้บนยอดตึกจินเฟิง พวกนั้นมีทั้งอาวุธและประสบการณ์โชกโชนเพราะก่อคดีมามาก และตอนนี้พวกเรายังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์จากภายในได้…”

ตึกจินเฟิงเป็นตึกที่สูงที่สุดของเมืองตงไห่ และด้วยความสูงระดับนั้นทำให้ไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์บนยอดตึกจากตึกอื่นๆได้ หากใช้โดรนก็ดูจะโจ่งแจ้งจนเกินไป พวกเขาเลยไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนถึงจะรับรู้สถานการณ์ภายในตอนนี้ได้ เท่าที่ฟังดู เหมือนจะไม่มีสักวิธีที่ทำได้เลย

เมื่อได้ยินว่าไม่เกี่ยวข้องกับวิญญาณเด็กสาวชุดเขียว ต้วนเจียเจ๋อถึงค่อยโล่งใจขึ้นมา ขณะฟังคำอธิบายของรองผู้กำกับฟู่ จู่ ๆ ต้วนเจียเจ๋อก็เผยสีหน้าแปลกประหลาดจ้องมองไปทางลู่ยา

เอาโดรนขึ้นไปไม่ได้ เลยอยากจะขอยืมโดรนลู่ยาอย่างนั้นเหรอ?

คำอธิบายของรองรองผู้กำกับฟู่ทำให้ต้วนเจียเจ๋อเข้าใจรายละเอียดของสถานการณ์ในตอนนี้ขึ้นมาบ้าง ที่แท้ก็อยากจะยืมนกนี่เอง

กลุ่มอาชญากรที่จับคนเป็นตัวประกันเป็นพวกอาชญากรร้ายแรงซึ่งหลบหนีมาจากที่อื่นและถูกออกหมายจับไปทั่วประเทศ ระหว่างการหลบหนีพวกนั้นก็ยังก่อคดีเหี้ยมโหดขึ้น ด้วยเหตุนี้เส้นทางการหลบหนีจึงถูกเปิดเผย กระทั่งมาถึงเมืองตงไห่ซึ่งอยู่ไกลขนาดนี้ มีความเป็นไปได้ว่าพวกนั้นอาจจะวางแผนหนีทางเรือ

แม้ว่าที่นี่คือเมืองตงไห่ แต่ยุคนี้แล้ว ตำรวจต่างก็เห็นหมายจับกันหมด หลังจากที่ถูกต้อนจนมุม อาชญากรพวกนั้นก็เลยจับตัวประกันแล้วหนีขึ้นไปบนยอดตึกจินเฟิงที่สูงหกสิบชั้น

ตึกจินเฟิงเป็นตึกที่เพิ่งเริ่มเปิดกิจการในปีนี้ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นถือว่าเป็นความเสียหายที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

ตงไห่เป็นเพียงแค่เมืองเล็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เทคโนโลยีหรือยุทโธปกรณ์ต่างก็ด้อยกว่าเมืองใหญ่มาก พูดได้เลยว่ามีข้อบกพร่องทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินระดับนี้และพวกเขาก็กำลังอับจนหนทางอย่างที่สุด

นอกจากนี้หลังจากที่อาชญากรจับตัวประกันไปก็ยังเรียกร้องให้พวกเขาเตรียมของที่ต้องการภายในสองชั่วโมง

ตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดเพิ่งเกิดขึ้นและระงับการรายงานข่าวเอาไว้ หลังจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับคำสั่ง พวกเขาก็แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเตรียมของที่อาชญากรต้องการ แต่ก็แอบเตรียมการบางอย่างไว้ด้วย อีกส่วนหนึ่งต้องเตรียมพร้อมเข้าจู่โจม

แต่ปัญหาของการเข้าจู่โจมคือพวกเขาไม่รู้สถานการณ์บนยอดตึกเลยสักนิด อย่าว่าแต่สถานการณ์เลย แม้แต่จำนวนคนก็ยังระบุไม่ได้ หากจู่โจมเข้าไปก็มีแนวโน้มมากว่าตัวประกันอาจจะได้รับบาดเจ็บ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยอมรับไม่ได้อย่างยิ่ง

อาชญากรพวกนั้นมีประสบการณ์มากมาย พร้อมจะคุกคามและจู่โจมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทุกเวลา การบินโดรนขึ้นไปทั้งแบบนี้ พวกนั้นอาจจะทำร้ายตัวประกันได้ทันที ส่วนอุปกรณ์ตรวจจับอื่น ๆ ก็ไม่สามารถแยกตัวประกันออกจากอาชญากรได้

ความปลอดภัยของตัวประกันกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนต่างพยายามคิดหาวิธีการต่าง ๆ แล้วรองผู้กำกับการกองตำรวจสันติบาลฟู่เฟิงก็นึกถึงสวนสัตว์ซาฟารีหลิงโย่วขึ้นมาได้

ในตอนแรกลู่ยาโด่งดังมีชื่อเสียงเพราะจัดการกับอาชญากรลักพาตัวเด็ก มันได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีซึ่งเรื่องนี้ยอมรับกันเป็นเอกฉันท์จากคนทั้งประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นเมืองตงไห่มีสภาพแวดล้อมที่ดีมาก การที่จะมีสัตว์ป่า รวมไปถึงนกยักษ์ตัวใหญ่ปรากฏออกมาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

ฟู่เฟิงคิดว่าวิธีนี้อาจจะเป็นหนทางที่ใช้ได้เช่นกัน เพราะหากตัวประกันไม่ปลอดภัย พวกอาชาญกรย่อมต้องได้ใจแน่นอน ความปลอดภัยของตัวประกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ดังนั้นเขาจึงโทรศัพท์หาต้วนเจียเจ๋อ

หลังจากที่ฟู่เฟิงวางสายไปยี่สิบนาที รถตู้ของสวนสัตว์ซาฟารีหลิงโย่วก็มุ่งหน้ามาถึงสถานที่เกิดเหตุ เนื่องจากสถานที่ค่อนข้างไกล จากหลิงโย่วมาถึงที่นี่จึงต้องใช้เวลาในการเดินทาง

 

ฟู่เฟิงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เมื่อได้ยินว่ารถของหลิงโย่วกำลังมา เขาจึงออกไปรับด้วยตัวเอง

ประตูรถตู้เลื่อนเปิดออก สิ่งที่ฟู่เฟิงเห็นเป็นอันดับแรกคือผู้อำนวยการสวนสัตว์ซาฟารีหลิงโย่วอายุน้อยคนนั้นกระโดดลงมาจากรถตู้ ตามด้วยนกฝูงใหญ่ที่บินพุ่งออกมา ทำให้ทุกคนตกใจกันมาก

ตัวที่บินนำออกมาตัวแรกคือลู่ยา มันบินมาหยุดเกาะอยู่บนไหล่ของต้วนเจียเจ๋อ จากนั้นตามมาด้วยชิงเหนี่ยว จิงเว่ย นกแก้ว นกสี่เชวี่ยและนกตัวอื่น ๆ หากไม่ใช่เพราะนกฟลามิงโก้ตัวใหญ่เกินไป จูเชว่เองก็คงตามมาด้วยแล้ว

นกพวกนี้พากันบินออกมาจากรถ ท่าทางดูเหมือนจะไม่ได้นำกรงมาด้วย พวกมันบินโฉบลงไปอยู่บนพื้นลานกว้าง บ้างก็หยุดอยู่บนหลังคารถ มองดูคร่าว ๆ น่าจะประมาณยี่สิบถึงสามสิบตัว

ทั้งสองคนยังไม่ทันได้ทักทายกัน ฟู่เฟิงก็ยื่นมือไปคว้ามือต้วนเจียเจ๋อ “ผู้อำนวยการต้วน ดูเหมือนพวกเราจะยืมนกแค่ตัวเดียวนะครับ…”

แน่นอนว่าฟู่เฟิงรู้ว่าสวนสัตว์มีนกมากมาย แต่ในจิตใต้สำนึกของเขายังคงเชื่อมั่นในตัวของลู่ยา เขารู้สึกว่านกตัวนี้ร่วมมือกับต้วนเจียเจ๋อได้ดีที่สุด นอกจากนี้ยังมีไอคิวสูง สามารถทำตามคำสั่งได้อย่างดี เช่นเดียวกับสุนัขตำรวจ

“ท่านรองฟู่ ผมเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าหากอาชญากรพวกนั้นชอบเล่นเวยป๋อขณะที่อยู่ระหว่างการหลบหนีจะทำอย่างไร ผมกลัวว่าพวกนั้นจะรู้จักลู่ยา ก็เลยพานกตัวอื่นมาด้วย…”

“…”

ไม่ใช่ว่าฟู่เฟิงไม่คิดถึงเรื่องนี้ แต่ตอนนั้นเขาคิดว่าสามารถปลอมตัวให้ลู่ยาได้อย่างการพ่นสีย้อมชั่วคราว แต่ดูเหมือนต้วนเจียเจ๋อจะมีวิธีที่ดีกว่าแล้ว

ฟู่เฟิงมองไปยังนกยักษ์สายตาแหลมคมที่เกาะอยู่บนไหล่ของต้วนเจียเจ๋อ แล้วอดพยักหน้าไม่ได้ “แล้วนกตัวอื่นคุณสามารถควบคุมมันได้หมดเหรอครับ”

เขากังวลว่าไอคิวของนกพวกนั้นจะไม่สูงเท่าลู่ยาและอาจทำภารกิจไม่สำเร็จ นี่ไม่ใช่แค่ให้นกบินวนไปวนมา แต่คำสั่งที่จะต้องให้ทำมันซับซ้อนกว่านั้น เขารู้ความสามารถของลู่ยาถึงต้องการยืมตัวมาทำภารกิจนี้

“ผมสามารถสั่งผ่านลู่ยาให้ควบคุมนกพวกนี้ได้ครับ” แน่นอนว่าต้วนเจียเจ๋อไม่ได้บอกว่า แม้แต่นกกระจอกเขาก็สั่งและควบคุมได้

ฟู่เฟิงดีใจมาก “ดีมากเลยครับ มาลองกันเถอะ”

สิ่งที่เขาบอกว่าจะลองก็คือติดกล้องขนาดเล็กเอาไว้บนตัวนก ด้วยวิธีนี้เมื่อนกบินขึ้นไปที่ความสูงระดับยอดตึกก็จะสามารถถ่ายทอดภาพกลับมาให้พวกเขาและบรรลุวัตถุประสงค์ในการสอดแนมครั้งนี้

ดังนั้นลู่ยาในตอนนี้ก็ไม่ใช่โดรนลู่ยาแล้ว แต่เป็นเครื่องควบคุมลู่ยาแทน…

“มีกล้องกี่ตัวครับ ผมว่าติดหลาย ๆ ตัวดีกว่า แล้วให้บินขึ้นไปพร้อมกัน” ต้วนเจียเจ๋อเสนอ

เมื่อทุกคนได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่านกพวกนี้คอยติดตามต้วนเจียเจ๋อโดยที่ไม่มีการผูกล่ามอะไร ต่างก็คิดในใจว่าเป็นผู้อำนวยการสวนสัตว์ที่มีความสามารถมาก ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงติดกล้องตัวเล็กเอาไว้กับนกหลายตัวโดยไม่ลังเล

ขณะที่กำลังดำเนินการ พวกเขาก็ได้รับรู้ว่านกเหล่านี้ไม่ต่อต้านหรือขัดขืนใด ๆ พวกมันเชื่อฟังและเชื่องมาก

 

ในฐานะหน่วยช่วยเหลือพิเศษที่ได้รับเชิญจากเจ้าหน้าที่ตำรวจของเมืองตงไห่ เมื่อต้วนเจียเจ๋อตบไปที่คอของลู่ยาเบา ๆ ลู่ยาก็เปล่งเสียงร้องดังสนั่นออกมาแล้วกระพือปีกบินขึ้นฟ้า โดยมีนกที่ได้รับภารกิจสอดแนมอีกหลายตัวบินตามไปด้วย

ตามที่ได้ปรึกษากัน ลู่ยาจะไม่บินขึ้นไปถึงชั้นบนสุด แต่จะบินรอถัดลงมาสองสามชั้น ตอนนี้ภายในอาคารเคลียร์คนอื่น ๆ ออกหมดแล้ว ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจรออยู่ด้านล่าง มีเพียงอาชญากรที่คอยเฝ้าระวังอยู่ตรงหน้าต่างชั้นบนสุด

อาชญากรที่คอยเฝ้าระวังและคุ้มกัน ถึงแม้จะอยู่สูงแต่ก็ไม่ประมาท พวกนั้นรู้ว่าอาจจะมีตำรวจปีนขึ้นมาแล้วเจาะเข้ามาทางหน้าต่าง และการยืนอยู่ตรงหน้าต่างก็อาจจะถูกสังหารโดยสไนเปอร์ได้ แต่ก็ยังต้องคอยเฝ้าต่อไป

แม้พวกนั้นจะวางแผนกันมาอย่างแยบยล แต่คงไม่ทันระวังนกที่บินไปมาพวกนี้แน่นอน นกบางตัวติดกล้องสอดแนม นกบางตัวทำหน้าที่คุ้มกัน

พวกนกบินไปรอบ ๆ ยอดตึกตามคำสั่ง ถ่ายภาพสถานการณ์ด้านในออกมาได้ แต่เพราะมีบางจุดที่เป็นมุมอับ เหล่านกกระจาบฝนผู้กล้าหาญหลายตัวจึงบินเข้าไปใกล้หน้าต่างแล้วเกาะอยู่ตรงนั้น

ในกลุ่มของนกกระจาบฝนมีเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ติดกล้องเอาไว้ ขณะที่อาชญากรใจอ่อนยื่นมือมาลูบเพื่อนของพวกมัน ภาพสถานการณ์ด้านในก็ถูกถ่ายเอาไว้ได้ชัดเจน

หลังจากนั้นพวกมันก็บินกระจัดกระจายกันไปราวกับถูกรบกวนจากพวกอาชญากร

อาชญากรทอดถอนใจ “พอเห็นเมืองนี้ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์แถมยังกลมกลืนกันไปหมดแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะ… ฉันละอยากใช้ชีวิตตอนแก่อยู่ที่นี่จริง ๆ”

ด้านล่าง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจดูภาพที่ส่งกลับมาก็รีบบันทึกเก็บเอาไว้ทันที

ฟู่เฟิงพูดกับต้วนเจียเจ๋อ “ดีมากเลยครับผู้อำนวยการต้วน ต้องรบกวนคุณแล้ว คุณช่วยให้พวกมันตรวจสอบรอบ ๆ ต่อได้เลยครับ”

ฟู่เฟิงใช้น้ำเสียงสุภาพขอร้อง นกพวกนี้ช่วยแก้ปัญหาใหญ่ของเขาได้จริง ๆ

เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้สัตว์เข้าช่วยคลี่คลายคดีมาโดยตลอด สุนัขตำรวจเองก็เตรียมพร้อมอยู่เสมอ ดังนั้นขณะที่ฟู่เฟิงรายงานท่าทีของเขาจึงไม่ได้คัดค้านอะไร นกพวกนี้ได้รับการฝึกฝนมาดีจริง ๆ ไม่มีทางแหวกหญ้าให้งูตื่นแน่นอน

เมื่อเห็นว่าพวกมันสามารถใช้งานได้ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น พอรู้สถานการณ์และจำนวนคนทั้งหมดด้านในก็จะเข้าจู่โจมได้แล้ว

ส่วนทางด้านของต้วนเจียเจ๋อ เขาคอยสื่อสารกับลู่ยาที่บินลงมาเป็นครั้งคราว เพื่อถ่ายทอดคำขอของฟู่เฟิง นอกเหนือจากนั้นเขาก็ไม่ต้องทำอะไร ขณะที่ได้รับคำขอบคุณจากฟู่เฟิง ต้วนเจียเจ๋อยังคิดในใจอีกว่า หากคุณใจกล้ากว่านี้อีกหน่อย ก็จะได้รับการช่วยเหลือจากนกตัวอื่นที่มีระดับพลังโจมตียอดเยี่ยม รับรองได้ว่าแข็งแกร่งกว่ามาก…

 

รู้ตัวอีกทีก็ใกล้จะถึงเวลาที่ตกลงกับอาชญากรเอาไว้แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องเปลี่ยนแผนจากที่วางเอาไว้ตอนแรก

เนื่องจากความพร้อมในการจัดการของเมืองตงไห่ไม่ได้สูงมาก หลังจากศึกษาโครงสร้างภายในของตึก พวกเขาจึงไม่กล้าพังหน้าต่างแล้วบุกเข้าไป เลยตัดสินใจจะลงมือหลังจากพวกอาชญากรส่งมอบตัวประกันแล้ว ตำรวจเตรียมการอย่างรัดกุม เพื่อให้แน่ใจว่าคนร้ายจะไม่สามารถหลบหนีออกไปจากพื้นที่ควบคุมได้

แต่ในสิบนาทีสุดท้าย จู่ ๆ อาชญากรเจ้าเล่ห์ก็เปลี่ยนคำขอขึ้นมากะทันหัน พวกมันขอให้ส่งเฮลิคอปเตอร์ขึ้นไปภายในเวลาที่เหลือนี้ หากเกินแม้แต่นาทีเดียว พวกมันจะจับตัวประกันโยนลงมาจากตึกทีละคน ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังปฏิเสธการแลกเปลี่ยนตัวประกันจากประชาชนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย

ใบหน้าของฟู่เฟิงซีดเผือด พวกมันคงคิดเรื่องนี้เอาไว้แล้วแน่ ๆ การที่ขึ้นไปอยู่บนยอดตึก อาจจะไม่ใช่เพราะต้องการควบคุมสถานการณ์เพียงอย่างเดียว แต่คงรอให้เจ้าหน้าที่เข้าควบคุมพื้นที่ แล้วเปลี่ยนข้อตกลงกะทันหัน เพื่อที่จะได้มีลู่ทางหลบหนี

ฟู่เฟิงท้อแท้ “เป็นไปไม่ได้ที่จะนำเฮลิคอปเตอร์มาถึงที่นี่ได้ภายในสิบนาที คำนวณดูแล้วพวกมันอาจจะฆ่าตัวประกันอย่างน้อยห้าคนแน่ ๆ พวกมันคงวางแผนเอาไว้อย่างนี้ตั้งแต่แรกแล้วสินะ… จะอวดดีเกินไปแล้ว!”

หากตัดสินจากคดีที่ผ่านมา อาชญากรพวกนี้ไร้มนุษยธรรมอยู่แล้ว พวกมันแสดงออกอย่างชัดเจนเลยว่าบ้าดีเดือดและไม่รักตัวกลัวตายขนาดไหน

ถึงจะส่งมอบเฮลิคอปเตอร์ให้พวกอาชญากรไป แต่ก็ยังมีตัวประกันอีกหลายคนที่ตกอยู่ในอันตราย ถึงแม้พวกเขาจะติดตั้งตาข่ายกันตกและเบาะลมเอาไว้ด้านล่างแล้ว แต่ด้วยความสูงหลายสิบชั้นแบบนั้นไม่มีทางปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น หากเข้าจู่โจมตอนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ด้านในแบบนี้ ตัวประกันก็อาจจะถูกทำร้าย แต่หากรอให้เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดก็อาจจะเสียชีวิตไปหลายคนแล้วก็ได้

เจ้าหน้าที่ตำรวจมองเห็นจากหน้าจอ ว่ามีอาชญากรถือปืนเล็งตัวประกันอยู่ตรงมุมห้องและท่าทางก็ดูเคร่งเครียดมาก หากบุกเข้าไปแต่ไม่สามารถฆ่าอาชญากรคนนี้ได้ในทันที ตัวประกันจะตกอยู่ในอันตราย แถมยังมีอาชญากรคนอื่นอีกหลายคน… การปฏิบัติการในครั้งนี้ยากกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้

ต้วนเจียเจ๋อเป็นคนนอก แต่ก็ยังพอได้ยินรายละเอียดคร่าว ๆ อยู่บ้าง ขณะที่ทุกคนกำลังเคร่งเครียด ต้วนเจียเจ๋อก็เดินไปหยุดตรงหน้านกชิงเหนี่ยวเงียบ ๆ จากนั้นยกมือลูบขนคอมันเบา ๆ แล้วกระซิบสองสามประโยค

 

บนยอดตึกจินเฟิง

เหล่าตัวประกันร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความสิ้นหวัง พวกเขาได้ยินบทสนทนาระหว่างอาชญากรกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมด และไม่โง่ถึงขั้นไม่รู้ว่าในหมู่พวกตนจะต้องมีบางคนที่ต้องถูกรั้งเป็นตัวประกันคนสุดท้ายอยู่ที่นี่

ก่อนหน้านี้พวกเขายังมีความหวังว่าการแลกเปลี่ยนตัวประกันจะสำเร็จ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พอเหล่าอาชญากรเปลี่ยนความต้องการในช่วงนาทีสุดท้าย พวกเขาก็ถึงกับใจสลาย

โดยเฉพาะในหมู่พวกเขายังมีเด็กน้อยอยู่หนึ่งคน แม่ของเด็กน้อยร้องไห้จนตาบวมแดงไปหมด เธอเสียใจมากว่าทำไมถึงพาลูกสาวมาที่นี่ด้วย เดิมตั้งใจแค่พาลูกสาวออกมาเดินเล่นเลยแวะมาเยี่ยมเพื่อนของเธอที่นี่เท่านั้นเอง

สีหน้าของพวกอาชญากรอึมครึมมาก พวกนั้นปล่อยให้เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังระงมไปทั่วห้อง บรรยากาศหดหู่อย่างถึงที่สุด

ในตอนที่ไม่มีใครทันสังเกต มดตัวน้อยเรียงแถวเข้ามาจากทางหน้าต่างก่อนจะลงมาที่พื้น พวกมันไต่ไปตามรองเท้าของพวกอาชญากรแล้วเข้าไปในกางเกง

อาชญากรที่ยืนดูลาดเลาอยู่ข้างหน้าต่างรู้สึกคันยุบยิบ เขาขมวดคิ้ว “ครบสิบนาทีแล้ว”

เขาสบตากับหัวหน้า จากนั้นพยักหน้าแล้วเผยรอยยิ้มอำมหิตที่มุมปากออกมา เขาเดินไปหยุดตรงหน้าแม่เด็กก่อนจะอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยที่อายุเพียงหนึ่งขวบขึ้นมา “โยนนังเด็กนี่ก่อน”

เด็กหญิงตัวน้อยและแม่ของเธอกรีดร้อง คนเป็นแม่พยายามจะก้าวเข้าไปกอดลูกสาวแต่กลับถูกอาชญากรอีกคนรั้งตัวเอาไว้ เธอทำได้แค่มองคนร้ายอุ้มลูกสาวของตนโยนออกไปนอกหน้าต่าง ร่างของเด็กหญิงตัวน้อยลอยออกไปนอกอาคารแล้วหายไปต่อหน้าต่อตา

“กรี๊ด!!!” แม่ของเด็กแทบกระอักเลือด เธอหันไปทำร้ายชายที่จับตัวเธอเอาไว้อย่างบ้าคลั่ง

ในตอนนี้เอง หัวหน้าคนร้ายหันปืนยิงใส่คนที่เพิ่งโยนเด็กหญิงลงไปและก่นด่า “แกยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า โยนได้แม้กระทั่งเด็กตัวเล็ก ๆ เนี่ยนะ!”

เมื่อเสียงปืนดังขึ้น ตัวประกันทั้งหมดก็พากันกรีดร้องด้วยความกลัว

คนร้ายที่โยนเด็กถูกยิงเข้าที่ท้องหนึ่งนัด เขามองหัวหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “ฉันเลวเรอะ แม่แกสิ ทีแกยังค้ายาเลย!”

เขายิงโต้กลับหัวหน้าไปหนึ่งนัด แต่กลับพลาดไปโดนหน้าอกของคนที่อยู่ข้าง ๆ แทน คนคนนั้นยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ล้มคอพับเสียชีวิตทันที

เหล่าตัวประกันกรีดร้องพลางก้มตัวหลบหนี พวกเขากลัวว่าตัวเองจะโดนลูกหลงไปด้วย แต่ในความเป็นจริงคือสมาชิกของกลุ่มอาชญากรตะโกนด่ากันและยิงพวกเดียวกันอย่างโหดเหี้ยมโดยไร้สาเหตุ แถมปืนยังไม่พลาดเลยสักนัด

สถานการณ์ด้านล่าง ฟู่เฟิงกัดฟันพูด “ยังเหลืออีกสามนาที แต่ละทีมเตรียมตัวบุกได้… เดี๋ยวก่อน!”

ขณะที่ฟู่เฟิงถือกล้องส่องทางไกลมองขึ้นไปด้านบน สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้เขาตกใจสุดขีด มีเด็กหญิงตัวน้อยถูกจับโยนออกมาจากหน้าต่าง!

เขายังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องออกมา ตรงขอบหน้าต่างชั้นล่างที่ไร้การเคลื่อนไหวมาตลอด อยู่ ๆ เจ้านกล่าเหยื่อสีแดงที่คอยสั่งการนกตัวอื่นก็กระพือปีกบินขึ้นไปแล้วคว้าเสื้อผ้าของเด็กหญิงตัวน้อยเอาไว้ ทำให้ตอนนี้ทั้งคู่นิ่งค้างอยู่กลางอากาศ

ภาพในกล้องส่องทางไกลที่เห็นคือ เด็กหญิงกำลังอ้าปากกว้าง ถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียง แต่ฟู่เฟิงก็รู้สึกได้ถึงเสียงร้องที่เสียดแทงหัวใจของเขาซึ่งลอยอยู่กลางอากาศห่างไปหลายร้อยเมตร ส่วนนกสีแดงตัวนั้นยังคงกระพือปีกด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็น

 

[1] หมายถึง ทำงานหนักแต่ได้เงินเดือนน้อย

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า