[ทดลองอ่าน] เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์ : ตอนที่ 42.3

มื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์
我开动物园那些年

 

ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
拉棉花糖的兔子

 

Himazan แปล

 

ติดตามกำหนดการวางขายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

+++++++++++++++++++

 

ตอนที่ 42.3

 

ขณะที่ตัวประกันทั้งหมดกำลังก้มหมอบ แม่ของเด็กหญิงกลับใช้ประโยชน์จากการต่อสู้กันเองของพวกอาชญากรและหาโอกาสวิ่งหนีออกไป เธอวิ่งไปทางหน้าต่างเพราะอยากจะกระโดดตามลูกสาวของตัวเองลงไป

แต่ตอนนั้นเองเธอก็มองเห็นนกตัวใหญ่กำลังเกี่ยวหลังเสื้อของลูกสาวบินขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา นกตัวนั้นวางลูกสาวของเธอลงช้า ๆ จากนั้นมองดูเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในห้องอย่างเย็นชา

“…” แม่ของเด็กหญิงเอามือปิดปากก่อนจะวิ่งเข้ามากอดลูกสาวเอาไว้แน่น จากนั้นจึงวิ่งหนีออกไปจากห้องทันที!

เหล่าอาชญากรที่กำลังต่อสู้กันอยู่ไม่ทันได้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มตัวประกัน ขณะที่พวกเขากำลังฆ่าฟันกันเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจทางด้านล่างก็เห็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อนี้ผ่านกล้องสอดแนมจากตัวนก หลังจากที่ตัวประกันทั้งหมดออกมาได้ เจ้าหน้าที่ก็ขึ้นไปบนยอดตึกทันที

ตอนที่ขึ้นไปถึงพวกเขาก็พบว่ากลุ่มอาชญากรฆ่าฟันกันเองจนเหลือรอดอยู่ไม่กี่คน แถมแต่ละคนยังหยิบยกความผิดของอีกฝ่ายขึ้นมาด่าไม่หยุดหย่อน

 

รถพยาบาลจอดรออยู่นานแล้ว ทันทีที่เหล่าตัวประกันออกมาก็ถูกรายล้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ เพื่อตรวจดูว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่ มีบางคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยในตอนที่โดนจับ

แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคงจะเป็นเด็กหญิงตัวน้อยผู้ถูกจับโยนออกมาจากหน้าต่าง เด็กหญิงร้องไห้อยู่ในอ้อมอกแม่ไม่ยอมหยุด ความจริงแล้วแม่ของเธอก็อาการไม่ค่อยดีนัก แต่ยังคงกอดลูกสาวเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

ลู่ยาบินลงมาเกาะอยู่บนไหล่ของต้วนเจียเจ๋อ

เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยเห็นลู่ยา ก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น แล้วก็ถูกอุ้มเข้าไปในรถพยาบาลทันที

ฟู่เฟิงไม่ใช่คนเดียวที่มีกล้องส่องทางไกล เจ้าหน้าที่หลายคนต่างก็เห็นภาพที่เด็กหญิงคนนั้นถูกจับโยนออกมา ทุกคนเห็นเต็มตาว่าลู่ยาคว้าตัวเอาไว้ได้ทัน เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงนึกว่าต้วนเจียเจ๋อไม่รู้เรื่องจึงบอกเขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่

“รอให้เธอโตขึ้นเมื่อไร เดี๋ยวเธอก็รู้ว่าจะต้องขอบคุณนกของคุณค่ะ ตอนนี้เธออาจจะกำลังขวัญเสียอยู่” เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงเผยสีหน้าชื่นชมออกมา “นกของคุณน่าทึ่งมาก รู้จักช่วยชีวิตคนด้วย น่าเหลือเชื่อจริง ๆ ค่ะ”

แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นก็คือนกตัวนี้ บอกได้เลยว่ามันต้องถูกฝึกมาอย่างดีแน่ ๆ ส่วนอาชญากรที่ฆ่ากันเองพวกนั้นก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร เมื่อครู่ทุกคนต่างก็พึมพำกันว่าคงเป็นเพราะกดดันเกินไปจนประสาทหลอนกันไปหมดหรือเปล่า

“ครับ ทุกคนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ต้วนเจียเจ๋อลูบลู่ยาแผ่วเบา

ฟู่เฟิงมัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับตรงอื่นเลยไม่มีเวลามาส่งต้วนเจียเจ๋อ ซึ่งเขาก็เข้าใจดี เขาเอ่ยทักทายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รู้จักแล้วฝากให้อีกฝ่ายไปบอกฟู่เฟิงว่าเขาขอตัวกลับก่อน

 

ต้วนเจียเจ๋อขับรถมาคนเดียว เขาเปิดประตูรอให้นกทั้งหมดขึ้นรถแล้วตัวเองก็ขึ้นตามไป

แต่ต้วนเจียเจ๋อไม่ได้ออกรถในทันที เขารอสักพักก่อนเริ่มนับจำนวน “หนึ่ง สอง สาม สี่… เอาละ ครบแล้ว มดหนานเคอก็ขึ้นรถมาหมดแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”

ลู่ยากลายร่างเป็นมนุษย์นั่งวางมาดอยู่ตรงที่นั่งแถวสอง พวกนกที่แต่เดิมนั่งอยู่แถวสองจึงรีบบินไปนั่งแถวสามทันที

ลู่ยาพูดขึ้นอย่างเกียจคร้าน “เปิ่นจุนหูแทบหนวก ยัยเด็กมนุษย์นั่นยังเล็กอยู่แท้ ๆ แต่เสียงนี่แหลมจริง ๆ”

“การร่วมมือกันของคุณกับมดหนานเคอยังไม่ดีพอ หากพวกอาชญากรไม่ได้โยนเด็กหญิงลงมาทุกอย่างก็คงจะสมบูรณ์แบบ” ก่อนหน้านี้ต้วนเจียเจ๋อยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องตึงเครียดแบบนั้นขึ้นมาได้ เขากลัวว่าตัวประกันจะได้รับบาดเจ็บจึงให้ชิงเหนี่ยวบินกลับสวนสัตว์ไปพามดหนานเคอมาที่นี่

มดหนานเคอสามารถสร้างความฝันให้มนุษย์ และก็สร้างภาพหลอนขึ้นมาได้ ทั้งสองอย่างนี้สอดคล้องกัน เช่นเดียวกับประสบการณ์โชคร้ายของพ่อเลี้ยงเสี่ยวซูที่โดนมดหนานเคอทำให้เห็นภาพหลอน

ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ถ้าให้ลู่ยาขึ้นไปจัดการพวกนั้น คงจบไม่สวยแน่

ถึงจะมีบางอย่างผิดพลาดไปบ้าง แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น

ต้วนเจียเจ๋อเห็นลู่ยาไม่คิดอะไร เลยนึกกลัวขึ้นมา “ถ้าหากคนที่ถูกโยนลงมาเป็นผู้ชาย คุณจะคว้าตัวเอาไว้ไหมครับ ถ้าเป็นแบบนั้นคุณคงต้องถูกพาไปสถาบันวิจัยแล้วละ”

คว้าตัวเด็กที่โตหน่อยอาจจะพอรับได้ ยังยกย่องได้ว่านกตัวนี้มีพลังมหาศาลสมกับเป็นนกล่าเหยื่อ แต่ถ้าหากคว้าตัวผู้ชายที่หนักหกสิบเจ็ดสิบกิโลแบบนั้น ทุกคนคงช็อกกันหมดแน่

ลู่ยาไม่พอใจ “เปิ่นจุนจะฆ่าพวกมันให้ตายก่อนที่มันจะได้โยนลงมา”

ต้วนเจียเจ๋อมุมปากกระตุก ไม่พูดอะไรต่อ

ขับรถออกมาได้ไม่เท่าไร ตำรวจจราจรก็เรียกรถพวกเขาให้จอด “คุณครับ ทำไมในรถคุณถึงมีนกเยอะขนาดนี้”

เขาเห็นจากด้านนอกว่าในรถของต้วนเจียเจ๋อมีนกหลายตัว พอมองดูดี ๆ ก็เหมือนว่าจะมีนกหายากอยู่ด้วย หวังว่าจะไม่ใช่พวกลักลอบล่าสัตว์หรอกนะ

“ผมเปิดสวนสัตว์ครับ นกพวกนี้เป็นของสวนสัตว์ผม ถ้าผมเป็นพวกลักลอบจริง ๆ ก็คงจับพวกนี้ใส่กรงไว้แล้ว จริงไหมครับ” ต้วนเจียเจ๋อลดกระจกรถ พูดด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่เป็นมิตร เขาไม่ได้บอกว่าตัวเองมาช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะก่อนหน้านี้ฟู่เฟิงกำชับเอาไว้แล้วว่าเนื้อหาของคดีจะต้องเก็บเป็นความลับ

“…” ตำรวจจราจรเหงื่อตก “คุณเป็นผู้อำนวยการของสวนสัตว์ในเมือง หรือว่าสวนสัตว์ซาฟารีหลิงโย่ว”

“หลิงโย่วครับ” ต้วนเจียเจ๋อยื่นบัตรประชาชนให้ตำรวจจราจรตรวจสอบ

ตำรวจจราจรจำได้ราง ๆ ว่าผู้อำนวยการของหลิงโย่วยังเด็กมาก ประกอบกับที่หลิงโย่วเป็นกิจการส่วนตัว จึงสอดคล้องกับที่ต้วนเจียเจ๋อบอกว่าตนเปิดสวนสัตว์ ตำรวจจราจรพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ระวังหน่อยนะครับ รีบปิดหน้าต่างรถเถอะ ผมกลัวนกจะบินออกไป”

ตำรวจจราจรอดมองหนุ่มหล่อผู้นั่งอยู่แถวสองไม่ได้ พลางคิดในใจ นั่นเป็นดาราหรือเปล่านะ

“ขอบคุณครับ” ต้วนเจียเจ๋อยิ้มแล้วปิดกระจกรถ

 

เมืองตงไห่ไม่เคยเกิดคดีใหญ่แบบนี้มาก่อน เรื่องทั้งหมดแม้จะจบภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่สิ่งที่ตามมาคือความสนใจของคนทั้งประเทศ

จากรายละเอียดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผย คดีนี้เป็นคดีที่เรียกได้ว่ายิ่งกว่าปาฏิหาริย์ หนำซ้ำคดียังจบลงด้วยการที่พวกอาชญากรฆ่ากันเองอย่างดุเดือดโหดเหี้ยม

เจ้าหน้าที่ออกหมายจับและตามจับตัวอาชญากรพวกนี้มานานแต่ก็ยังจับไม่ได้ สุดท้ายที่พวกนั้นหนีมาก่อคดีในเมืองเล็ก ๆ ก็ว่าแย่แล้ว ยังมาถูกจับเอาง่าย ๆ แบบนี้ ทำเอาเหล่าเจ้าหน้าที่ที่พยายามทำงานหนักกันมาเป็นเวลานานถึงกับไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ความรู้สึกของพวกเขาตอนได้ยินเรื่องนี้เหมือนกับต่อยหมัดบนฝ้ายอย่างไรอย่างนั้น

ใคร ๆ ต่างก็พูดว่านี่เป็นการแก้แค้นกันเองของพวกอาชญากร แต่สิ่งที่สื่อสนใจนอกเหนือจากจุดจบของคดีที่เหมือนในละครก็คือการโยนเด็กลงมาจากตึกสูงที่อันตรายแบบนั้นด้วย

อาชญากรโยนเด็กหญิงคนหนึ่งออกไปนอกหน้าต่าง แต่ก่อนที่ตาข่ายและเบาะลมที่เตรียมไว้จะได้ทำงาน นกล่าเหยื่อที่ทุกคนรู้จักก็ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้เสียก่อน

ถึงแม้จะอยู่ในที่สูง แต่ก็ยังมีคนเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ไม่รู้ว่าสื่อไปได้ภาพมาจากที่ไหน มันคือภาพถ่ายเบลอ ๆ ภาพหนึ่งที่ถ่ายจากด้านล่างขึ้นมาจับภาพขณะที่ลู่ยาคว้าตัวเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นเอาไว้พอดี ซึ่งยังพอมองออกว่าในภาพนั้นคือลู่ยาจริง ๆ

‘ทุกคน! ลู่ยาของฉันสร้างคุณงามความดีอีกแล้ว!’

‘โอ้โห! สุดยอดไปเลย! ตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้น อุปกรณ์ช่วยเหลือที่เตรียมไว้คงไม่มีประโยชน์หรอกมั้ง โชคดีที่มีลู่ยาอยู่ด้วย!’

‘ไอ้พวกคนร้ายนี่มันน่ารังเกียจจริง ๆ! สมน้ำหน้า!’

‘พูดก็พูดเถอะ ถ้าปล่อยลู่ยาเข้าไปตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนหน้าที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น ทุกคนโดนจิกตายหมดแน่นอน’

‘มันน่าทึ่งมาก… แต่ฉันหวาดเสียวจังเลย ถ้าไม่ใช่เพราะลู่ยา เด็กน้อยคนนั้นต้องบาดเจ็บสาหัสแน่ ๆ มีผู้เชี่ยวชาญคนไหนบอกได้ไหมว่าสูงขนาดไหน’

แม่ของเด็กน้อยและทุกคนในครอบครัวรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก ในเวลานั้นเธอมัวแต่ตะลึงเลยไม่ทันได้กล่าวขอบคุณเจ้าของนกคนนั้น เมื่อหายดีแล้ว พวกเธอจึงไปที่สถานีตำรวจและหลิงโย่วเพื่อมอบธงจิ่นฉี[1]ให้

ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฟู่เฟิงปวดหัวเล็กน้อย ในเมื่อเหตุการณ์นี้ถูกถ่ายภาพเอาไว้ได้ พวกเขาก็คงไม่มีทางเลือก แต่ก็ไม่ได้ประกาศออกไปว่าลู่ยาคือนกที่ขอความช่วยเหลือมาจากภายนอก ด้านหนึ่งเพราะคดียังไม่สมบูรณ์จึงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดออกไปได้ อีกด้านหนึ่งเพราะกลุ่มอาชญากรยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดที่ยังไม่ถูกจับกุมตัว พวกเขากลัวการตอบโต้จากพวกนั้น

แต่ภาพที่ลู่ยาช่วยชีวิตคนเอาไว้ดันถูกปล่อยออกไปและทุกคนก็เห็นภาพนั้นแล้ว ในเวลานี้ต่อให้บอกว่าลู่ยาบินมาที่นั่นโดยบังเอิญแล้วช่วยชีวิตคนเอาไว้ได้ก็คงจะน่าเหลือเชื่อเกินไป เมื่อมองไปยังตำแหน่งนั้นให้ดี คนที่มีไหวพริบก็รู้ได้ทันทีว่าลู่ยากำลังทำอะไรอยู่

ฟู่เฟิงโทรศัพท์มาหาต้วนเจียเจ๋อ ด้านหนึ่งก็เพื่อให้พวกเขาป้องกันการตกเป็นจุดสนใจของสาธารณชน ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เพื่อปลอบใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวนอยู่ เมื่อมีข้อมูลในมือก็จะสามารถจับตัวผู้กระทำผิดที่ซ่อนตัวอยู่ได้

เมื่อพูดมาถึงตอนนี้เขาก็รู้สึกขัดเขินเล็กน้อย ปกติสวนสัตว์อื่นจะทำเรื่องทำนองนี้อยู่แล้ว แน่นอนว่าเป็นเพราะพวกเขาต้องการโฆษณาตัวเองให้เป็นที่รู้จัก

ต้วนเจียเจ๋อปลอบใจฟู่เฟิง “ไม่เป็นไรครับ พวกนั้นถูกออกหมายจับกันหมดแล้วจะมามัวสนใจพวกเราได้อย่างไร หากพวกนั้นมาจริง ๆ พวกเราปล่อยสุนัขไปจัดการก็เรียบร้อยแล้วครับ”

ฟู่เฟิงเกือบหลุดหัวเราะออกมา “ผู้อำนวยการต้วนมีอารมณ์ขันจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นก็ตามนั้นแล้วกันครับ”

 

ต้วนเจียเจ๋อวางสายก่อนจะเห็นการแจ้งเตือนใหม่ เมื่อเปิดเข้าไปดูก็พบว่าเป็นการแจ้งเตือนของสัตว์เทพที่ถูกส่งมาตัวใหม่และตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างเดินทาง

“?”

ตั้งแต่เปิดสวนสัตว์มายังไม่เคยเห็นข้อความลักษณะนี้มาก่อน เขาอดเรียกลู่ยามาช่วยดูไม่ได้

ครั้งก่อนตอนที่ส่งนกสี่เชวี่ยกับมดหนานเคอมา เขาก็สงสัยว่าระบบเกิดความผิดพลาด แต่ต่อมาก็พิสูจน์แล้วว่าระบบไม่ได้ผิดพลาดตรงไหน แต่ครั้งนี้เขาอดสงสัยไม่ได้แล้วว่าระบบคำนวณของโปรแกรมนี้อาจจะมีปัญหาจริง ๆ

บนหน้าจอปรากฏเพียงแค่

ท่านมีสัตว์ที่ถูกส่งมาตัวใหม่!

สถานะ : กำลังอยู่ในระหว่างเดินทาง

จำนวน : ½ ตัว

½? ครึ่งตัวเนี่ยนะ?

จะบ้าหรือไง! ใครที่ไหนมันจะส่งสัตว์เทพมาครึ่งตัวกันฟะ!

ตั้งแต่ติดตั้งแอปอันธพาลนี้ลงโทรศัพท์ มันก็ทำให้ต้วนเจียเจ๋อรู้สึก “ประหลาดใจ” อยู่เสมอ แอปนี้เพิ่งได้รับการพัฒนามาเมื่อไม่นานนี้ไม่ใช่หรือไง แถมยังเคยอัปเดตไปครั้งเดียวเองด้วย เป็นแอปที่มักง่ายจริง ๆ

แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือเนื้อหาในแอปพลิเคชันมันผิดปกติ มีลูกไม้แพรวพราวมากเกินไป อย่างสัตว์ที่ส่งมาครึ่งตัวนี่ทำเอาต้วนเจียเจ๋อแทบร้องไห้

ลู่ยาที่โดนต้วนเจียเจ๋อเรียกเดินเข้ามาดูข้อความในโทรศัพท์แล้วก็ครุ่นคิดอยู่นานมาก

ต้วนเจียเจ๋อมองเขา “อย่าบอกนะครับว่าคุณไม่รู้ว่านี่เป็นสัตว์อะไร นี่มันจะลึกลับเกินไปหน่อยละมั้งครับ”

“ไม่ใช่เปิ่นจุนไม่รู้ แต่มันมีมากเกินไป” ลู่ยาเหลือบมอง “สัตว์ที่มีชีวิตรอดด้วยร่างกายเพียงครึ่งเดียวมีเยอะเกินไป ยังไม่รวมถึงสัตว์เทพพวกนั้นด้วย”

“…” ต้วนเจียเจ๋อขนลุกซู่ สามารถอยู่รอดได้ด้วยร่างกายเพียงครึ่งเดียว? หลังจากผ่านเรื่องที่ต้องใช้ความกล้าหาญมามากมาย เขาสามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ แต่กับนักท่องเที่ยวจะทำอย่างไรล่ะ

ถึงแม้หลิงโย่วจะดึงดูดนักท่องเที่ยววัยหนุ่มสาวเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีเด็ก ๆ มากมายไม่แพ้กัน ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่เหมาะกับเด็กเลยสักนิด

เด็ก ๆ อ่านแค่หนังสือภาพอวัยวะภายในของสัตว์ที่หอนิทรรศการก็พอแล้ว ถึงกับต้องดูให้เห็นเนื้อหนังเปื้อนเลือดแบบนั้นด้วยเหรอ

ลู่ยาหยิบโทรศัพท์ของต้วนเจียเจ๋อมาพิจารณาอยู่นาน จากนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “มักง่ายเกินไปแล้ว ไม่เขียนกำกับเอาไว้ด้วยว่าคือสัตว์อะไร”

ไม่ว่าใครจะมาลู่ยาไม่เคยกลัวอยู่แล้ว แต่เขารังเกียจความมักง่ายของระบบแบบนี้มาก

ต้วนเจียเจ๋อโดนระบบอัตโนมัตินี่เล่นงานมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ต่อให้คิดมากไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ “ช่างเถอะ จะคอยดูแล้วกันว่าสัตว์ที่ส่งมาคืออะไร”

 

ก่อนที่สัตว์เทพตัวใหม่จะมาถึง ต้วนเจียเจ๋อนำเพนกวินจักรพรรดิฝูงใหม่เข้ามาจำนวนหนึ่ง ไม่ใช่เพนกวินจักรพรรดิที่มาจากสวนสัตว์ชิงเหนี่ยว แต่นำเข้ามาจากที่อื่น เขาอยากเปิดศูนย์เพาะพันธุ์เพนกวิน หรือจริง ๆ ควรจะเรียกว่า “เพาะพันธุ์ลูกชาย” มากกว่า แต่ก่อนอื่นเขาต้องมีเพนกวินจักรพรรดิจำนวนหนึ่งถึงจะสามารถเปิดศูนย์เพาะพันธุ์ได้

ก่อนหน้านี้เขามีเงินทุนไม่มากนัก การนำเพนกวินเข้ามาสองสามคู่เหมือนเป็นการโยนหินถามทาง และผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าพอใจมาก เพนกวินฟักไข่ได้ทุกปี อัตราการฟักไข่อยู่ที่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณภาพของลูกเพนกวินก็ดีมากเช่นกัน เรื่องนี้ทำให้ต้วนเจียเจ๋อโล่งใจและนำเข้าเพนกวินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ใช้เวลาไม่นาน ศูนย์เพาะพันธุ์เพนกวินของพวกเขาก็ได้สร้างขึ้น

นอกเหนือจากนี้ เรื่องผึ้งเมื่อครั้งก่อนก็ทำให้ต้วนเจียเจ๋อคิดได้ว่า ที่จริงแล้วพวกเขายังขาดส่วนจัดแสดงแมลงอยู่ สวนสัตว์ส่วนใหญ่ไม่มีส่วนจัดแสดงแมลง หรือนำฟอสซิลของแมลงมาใช้แทน สิ่งนี้ไม่จำเป็นเท่าไร ดังนั้นทางโครงการแห่งความหวังจึงไม่ได้ให้ภารกิจสร้างส่วนจัดแสดงแมลงขึ้นมาในตอนแรก

ตอนนี้ภารกิจสนับสนุนของระบบไม่มีแล้ว การให้อาหารสัตว์ก็อิงตามการจัดการก่อนหน้านี้ โดยการใช้น้ำทิพย์หยางจือและวิธีการอื่น ๆ ในการแก้ไขปัญหา ส่วนเรื่องการก่อสร้างส่วนจัดแสดงยิ่งไม่ต้องพูดถึง

แผนการพัฒนาสวนสัตว์อยู่ในมือของต้วนเจียเจ๋อมานานแล้ว เขาไม่ลืมว่าตัวเองยังมีภารกิจที่ต้องพัฒนาให้เป็นสวนสัตว์ชั้นนำอันดับหนึ่งภายในเวลาสิบปีอยู่ ต้วนเจียเจ๋อต้องการสร้างส่วนจัดแสดงแมลง และสำหรับส่วนจัดแสดงใหม่แห่งนี้ เขาเตรียมแนวคิดบางอย่างไว้แล้ว

สวนสัตว์สมัยใหม่ไม่อาจหยุดนิ่งหรือทำตัวน่าเบื่อได้ พวกเขาจะต้องพัฒนาและเรียนรู้จากสวนสัตว์อื่น ๆ ส่วนจัดแสดงสัตว์ในร่มก่อนหน้านี้อยู่ด้านใน ซึ่งตามหลักแล้วส่วนจัดแสดงแมลงก็ควรจะต้องเป็นแบบนั้น

แต่ในครั้งนี้ ต้วนเจียเจ๋อตั้งใจจะเอาส่วนจัดแสดงออกไปไว้ด้านนอก เพื่อจะได้รวบรวมแมลงและสวนป่าให้อยู่ด้วยกัน โดยจะให้ท่านเทพนักษัตรซื่อหั่วมาออกแบบสวนป่า และตั้งกรงเอาไว้ท่ามกลางดอกไม้ ต้นไม้ต่าง ๆ แน่นอนว่าที่พูดถึงจะต้องเป็นไม้ประดับสวยงาม ไม่ใช่ดอกไม้พลาสติกที่ตกแต่งเอาไว้ในกล่องแก้ว

แม้ในระหว่างดำเนินการอาจจะมีปัญหามากมายที่ต้องฝ่าฟันไปทีละด่าน แต่ต้วนเจียเจ๋อก็หวังว่าจะมีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นในสวนสัตว์ซาฟารีหลิงโย่วแห่งนี้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีข้อได้เปรียบมากกว่าคนอื่น เพียงแค่ต้อง “ทำ” ให้อยู่ภายใต้ความสามารถที่เขาควบคุมได้

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา ต้วนเจียเจ๋อก็รีบรวบรวมข้อมูลทันที เขาไม่ได้ส่งงานต่อให้พนักงาน เพราะต้องการคิดและจัดการด้วยตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปถามทีมงานผู้เชี่ยวชาญว่าสามารถทำขึ้นมาได้หรือไม่

กลับมาที่เพนกวินจักรพรรดิ ในครั้งนี้มีเพนกวินคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวเข้ามาเป็นสมาชิกของครอบครัวใหญ่ที่หลิงโย่วทั้งหมดสิบคู่

เพนกวินจักรพรรดิเป็นสัตว์ที่ต้องอยู่ร่วมกันเป็นฝูง พวกมันจำเป็นจะต้องมารวมกลุ่มกับเพนกวินจักรพรรดิกลุ่มเดิมของหลิงโย่ว ลูกเพนกวินที่คลอดออกมาก็จะต้องอยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถปล่อยให้รวมกลุ่มกับเพนกวินจักรพรรดิตัวอื่นได้ตั้งแต่ครั้งแรก พวกเขาจะต้องใช้วิธีขังแยกเพื่อให้พวกมันคุ้นเคยกับเสียงและกลิ่นของกันและกันก่อน

ไม่เพียงแต่เพนกวินจักรพรรดิที่นำเข้ามาใหม่เท่านั้น แม้แต่ลูกเพนกวินที่เกิดจากการผสมเทียมก็ยังต้องให้แยกตัวอยู่ระยะหนึ่งถึงจะรวมฝูงได้ ไม่อย่างนั้นพวกมันจะถูกเพนกวินตัวอื่น ๆ รังแกได้ง่าย

แน่นอนว่ามีกรณีพิเศษ เช่นฉีจี้ เพนกวินจักรพรรดิเพียงตัวเดียวที่ปฏิเสธสังคมจากเพนกวินที่เหลือทั้งหมด

เนื่องจากเพนกวินจักรพรรดิพวกนี้เพิ่งเข้ามาใหม่ ต้วนเจียเจ๋อจึงให้ความสำคัญและไปคอยเฝ้าดูอยู่หลายวัน เขากลัวว่าฉีจี้จะรังแกเพนกวินจักรพรรดิฝูงใหม่ยี่สิบตัวพวกนั้น ด้วยนิสัยที่เหี้ยมโหดดุร้ายของฉีจี้มันทำได้แน่นอน

เพนกวินจักรพรรดิกลุ่มเดิมของหลิงโย่วเติบโตและขยายพันธุ์เพิ่มจนมีมากกว่ายี่สิบตัว ทันทีที่ต้วนเจียเจ๋อเข้าไปก็เห็นพวกมันตะโกนร้องใส่เพนกวินฝั่งตรงข้ามไม่หยุด แถมร่างอ้วน ๆ ยังพุ่งชนกันเป็นครั้งคราวอีกด้วย

ฉีจี้ไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย แต่มันนิสัยเสียคือคอยยืนสุมไฟอยู่ข้าง ๆ หากเจ้าพวกนั้นหยุดร้องเมื่อไร ฉีจี้ก็จะเดินไปตะโกนร้องใส่ทั้งสองฝั่ง

“ว่าแล้วเชียว…” เป็นอย่างที่ต้วนเจียเจ๋อคิดไว้ไม่มีผิด เขารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าไปข้างในทันที

ถึงจะบอกว่าตอนที่เพนกวินทั้งสองกลุ่มรวมฝูงกันจะต้องใช้เวลา แต่พวกมันไม่เป็นแบบฉีจี้ที่คอยรังแกตัวอื่นอยู่ฝ่ายเดียวแน่นอน

ทันทีที่เห็นต้วนเจียเจ๋อ ฉีจี้ก็หันหลังวิ่งหนีไปทันที ตอนนี้มันฉลาดขึ้นมาก พอเห็นต้วนเจียเจ๋อก็รู้ได้เลยว่าเขาเข้ามาทำไม มันไม่อยากโดนเขาดุเลยรีบวิ่งหนี

ต้วนเจียเจ๋อเห็นฉีจี้วิ่งก็หัวเราะออกมา เขาทั้งขำทั้งโมโห จากนั้นจึงวิ่งตามไป

แต่การวิ่งของฉีจี้กับต้วนเจียเจ๋อไม่เหมือนกัน เพนกวินปกติล้วนเป็นแบบนี้ ไม่ว่าตอนอยู่ในน้ำจะปราดเปรียวแค่ไหน แต่เมื่ออยู่บนบกความเร็วในการวิ่งก็เท่ากับการเดินเร็วของมนุษย์ ฉีจี้เองก็เช่นกัน เพราะปีกของพวกมันนั้นถือเป็นข้อบกพร่องโดยธรรมชาติ

ต้วนเจียเจ๋อวิ่งเหยาะ ๆ ไม่นานก็ตามทัน ฉีจี้ยังเดินเตาะแตะอยู่เลย มันหันกลับมามอง ก่อนจะกระโดดนอนคว่ำไปข้างหน้าแล้วสไลด์ตัวออกไป

พื้นที่ตรงนี้ลาดชัน ฉีจี้ลื่นไถลลงไปในพริบตา หน้าท้องแตะพื้นน้ำแข็ง ปีกทั้งสองข้างกางออกเล็กน้อย การเคลื่อนไหวลื่นไหลเป็นอิสระมาก

ต้วนเจียเจ๋อ “…”

ระยะระหว่างทั้งคู่กลับมาทิ้งห่างอีกครั้ง ฉีจี้ลุกยืนแล้ววิ่งไปข้างหน้าต่อ

“ถ้าแกยังวิ่งหนีอีก ฉันจะฟ้องพ่อบุญธรรมแก!”

ฉีจี้หยุดชะงักทันที แล้วหันกลับมาช้า ๆ

ด้านนอกยังมีนักท่องเที่ยวหลายคนยืนอยู่ตรงผนังกระจก พวกเขาไม่ได้ยินสิ่งที่ต้วนเจียเจ๋อพูด เพราะค่อนข้างไกลและมีกระจกกั้นอยู่ แต่เห็นท่าทางและการเคลื่อนไหวด้านในได้อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าชายหนุ่มเจ้าหน้าที่กำลังวิ่งไล่ตามเพนกวินจักรพรรดิตัวใหญ่ เพนกวินตัวนั้นวิ่งหนีและสไลด์ลงมา ทำให้เจ้าหน้าที่คนนั้นตามไม่ทัน เขาเลยชี้ไปที่มันแล้วตะโกนให้หยุด จากนั้นเพนกวินตัวนั้นก็ค่อย ๆ หันกลับไปช้า ๆ ท่าทางน่าสงสารมาก

ต้วนเจียเจ๋อเดินหายใจหอบเข้าไปหาฉีจี้ ร่างกายของเขาแข็งแรง เพียงแต่เสื้อผ้าที่ใส่ค่อนข้างหนักเลยกินแรงพอสมควร

“แกยังจะวิ่งอีกเหรอ” ต้วนเจียเจ๋อตีไปบริเวณเนื้อส่วนที่หนาแน่นของฉีจี้ “เรื่องดี ๆ ไม่รู้จักเรียนรู้ สนใจแต่เรื่องไม่ดี ทำแต่เรื่องเกเรรังแกคนอื่น การเรียนเป็นยังไงบ้าง วันนี้ฝึกพลังบำเพ็ญแล้วหรือยัง”

“…”

เพนกวินจักรพรรดิตัวสูงใหญ่ยืนก้มหน้าคอตกฟังต้วนเจียเจ๋อบ่นอยู่ตรงหน้าเขา ทว่านักท่องเที่ยวที่อยู่ด้านนอกกลับเฝ้ามองกันอย่างมีความสุข

นักท่องเที่ยวถามผู้บรรยายที่อยู่ข้าง ๆ ว่าทำไมเจ้าหน้าที่ถึงต้องดุเพนกวินตัวนั้น “มันดูเชื่อฟังมากนี่นา เพนกวินหลายสิบตัวพวกนั้นส่งเสียงร้องใส่กัน มันก็แค่ยืนเป็นเด็กดีอยู่ข้าง ๆ นี่”

ผู้บรรยายเห็นว่านักท่องเที่ยวกลุ่มนี้น่าจะมาหลิงโย่วเป็นครั้งแรก เขาหัวเราะก่อนจะอธิบายให้ฟัง “คุณคงยังไม่รู้จักมันดี นั่นคือฉีจี้ ทรราชแห่งส่วนจัดแสดงสัตว์ขั้วโลก ส่วนคนนั้นก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ธรรมดา เขาคือผู้อำนวยการของพวกเราครับ และก็เป็นคนฟักฉีจี้ออกมาด้วยตัวเอง คุณเห็นว่ามันยืนอยู่เฉย ๆ แบบนั้น แต่ความจริงแล้วที่เพนกวินทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันก็เป็นเพราะฉีจี้คอยยุยงอยู่ มันเป็นหัวหน้าของเพนกวินฝูงนี้ ดังนั้นผู้อำนวยการจึงต้องอบรมสั่งสอนมันครับ”

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!”

ตอนแรกพวกเขาไม่ได้สนใจก็นึกว่าเพนกวินทำเรื่องอะไรผิดเข้าเจ้าหน้าที่เลยอบรมสั่งสอน แต่ตอนนี้ถึงแม้จะไม่ได้ทำอะไรผิด ทว่าเรื่องราวซับซ้อนกว่าที่คิดเสียอีก เพราะที่แท้มันก็แอบก่อเรื่องอยู่ลับ ๆ นี่เอง น่าสนใจจริง ๆ

นักท่องเที่ยวอีกคนพูดขึ้น “ไม่อย่างนั้นเขาจะเป็นผู้อำนวยการสวนสัตว์ได้อย่างไรล่ะ ฮ่า ๆ ๆ ฉันได้ยินว่าพวกลิงก็เป็นแบบนี้ เวลาที่ลิงทั่วไปทำความผิด เจ้าหน้าที่ก็จะไปหาตัวราชาวานรมาสั่งสอนเหมือนกัน”

ผู้บรรยายหัวเราะร่า “เพราะแบบนั้นแหละครับ การจัดการกับสัตว์บางชนิดเราจึงต้องควบคุมลูกพี่หรือหัวหน้าของพวกมันให้ได้ก่อน ขนาดย้ายรังผึ้งเรายังต้องจับนางพญาผึ้งก่อนเลยใช่ไหมครับ”

 

ต้วนเจียเจ๋อสั่งสอนฉีจี้จบแล้ว “…ขยันเข้าไว้ พ่อรอแกพ่นประกายไฟอยู่นะ”

ฉีจี้เงยหน้า อ้าปากไปทางต้วนเจียเจ๋อ ตอนนี้มันยังพ่นไฟไม่ได้ มีเพียงแค่ลมร้อนออกมาเท่านั้น

“เอาละ ฉันรู้ว่าการฝึกพลังบำเพ็ญมันยาก” ต้วนเจียเจ๋อกอดฉีจี้อย่างปวดใจ การกระทำนั้นเรียกเสียงตื่นเต้นดีใจของนักท่องเที่ยวด้านนอกได้อีกครั้ง

หลังจากที่โดนต้วนเจียเจ๋อสั่งสอน ฉีจี้ก็ไม่กล้ายุยงเพนกวินพวกนั้นอีก มันบอกให้เพนกวินทั้งสองฝ่ายคืนดีและรวมฝูงกัน

ต้วนเจียเจ๋อเดินกลับสำนักงาน หลังออกมาจากส่วนจัดแสดงสัตว์ขั้วโลก

วันนี้เขาค่อนข้างปล่อยตัวตามสบาย ขณะที่ยืนอยู่หน้าอาคารสำนักงาน ต้วนเจียเจ๋อก็หันไปมองด้านข้าง เขานึกว่ามีเสื้อผ้าปลิวตกลงมาเหมือนครั้งก่อน แต่พอมองดูดี ๆ ที่แท้สิ่งนั้นคือโหย่วซูที่ถูกแขวนอยู่บนเสาไฟฟ้า

“…”

“…” โหย่วซูมองผู้อำนวยการ

ต้วนเจียเจ๋อมองไปรอบ ๆ แล้วถาม “คุณขึ้นไปทำอะไรบนนั้นครับ”

สีหน้าโหย่วซูหดหู่ขึ้นมาทันที “ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่ขึ้นมาห้อยเล่นเฉย ๆ”

“…ห้อยเล่นเฉย ๆ อะไรล่ะครับ! คุณคิดว่าตัวเองเป็นหมึกตากแห้งหรือไง”

เมื่อโดนจับได้ โหย่วซูก็ไม่คิดจะสนใจศักดิ์ศรีของตัวเองแล้ว เธอเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางหม่นหมอง “ความจริงคือ ฉันลงไปไม่ได้ เมื่อครู่นี้พวกเราดูโทรทัศน์กัน พอเห็นว่าเมืองข้าง ๆ สร้างพื้นที่คุ้มครองและอนุรักษ์พันธุ์นกหายาก ฉันก็เลยแสดงความคิดเห็นออกไป แล้วก็ถูกเต้าจวินไล่ก่อนจะเอาฉันมาแขวนไว้บนเสาไฟ…และผนึกฉันไว้ตรงนี้”

ต้วนเจียเจ๋อหมดคำพูด “ปากหาเรื่องจริง ๆ พี่สาว เมื่อไรคุณจะเลิกนิสัยนี้สักทีครับ”

ใคร ๆ ก็รู้ว่าคำว่า “ความคิดเห็น” ของโหย่วซูประโยคนั้นไม่มีทางเป็นคำพูดที่ดีแน่

ถ้าตอนนี้โหย่วซูอยู่ในร่างสุนัขจิ้งจอกและยังขยับได้ เธอก็คงกระดิกหางไม่หยุดแน่ ๆ “ฉันอยู่แบบนี้มายี่สิบนาทีแล้ว หากไม่ใช้วิชาพรางตัวก็คงโดนจับได้ไปนานแล้วละ เต้าจวินยังบอกด้วยว่าให้ฉันอยู่แบบนี้ไปแปดสิบเอ็ดวัน ผู้อำนวยการคะ คุณไปเอาไม้มาเขี่ยฉัน แล้วรับฉันลงไปหน่อยสิคะ”

“ไม่ไหวหรอกครับ” ต้วนเจียเจ๋อหน้าถอดสี “คุณลงมาจากที่สูงขนาดนั้น ถ้าผมยื่นมือเปล่าเข้าไปรับ แขนได้หักแน่ ๆ”

สัตว์เทพพวกนี้ ทำไมถึงไม่เข้าใจสักทีว่ามนุษย์เปราะบางขนาดไหน

โหย่วซูถอนหายใจยาว เธอทอดถอนใจว่าทำไมถึงต้องหาเรื่องตาย แถมยังชอบทำแบบนั้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แม้สุนัขจิ้งจอกเก้าหางจะฉลาดและเจ้าเล่ห์มาก แต่อัตราการตายก็สูงมากเช่นกัน ใครใช้ให้พวกเธอชอบเต้นระบำบนปลายมีดกันล่ะ

แต่ต้วนเจียเจ๋อก็ไม่ได้คิดจะเมินเฉย ปล่อยให้อยู่บนนั้นแปดสิบเอ็ดวันมันเข้าท่าหรือไง

เสาไฟฟ้าที่มีความสูงขนาดนี้ต่อให้ใช้ไม้เขี่ยก็คงไม่ถึง ต้วนเจียเจ๋อเกิดไอเดียขึ้นมาฉับพลัน เขารีบไปหาหยวนหงทันที หากเป็นสัตว์เทพคนอื่น ๆ อาจจะหวาดกลัวลู่ยา แต่หยวนหงมีความสามารถเหนือชั้น ร่างอวตารของเขาเหมือนจริงมากจนไม่มีใครดูออก

ต้วนเจียเจ๋อจึงขอให้หยวนหงช่วย “คุณช่วยเขี่ยโหย่วซูลงมาหน่อยได้ไหมครับ”

โหย่วซูหน้าถอดสี “คุณเรียกคนมาช่วยแล้วทำไมถึงยังต้องใช้ไม้เขี่ยด้วยล่ะคะ คลายผนึกให้ฉันไปเลยไม่ได้เหรอ”

จริงด้วย เขาไม่ได้คิดถึงวิธีแบบนั้นเลย

“มัวแต่บ่นอยู่นั่นแหละ!” หยวนหงใช้กระบองเหล็กทิ่มไปที่โหย่วซูด้วยความหงุดหงิด แล้วเธอก็ร่วงลงมาทันที

แต่หยวนหงไม่ได้เข้าไปรับตัวโหย่วซู ต้วนเจียเจ๋อเองก็ไม่น่าจะรับตัวเธอไหว โหย่วซูร่วงลงมาแต่ยังไม่ทันถึงพื้น ก็มีนกสี่เชวี่ยฝูงหนึ่งที่รออยู่ตั้งแต่แรก บินเกาะกันเป็นสะพานแล้วรับเธอเอาไว้

หยวนหงเข้าไปช่วยคลายผนึกให้ จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

โหย่วซู “…”

ต้วนเจียเจ๋อ “…”

โหย่วซูโมโหมากจนกระทืบเท้า “เจ้าบ้านั่น! อย่าคิดว่าฉันไม่เห็นนะ! เมื่อกี้เขาแอบขำด้วย!”

ต้วนเจียเจ๋อ “…”

ใช่ครับ แอบขำนั่นแหละที่ทำเอาผมหมดคำพูด

ต้วนเจียเจ๋อยังอยากคุยกับโหย่วซูเรื่องการควบคุมอารมณ์ไม่ให้หาเรื่องใส่ตัว แต่โทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน เป็นสายที่โทร.มาจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว “ผะ ผู้อำนวยการคะ มีคนท่าทางเหมือนมาเฟียมาหาคุณค่ะ…”

น้ำเสียงเธอเคร่งเครียดมาก ต้วนเจียเจ๋อฟังแล้วประหม่าขึ้นมาทันที “มีคนมาเก็บค่าคุ้มครองพวกเราเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นพวกคุณรีบคุ้มกันเขาเอาไว้ให้ดีเลยนะครับ!”

“…”

“เขาอยู่ไหนครับ ผมจะไปคุยเอง”

ต้วนเจียเจ๋อไม่ได้ล้อเล่น ถ้าเป็นคนที่มาเก็บค่าคุ้มครองจริง ๆ ละก็ต้องปกป้องคุ้มกันให้ดี ๆ เพราะหากไม่ระวังอีกฝ่ายอาจจะโดนเทพองค์ไหนสักองค์เล่นงานเอาแน่ ๆ

พนักงานหวาดกลัวเลยไม่กล้าปล่อยให้เข้าไป ตอนนี้จึงให้รออยู่ในห้องรับรองของศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ห้องนี้ไม่เหมือนห้องรับรองในอาคารสำนักงาน หากคนในสำนักงานเห็นว่าหน้าตาของคนคนนี้ดูโหดเหี้ยมน่ากลัว คงไม่มีใครกล้าเชิญเข้าไปแน่

ต้วนเจียเจ๋อไม่ได้คิดอะไรมาก รีบไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวโดยไม่ได้พาโหย่วซูไปด้วย เขาคิดว่าหากเป็นคนจากแก๊งมาเฟียจริง ๆ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาจะปล่อยสุนัขเข้ามาจัดการ ไม่ต้องถึงกับรบกวนโฉมงามผู้ล่มแคว้นหรอก

 

เมื่อต้วนเจียเจ๋อเห็นพนักงานที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตัวสั่นเทา เขาก็พูดปลอบใจสองสามประโยค พนักงานที่นี่ส่วนใหญ่เป็นหญิงสาววัยรุ่นขี้อายทั้งนั้น

“เอาละครับ หรือว่าคนคนนี้น่ากลัวกว่าเสือเหรอ” ต้วนเจียเจ๋อพูดติดตลก หญิงสาวสองสามคนในที่นี้เคยเข้าไปเจอตอนที่เสือหลุดออกมาในพื้นที่เลี้ยงสัตว์แบบเปิดตอนนั้นด้วย

พนักงานรู้สึกขบขันเล็กน้อย “แต่ผู้อำนวยการ เขาหน้าตาโหดเหี้ยมมากเลยนะคะ!”

“ครับ ผมจะไปคุยกับเขาเอง” ต้วนเจียเจ๋อสั่งให้พวกเธอแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง ส่วนเขาเข้าไปในห้องรับรอง

หลังจากที่ผลักประตูเข้าไปก็เห็นว่ามีคนกำลังนั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ เมื่อชายคนนั้นสังเกตเห็นว่ามีคนเข้ามา ก็เงยหน้าขึ้น

มองแวบแรกต้วนเจียเจ๋อก็เข้าใจได้ทันที ที่จริงชายคนนี้ไม่ได้มีหน้าตาอัปลักษณ์ ถึงแม้อวัยวะบนใบหน้าจะดูปกติ แต่คิ้วและหางตาของเขาทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกถึงสีหน้าดุร้าย โหดเหี้ยม กิริยาท่าทางโผงผาง ปราดเปรียวว่องไว ดูเป็นพวกใช้กำลังอยู่เล็กน้อย จนทำให้คนที่พบเจอรู้สึกว่าเขาจะเข้ามาทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมได้ทุกเมื่อ

พิจารณาจากลักษณะภายนอก คนคนนี้ไม่ใช่แค่โหดเหี้ยม แต่เขาเป็นอสูรต่างหาก!

ต้วนเจียเจ๋อรู้สึกกดดันขึ้นมาทันที “สวัสดีครับ ผมคือต้วนเจียเจ๋อ ผู้อำนวยการสวนสัตว์ซาฟารีหลิงโย่ว ไม่ทราบว่าคุณชื่อ…”

ชายคนนั้นวางถ้วยน้ำชาแล้วยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เรียกฉันว่าจิ่วเหยีย[2]

“…” ต้วนเจียเจ๋อเหลือบมองไปข้างหลัง พลางยื่นมือไปจับลูกบิดประตูเอาไว้ เขาเตรียมจะปล่อยสุนัขเข้ามาแล้ว!

ชายที่บอกว่าตัวเองชื่อจิ่วเหยียเห็นท่าทางของต้วนเจียเจ๋อก็พูดขึ้น “ขอบอกไว้ก่อน ถ้าฉันออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไรต้องให้คะแนนฉันสูง ๆ ฉันมีบางอย่างที่ต้องไปทำ”

ต้วนเจียเจ๋อชะงัก “คุณถูกโครงการแห่งความหวังส่งมา?”

จิ่วเหยียยกเปลือกตามองต้วนเจียเจ๋อ จากนั้นยิ้มเหยียดหยาม “เพิ่งรู้อย่างนั้นเหรอ”

“ผมนึกว่าคุณมาเก็บค่าคุ้มครองน่ะครับ” ต้วนเจียเจ๋อพึมพำ เขาก็ยังคิดอยู่ว่าทำไมเมืองตงไห่ถึงกล้ามาเก็บค่าคุ้มครองจากเขา โดยเฉพาะหลังจากที่เพิ่งให้ความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจเมื่อไม่นานมานี้ พนักงานหญิงพวกนั้นก็ไม่ได้พูดให้ชัดเจน พวกเธอคงเห็นจิ่วเหยียแล้วรู้สึกกลัว

ต้วนเจียเจ๋อคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาได้ นี่ก็คงวางแผนเอาคะแนนไปเปลี่ยนเป็นวันหยุดแน่ ๆ ต้วนเจียเจ๋อพูด “ขอโทษครับ ผมเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา เรื่องคะแนนหรือว่าเรื่องออกไปจากที่นี่ พวกเราไปคุยกันที่สำนักงานทางด้านนั้นดีกว่าครับ…คือ ผมอยากถามว่าที่ผมได้รับการแจ้งเตือนว่าเป็นสัตว์ครึ่งตัว ไม่ทราบว่าสายพันธุ์ของคุณคือ…”

นี่คือเหตุผลที่ทำไมต้วนเจียเจ๋อถึงไม่เคยคิดว่าคนคนนี้คือสัตว์ที่ถูกส่งมา ไหนบอกว่าเป็นสัตว์ที่มีครึ่งตัวไม่ใช่เหรอ แต่จิ่วเหยียคนนี้ดูปกติมากเลยนี่!

ใครจะไปรู้ว่าคำพูดที่ต้วนเจียเจ๋อพูดไม่กี่คำจะทำให้จิ่วเหยียระเบิดโทสะออกมา

ท่าทางดุร้ายเหมือนกับลักษณะนิสัยของเขาไม่มีผิด จิ่วเหยียลงไม้ลงมืออย่างเฉียบพลัน พุ่งเข้าไปต่อยผนังห้องเป็นรูกว้างเฉียดใบหน้าของต้วนเจียเจ๋อไปนิดเดียว แล้วพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “จู้จี้อะไรนักหนา! อย่าคิดว่าโครงการแห่งความหวังนั่นจะปกป้องแกได้จริง ๆ นะ วิธีฆ่ามนุษย์อย่างแกมีตั้งเยอะ!”

ต้วนเจียเจ๋อไม่รู้ว่าจิ่วเหยียเคยดูละครของโลกมนุษย์หรือเปล่า แต่ท่าทางที่เขาต่อยผนังแบบนี้มันเหมือนต้อนสาวเข้ามุมมาก เสียงกรีดร้องของพนักงานด้านนอกดังเข้ามา ดูเหมือนว่าพวกเขาน่าจะได้ยินเสียงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ต้วนเจียเจ๋อรีบตะโกนออกไป “ไม่มีอะไรครับ! ไม่ต้องตกใจ!”

เมื่อจิ่วเหยียเห็นว่าต้วนเจียเจ๋อยังกล้าไปสนใจเรื่องอื่น โทสะของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ตอนนี้ใบหน้ามืดทะมึนมาก ท่าทางราวกับจะกลืนกินอีกฝ่ายเข้าไปในคำเดียว น่ากลัวที่สุด

หากเป็นคนขี้ขลาด เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้คงกลัวจนฉี่ราดไปแล้ว

ต้วนเจียเจ๋อกระซิบเสียงแผ่ว “อย่าเพิ่งวู่วามครับ…”

จิ่วเหยียเลิกคิ้ว นึกว่าอีกฝ่ายพูดกับตัวเอง แต่ในตอนที่กำลังจะยกมือขึ้น ลำแสงสว่างวาบก็พุ่งเข้ามาในห้อง มีใครบางคนถีบเขาจากทางด้านหลัง

จิ่วเหยียลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นทันที

ลู่ยาเหยียบไปบนร่างของจิ่วเหยีย ไม่รอให้ต้วนเจียเจ๋อได้พูดอะไร มีดซาเหรินก็ปรากฏขึ้นมาในมือของลู่ยา ตัดศีรษะของจิ่วเหยียทันที!

จากนั้นตามด้วยเปลวเพลิงแห่งพระอาทิตย์ ศีรษะที่ตกลงมายังไม่ทันได้แสดงใบหน้าโหดเหี้ยมให้ต้วนเจียเจ๋อเห็นก็โดนเผากลายเป็นเถ้าถ่านไป…

“…” ต้วนเจียเจ๋อช็อกมาก “…ทำไมคุณถึงฆ่าเขาล่ะครับ นี่!”

เขายังไม่ทันได้เรียบเรียงคำพูดของตัวเองให้ดีเลย ถึงแม้จิ่วเหยียจะโหดเหี้ยม แต่อยู่ดี ๆ มาตัดหัวกันดื้อ ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำมันใช้ได้เหรอ

ต้วนเจียเจ๋อยังไม่ทันหายตกตะลึงก็เห็นว่าบริเวณลำคอของจิ่วเหยียมีศีรษะงอกขึ้นมาใหม่ ซึ่งเหมือนกับของเดิมที่เพิ่งโดนตัดไป

“เฮ้ย!” ต้วนเจียเจ๋อตกใจ

“คิดไว้แล้วเชียวว่าสัตว์ครึ่งตัวที่ไหนจะถูกส่งมา ที่แท้ก็ตัวเก้าหัว[3]” ลู่ยายิ้มเยาะ “สิ่งมีชีวิตเก้าหัว หนึ่งหัวเท่ากับหนึ่งชีวิต”

เมื่อได้ยินดังนั้น ต้วนเจียเจ๋อก็เข้าใจที่มาของปีศาจตนนี้ทันที ในตอนนั้นราชบุตรเขยเก้าหัวได้ขโมยพระบรมสารีริกธาตุ จึงถูกเทพเอ้อร์หลางและพี่ลิงตามไล่ฆ่า หัวหนึ่งของเขาโดนสุนัขเซี่ยวเทียนกัดขาดไปแล้ว

“…ก่อนหน้านี้เขาหนีไปได้ไม่ใช่เหรอครับ”

“ต่อมาถูกจับได้แถมยังโดนตัดไปอีกสามหัว ไม่อย่างนั้นฉันจะถูกทำโทษได้ยังไง” ตัวเก้าหัวบอกอย่างไม่สบอารมณ์ เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น น้ำเสียงไม่โหดเหี้ยมเหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว “คิดไม่ถึงว่าเต้าจวินก็อยู่ที่นี่ด้วย เสี่ยวจิ่วเสียมารยาท หนึ่งหัวที่เสียไปก็สมควรแล้ว…”

ต้วนเจียเจ๋อ “…”

เดี๋ยว เมื่อกี้ยังเป็นจิ่วเหยียอยู่เลย พอเจอลู่ยากลายเป็นเสี่ยวจิ่วเสียอย่างนั้น

แถมคนคนนี้มีวาสนามากขนาดไหนถึงไม่รู้ว่าลู่ยาอยู่ที่นี่ พอนับดูแล้ว เหมือนเขาจะเสียไปแล้วสี่หัว มิน่าระบบถึงได้บอกว่าเป็นสัตว์ครึ่งตัว ที่แท้เขาก็ไม่ได้สมบูรณ์อย่างที่เห็นภายนอก สัตว์ครึ่งตัวคือแบบนี้นี่เอง!

ต้วนเจียเจ๋อไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี ที่ดีใจเป็นเพราะจิ่วเหยียไม่ใช่สัตว์ครึ่งตัวแบบที่คิด เลยไม่ต้องทนเห็นอวัยวะภายในเปื้อนเลือด แต่ที่เสียใจเพราะตัวเก้าหัวตัวนี้จะไม่นอกลู่นอกทางก่อเรื่องขึ้นจริง ๆ เหรอ

จะว่าไปโครงการแห่งความหวังก็ไม่ได้เข้มงวดมากขนาดนั้น แบบจิ่วเหยียยังบอกได้ว่าเป็นสัตว์ครึ่งตัว แม้ความจริงแล้วมันคือ 5/9 ก็ตาม…

กลับมาที่เสี่ยวจิ่ว เขายังพูดถึงจุดเปลี่ยนไม่ทันจบ ลู่ยาก็ยกมีดและฟันเข้าไปที่หัวของเสี่ยวจิ่วอีกครั้ง ทันทีที่หัวตกถึงพื้นก็กลายเป็นขี้เถ้าลอยขึ้นมา

หลังจากที่หัวของเสี่ยวจิ่วงอกขึ้นมาใหม่อีกครั้งเขาก็ระเบิดโทสะพยายามดิ้นอยู่ใต้เท้าลู่ยา “มาฟันฉันอีกทำไม ฉันเคารพนายในฐานะผู้อาวุโส แต่นายจะทำเกินไปแบบนี้ไม่ได้นะ!”

เขาถูกสวรรค์ไล่ล่ามาเนิ่นนานขนาดนั้นยังเสียไปแค่สามหัว นี่ลู่ยาพูดแค่ไม่กี่คำก็ตัดหัวเขาไปสองหัวแล้ว สองชีวิตที่เสียไปช่างไม่ได้รับความเป็นธรรมเลย! ถึงเขาจะเสียมารยาท แต่หัวเดียวยังไม่พอต่อการไถ่โทษอีกเหรอ

ต้วนเจียเจ๋อ “…พี่ชายของผมก็ไร้เหตุผลแบบนี้แหละครับ”

ลู่ยากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เปิ่นจุนอนุญาตให้นายพูดแล้วอย่างนั้นเหรอ”

เสี่ยวจิ่วกลายเป็นใบ้ในทันที อยากจะตะโกนออกมาให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็กลัวว่าจะถูกลู่ยาฟันหัวอีก คนคนนี้โหดเหี้ยมขนาดไหน ทั้งสามโลกต่างรู้ดี ที่ตัดหัวเขาเมื่อกี้ก็เป็นเพราะเขาพูดโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต ตัวเขาดุร้ายและโหดเหี้ยมก็จริง แต่ท่านผู้นี้นอกจากโหดเหี้ยมแล้วก็ยังไม่เคยหวาดกลัวอะไรทั้งนั้น

ลู่ยาออกแรงกดลงไปที่ฝ่าเท้า ถึงแม้เสี่ยวจิ่วจะเจ็บปวดทรมาน แต่ก็กัดฟันไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมา ส่วนในใจกำลังก่นด่าลู่ยาว่าหน้าหนาไร้ยางอาย

“ฮึ!” ลู่ยาเห็นว่าอีกฝ่ายไม่กล้าส่งเสียงออกมา จึงยิ้มเหยียดหยาม ก่อนจะหันไปพูดกับต้วนเจียเจ๋อ “อยากตัดหัวระบายความโกรธไหม”

นัยน์ตาของเสี่ยวจิ่วเต็มไปด้วยความเดือดดาล หากหัวเขาถูกตัดอีกครั้งก็จะเหลือเพียงแค่สองหัวเท่านั้นนะ

“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวกลิ่นคาวเลือดจะคลุ้งมากเกินไป” ถึงจะรู้ว่าตัวเก้าหัวมีเก้าชีวิต แต่ต้วนเจียเจ๋อเห็นแล้วก็รู้สึกรับไม่ได้เท่าไรนัก “ถ้าอย่างนั้นพาไปที่สำนักงานดีกว่าครับ ที่นี่นักท่องเที่ยวผ่านไปผ่านมา ไม่ค่อยดีเท่าไร”

เมื่อครู่นี้ตัวเก้าหัวต่อยผนังจนทำให้พนักงานตกใจ อีกเดี๋ยวเขาจะต้องเรียกให้คนมาซ่อมผนังกับพื้นอีก

พนักงานที่อยู่ข้างนอกตกตะลึงเมื่อเห็นลู่ยาเดินลากเสี่ยวจิ่วออกไป

พี่ลู่มาตั้งแต่เมื่อไร แถมเขายังชนะคนจากแก๊งมาเฟียนั่นได้ด้วย แต่เมื่อเห็นผู้อำนวยการเดินตามหลังออกมาทุกคนก็เข้าใจทันที…ว้าว! พลังแห่งแฟนหนุ่มของพี่ลู่นี่สุดยอดจริง

 

 

[1] ธงสีแดงรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วหรือสามเหลี่ยมมุมฉาก ทำจากผ้าไหมหรือผ้าซาติน ใช้สำหรับมอบเป็นรางวัลให้แก่ผู้ชนะการแข่งขัน หรือแสดงความเคารพ แสดงการขอบคุณให้แก่ผู้ที่กระทำความดี

[2] จิ่ว แปลว่าเก้า เหยีย แปลว่านายท่าน จิ่วเหยียจึงมีความหมายว่าท่านเก้า

[3] มาจากคำว่า จิ่วโถวฉง เป็นอสูรกายเก้าหัว มีตำนานเล่าว่าตัวเก้าหัวได้แต่งงานกับธิดาวังมังกร จึงถูกเรียกขานว่าราชบุตรเขยเก้าหัว ตัวเก้าหัว

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า