เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์
我开动物园那些年
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
拉棉花糖的兔子
Himazan แปล
ติดตามกำหนดการวางขายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
+++++++++++++++++++
ตอนที่ 43.1
ต้วนเจียเจ๋อไม่รู้ว่าพนักงานของเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงล็อกประตูเพื่อกันไม่ให้พวกเขาเข้ามาด้านใน จากนั้นรีบเดินไปยืนข้างลู่ยา “ผมจำไม่ค่อยได้เท่าไร คุณช่วยทำให้ดูหน่อยสิครับ ว่าร่างที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร”
“อีกเดี๋ยวเปิ่นจุนจะให้เจ้านี่แปลงร่างให้ดู นกเก้าหัว หน้าตาอัปลักษณ์” ลู่ยาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เสี่ยวจิ่ว “…”
ต้วนเจียเจ๋อนึกออกแล้ว นกเก้าหัว หน้าตาร่างเดิมดุร้ายสมกับที่เป็นนกล่าเหยื่อ แต่ไม่ดุร้ายและโหดเหี้ยมเท่าลู่ยาแน่นอน
ทั้งสองเดินมาถึงสถานที่คุ้นเคยของพวกสัตว์เทพ ลู่ยาตั้งใจจะอธิบายกฎให้ตัวเก้าหัวฟังที่นี่ ปีศาจตัวเก้าหัวทำผิดกฎข้อร้ายแรงหลายข้อทันทีที่ลงมาถึง ข้อแรก กล้าไม่เคารพผู้อำนวยการ ข้อสอง คิดละทิ้งหน้าที่ออกไปเที่ยวเล่น ข้อสาม กล้าข่มขู่ต้อนผู้อำนวยการเข้ามุม โดนตัดไปสองหัวถือว่าโชคดีมากแล้ว
ในตอนนี้เองที่หยวนหงเดินถือลูกท้อเข้ามาในห้อง พวกเขายังไม่ได้บอกสัตว์เทพตัวอื่น ๆ ส่วนเทพองค์นี้คาดว่าเดินทะเล่อทะล่าเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เสี่ยวจิ่วไม่รู้จักหยวนหงจึงทำเพียงแค่เหลือบมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในใจยังคงต่อว่าลู่ยากับต้วนเจียเจ๋อด้วยความเจ็บปวดใจ ตลอดทางที่เดินมาเขาเริ่มเข้าใจทุกอย่างแล้ว ลู่ยาอารมณ์ร้อนก็เรื่องหนึ่ง แต่หลัก ๆ ที่ตัดหัวเขาก็เพื่อเจ้ามนุษย์คนนี้
ทันทีที่หยวนหงเห็นตัวเก้าหัว เขาก็โยนลูกท้อทิ้งแล้วดึงกระบองโลหะออกมาก่อนจะออกแรงฟาดไปที่เสี่ยวจิ่วอย่างจัง เสี่ยวจิ่วตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว การโจมตีครั้งนี้หยุดลมหายใจและช่วงชิงชีวิตของเสี่ยวจิ่วไปอีกหนึ่งชีวิต
ตัวเก้าหัวเสียชีวิตไปสามครั้งภายในวันเดียว ระยะเวลารวมกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ร่างกายของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยเลือด ไม่รู้ว่าวันนี้โชคร้ายอะไรขนาดนี้
หลังจากที่ฆ่าเสี่ยวจิ่วตาย หยวนหงก็หยิบลูกท้อขึ้นมา จากนั้นจึงอธิบายกับต้วนเจียเจ๋อที่ยืนตะลึงพรึงเพริดอยู่ตรงนั้นว่า “นี่มันอะไรกัน สีหน้าดุร้ายนั่นทำเอาตกใจหมด!”
“…”
เคยได้ยินแต่ทิ้งขยะลวก ๆ ไม่เคยได้ยินฆ่าคนลวก ๆ มาก่อน
หลังจากผ่านไปสองนาทีเสี่ยวจิ่วก็มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เขาทั้งโมโหทั้งเดือดดาล “ฉันอยู่ของฉันดี ๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแกด้วย! แกยังจะมาพรากชีวิตของฉันไปอีก ฉัน ฉัน…”
เขาโมโหจนหายใจไม่ทัน หงุดหงิดจนแทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว เพราะเขาเหลือเพียงแค่สองชีวิตเท่านั้น!
แม้แต่ต้วนเจียเจ๋อก็อดเห็นใจเขาไม่ได้ “เลิกฆ่าเขาเถอะครับ ผมยังต้องเปิดส่วนจัดแสดงอีกนะ สวรรค์ส่งสัตว์ครึ่งตัวมาดี ๆ แต่พอส่งกลับเหลือแค่หนึ่งส่วนสามคงไม่ดีมั้งครับ”
ขณะที่เหล่าสัตว์เทพพากันทยอยเดินเข้ามา ตัวเก้าหัวก็ถูกลู่ยาเหยียบจนกลายเป็นร่างเดิมนอนอยู่ที่พื้น ถึงแม้เขาจะมีหลายชีวิต แต่ก็ถูกลู่ยากับหยวนหงข่มเหงรังแกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตอนนี้สูญเสียพลังไปเยอะแล้ว
อาการช็อกทางจิตใจรุนแรงมากเพราะเขาเสียไปแล้วถึงสามชีวิต
ในที่สุดต้วนเจียเจ๋อก็ได้เห็นแล้วว่าร่างที่แท้จริงของตัวเก้าหัวหน้าตาเป็นอย่างไร ลำตัวของเขายาวสิบฟุต ขนสว่างเป็นประกาย ปีกใหญ่กว้าง กรงเล็บทั้งสองข้างแหลมคม หัวสองหัวที่หายใจรวยรินซบอิงกัน หากมองดูดี ๆ จะพบว่าโคนหัวที่ถูกตัดไปทั้งเจ็ดอยู่ใต้ขนนก
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือร่างกายของมันเปียกชุ่มไปด้วยเลือด หากเห็นว่าเป็นนกดุร้าย คนธรรมดาคงถึงกับหมดแรงไปตาม ๆ กัน
เสี่ยวชิงเดินเข้ามาโดยบังเอิญ แล้วพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “นกสองหัวมาจากไหน”
เสี่ยวจิ่ว “…”
ต้วนเจียเจ๋อกลั้นหัวเราะจนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว พอเห็นใบหน้าที่เศร้าหมองของตัวเก้าหัว เขาก็อยากหัวเราะออกมาเสียงดัง
โหย่วซูกวาดสายตามองอยู่สองสามครั้ง จากนั้นถามด้วยความประหลาดใจ “นี่มันตัวเก้าหัวไม่ใช่เหรอคะ”
“พี่สาวของผมมีความรู้จริง ๆ” ต้วนเจียเจ๋อเอ่ยชม “นี่คือเสี่ยวจิ่วที่เพิ่งมาใหม่ครับ”
ทุกคนทำสีหน้าแปลก ๆ ถึงแม้ชื่อเสียงของตัวเก้าหัวจะไม่โด่งดังเท่าลู่ยา แต่ก็เป็นสัตว์ที่มีบทบาท เผ่าพันธุ์ชาติตระกูลยอดเยี่ยม มีเก้าชีวิตตั้งแต่กำเนิด มีจำนวนน้อยมากและไม่ได้ขยายพันธุ์เป็นกลุ่มใหญ่
ตอนที่เสี่ยวจิ่วขโมยสมบัติไป เขาสามารถหลบหนีเงื้อมมือของเทพเอ้อร์หลางและพี่ลิงไปได้ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ไล่ล่ามัน แต่พลังความแข็งแกร่งของมันก็ไม่เป็นรองใคร
แต่เวลานี้มันกลับเหลือหัวเพียงแค่สองหัวเท่านั้น ทำเอาผู้คนขมขื่นระคนเป็นสุขไปด้วย ไม่รู้มันมาผสมกันจนเป็นความรู้สึกแบบนี้ได้อย่างไร
หลังจากที่รู้ว่าเป็นตัวเก้าหัว เสี่ยวชิงก็หวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอเห็นสภาพที่มันนอนอยู่บนพื้นก็วางใจขึ้นมาก เขาไม่กล้าพูด “ตอนนี้ควรเรียกว่าเสี่ยวเอ้อร์[1]มากกว่า” ซึ่งเป็นประโยคที่อยู่ในใจออกมา
ทุกคนต่างก็เป็นปีศาจเหมือน ๆ กัน หลิงก่านยังรู้เรื่องซุบซิบของเขามาอีกว่า “นั่นมันราชบุตรเขยจิ่วโถวที่แต่งงานกับองค์หญิงแห่งวังมังกรไม่ใช่หรือ!”
หลิงก่านเป็นสัตว์น้ำ สำหรับพวกเขางูที่อยู่ในบ่อน้ำก็ถือเป็นมังกร ถึงจะคอยติดตามเจ้าแม่กวนอิม แต่เขาก็ดูสูงส่งมาก ดังนั้นหลิงก่านจึงรู้สึกนับถือตัวเก้าหัวอยู่บ้าง
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของหลิงก่าน ลู่ยาก็ส่งเสียงเย้ยหยันออกมา
ต้วนเจียเจ๋อมองลู่ยา เขารู้ดีว่าลู่ยารังเกียจสัตว์น้ำโดยเฉพาะมังกร สิ่งที่หลิงก่านพูดก็คงไม่ต่างอะไรในสายตาของลู่ยา
ทุกคนจ้องไปที่หัวของตัวเก้าหัว นัยน์ตาทั้งสองคู่ที่อยู่บนสองหัวฉายแววน่าเวทนาออกมา เนื่องจากตอนนี้ร่างกายของมันพังยับเยินไม่เป็นท่าจนสูญเสียอำนาจไปหมดแล้ว “ฉัน ฉันแปลงร่างกลับได้หรือยัง”
ลู่ยาไม่สนใจ ทันใดนั้นตัวเก้าหัวก็ดูเหมือนจะนึกขึ้นได้ จึงมองไปทางต้วนเจียเจ๋อ
ต้วนเจียเจ๋อกระแอม “ก็ได้ครับ”
เขาไม่ได้ใจอ่อน เพียงแต่ร่างเดิมของตัวเก้าหัวแปลกประหลาด เดิมหัวทั้งเก้าอยู่ติดกันเป็นช่อเหมือนกับพวงมาลัย แต่ตอนนี้ถูกตัดไปเหลือแค่สองหัว มันเลยดูประหลาดเป็นที่สุด
เสี่ยวจิ่วกลายร่างกลับเป็นมนุษย์แล้วนั่งยอง ๆ อยู่ตรงมุมหนึ่ง ขณะที่สัตว์ตัวอื่น ๆ ทยอยกันเข้ามา อารมณ์ความรู้สึกของเขาก็ตกต่ำและหดหู่ลงเรื่อย ๆ
ทำไม ทำไมถึงไม่มีใครเคยบอกสถานการณ์ของที่นี่ให้ฉันฟัง
ที่นี่มีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สี่ทิศ ปีศาจยิ่งใหญ่อย่างคุนเผิง แถมยังมีหลิงก่านที่มีความเกี่ยวข้องกันอีก…พวกนี้ไม่ใช่คนที่น่ากลัวที่สุด เพราะพวกเขาไม่สนใจตัวเก้าหัว
คนที่น่าหวาดกลัวที่สุดคืออีกาทองสามขา แถมอีกาทองสามขาก็ยอมจำนนต่อมนุษย์อีก!
หากเขารู้ว่าลู่ยาอยู่ที่นี่ ต่อให้ตายเขาก็ไม่มีทางลงมาหรอก!
ทุกคนเป็นนกเหมือนกัน แต่ในเรื่องของเผ่าพันธุ์ แม้แต่จูเชว่ เขาเองยังเทียบไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับอีกาทองสามขา
เหตุผลง่าย ๆ คือพลังบำเพ็ญของพวกเขายังต้องดูดซับจากตะวันจันทราในแต่ละวันอยู่ ส่วนอีกาทองสามขาตัวแรกของโลกซึ่งเป็นพ่อของลู่ยาคืออีกาที่กลายร่างมาจากดวงอาทิตย์ หากดวงอาทิตย์เป็นผานกู่ที่เปลี่ยนโชคชะตาของโลก อีกาทองสามขาก็คือดวงอาทิตย์ดวงเล็ก ๆ แบบนั้นแล้วจะสามารถเทียบกันได้อย่างไร…
แต่ที่แย่กว่านั้นมันคือตรงนี้ ตัวเก้าหัวเหลือบมองต้วนเจียเจ๋อเป็นครั้งคราวแล้วรู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิม
ขณะที่เหลือบมองต้วนเจียเจ๋อ ตัวเก้าหัวก็พบว่ามีคนกำลังจ้องตัวเองอยู่ นั่นคือหยวนหง เทพดวงดาวซื่อเฟ่ย เขาฟังคนพวกนี้คุยกันถึงได้รู้ว่านั่นคือหยวนหง
เสี่ยวจิ่วอดตัวสั่นเทาไม่ได้ เขารู้สึกได้ถึงแรงคุกคามมหาศาล ซึ่งเรื่องนี้สำหรับนกที่ดุร้ายถือว่าหาได้ยากมาก
หยวนหงนั่งยอง ๆ แทะลูกท้อในมืออยู่บนโซฟา แต่สายตากลับจับจ้องมาที่เสี่ยวจิ่ว ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เสี่ยวจิ่วในตอนนี้ขนลุกขนพองไปหมด
คนคนนี้ เมื่อครู่ทันทีที่เจอหน้าก็ฟาดเขาตายและพรากชีวิตเขาไปหนึ่งชีวิต ไร้เหตุผลยิ่งกว่าลู่ยาเสียอีก เพราะอย่างน้อยลู่ยาก็มีเหตุผลว่า “ปกป้องเจ้านาย”
เทพดวงดาวซื่อเฟ่ยมีชื่อเสียงเลื่องลือก่อนเสี่ยวจิ่วอยู่หลายปี เนื่องจากได้รับการสถาปนาเป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์ เสี่ยวจิ่วไม่ยอมออกไปไหนอีกทั้งยังหลบซ่อนตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหยวนหงมากนัก และไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นคนหัวรุนแรงแบบนี้!
ตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังจ้องมองเสี่ยวจิ่วไม่ละสายตา จนเขารู้สึกอึดอัด ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นโกรธเคืองอะไรตน
เสี่ยวจิ่วมองหาต้วนเจียเจ๋อ แต่ก็พบว่าจิ้งจอกเก้าหางกำลังมองดูตัวเองเงียบ ๆ อยู่ข้างหลัง แถมยังเผยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยเจตนาร้ายออกมา
“…”
เสี่ยวจิ่วหวาดกลัวจนตัวสั่น!
“ตัวเก้าหัวดุร้ายกระหายเลือดแบบนั้น ไม่มีทางแปลงเป็นนกธรรมดาได้แน่นอน” ต้วนเจียเจ๋อค้นหาข้อมูล “ผมว่านะครับ แปลงร่างเป็นแร้งคอนดอร์แอนดีสยังพอไหว”
นี่เป็นนกที่ได้รับการยอมรับว่าดุร้ายที่สุดในโลก และเป็นนกที่ตัวใหญ่ที่สุดในบรรดานกที่บินได้ พวกมันอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกา ปีกกางออกได้มากกว่าสามเมตร ถึงแม้จะมีขนาดเล็กกว่าร่างเดิมของตัวเก้าหัว แต่ก็เหมาะกว่านกชนิดอื่น ๆ
แร้งคอนดอร์แอนดีสเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ แต่ยังมีบางสวนสัตว์ที่มีสายพันธุ์ของพวกมันอยู่ สามารถกินอาหารได้หลากหลายและยังกินซากสัตว์ได้เกือบทั้งหมด
ต้วนเจียเจ๋อให้ตัวเก้าหัวกลายร่างเป็นแร้งคอนดอร์แอนดีส หลังจากนี้จะต้องทำงานอยู่ในกรง นกล่าเหยื่อที่ดุร้ายแบบนี้ไม่สามารถปล่อยให้ออกมาอยู่ข้างนอก ปกติใช้กรงแบบเปิดโล่งก็ได้ แค่จะต้องขลิบปีก แต่เลี้ยงเอาไว้ข้างนอกไม่ได้โดยเด็ดขาด
หลังจากที่รู้ว่าตัวเองจะต้องเป็นสัตว์ เสี่ยวจิ่วก็ทำหน้าราวกับกินของน่าสะอิดสะเอียนเข้าไป เขาทุกข์ใจมาก แต่หลังจากได้เผชิญหน้ากับท่าทางคุกคามของลู่ยา เขาก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก แม้แต่อีกาทองสามขายังเป็นสัตว์อยู่ในสวนสัตว์ เขาที่เป็นตัวเก้าหัวจะมีสิทธิ์พูดอะไรได้…
เสี่ยวจิ่วจำใจแปลงร่างเป็นแร้งคอนดอร์แอนดีส ต้วนเจียเจ๋อให้เขาปรับขนาดร่างกายให้ใหญ่แค่ประมาณหนึ่ง เนื่องจากประเทศจีนยังไม่มีสวนสัตว์ไหนนำแร้งคอนดอร์แอนดีสเข้ามาจากต่างประเทศ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่มากเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวก็ได้
โหย่วซูยิ้มร่า “ตอนนี้ยังไม่ต้องอยู่ที่ส่วนจัดแสดง ลากไปอบรมให้รู้วิธีรับแขกน่าจะดีที่สุด”
เสี่ยวจิ่ว “…”
ต้วนเจียเจ๋อปาดเหงื่อ “ระ…รับแขก…”
“ฉันหมายถึงต้อนรับนักท่องเที่ยวค่ะ ฮ่า ๆ ๆ”
เสี่ยวจิ่วมองโหย่วซูพลางแอบด่าเธออยู่ในใจ ยัยจิ้งจอกเก้าหางเจ้าเล่ห์ท่าทางสนิทสนมกับเจ้ามนุษย์คนนั้น เห็นได้ชัดเลยว่าใช้เขาเป็นเครื่องมือเพื่อทำให้เจ้ามนุษย์พอใจ และคิดจะทำให้เขาอับอายด้วยวิธีนี้อีก!
แต่ในความเป็นจริงเสี่ยวจิ่วคิดมากเกินไป ข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอที่บริสุทธิ์ใจ เพราะโหย่วซูคิดว่าเสี่ยวจิ่วไม่ค่อยเข้าใจกฎและกลัวว่าจะก่อเรื่องให้สวนสัตว์เฉย ๆ
“ทุกคนคะ นี่คือแร้งคอนดอร์แอนดีสที่มีชื่อเสียงระดับโลก เป็นแร้งที่อยู่ในอารยธรรมแอนเดียน ดังนั้นจึงถูกเรียกอีกอย่างว่าแร้งแอนเดียน ปัจจุบันแร้งเป็นสัตว์ที่เสี่ยงสูญพันธุ์ ในครั้งนี้สวนสัตว์ของพวกเราพยายามอย่างมากถึงสามารถนำแร้งคอนดอร์แอนดีสวัยหนุ่มตัวนี้เข้ามาที่สวนสัตว์ได้ และปีกของมันยังกางออกได้กว้างถึงสามเมตรเลยละค่ะ”
เสี่ยวซูแนะนำแร้งคอนดอร์แอนดีสให้ทุกคนรู้จักอย่างกระตือรือร้น เธอเดินวนไปรอบ ๆ รั้วตะแกรงเหล็กเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เห็นทุกมุม และเห็นถึงความแตกต่างว่ามันตัวใหญ่ขนาดไหน
ถึงแม้น้ำเสียงและท่าทางจะตื่นเต้นสุดขีด แต่เสี่ยวซูก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนัก แม้จะมีรั้วตะแกรงเหล็กกั้นเอาไว้เธอก็ยังไม่กล้าสบตากับเสี่ยวจิ่ว บรรยากาศรอบตัวของนกตัวนี้เต็มไปด้วยแรงอาฆาต ถ้าผู้อำนวยการไม่บอกว่านำเข้ามาจากสวนสัตว์ เธอคงนึกว่าเป็นแร้งป่าไปแล้ว
ทันทีที่แร้งมาถึงสวนสัตว์ พวกเขาก็ต้องเลือกเจ้าหน้าที่มาดูแลมัน แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ชายทั้งสวนสัตว์ได้เจอกับแร้งตัวนี้ ต่างก็ไม่มีใครกล้ารับตำแหน่ง หากไม่ใช่เพราะผู้อำนวยการบอกว่าเนื่องจากมันเป็นนกล่าเหยื่อ จึงจะมีเงินพิเศษเพิ่มให้ ก็คงไม่มีใครยอมทำหน้าที่นี้จริง ๆ
มันดูน่ากลัวเกินไป ครั้งก่อนคนที่ทำให้พวกเขารู้สึกแบบนี้ก็คือนกลู่ยา แต่ว่าผู้อำนวยการเป็นคนดูแลเอง อีกทั้งมันก็ไม่ได้น่ากลัวตลอดเวลา มีหลายครั้งที่มันออดอ้อนผู้อำนวยการ ไม่เหมือนแร้งตัวนี้
…
ต้วนเจียเจ๋อยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้มาเข้าร่วมการถ่ายทอดสดของเสี่ยวซู แต่มาเพื่อดูตัวเก้าหัว
ตัวเก้าหัวเสี่ยวจิ่วมาอยู่ที่หลิงโย่วตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ทว่าชีวิตในแต่ละวันก็ไม่ได้ราบรื่นเท่าไรนัก
หลังจากวันนั้นที่เขาถูกตัดไปสามหัวโดยที่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ทุกครั้งที่เจอกันที่โต๊ะอาหาร ทั้งจมูกทั้งใบหน้าของเสี่ยวจิ่วก็เขียวช้ำบวมปูดไปหมด กระทั่งต้วนเจียเจ๋อเองก็ยังไม่รู้สาเหตุ เขาพยายามคิดหนีอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกลู่ยาจับได้แถมยังข่มขู่ว่าจะตัดหัวเขาอีก เลยได้แต่ร้องขอความเมตตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตอนแรกต้วนเจียเจ๋อนึกว่าลู่ยาเป็นคนทำร้ายเขา แต่ลู่ยาบอกว่าตนตัดหัวเสี่ยวจิ่วไปแล้วสองครั้ง อีกทั้งเสี่ยวจิ่วก็เคารพผู้อำนวยการแล้ว ลู่ยาจึงไม่ได้ทำเรื่องน่าเบื่อแบบนั้นอีก
หลังจากนั้นต้วนเจียเจ๋อไปได้ยินมาว่า ที่จริงแล้วตัวเก้าหัวไปทะเลาะต่อยตีกับสัตว์ตัวอื่นเอง เนื่องจากเขาไม่คุ้นเคยกับชีวิตในสวนสัตว์ ประกอบกับเกลียดชังทุกคนที่หัวเราะเยาะเย้ยเขาในวันนั้น เลยมักจะบ่นไม่พอใจและหาเรื่องทะเลาะกับสัตว์ตัวอื่น
อีกอย่างก็คือ ตัวเก้าหัวมีนิสัยนักเลงมาก เขาคิดว่าตัวเองจะต้องสร้างจุดยืนในลำดับห่วงโซ่อาหาร ถึงแม้จะเอาชนะลู่ยาไม่ได้ แต่เขาก็สามารถกดขี่ข่มเหงสัตว์ตัวอื่นได้
แต่สัตว์พวกนั้นสามัคคีแน่นแฟ้น ถึงแม้พวกมันตัวเดียวจะไม่สามารถเอาชนะตัวเก้าหัว แต่ถ้าร่วมมือกันก็บดขยี้อีกฝ่ายได้แน่นอน หากต้วนเจียเจ๋อไม่สั่งเอาไว้ว่าอย่าให้เสี่ยวจิ่วเหลือกลับไปแค่หัวเดียว ก็คงฆ่าตัวเก้าหัวทิ้งไปแล้ว
ทั้งหมดเป็นเพราะตัวเก้าหัวไม่รู้ธรรมเนียมของสวนสัตว์ ที่นี่ไม่มีห่วงโซ่อาหาร ถ้าหากมีจริง ๆ สัตว์ทุกตัวก็คงร่วมมือกันหาทางให้รอดพ้นจากการคุกคามของลู่ยาไปแล้ว
เสี่ยวชิง “เดี๋ยวเขาโดนตีเยอะ ๆ …ไม่สิ เดี๋ยวอยู่ไปนาน ๆ ก็รู้เองว่าต่อให้จัดอันดับไปก็ไร้ความหมาย”
ต่อให้มีพลังมากขนาดไหนก็สู้การเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวไม่ได้!
ต้วนเจียเจ๋อจึงต้องให้ความสนใจมากขึ้น เขาอยากเห็นตอนที่เสี่ยวจิ่วฉลาดขึ้นกว่านี้
โชคดีที่เจ้าหน้าที่กำลังให้อาหารเสี่ยวจิ่วอยู่พอดี เสี่ยวซูถ่ายวิดีโอให้ทุกคนได้ดูพลางพูด “แร้งคอนดอร์แอนดีสชื่อเสี่ยวจิ่ว เกิดในสวนสัตว์แห่งหนึ่งในอาร์เจนตินา ขณะที่เลี้ยงดูแร้งเหล่านี้ พวกเขาให้ความสำคัญและตั้งใจหลงเหลือสัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวมันเอาไว้…”
ป่า ป่าเถื่อนจริง ๆ
มีครอบครัวหนึ่งพาเด็กมาดูนกที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลกตามคำเล่าลือ แต่เด็กคนนั้นตกใจจนร้องไห้เพราะเห็นท่าทางตอนกินอาหารของแร้ง เหมือนกับตอนที่ลู่ยาฝากเรื่องราวฝังใจให้กับผู้คนในเหตุการณ์ครั้งนั้น
เหล่าชาวเน็ตที่เห็นเสี่ยวจิ่วกินอาหารต่างก็ทอดถอนใจไปตาม ๆ กัน
‘นอกจากลู่ยา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเข้าใจคำว่า “นกล่าเหยื่อ” อย่างชัดเจน… ดูผ่านหน้าจอยังรู้สึกได้เลย’
‘กินได้โหดเหี้ยมมาก กรงเล็บกับจะงอยปากสุดยอดจริง ๆ สายตาเฉียบคม พอมันมองมาทางกล้องฉันรู้สึกเหมือนว่ามันกำลังจ้องฉันอยู่เลย เหงื่อแตกไปหมดแล้ว!’
‘ตัวใหญ่จริง ๆ หากเจอนกล่าเหยื่อแบบนี้คงได้ตายแน่ ๆ’
‘ร่างกายใหญ่ขนาดนี้ ฉันสองคนรวมกันยังไม่กว้างเท่าปีกของมันเลย’
‘สายตาคมกริบสุดยอดไปเลย เฮ้! ไม่รู้ว่ามันกับลู่ยาของพวกเราใครจะดุร้ายกว่ากันนะ’
‘ไม่ได้ยินเหรอว่านี่คือนกที่ดุร้ายที่สุดในโลก ฉันว่าแร้งคอนดอร์แอนดีสชนะใส ๆ!’
‘ฉันก็คิดว่าเป็นแร้งนะ… ถึงฉันจะชื่นชมลู่ยามาก แต่เจ้าตัวนี้มันดูเก็บกดยังไงก็ไม่รู้’
ต้วนเจียเจ๋อไม่รู้ว่าชาวเน็ตกำลังพูดถึงประเด็นเรื่องเสี่ยวจิ่วกับลู่ยาว่าใครดุร้ายกว่ากัน แถมส่วนใหญ่ยังบอกว่าเสี่ยวจิ่วเหนือกว่า เมื่อได้เห็นท่าทางการกินของเสี่ยวจิ่ว พวกเขาก็รู้สึกว่าเส้นทางลูกผู้ชายของเสี่ยวจิ่วนั้นช่างป่าเถื่อนจริง ๆ
ลู่ยาเป็นทายาทปีศาจ ท่าทางการกินสง่างามมาก เขาจะดุร้ายเวลาที่โจมตีคนอื่นเท่านั้น แต่ท่าทางการกินของเสี่ยวจิ่วเหมือนกับสัตว์ป่าอย่างไรอย่างนั้น
ในความเป็นจริง ขณะที่เสี่ยวจิ่วกำลังกิน เขาเห็นเนื้อตรงหน้าเป็นเนื้อของศัตรูไปแล้ว
“ยัยจิ้งจอกเก้าหาง ไอ้เจ้าวานร ไอ้เจ้างูเขียว…” เสี่ยวจิ่วขย้ำเนื้อกินด้วยความรู้สึกโศกเศร้าและโกรธแค้นอัดแน่น แต่ตนเหลือแค่สองหัวจะมีปัญญาที่ไหนไปทำเรื่องกำเริบเสิบสานแบบนั้นกัน หากถูกตัดอีกหนึ่งหัว ก็คงไม่ต่างจากนกทั่วไปที่มีเพียงหัวเดียวแล้ว
เมื่อคิดได้แบบนั้น ท่าทางการขย้ำของเสี่ยวจิ่วก็ยิ่งดุร้ายมากขึ้น บางครั้งยังกางปีกกว้างส่งเสียงร้องออกมาจนเรียกเสียงอุทานด้วยความตกใจจากนักท่องเที่ยว
นกล่าเหยื่ออันดับหนึ่งของโลกที่แท้ก็ไม่ได้มีดีแต่ชื่อ!
บนหน้าจอในตอนนี้ อันดับของลู่ยาและเสี่ยวจิ่วเสมอกัน ลู่ยาฉลาดและดุร้ายมาก แต่ดูเหมือนเสี่ยวจิ่วน่าจะดุร้ายและป่าเถื่อนกว่า
ขณะที่ชาวเน็ตกำลังสรุปข้อดีข้อเสีย ร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
เสี่ยวซูยกโทรศัพท์มือถือถ่ายขึ้นไป “อ๊ะ! ลู่ยามาแล้วค่ะ”
ตั้งแต่ที่ลู่ยาและต้วนเจียเจ๋อยืนยันความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ลู่ยาก็โดดงานหนักขึ้นเรื่อย ๆ เอะอะก็เปิดกรงบินออกมาเองท่ามกลางสายตาของทุกคน แม้แต่ร่างอวตารก็ไม่ทิ้งเอาไว้
ตอนนี้ลู่ยาได้รับการยอมรับจากทุกคนว่าเป็นฮีโร่ช่วยชีวิตคนไว้ถึงสองครั้ง ผู้คนมากมายแทบอยากจะให้ปล่อยมันอยู่ข้างนอกทุกวัน นกแบบนั้นจะขังอยู่แต่ในกรงได้อย่างไร
เพราะเหตุการณ์ช่วยชีวิตคนก่อนหน้านี้ ทำให้ความนิยมของลู่ยาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง จนได้ยินว่าออกข่าวไปไกลถึงต่างประเทศแล้ว เหตุการณ์หวาดเสียวลุ้นระทึกรับเด็กที่ตกลงมาจากความสูงระดับนั้นเหมือนกับในละครไม่มีผิด ในตอนนี้จึงไม่มีใครไม่รู้จักลู่ยาอีกแล้ว
ทันทีที่มันปรากฏตัว ความคิดเห็นบนหน้าจอก็ครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง แม้แต่นักท่องเที่ยวที่อยู่ตรงนั้นก็ยังโบกมือทักทายลู่ยาที่บินอยู่ด้านบน
ลู่ยาบินวนหนึ่งรอบ ก่อนจะร่อนลงมาอยู่ในอ้อมแขนของต้วนเจียเจ๋อ หลังจากที่รับเอาไว้ได้แล้ว ลู่ยาก็นอนซุกอยู่ในนั้น ท่าทางดูสบายเป็นที่สุด
ต้วนเจียเจ๋อลูบขนของลู่ยาแล้วกระซิบ “มาได้อย่างไรครับ…”
‘โอ้วววว! วีรบุรุษท้อแท้ใจ หญิงชายรักกันดูดดื่มเหลือเกิน พอเข้าไปในอยู่ในอ้อมกอดของผู้อำนวยการ จากนกล่าเหยื่อก็กลายเป็นแม่ไก่ทันทีเลย’
‘ให้ตายเถอะ เมื่อกี้ฉันเพิ่งจะออกมาสู้ให้ลู่ยา บอกว่านิสัยมันไม่แพ้เสี่ยวจิ่วเลยแท้ ๆ’
‘ฮ่า ๆ ๆ ๆ ขำแทบแย่ นี่คือลู่ยา ฮีโร่ที่ช่วยชีวิตคนเอาไว้ได้นั่นจริงเหรอ ทำไมถึงรู้สึกว่ามันไม่ใช่นกตัวเดียวกันเลยล่ะ…’
‘นี่ไม่ใช่นกที่อยู่ในข่าว! นี่มันตัวปลอม! ตัวปลอมชัด ๆ!’
‘งงไปหมดแล้ว ฉันจำได้ว่าสินค้าที่ฉันซื้อตัวแรกสุด คือลู่ยานกล่าเหยื่อที่เย็นชาตัวนั้นนะ’
ขณะที่ทุกคนกำลังเอะอะโวยวาย แอดมินถ่ายทอดสดก็ขยับโทรศัพท์ไปสี่สิบห้าองศา ทำให้เสี่ยวจิ่วที่อยู่ในรั้วตะแกรงเหล็กเข้ามาในกล้องด้วย
เสี่ยวจิ่วที่ยังทำตัวหยิ่งผยองอยู่จนถึงเมื่อครู่นี้ ไม่รู้ว่ามันทิ้งอาหารแล้วขึ้นไปหมอบบนคอนไม้ตั้งแต่เมื่อไร
ขณะที่กำลังนึกสงสัยว่าเป็นเพราะอาหารมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องของลู่ยา
ลู่ยามักจะส่งเสียงร้องแบบนี้เป็นปกติ และก็ไม่ได้ดุร้ายเลยสักนิด โดยปกติแล้วมันจะร้องแบบนี้เฉพาะตอนที่อยู่กับผู้อำนวยการ แต่เสี่ยวจิ่วที่ได้ยินกลับตัวสั่นเทาพลางใช้กรงเล็บขยับหนีไปเกาะคอนไม้อีกคอนด้วยความหวาดกลัว
หลังจากที่เงียบไปพักใหญ่ บนหน้าจอก็มีคนแสดงความคิดเห็นขึ้นมาอีกครั้ง
‘ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ !’
‘นี่คือมันกลัวลู่ยาใช่ไหม เจ๋งไปเลย!’
‘ไหนบอกว่าเป็นนกล่าเหยื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกไง’
‘ไป๋ตู้บอกเอาไว้จริง ๆ ว่าแร้งคอนดอร์แอนดีสเป็นนกล่าเหยื่อ แต่เสี่ยวจิ่วน่าจะอ่อนแอที่สุดในหมู่ของพวกมันมั้ง’
‘ถึงร่างกายจะใหญ่โตแค่ไหน แต่ลู่ยาก็ยังสุดยอดกว่าอยู่ดี’
‘ลู่ยาเป็นกึ่งนกเลี้ยง หลิงโย่วเพิ่งจะเปิดเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่เสี่ยวจิ่วโตขึ้นมาในสวนสัตว์ ถึงจะบอกว่าเหลือสัญชาตญาณสัตว์ป่าเอาไว้ แต่มันจะเหลือไว้สักเท่าไรกันล่ะ!’
‘ลู่ยาของฉัน เมื่อกี้ที่บอกว่าเป็นตัวปลอมขอถอนคำพูด เสี่ยวจิ่วด้อยกว่าลู่ยาขนาดนั้นเลยเหรอ ออกมาทำตัวหยิ่งผยองแบบนั้น เสียหน้าไหม’
‘นกล่าเหยื่อเหรอ ฉันรู้จักแค่ลู่ยาเท่านั้นแหละ’
…
ต้วนเจียเจ๋อเห็นเสี่ยวจิ่วไม่กล้ากินอาหาร เลยพาลู่ยาเดินออกไป
แม้ตอนแรกจะรู้สึกไม่ชอบตัวเก้าหัว เพราะว่ามันโหดเหี้ยมเกินไป แต่หลังจากทบทวนดูแล้วก็พบว่า หลิงโย่วใช่ว่าจะไม่มีคนชั่วเสียหน่อย เพียงแต่เสี่ยวจิ่วคือคนที่โง่ที่สุด แถมยังดวงตกและน่าเวทนาอย่างที่สุด ตอนนี้เขาจึงเหลือแต่ความรู้สึกสงสารเท่านั้น…
สงซือเชียนดุร้ายไหม คุนเผิงเหล่าซือโหดเหี้ยมหรือเปล่า สองคนนั้นสูงส่งกว่าตัวเก้าหัวไม่รู้เท่าไร เพียงแต่พวกเขาเข้าใจและรู้สถานะของตนเองดี ทุกวันนี้คนหนึ่งได้กินน้ำผึ้งทุกวัน ส่วนอีกคนเป็นทาสแมว มีความสุขกันดีจะตายไป
สำหรับตัวเก้าหัว หากยืมคำพูดของโหย่วซูมาก็คงจะต้องบอกว่า หัวทั้งเก้าของเขาว่างเปล่า ไร้สมอง
ไม่ว่าต้วนเจียเจ๋อจะพาลู่ยาเดินไปทางไหนก็จะมีนักท่องเที่ยวมองมาเสมอ เป็นเพราะช่วงนี้ลู่ยาโด่งดังขึ้นมาก นอกจากนี้ยังมีคนกระซิบกระซาบกันอีกว่า “นกนั่นดูเหมือนตัวจริงจะไม่ได้ตัวใหญ่มากนะ ตัวเล็กกว่าแร้งตัวนั้นอีก เธอคิดว่ามันคว้าตัวเด็กไว้ได้ยังไง”
“คงฝึกมาละมั้ง สัตว์ไม่เหมือนพวกเรา ฉันอยากรู้จังว่ามันช่วยเจ้าของหิ้วถังน้ำได้ไหม”
ต้วนเจียเจ๋อได้ยินแล้วสงสัย ผมจะหิ้วถังน้ำทำไมล่ะครับ
นอกจากนี้ยังมีเด็กใจกล้า ดึงชายเสื้อของพ่อแม่แล้วตะโกนว่าอยากลูบลู่ยา
แน่นอนว่าเรื่องในอดีตทำให้พ่อแม่ไม่ค่อยกล้าอนุญาต เนื่องจากลู่ยาเคยมีประวัติจิกคนจนเนื้อหนังหลุดออกมาแล้ว แต่เพราะข่าวล่าสุดที่เขาช่วยเหลือเด็กเอาไว้ ทำให้ภาพลักษณ์ดีขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้นจึงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาขอลูบตัวลู่ยาอยู่หลายครั้ง
ต้วนเจียเจ๋อปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า “ไม่ได้หรอกครับ นกตัวนี้มันจิกคนนะครับ”
“ได้ยินหรือยัง มันจะจิกเอานะ!” ผู้ปกครองได้ยินดังนั้นก็รีบพาตัวเด็กออกไป
เด็กคนนั้นยังไม่ลดละ หันกลับมาพลางตะโกนเสียงดัง “แล้วทำไมคุณลุงถึงอุ้มมันได้ล่ะครับ”
ต้วนเจียเจ๋อต้องตะโกนกลับไปเพื่อให้เด็กคนนั้นได้ยิน แต่เขาก็ไม่ได้ทำแบบนั้น เพียงแค่พึมพำว่า “ก็นี่แฟนฉันนี่…”
“…” ลู่ยามุดเข้าไปในเสื้อของต้วนเจียเจ๋อทันที
ต้วนเจียเจ๋อยิ้ม อุ้มลู่ยาออกมาแล้วจูบลงไปบนศีรษะของอีกฝ่าย การกระทำนี้ไม่ได้เป็นที่สนใจเท่าไหร่นัก เพราะลู่ยาอยู่ในร่างนก
ลู่ยาคลอเคลียอยู่ข้างใบหน้าต้วนเจียเจ๋อ ยอมรับความโปรดปรานด้วยความเขินอายถึงที่สุด
เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่ไม่มีคน ลู่ยาก็กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ เขาดันต้วนเจียเจ๋อเข้ากำแพงก่อนประกบจูบไปที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย ลู่ยาไม่ใช่มนุษย์ จูบในแต่ละครั้งจึงเร่าร้อนดุดัน เขาจะไม่เลิกราจนกว่าลมหายใจของต้วนเจียเจ๋อจะใกล้หมด ต้วนเจียเจ๋อเองก็นิสัยไม่ค่อยดี ชอบแกล้งแหย่ลู่ยาอยู่ตลอด
ทั้งสองซ่อนตัวอยู่ในมุมลับตา หลังจากที่ผละจูบออก ลมหายใจของต้วนเจียเจ๋อยังไม่ยอมสงบลง ลู่ยาดันต้วนเจียเจ๋อชิดกำแพงเพื่อช่วยให้ยังประคองตัวเอาไว้ได้ แล้วก้มหน้าลงไปคลอเคลียกับต้วนเจียเจ๋อ หวังว่าการกระทำของตนจะช่วยปัดเป่าความตื่นเต้นและกระวนกระวายใจออกไปได้บ้าง
ร่างกายของต้วนเจียเจ๋อร้อนผ่าว เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ไม่สามารถกั้นความรู้สึกเร่าร้อนที่อยู่ในใจได้ ร่างของทั้งสองแนบชิดกันมากขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้จูบกันแล้ว แต่ลมหายใจกลับไม่สามารถสงบลงได้เลย
ยิ่งคลอเคลียมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่ายังไม่พอ กระทั่งต้วนเจียเจ๋อหยิกลู่ยา เขาถึงดึงสติกลับมาได้ “ทำอะไรครับ”
ทำอะไร?
“เลิกเบียดได้แล้วครับ ถ้าเบียดเข้ามาอีกผมคงฝังไปกับกำแพงแล้ว” ต้วนเจียเจ๋อดันลู่ยาออกไป
ลู่ยามองเขาด้วยความสับสนพลางจัดคอเสื้อตัวเอง
“ผม ผมไปแล้วนะครับ” ต้วนเจียเจ๋อบอกลาเสียงสั่น เขากลัวว่าหากวันไหนเต้าจวินผู้ใสซื่อบริสุทธิ์เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่อย่างลึกซึ้ง พรหมจรรย์ที่อัดอั้นมาเป็นเวลาหลายหมื่นปีนั้น… แค่คิดก็สั่นสะท้านไปทั้งตัวแล้ว
ต้วนเจียเจ๋อออกแบบสวนแมลงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เดิมทีมันคือส่วนจัดแสดงแมลง แต่เขาอยากจะสร้างให้เป็นสวนป่าซึ่งสามารถใช้เป็นสวนของแมลงได้
ต้วนเจียเจ๋อนำแผนโครงการไปถามผู้เชี่ยวชาญของสวนสัตว์อื่นถึงความเป็นไปได้ในการสร้าง ตอนนี้หลิงโย่วเป็นสมาชิกของสมาคมสวนสัตว์แห่งประเทศจีน พวกเขาจึงสามารถปรึกษาหน่วยงานอื่น ๆ ในสมาคมได้ ซึ่งทุกคนก็เต็มใจให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ในประเทศมีส่วนจัดแสดงที่สร้างรวมกันแบบนี้น้อยมาก สุดท้ายหลังจากที่ถามผู้เชี่ยวชาญหลายคน ต้วนเจียเจ๋อจึงได้รู้ว่าการสร้างเป็นพื้นที่แบบเปิดโล่งนั้นทำได้ยากเกินไป เพราะมีข้อจำกัดเรื่องความยุ่งยากในการบำรุงรักษาในภายหลัง
ดังนั้นต้วนเจียเจ๋อจึงเปลี่ยนแบบเป็นสร้างกำแพงกระจกล้อมสวนเอาไว้ เหมือนกับสวนดอกไม้เรือนกระจก แต่ของเขาเป็นสวนแมลงเรือนกระจก นอกจากนี้ไม่ว่าพื้นที่ภายในจะมีขนาดใหญ่เท่าไร พื้นที่ของตัวเรือนกระจกจะต้องมีขนาดใหญ่กว่า เพื่อให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เพียงพอ จากนั้นค่อยตกแต่งพื้นที่ว่างด้วยดอกไม้และต้นหญ้า ผลลัพธ์ที่ได้จะต้องดีแน่
ต้วนเจียเจ๋อจัดหาบริษัทมาออกแบบภายนอก และขอให้โฟร์แมน[2]ของสวนสัตว์อันดับหนึ่งของประเทศเข้ามาให้คำแนะนำเกี่ยวกับการติดตั้งกรงภายใน เพราะต้วนเจียเจ๋อต้องการเน้นความสวยงามและต้องใช้งานได้จริง
เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก ๆ แต่นักท่องเที่ยวหนุ่มสาวก็ไม่ควรละเลย ซึ่งคนหนุ่มสาวนั้นให้ความสำคัญกับ “ความสวยงาม” มาก
เพื่อความสวยงาม ต้วนเจียเจ๋อจึงขอให้นักออกแบบดีไซน์อุปกรณ์ขึ้นมาโดยเฉพาะ แม้อุปกรณ์การเพาะเลี้ยงแมลงทั่วไปจะสามารถใช้ได้ก็จริง แต่ยังไม่ตอบโจทย์ตามที่ต้องการ
งานทำสวนแมลงแบ่งออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนมีหน้าที่รับผิดชอบสวนป่า กรงแมลง และภายนอกอาคาร เพื่อให้เป็นสไตล์เดียวกัน จูเฟิง เทพนักษัตรซื่อหั่วต้องผสมผสานความคิดของเขารวมกับส่วนอื่น ๆ เมื่อทำแบบนี้ก็จะทำให้ไม่รู้สึกแปลกแยก
และผลที่ได้ออกมานั้นก็ดีมาก ต้วนเจียเจ๋อดูภาพเรนเดอร์จากคอมพิวเตอร์ แบบโครงสร้างสวยถูกใจ ไม่รู้ว่าของจริงจะเป็นอย่างไร เพราะต้องรอให้สร้างเสร็จก่อน
แต่ต้วนเจียเจ๋อเชื่อมั่นในรสนิยมของจูเฟิง รับรองว่าจะต้องออกมาดีแน่นอน ดูจากโรงแรมของหลิงโย่วที่ทุกวันนี้ได้รับคำชื่นชมจากนักท่องเที่ยวมากมายก็รู้แล้ว
สำหรับเรื่องสถานที่ตั้ง สวนแมลงจะอยู่ระหว่างพื้นที่โซนสวนใหม่กับพื้นที่เลี้ยงสัตว์แบบเปิดซึ่งอยู่ถัดจากหอนิทรรศการ เนื่องจากไม่มีที่ดินเช่าแปลงอื่นแล้ว ตรงไหนขุดได้ก็ขุด ตรงไหนฝังได้ก็ฝัง เพื่อเตรียมพื้นที่ทำสวนแมลง
หลังจากที่สวนแมลงสร้างเสร็จ มดหนานเคอก็จะมีสถานที่พักผ่อนดีขึ้นกว่าเดิม
นอกเหนือจากสิ่งอำนวยความสะดวกภายนอก ต้วนเจียเจ๋อยังเตรียมรายชื่อแมลงที่จะนำเข้ามาในสวนสัตว์ สวนแมลงของเขาจะเน้นแมลงที่ยังมีชีวิตเป็นหลัก ตั้งแต่ผีเสื้อ ตั๊กแตนใบไม้ แมงป่องและสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด
ในระหว่างขั้นตอนคัดเลือกนี้ ต้วนเจียเจ๋อยังลังเลว่าเขาจะย้ายสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำกับสัตว์เลื้อยคลานอย่างงูขาวงูเขียวไปที่สวนแมลงดีหรือไม่
หากเป็นสวนสัตว์ทั่วไปอาจจะตัดสินใจเองไปแล้ว แต่ต้วนเจียเจ๋อไปถามความคิดเห็นของเสี่ยวชิงและไป๋ซู่เจินก่อน พวกเธอบอกว่าห้องกระจกร้อนเกินไป เลยจะไม่ยอมไปอยู่ หลังจากนั้นต้วนเจียเจ๋อก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก
[1] เสี่ยว แปลว่าเล็ก เอ้อร์ แปลว่าสอง หากเปลตามตัวอักษร เสี่ยวเอ้อร์ จึงหมายถึง เจ้าสองน้อย นอกจากนี้ยังเป็นคำที่ใช้เรียกเด็กรับใช้ในร้านน้ำชาหรือหอสุราในสมัยโบราณ
[2] Foreman ตำแหน่งหัวหน้าคนงานก่อสร้าง