ผมไม่ได้ตั้งใจตายในหมู่บ้านไร้อาชญากรรม
내가 죽인 남자가 돌아왔다
ผู้เขียน: ฮวังเซยอน
ผู้แปล: ภัททิรา
ติดตามการวางจำหน่ายได้ทางเพจ “เเพรวนิยายเเปล”
บทนำ
ด้านหน้าศาลาประชาคมของหมู่บ้านชุงชอนที่มีกลิ่นดอกเกาลัดฟุ้งกระจายนั้น มีป้ายบอกว่า ‘หมู่บ้านไร้อาชญากรรม’ แขวนเรียงกันเป็นตับ ตำรวจหญิงวัยยี่สิบปลายยืนอยู่หน้าศาลาประชาคมมองป้ายหมู่บ้านไร้อาชญากรรมเหล่านั้นอยู่นาน ตรงนั้นมีป้ายตั้งแต่ปี 1981 ถึงปี 1997 เว้นแค่ปี 1987 รวมทั้งหมดสิบหกแผ่น
ตำรวจหญิงปรับหมวกให้เข้าที่พลางก้าวเดินเข้าด้านในศาลาประชาคม
ด้านในศาลาประชาคมมีรูปถ่ายพิธีรับมอบป้ายหมู่บ้านไร้อาชญากรรมติดอยู่มากมาย ไล่ตั้งแต่รูปพิธีรับมอบป้ายหมู่บ้านไร้อาชญากรรมประจำปี 1981 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้รับเมื่อเดือนพฤษภาคม 1982 ไล่เรียงมาตามลำดับจนถึงพิธีรับมอบป้ายอันสุดท้าย ซึ่งก็คือป้ายประจำปี 1997 ที่ถ่ายเมื่อเดือนมิถุนายน 1998
จำนวนป้ายหมู่บ้านไร้อาชญากรรมในรูปเก่าเหล่านั้นช่วยบอกให้รู้ถึงยุคสมัยและกาลเวลา ที่ผันผ่านไปพร้อมๆ กับเสื้อผ้าของผู้คนและอายุที่ค่อยๆ มากขึ้น ในรูปที่ถ่ายเมื่อปี 1988 มีคนสองคนใส่เสื้อยืดที่มีลายสัญลักษณ์การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและเจ้าโฮโดริ มาสคอตการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปีนั้น ในรูปที่ถ่ายเมื่อปี 1993 มีคนสามคนใส่หมวกปักลายประจำงานแทจอนเอ็กซ์โป
ปี 1998 สีหน้าผู้คนในรูปถ่ายพิธีรับมอบป้ายสุดท้ายดูต่างจากปีอื่นมาก เพราะดูเหมือนกำลังหัวเราะ แต่ก็เหมือนจะร้องไห้ด้วย
หน้ารูปปี 1998 มีกรอบรูปใส่ภาพขาวดำเก่าๆ แขวนอยู่ข้างๆ หนึ่งกรอบ ตำรวจหญิงเดินไปยืนอยู่ตรงหน้ารูปขาวดำนั้น แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดกระจกกรอบรูปจนสะอาด ก่อนพินิจดูผู้คนในรูป
แถวหน้าสุดของผู้คนในรูปขาวดำนั้น เป็นเด็กสี่คนอายุตั้งแต่ห้าหกขวบไปจนถึงสิบกว่าขวบยืนอยู่ ตรงกลางมีชายวัยสี่สิบทำหน้ากลุ้มอกกลุ้มใจยืนอุ้มเด็กทารกที่กำลังยิ้มสดใส ข้างๆ ชายคนนั้นมีผู้หญิงที่ดูแล้วน่าจะเป็นภรรยาของเขา และอีกด้านหนึ่งก็มีผู้หญิงวัยยี่สิบกว่าอุ้มเด็กทารกอีกคนหนึ่ง ด้านหลังมีผู้ใหญ่สามคนยืนยื่นหน้าออกมาระหว่างพวกเขาเหล่านั้น
ในรูปนั้นมีเพียงเด็กทารกสองคนกับเด็กน้อยอีกหนึ่งคนเท่านั้นที่ยิ้มอย่างสดใส ส่วนเด็กโตและผู้ใหญ่คนอื่นๆ กลับทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้
ตำรวจหญิงจ้องมองรูปขาวดำเก่าๆ นั้นเนิ่นนาน ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตา
ปี 1998 ที่ผู้คนต้องทุกข์ทรมานกับวิกฤติเศรษฐกิจ มีเหตุการณ์ฆาตกรรมประหลาดชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นก่อนวันรับมอบป้ายหมู่บ้านไร้อาชญากรรมแผ่นที่สิบหกเพียงไม่นาน ซึ่งฆาตกรตัวจริงในเหตุฆาตกรรมก็ยังคงยิ้มอย่างสดใสอยู่ในรูปเก่าใบนั้น
วันที่สองที่แย่สุดในชีวิต
หนึ่งปีก่อนเกิดเหตุ (มิถุนายน 1997) เมืองแทจอน
“เฮ้อ เหนื่อยจริงๆ ไอ้เวรเอ๊ย! ยังไงก็ต้องถูกจับอยู่แล้ว ยอมให้จับง่ายๆ หน่อยไม่ได้หรือไง”
ชเวซุนซ็อกขึ้นนั่งเบาะข้างคนขับของรถเก๋งรุ่นเอแลนทรา แล้วปรับเบาะนอนจนสุด ก่อนหยิบบุหรี่ยี่ห้อดิสขึ้นมาคาบไว้ในปากมวนหนึ่ง ซาบย็องแช ผู้เป็นทั้งเจ้าหนี้นอกระบบและหัวหน้าแก๊งอันธพาลที่นั่งอยู่เบาะหลังพร้อมใส่กุญแจมืออยู่ในสภาพเกือบตายหลังจากขัดขืนการจับกุมจนถูกซ้อม
“พี่ครับ อย่าสูบบุหรี่ในรถเลยนะครับ ลูกผมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่เอามากๆ เลย…”
แม้สายสืบคิมจะนิ่วหน้าพูดระหว่างขับรถไปด้วย แต่ชเวซุนซ็อกกลับหยิบไฟแช็กซิปโปของเก๊ออกมาจากกระเป๋าและจุดไฟโดยไม่ลังเลสักนิด
“อ่อ โทษที เปิดหน้าต่างก็ได้นี่นา”
หลังจากพูดด้วยท่าทีราวกับไม่ใส่ใจและไร้ซึ่งวี่แววความสำนึกผิด ชเวซุนซ็อกก็เปิดหน้าต่างตรงเบาะข้างคนขับ แล้วพ่นควันบุหรี่ออกไป พลางมองวิวทิวทัศน์ของสะพานข้ามลำธารยูดึงที่มีไฟข้างถนนเปิดอยู่ บนสะพานมีกลุ่มคนเอาพุงแนบราวสะพานและก้มหน้าลงไปมองเหมือนมีอะไรน่าสนใจอยู่ด้านล่าง
สายสืบคิมมองจุดเดียวกับชเวซุนซ็อกจึงค่อยๆ แตะเบรกเพื่อลดความเร็วของรถยนต์
“อะไรน่ะ”
ตอนนั้นเอง ชายหัวล้านที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนดูและหยิบโทรศัพท์ออกมาถือก็โบกมือให้กับรถเก๋งที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาพร้อมไฟฉุกเฉินที่กะพริบอยู่
แต่สายสืบคิมกลับขับรถผ่านชายหัวล้านไปจอดเทียบทางเท้า
“ท่าทางจะมีเรื่อง ลงไปสูบบุหรี่พูดคุยดูสักมวนแล้วค่อยไปเถอะ”
แต่ชเวซุนซ็อกนั่งอยู่ในรถเหมือนเดิม ขยับเพียงมือที่คีบบุหรี่เท่านั้น
“นี่ ไอ้ลูกหมา! อย่าคิดทำอะไรโง่ๆ ล่ะ อยู่เฉยๆ นะ”
สายสืบคิมระบายความโกรธกับซาบย็องแชที่นั่งอยู่เบาะหลัง ก่อนจะลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปยังจุดที่ผู้คนรวมตัวกันอยู่ ชายหัวล้านที่โบกมือเมื่อกี้รีบวิ่งมาบอกอะไรสักอย่างกับสายสืบคิมและพาเขาไปยังราวสะพาน
“นี่ ซาบย็องแช!”
ชเวซุนซ็อกจ้องมองไปนอกหน้าต่างพลางพูดกับซาบย็องแชที่เบาะหลัง
“ว่าไงครับ ลูกพี่”
“เข้าไปคราวนี้ แกคงไม่ได้ออกมาง่ายๆ แล้วละ”
“ปล่อยผมไปสักครั้งเถอะครับ”
“คดีมันออกข่าว เลยไม่ง่าย ถ้าแกจ่ายใต้โต๊ะแต่แรก ก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก ในเมื่อแกทำให้พวกผู้ใหญ่หัวเสีย ฉันก็ช่วยไม่ได้”
“ปล่อยผมเถอะ ผมจะทำตัวให้ดี แล้วเรื่องใต้โต๊ะก็จะตรงเวลาด้วยครับพี่!”
“ฉันเป็นพี่แกตั้งแต่เมื่อไร เดี๋ยวคนอื่นเขาก็เข้าใจผิดกันหรอก”
“ขอโทษครับพี่!”
“หึ อีกแล้ว…ว่าแต่แบบด่วนที่สุดได้เท่าไรล่ะ”
“ผมจะเตรียมก้อนใหญ่ไปเซ่นก่อนใบหนึ่งก็แล้วกันครับ”
สายสืบคิมที่เข้าไปยืนรวมกับฝูงชนและมองลงไปด้านล่างสะพานรีบวิ่งมาที่รถ
“เข้าใจแล้ว งั้นก็จัดการให้เร็วที่สุด แล้วรักษาสัญญาด้วยล่ะ ไม่งั้น รู้นะ”
“ครับพี่!”
เมื่อบทสนทนาที่ชเวซุนซ็อกรีบตัดจบสิ้นสุดลง สายสืบคิมก็มายืนอยู่ข้างหน้าต่างพอดี
“ใต้สะพานมีคนอยู่ครับ”
“คนเหรอ”
“น่าจะตายแล้วด้วยครับ”
“ฝั่งไหน”
“ครับ ฝั่งอะไรเหรอครับ”
“เขตกลางหรือเขตตะวันตก”
สายสืบคิมหันไปมองสะพานแล้วพิจารณาด้านซ้ายด้านขวา
“จากตรงกลาง ดูเหมือนจะค่อนมาทางเขตตะวันตกของเราหน่อยหนึ่งครับ”
ชเวซุนซ็อกชักสีหน้าราวกับจะบอกว่าเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาอีกแล้วพลางเปิดประตูลงรถไป จากนั้นก็ปาก้นบุหรี่ที่คาบอยู่ลงพื้นก่อนจะเดินเข้าไปยังจุดที่คนมุงอยู่
เมื่อมองลงไปด้านล่าง ตรงใต้สะพานนั้นมีชายร่างท้วมคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่กลางลำธารยูดึง เสื้อยืดสีขาวที่สวมอยู่ถูกย้อมเป็นสีแดง
สายสืบคิมหยิบไฟฉายจากในรถ แล้ววิ่งกลับไปส่องชายที่อยู่ใต้สะพาน จึงเห็นว่าตรงคอและแขนมีรอยสักรูปมังกร
“ช่วยจัดการคนมุงหน่อยสิ โธ่เว้ย!”
ชเวซุนซ็อกรีบเดินไปยังปลายสะพานเพื่อลงไปด้านล่าง จากนั้นค่อยๆ เกาะราวสะพานเดินลงไปตามตลิ่งริมน้ำ ก่อนกระโดดลงไปบนพื้นหินจนล้มก้นจ้ำเบ้า แล้วลุกขึ้นวิ่งลงน้ำตรงไปยังศพทั้งที่ยังสวมรองเท้ากีฬา
ชเวซุนซ็อกหยุดยืนข้างศพในลำธารที่ระดับน้ำสูงแค่เข่า แล้วมองขึ้นไปบนสะพาน ซึ่งผู้คนที่มุงอยู่ต่างกำลังก้มลงมามองเขาและศพอยู่เช่นเดิม
“สายสืบคิม! จัดการคนมุงหน่อยซิ!”
“ครับ รับทราบครับ! ทุกคนถอยออกไปครับ! เราต้องจัดการกับสถานที่เกิดเหตุครับ ขอให้ทุกคนกลับบ้านไปก่อนนะครับ!”
เขาเอียงหน้าลงไปมองศพที่คว่ำหน้าอยู่จนพอจะรู้ว่าเป็นชายวัยประมาณสามสิบ และดูเหมือนจะเป็นสมาชิกแก๊งอันธพาล
เมื่อเลิกเสื้อยืดขึ้นก็เห็นว่าบริเวณท้องและหน้าอกที่มีรอยสักรูปมังกรมีแผลถูกมีดแทงสามแห่ง น่าจะเป็นเหตุแทงกันตายของพวกแก๊งอันธพาลด้วยกัน รอยจ้ำและความแข็งของศพบอกให้รู้ว่าน่าจะตายได้สามสี่ชั่วโมงแล้ว
บนสะพานยูดึงไม่มีรอยเลือด เขาน่าจะถูกแทงบริเวณตอนบนของลำธารหรือไม่ก็ริมตลิ่งที่ไหนสักแห่ง แล้วพยายามหนี ก่อนจะสิ้นใจลงตรงจุดนี้
“โอ๊ย ทำไมมันถึงได้เหนื่อยอย่างนี้”
ร่างไร้ลมหายใจนอนเอียงไปทางเขตตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด เหตุการณ์นี้จึงต้องอยู่ในความรับผิดชอบของสถานีตำรวจเขตตะวันตก ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการสอบสวนกลาง เมื่อการสืบสวนสอบสวนเริ่มต้นขึ้นจะไม่มีใครได้กินดีนอนดี เพราะต้องใช้ความพยายามทุกวิถีทางที่มนุษย์จะทำเพื่อจับคนร้ายมาให้ได้ นอกจากนี้ ถ้าเจ้าหน้าที่สืบสวนจากภายนอกสนใจและเข้ามายุ่งด้วย อาจส่งผลต่อการรับสินบนได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าเกิดซวยไปเหยียบหางใครเข้าล่ะก็…
ถ้าศพลอยไปอยู่ในเขตสืบสวนสอบสวนของสถานีตำรวจเขตกลางอีกสักห้าเมตร จะดีแค่ไหนนะ แต่ก็นั่นละ ศพติดอยู่กับก้อนหินขนาดใหญ่จึงไม่ลอยไปไหน
ชเวซุนซ็อกเงยขึ้นไปมองบนสะพานอีกครั้ง สายสืบคิมจัดการไล่คนมุงออกไปแล้ว บนสะพานจึงไม่มีใครก้มหน้าลงมาดูอีก
“นี่สายสืบคิม!”
“ครับ”
สายสืบคิมโผล่หน้าข้ามราวสะพานมา
“ติดต่อสถานีหรือยัง”
“ยังครับ ให้ติดต่อเลยไหมครับ”
“ไม่ต้อง! เดี๋ยวฉันจัดการเอง ดูให้ดี อย่าให้ใครเข้ามามุงอีกล่ะ”
ชเวซุนซ็อกล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าออกมากดปุ่มสามปุ่มตามลำดับ ก่อนจะตามด้วยปุ่มโทร.ออก
– ครับ ศูนย์รับแจ้งอาชญากรรม หนึ่งหนึ่งสองครับ
“สวัสดีครับ คือผม เดินผ่านมา แล้ว เจอศพครับ ดูเหมือนจะโดนแทงตาย”
ชเวซุนซ็อกเอาโทรศัพท์แนบหูแล้วทำเสียงเหน่อๆ เหมือนคนพูดภาษาถิ่นพลางจับขาของศพลากไปทางพื้นที่ของเขตกลาง
– คุณอยู่ตรงไหนครับ
“ใต้สะพานยูดึง…ไม่สิ ศพอยู่ในน้ำใต้สะพานยูดึงฝั่งเขตกลางครับ ฝั่งอะพาร์ตเมนต์ซัมบู เขตกลางน่ะครับ รีบติดต่อสถานีตำรวจเขตกลางให้ส่งเจ้าหน้าที่มาดูหน่อยครับ”
ชเวซุนซ็อกหันซ้ายหันขวาเช็กระยะทางระหว่างตลิ่งริมน้ำทั้งสองด้านเพื่อให้แน่ใจว่าศพอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของสถานีตำรวจเขตกลาง ขณะที่เงยหน้าขึ้นไปบนสะพาน เขาก็เห็นแสงไฟปรากฏขึ้น แฟลชของกล้องถ่ายรูป
“เฮ้ย! อะไรน่ะ”
เขามองไม่เห็นภาพตรงหน้าไปสักพักราวกับจอประสาทตาหยุดทำงาน หลังจากขยี้ตาและเงยหน้าขึ้นไปดูอีกครั้ง เสียงแฟลชก็ดังขึ้นอีก
“เฮ้ย สายสืบคิม! จับไอ้นั่นไว้!”
ชเวซุนซ็อกตะโกนขึ้นไปบนสะพาน ก่อนจะปล่อยขาศพที่ลากอยู่และรีบวิ่งไปตรงริมลำธาร
“เฮ้ย สายสืบคิม! ไอ้คนที่ถือกล้องนั่นน่ะ เฮ้ย!”
ชเวซุนซ็อกวิ่งไปด้วยเงยมองบนสะพานไปด้วย จึงก้าวพลาดจนล้มหน้าคว่ำลงไปในน้ำ ต้องพยุงร่างกายที่เปียกชุ่มขึ้นมาคลานสี่ขาไปยังริมลำธาร
“นี่ สายสืบคิม!”
“ครับ มีอะไรครับ”
ถึงตอนนี้ สายสืบคิมจึงเพิ่งจะชะโงกหน้ามองลงมาใต้สะพาน
“จับไอ้คนที่ถือกล้องไว้! อย่าให้มันหนีไปไหนได้!”
“คนที่ถือกล้องเหรอครับ”
การกลับขึ้นไปบนสะพานต้องวิ่งผ่านตลิ่งริมน้ำเป็นระยะทางหลายสิบเมตรจึงจะถึงปลายสะพาน บนสะพานที่ชเวซุนซ็อกวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาด้วยเสื้อผ้าเปียกชุ่มและน้ำที่ไหลย้อยเป็นทางนั้น มีผู้คนรวมกลุ่มกันอยู่เป็นจุดๆ มากกว่าเมื่อกี้นี้เสียอีก แต่ไม่มีใครถือกล้องเลยสักคน
หกเดือนก่อนเกิดเหตุ (มกราคม 1998) เมืองแทจอน
เหตุการณ์ที่น่าสยดสยองและบ้าคลั่งที่สุดตั้งแต่โชอึนบีใช้ชีวิตมาสามสิบสามปี เกิดขึ้นตอนที่เธอเพิ่งปลดป้ายการเป็นพนักงานสัญญาจ้างออก
“ใกล้เวลาส่งงานแล้ว ส่งข่าวต้นฉบับได้แล้ว เร็วๆ”
หัวหน้าลีผู้มีนัดดื่มหลังเลิกงานเดินไปเดินมาในออฟฟิศด้วยสีหน้าร้อนใจ พลางตะโกนใส่เหล่านักข่าวฝ่ายหาข่าว
“รู้ใช่ไหมว่าช่วงนี้คนชอบข่าวกับแกล้มที่ยิ่งเคี้ยวยิ่งอร่อยเหมือนปลาหมึกแกล้มเหล้า มากกว่าข่าวเศรษฐกิจหรือการเมืองเนื้อหาแน่นๆ”
ฝีเท้าของหัวหน้าลีหยุดลงตรงด้านหลังโชอึนบี ซึ่งนั่งอยู่มุมในสุดของออฟฟิศ
“นี่ นักข่าวโช! วันนี้มีข่าวซุบซิบสนุกๆ บ้างไหม”
โชอึนบีก้มหน้าลงราวกับจะบอกว่าไม่มี
“อย่านั่งอยู่แต่กับโต๊ะ หัดออกไปข้างนอกบ้าง แล้วจะรู้ว่ามันดีกว่าเยอะ!”
โชอึนบีหันหน้าไปมองด้านข้าง ตรงฉากกั้นข้างโต๊ะทำงานเธอมีข่าวที่ตัดออกมาจากหนังสือพิมพ์เมื่อหกเดือนก่อนติดอยู่ ใต้พาดหัวข่าวที่ว่า ‘ตำรวจเคลื่อนย้ายศพ’ มีรูปขนาดใหญ่ของสายสืบชเวซุนซ็อกกำลังจับขาศพลากไปในน้ำ แต่ถูกเบลอเป็นโมเสกเอาไว้
“ข่าวนี้ทำให้ฉันซาบซึ้ง เลยเลื่อนตำแหน่งให้เธอเป็นพนักงานประจำตอนปรับตำแหน่งคราวก่อน แต่กลับไม่ได้อะไรคืนมาเลย ตกลงจะเอายังไง”
แม้จะยังเหลือเวลาสำหรับส่งต้นฉบับอยู่ แต่หัวหน้าลีกลับเร่งรัดแบบนี้ แสดงว่าในหัวคิดถึงวงเหล้าอย่างเดียว เขาคงกะจะวิ่งไปร้านเหล้าทันทีที่ส่งงานเสร็จ
เมื่อหัวหน้าลีเดินกลับโต๊ะ โชอึนบีก็ถอนใจเบาๆ พลางเปิดอีเมลดู ในนั้นมีข้อมูลข่าวที่เพิ่งเข้ามาใหม่อยู่สองสามชิ้น แล้วก็มีอีเมลของสายข่าวกับอีเมลคัดค้านข่าวที่เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่มีชิ้นไหนดีพอจะทำเป็นข่าวเลย
ตอนกำลังจะปิดหน้าต่างอีเมลลง เสียง ‘ติ๊ง’ ก็ดังขึ้นพร้อมกับอีเมลฉบับใหม่ที่มีชื่อน่าสนใจมากว่า ‘[ข้อมูลนำเสนอ] ทองคำจากการร่วมบริจาคทองจมทะเล’ เมื่อเห็นดังนั้น ดวงตาของโชอึนบีก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที ที่อยู่อีเมลของผู้ส่งคือ ‘sunsok112@cholian.net’
“หมายเลขหนึ่งหนึ่งสอง หมายถึงตำรวจส่งมาหรือเปล่านะ”
พอคลิกอีเมลและเปิดเอกสารแนบดู ก็ได้เห็นภาพเรือคว่ำอยู่กลางทะเลเป็นอย่างแรก
ข้อความทั้งหมดนี้ทำเป็นฟอนต์เหมือนพิมพ์ดีดค่ะ
สถานีตำรวจน้ำพูซาน (ผู้กำกับฮงซ็องจุน) เปิดเผยเมื่อบ่ายวันที่ 25 (วันนี้) ว่า ‘เรือมารีนบอย’ เรือบรรทุกสินค้าความเร็วสูงขนาด 100 ตัน ของบริษัทแทอูชิปปิงล่มกลางทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ห่างจากเมืองพูซานไป 33 กิโลเมตร
เรือมารีนบอยบรรทุกทองคำน้ำหนัก 5.6 ตัน มูลค่ากว่า 86,000 ล้านวอน ออกจากท่าเรือพูซานมุ่งหน้าไปยังประเทศญี่ปุ่น ทองคำนี้ได้จาก ‘การร่วมบริจาคทอง’ ที่ประชาชนทั่วประเทศนำทองคำส่วนตัวมาบริจาค เพื่อช่วยประเทศใช้หนี้เงินกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ
สถานีตำรวจน้ำพูซานรายงานว่า เวลา 16.30 น. ของวันที่ 25 ห้องสังเกตการณ์ของตำรวจน้ำได้รับสัญญาณอุบัติเหตุจากเครื่องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือฉุกเฉินหรืออีพีไออาร์บี[1] จึงเร่งส่งทีมกู้ภัยพร้อมกับเรือรักษาการณ์ 3 ลำ ไปยังพื้นที่ส่งสัญญาณ เมื่อเรือรักษาการณ์ลำแรกเดินทางไปถึงท้องทะเลระหว่างเกาะแทมากับเมืองพูซานในเวลา 17.11 น. เรือบรรทุกสินค้าได้ล่มไปแล้ว เหลือเพียงบางส่วนโผล่พ้นน้ำขึ้นมา โชคดีที่เรือรักษาการณ์ตำรวจน้ำพบเรือกู้ชีพที่ลูกเรือมารีนบอยนั่งอยู่ลอยอยู่บริเวณใกล้เคียง จึงช่วยกัปตันเรือและลูกเรือ 8 คน ได้อย่างปลอดภัย
ลูกเรือสองสามคนพากันให้การว่า “เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นที่ท้ายเรือ แล้วลำเรือก็เริ่มเอียงและจมลง” และ “พอน้ำเข้ามาทางท้ายเรืออย่างรวดเร็ว ก็เกิดระเบิดขึ้น” กระนั้น ความเป็นไปได้ที่เรือจะจมเนื่องจากถูกตอร์ปิโดของประเทศเกาหลีเหนือหรือประเทศที่สามโจมตีกลับน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ลูกเรือกำลังถูกสอบสวนเพื่อหารายละเอียดที่ชัดเจนต่อไป
ในขณะเดียวกัน ผู้เกี่ยวข้องระดับสูงของรัฐบาลก็กล่าวว่า “ด้วยอุณหภูมิของน้ำบริเวณที่เกิดเหตุค่อนข้างต่ำและทะเลตรงจุดนั้นก็ลึกมากจึงดึงเรือขึ้นมาได้ยาก แต่เรือมารีนบอยถือเป็นเรือสัญลักษณ์ที่บรรทุกทองแท่งกว่า 5.6 ตัน ซึ่งประชาชนร่วมสมัครใจบริจาคเพื่อให้ประเทศรอดพ้นวิกฤติไอเอ็มเอฟ จึงวางแผนจะดึงเรือมารีนบอยขึ้นมาให้เร็วที่สุด”
ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้จะแถลงการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ในเวลา 10.00 น. ของวันที่ 26 (พรุ่งนี้) โดยในแถลงการณ์จะมีรายละเอียดของเหตุการณ์นี้ และความพยายามตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการให้การร่วมบริจาคทองเพื่อใช้คืนหนี้ไอเอ็มเอฟของประเทศดำเนินลุล่วงไปด้วยดี
เหตุผลที่รัฐบาลเร่งเข้าจัดการอุบัติเหตุทางทะเลที่ไร้ผู้สูญเสียและยังมีแถลงการณ์ออกมาเช่นนี้ ก็เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนมีข่าวลือเผยแพร่ไปทั่วอินเทอร์เน็ตว่า ‘ทองคำมูลค่าหลายหมื่นล้านวอนที่รวบรวมมาจากการร่วมบริจาคของประชาชนถูกเก็บไปเป็นกองทุนลับของรัฐบาล’ ซึ่งตอนนี้ในโลกอินเทอร์เน็ตก็มีข่าวลือระลอกใหม่แพร่กระจายอยู่ว่า ‘รัฐบาลจัดฉากจมเรือขนส่งทองเพื่อปิดบังเรื่องทุจริตของตนเอง’
‘นี่แหละ!’
ข่าวแบบกับแกล้มวงเหล้าที่หัวหน้าลีต้องการ เนื้อหาน่าสนใจพอที่จะทำเป็นข่าวใหญ่ได้เลยทีเดียว
โชอึนบีคัดลอกอีเมลมาใส่โปรแกรมทำข่าว แล้วอ่านช้าๆ อีกครั้ง ยิ่งอ่านใกล้จบ เนื้อหาก็ยิ่งดูแปลก เพราะมันดูใกล้เคียงกับข่าวที่พร้อมส่งมากกว่าข้อมูลข่าวเฉยๆ ยิ่งพูดถึงแถลงการณ์ของทำเนียบประธานาธิบดีที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ยิ่งเชื่อได้ยากว่านี่คือรายงานจากสถานีตำรวจ
ขณะนึกสงสัย โชอึนบีก็ค้นหาเบอร์โทรศัพท์ ก่อนจะยกหูโทร.ออก
“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจน้ำพูซานใช่ไหมคะ จากหนังสือพิมพ์แทชองอิลโบ เมืองแทจอนนะคะ เหตุการณ์เรือบรรทุกทองคำล่มที่ทะเลพูซานตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ”
– หา เรือบรรทุกทองคำล่มเหรอครับ ที่พูซานนี่เหรอครับ
“ทางเราได้รับข้อมูลมาว่าเรือมารีนบอยของบริษัทแทอูชิปปิงที่บรรทุกทองคำล่มกลางทะเลในเขตเมืองพูซานน่ะค่ะ เห็นว่าเป็นทองจากการร่วมบริจาคของประชาชนไปญี่ปุ่น…”
– สักครู่นะครับ ผมขอเช็กก่อน
หลังจากนั้นสองสามนาที จึงมีเสียงพูดดังออกมาจากปลายสาย
– ผมลองเช็กดูแล้ว วันนี้ ไม่ใช่แค่ในเขตของเราเท่านั้น แต่ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่มีอุบัติเหตุเรือบรรทุกสินค้าล่มเลยนะครับ แล้วเรือมารีนบอยในสังกัดบริษัทแทอูชิปปิงก็ยังทอดสมออยู่ที่ท่าเรือพูซานด้วยครับ
ร่างกายถึงกับชาวาบ
“แน่ใจเหรอคะ”
– ผมเห็นว่าโทร.มาจากหนังสือพิมพ์ ก็เลยลองเช็กให้อีกสองสามที่
“รับทราบค่ะ ขอบคุณค่ะ”
หลังจากพูดด้วยความสุภาพ โชอึนบีก็วางสายลงด้วยความหงุดหงิด
“โธ่เว้ย! ไอ้ขยะตัวไหนสร้างข่าวปลอมแบบนี้ขึ้นมา แล้วส่งไปที่ไหนไม่ส่ง ดันส่งมาหาบริษัทหนังสือพิมพ์ด้วย”
โชอึนบียกสองมือขยี้ผมบ๊อบของตัวเองอย่างแรงพลางก่นด่า จากนั้นก็หันมามองที่อยู่อีเมลที่ส่งข่าวปลอมนี้อีกครั้ง
‘sunsok112@cholian.net’
“ซุนซ็อกหนึ่งหนึ่งสองเหรอ หรือจะเป็นชเวซุนซ็อกตำรวจนอกรีตคนนั้น”
โชอึนบีหันหน้าไปมองฉากกั้นด้านข้างที่มีข่าวหนังสือพิมพ์ติดอยู่ แล้วเอาฝ่ามือตีลงบนใบหน้าที่ถูกเบลอเป็นโมเสกเอาไว้
“เฮ้ย! ใช่จริงๆ ด้วย! โธ่ ไอ้คนจิตใจคับแคบ คิดจะแก้แค้นฉันเหรอ…ไร้สาระจริงๆ โดนลดตำแหน่งขั้นหนึ่งกับถูกไล่ไปอยู่บ้านนอกแล้วยังไม่แก้นิสัยอีก! คิดว่าส่งของอย่างนี้มาแล้วจะทำอะไรฉันได้เหรอ”
ถ้าเจ้านั่นไม่คิดจะส่งข่าวปลอมเด็กๆ แบบนี้มาหลอกนักข่าว คงคิดแค่จะส่งอีเมลมาข่มขู่เพื่อไม่ให้ลืมตัวเอง
“เฮ้อ! น่ารักจริงๆ คนยิ่งไม่มีอะไรจะส่งอยู่ น่ารักมาก! ไร้สาระจริงๆ!”
ขณะกำลังจะลบเนื้อหาข่าวออกจากโปรแกรมทำข่าวด้วยใบหน้าอันบูดบึ้งนั้น โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาพอดี
“ฮัลโหล”
– ฉัน ฉันเอง…
แล้วโชอึนบีก็ผุดลุกจากที่นั่งทันที เพราะคนที่โทร.มาก็คืออดีตแฟนหนุ่มที่เธอบอกเลิกไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเพราะเบื่อความเจ้าชู้ของเขา แค่นี้ก็หงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว…ดูท่าจะต้องสู้กันสักยก
ตอนโชอึนบีรีบถือโทรศัพท์ออกไปนอกออฟฟิศ หัวหน้าลีก็กลับเข้ามาตะโกนอีกครั้ง
“หมดเวลาแล้ว รีบส่งข่าวมา!”
แล้วเขาก็เดินมาหยุดตรงโต๊ะของโชอึนบี
“โชอึนบีไปไหนแล้ว ได้เวลาส่งข่าว กลับไม่ส่ง แล้วยังหนีไปไหนอีก เป็นพนักงานประจำได้สองสามเดือนแล้ว แต่ไม่มีผลงานเลย…”
แล้วสายตาของหัวหน้าลีก็พลันไปเห็นข่าวบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของโชอึนบี
“อะไรกัน ทองคำจากการร่วมบริจาคจมทะเล…โห สุดยอด! สมกับเป็นโชอึนบี! เขียนข่าวเอาไว้แต่กลับอุบเงียบ…”
หัวหน้าลีหันไปมองนาฬิกาบนผนังแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.หาโชอึนบี แต่สายไม่ว่าง
ด้วยวงเหล้าที่รออยู่และกำหนดส่งงานที่ใกล้เข้ามา ทำให้หัวหน้าลีใจร้อนจึงตัดสินใจนั่งลงทำข่าวที่โต๊ะโชอึนบีเสียเลย
แม้แต่ตอนที่เขาเขียนเนื้อข่าวเสร็จ โชอึนบีก็ยังไม่รับสายและยังไม่กลับเข้าออฟฟิศ เมื่อหันไปมองนาฬิกา หัวหน้าลีก็ตัดสินใจส่งข่าวไปยังกองบรรณาธิการ แล้วยังโทร.หาหัวหน้าคิมที่เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการให้นำข่าวนี้ขึ้นหน้าหนึ่ง ก่อนจะปิดคอมพิวเตอร์และลุกออกจากที่นั่ง
“เอาล่ะ ทุกคนกลับบ้านได้!”
หัวหน้าลีหันไปตะโกนสั่งเหล่านักข่าวที่นั่งหน้าสลอนอยู่ในออฟฟิศด้วยสีหน้าเบิกบานใจ ก่อนจะรีบออกจากออฟฟิศ
หลังจากทะเลาะกับแฟนหนุ่มที่เพิ่งเลิกกันไปเมื่อสองสามวันก่อนเสร็จ โชอึนบีก็กลับมาที่ออฟฟิศพร้อมอาการกระหืดกระหอบ ซึ่งในตอนนี้ นักข่าวฝ่ายหาข่าวเลิกงานกลับบ้านกันไปหมดแล้ว พอไม่เห็นหัวหน้าลีที่กำลังโกรธเกรี้ยว โชอึนบีก็โล่งอกเพราะตัวเองจะได้กลับบ้านเสียที
เช้าวันต่อมา
โชอึนบีนั่งอยู่ในห้องน้ำ กางหนังสือพิมพ์แทชองอิลโบที่ถูกนำมาส่งตั้งแต่เช้ามืดอ่าน แล้วก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ เมื่อหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์มีรูปเรือบรรทุกสินค้าลำหนึ่งจมอยู่ในน้ำพร้อมเนื้อข่าว และด้านล่างของข่าวนั้นก็เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ข่าวโดยโชอึนบี’
“กรี๊ด! ไอ้สารเลวเอ๊ย!”
น้าฆ่าจิ้งจอกเก้าหาง
มิถุนายน 1998 หมู่บ้านชุงชอน
“เลิกดื่มน้ำได้แล้ว เดี๋ยวก็ฉี่แตกหรอก”
พอเห็นฮวังอึนโจยกน้ำที่น้านำมาให้ขึ้นดื่มอึกๆ โซพัลฮีก็พูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“พัลฮี ไก่ทอดนี่เค็มจังเลย”
“ถึงได้บอกให้จิ้มเกลือนิดเดียวไง”
เมื่อฮวังอึนโจนอนคว่ำบนผ้าห่มแล้วหยิบหนังสือการ์ตูนที่มีรูปภาพดูน่ากลัวออกมากาง โซพัลฮีก็เปิดวิทยุแล้วนอนลงข้างๆ
ทันทีที่เพลงของนักร้องหญิงจบลง บทสนทนาของพิธีกรและนักร้องรับเชิญก็ดังขึ้น
– เรามาพูดคุยกับคุณชูฮย็อนมี นักร้องผู้เป็นเภสัชกรของเรากันต่อค่ะ ว่ากันว่าห้ามกินยากับนม ทำไมถึงกินยากับนมพร้อมกันไม่ได้ล่ะคะ
– งานวิจัยของสถาบันทางการแพทย์ต่างประเทศพบว่า ถ้ากินนมกับยาพร้อมกัน นมจะเข้าไปขัดขวางการดูดซึมยา ส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาลดลง เวลากินยาแก้หวัดหรือยาอะไรก็ตาม ถ้าไม่อยากให้ประสิทธิภาพของยาลดลง ต้องไม่ดื่มนมก่อนหรือหลังกินยาเป็นเวลาสามสิบนาทีค่ะ
– อ่อ งั้นหรือคะ ฉันไม่เคยรู้มาก่อน เวลากินยาแล้วรู้สึกแสบท้องก็จะดื่มนมตามเข้าไปบ่อยๆ แถมบางครั้งยังกินนมก่อนเพราะกลัวแสบท้อง หรือไม่ก็ดื่มนมแทนน้ำเลยก็มีค่ะ คงเป็นเพราะแบบนี้ ยาเลยไม่ค่อยออกฤทธิ์…
ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน
ขณะที่ฮวังอึนโจกำลังหลับลึกโดยไม่รู้ตัวเลยว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไร อยู่ๆ ก็สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะรู้สึกปวดหนัก ส่วนโซพัลฮีก็นั่งจิบเหล้าโซจูแกล้มไก่ทอดที่กินเหลือเมื่อเย็นพลางนับธนบัตรด้วยความเพลิดเพลินใจ โดยที่วิทยุยังคงเปิดอยู่เช่นเดิม ตรงหน้าเธอมีปึกธนบัตรฉบับห้าพันวอนและหมื่นวอนอยู่สองสามปึก รวมเป็นเงินทั้งหมดสามล้านสองแสนวอน ซึ่งได้จากการขายวัวที่ตลาดค้าวัวฮงซ็องเมื่อตอนกลางวัน
“ห้าสิบสี่ ห้าสิบห้า ห้าสิบหก…”
ในวิทยุตอนนี้ มีบทวิจารณ์ข่าวดังอยู่ ท่าทางข่าวช่วงห้าทุ่มจะใกล้จบแล้ว
– ในช่วงที่เศรษฐกิจยากลำบากจากวิกฤติไอเอ็มเอฟเช่นนี้ เหล่านักการเมืองต่างวุ่นกับการรักษาผลประโยชน์ของตนเอง ไม่ยอมหันมาดูสภาพเศรษฐกิจและการเมืองที่ย่ำแย่เลย แถมยังโยนความรับผิดชอบให้กันไปมาว่าเป็นเพราะเธอนั่นแหละ เป็นเพราะแกนั่นแหละ ในขณะที่เหล่านักการเมืองพากันหลีกหนีความรับผิดชอบนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองก็แย่ลงเรื่อยๆ ปัญหาคนว่างงาน คนล้มละลาย รวมถึงคนฆ่าตัวตายก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกซอกทุกมุมของสังคม
“พัลฮี ปวดอึ!”
พอฮวังอึนโจผุดลุกขึ้น โซพัลฮีก็หยุดนับเงิน
“มากไหม”
“อือ”
โซพัลฮีวางเงินที่กำลังนับไว้บนพื้นห้อง ก่อนจะลุกพาฮวังอึนโจไปเข้าห้องน้ำด้านนอก เธอได้ดึงผ้าห่มที่อึนโจปูนอนมาคลุมปิดปึกธนบัตรฉบับห้าพันวอนและหมื่นวอนที่กองอยู่บนพื้นห้องเอาไว้
ห้องน้ำแบบโบราณตั้งอยู่มุมด้านในของลานบ้านที่มืดสลัว
“พะ พัลฮี! ยะ อย่าไปไหนนะ!”
“รู้แล้ว จะไปไหนได้ น้าจะยืนรออยู่ตรงนี้จนกว่าจะอึเสร็จนั่นแหละ ว่าแต่แกอายุเท่าไรแล้ว ยังพูดไม่มีหางเสียงกับน้าอีก พูดสุภาพมันยากหรือไง”
ฮวังอึนโจถูกคนในหมู่บ้านเรียกเธอว่า ‘แม่เด็กฝรั่ง’ เพราะเธอไม่ยอมพูดมีหางเสียง ทั้งที่เธออายุเจ็ดขวบแล้ว ถ้านับตามแบบประเทศเกาหลีใต้ แต่ถ้านับตามสหรัฐอเมริกา เธอจะอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น
ภายในห้องน้ำมีเพียงหลอดไฟขนาดห้าวัตต์สีแดงที่แสงสลัวเหมือนเปิดโคมไฟหัวนอน จึงค่อนข้างมืด ครั้นจะนั่งอึโดยให้น้านั่งเฝ้าก็นึกอาย อึนโจจึงปิดประตูห้องน้ำแต่แง้มเอาไว้ประมาณสิบเซนติเมตร
เมื่อกี้เธอปวดจนแทบจะอึออกมาเสียเดี๋ยวนั้น แต่พอมานั่ง มันกลับไม่ออกง่ายๆ แถมรูสีดำในห้องน้ำแบบโบราณเช่นนี้ ยังชวนให้รู้สึกว่าจะมีมือโผล่ออกมาถามว่าเอากระดาษทิชชู่สีแดงหรือสีน้ำเงินดี เหมือนในหนังสือการ์ตูนที่มีรูปภาพน่ากลัวเล่มนั้น
อึนโจพยายามไม่มองรูที่โถส้วม แล้วมองผ่านช่องประตูที่แง้มเอาไว้แทนซึ่งมีน้าอยู่ตรงนั้น แต่แล้วเธอก็เห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ตรงคอกวัวข้างประตูรั้ว ตอนแรกเธอคิดว่าน่าจะเป็นวัว แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเพิ่งขายไปเมื่อตอนกลางวัน เพราะงั้นจะไม่มีวัวอยู่ในคอก
อึนโจจึงนึกถึงจิ้งจอกเก้าหางที่แสนน่ากลัว เพราะมันจะล้วงมือเข้าไปในปากวัวแล้วดึงตับออกมากินเหมือนในละครเรื่อง ‘กำเนิดตำนานใหม่’ ที่ดูพร้อมกับน้าเมื่อปีก่อน แล้วความกลัวก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมาทันที บางทีจิ้งจอกเก้าหางอาจจะไม่รู้ว่าวัวถูกขายไปแล้วตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน เลยลงจากเขาหลังหมู่บ้านมาที่นี่เพื่อล้วงตับวัวกินก็เป็นได้
“พะ พัลฮี!”
“เป็นอะไร น้าอยู่ตรงนี้แหละ”
แล้วเงาดำที่ออกมาจากคอกวัวนั้นก็วิ่งตรงไปทางประตูรั้ว
“พัลฮี! นะ นั่น…!”
โซพัลฮีไม่ได้หันหน้าไปเพราะคำพูดของอึนโจ แต่เป็นเพราะได้ยินเสียงปิดประตูรั้วดังปัง
“อะไรน่ะ ขะ ขโมย!”
เวลานั้น โซพัลฮีไม่ได้นึกถึงจิ้งจอกเก้าหางที่จะมาล้วงตับวัวกิน แต่นึกถึงขโมยที่น่ากลัวยิ่งกว่า ในเมื่อเธอทิ้งเงินที่ได้จากการขายวัวเอาไว้ที่ห้องนอน บางทีเจ้าขโมยอาจจะ…
โซพัลฮีหยิบท่อนไม้ที่ทั้งยาวทั้งหนาซึ่งวางพิงผนังห้องน้ำอยู่ขึ้นมา แล้ววิ่งไปทางประตูรั้วที่ทำด้วยเหล็กซึ่งยังคงปิดอย่างแน่นหนา
“ขโมยใช่ไหม!”
แทนที่โซพัลฮีจะเปิดประตูแล้ววิ่งออกไป เธอกลับตะโกนร้องอยู่หลังประตูด้วยความกลัว เพราะบางทีขโมยอาจจะถืออาวุธอย่างมีดทำครัวอยู่ก็ได้ แม้จะดื่มเหล้าโซจูแกล้มไก่ทอดหมดไปขวดหนึ่ง แต่เธอก็ยังไม่กล้าพอที่จะออกไปเผชิญหน้ากับหัวขโมยข้างนอกได้
“คะ ใครน่ะ”
โซพัลฮีมองเห็นเงารางๆ อยู่นอกประตู จึงตะโกนออกไปอีกครั้ง
เธอกะก้มตัวลงมองผ่านรูใต้ประตู แต่กลับถอยออกมา เมื่อเห็นว่าขโมยกำลังมองผ่านรูใต้ประตูนั้นเข้ามา
“เฮ้ย!”
โซพัลฮีถอยหลังด้วยความตกใจ ก่อนจะวิ่งกลับไปใหม่พลางยกเท้าถีบประตูเหล็กนั้นเต็มแรง ประตูเปิดออกพร้อมเสียงดังปังใหญ่ แล้วก็ได้เห็นใครคนหนึ่งที่น่าจะอยู่หลังประตูบานนั้นพอดี แล้วคงถูกประตูเหล็กที่อยู่ๆ ก็เปิดผลัวะออกล้มฟาดเข้าที่ศีรษะอย่างจังจนหงายหลังนอนอยู่กับพื้น
“ฉัน ถามว่าใคร”
โซพัลฮีตะโกนออกไปนอกประตูอีกครั้ง แต่คนที่ล้มอยู่นอกประตูรั้วกลับไม่ตอบ
“ไอ้หัวขโมย!”
โซพัลฮีลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะกระชับท่อนไม้แล้ววิ่งออกไปด้านนอก เมื่อเธออ่อนแอกว่า การโจมตีก่อนย่อมป้องกันตัวได้ดีที่สุด ถ้าไม่ชิงจัดการเสียแต่ตอนนี้ ขโมยก็จะหอบเงินหนีไปได้ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ถ้าถูกโจมตีกลับ ตัวเธอกับอึนโจอาจจะไม่ปลอดภัย
ฮวังอึนโจที่นั่งคุดคู้อยู่ในห้องน้ำได้ยินเสียงพลั่ก พลั่ก ดังมาจากหน้าประตูรั้วอยู่เรื่อยๆ ดูเหมือนน้าโซพัลฮีจะใช้ท่อนไม้ตีใครสักคนที่อยู่นอกประตูรั้วไปอย่างไม่ปรานีปราศรัย
“ไอ้หัวขโมย! คิดว่ามีแค่ผู้หญิงอยู่กันสองคนเหรอ…ดูถูกเราเกินไปแล้ว”
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
เมื่อเสียงทุบตีเงียบลง ก็ได้ยินเสียงน้าโซพัลฮีอีกครั้ง
“แกเป็นใคร”
น้าโซพัลฮีหายใจกระหืดกระหอบอยู่ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ส่งเสียงอะไรออกมาเลย แม้แต่เสียงร้องครวญคราง
ความเงียบปกคลุมอยู่สักพัก ท่าทางน้าโซพัลฮีจะกำลังเข้าไปดูว่าคนที่ล้มอยู่เป็นใคร
“อะ อ้าว ชินฮันกุก!”
เสียงน้าโซพัลฮีเปลี่ยนจากหวาดกลัวเป็นตกใจ
“เฮ้ย นี่ ลืมตาหน่อยสิ เลือด เลือด…!”
น้าโซพัลฮีรีบวิ่งผ่านประตูรั้วตรงไปยังห้องครัว ก่อนจะวิ่งถือไฟแช็กออกไปด้านนอกอีกครั้ง
พอจุดไฟแช็ก ด้านนอกประตูรั้วก็สว่างขึ้น แต่ในสายตาของอึนโจมองไม่เห็นอย่างอื่นเลย นอกจากแสงไฟ
“ตะ ตายแล้ว…”
หลังจากได้ยินเสียงสั่นๆ ของน้าโซพัลฮีแล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย
“พัลฮี อึนโจอึเสร็จแล้ว!”
อึนโจที่อึเสร็จแล้วยกก้นขึ้นเพื่อรอให้น้ามาล้างให้ แต่น้ากลับไม่ตอบ
“อึนโจอึเสร็จแล้ว!”
พอน้าไม่มา อึนโจจึงดึงกระดาษทิชชูอย่างเสียไม่ได้ แล้วเอามาเช็ดก้นคร่าวๆ ก่อนจะดึงกางเกงขึ้นมาใส่ แล้วออกจากห้องน้ำไปเรียกหาน้า
“พัลฮี พัลฮี”
“พัลฮี พัลฮี”
เสียงร้องตะโกนอย่างเร่งเร้าของอึนโจฟังดูเหมือนกำลังร้องไห้ ทำให้โซพัลฮีรีบเข้ามาด้านในแล้วจับมืออึนโจลากไปยังห้องนอนทันที
เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องได้ โซพัลฮีก็เปิดผ้าห่มเช็กเงินเป็นอย่างแรก ด้วยความรีบดึงผ้าห่มมาปิดเอาไว้แต่แรก เงินจึงกระจัดกระจายผสมกันไปหมด แต่ดูเหมือนเงินจะยังอยู่ที่เดิมทั้งหมดจึงไม่จำเป็นต้องนับดู เพราะถ้าขโมยเข้ามาแล้ว มันคงเอาไปหมด คงไม่คิดเอาไปแค่บางส่วนหรอก
โซพัลฮีใช้สองมือรวบธนบัตรฉบับห้าพันวอนกับหมื่นวอนที่กระจายอยู่บนพื้นห้องเข้ามาลวกๆ แต่ทุกครั้งที่จับปึกเงิน ก็จะมีรอยเลือดปรากฏบนธนบัตรอย่างชัดเจน เธอจึงหยุดแล้วเบนสายตาจากธนบัตรมามองมือตัวเองแทน จึงเห็นว่ามือเต็มไปด้วยเลือด แม้แต่ข้อมือของอึนโจที่เธอลากมาเมื่อกี้นี้ด้วย
“เลือด! เลือด!”
อึนโจก้มลงมองมือเล็กๆ ของตัวเองพลางส่งเสียงเหมือนจะกรีดร้องออกมา
โซพัลฮีห่อเงินเปื้อนเลือดที่รวบมาลวกๆ ด้วยผ้าห่มผืนบาง แล้วยัดเข้าไประหว่างชั้นผ้าห่มในตู้เก็บเครื่องนอน หลังจากปิดตู้ เธอเดินเข้าไปหาอึนโจที่ยังคงมึนงง
“เลือด! เลือด!”
โซพัลฮีรีบดึงผ้าขนหนูที่ห้อยอยู่ตรงผนังมาเช็ดมือให้อึนโจที่ทำท่าเหมือนพร้อมจะร้องไห้ในทันที
“โธ่เว้ย! พะ พลาดได้…ไม่สิ มันเป็นการป้องกันตัว แต่…ก็ ฆ่าคนไปแล้ว…ถ้าฉันติดคุก แล้วอึนโจล่ะ… มะ ไม่ได้! ตั้งสติหน่อย นี่ไม่ใช่ปัญหาของฉันคนเดียว ฉันจะติดคุกไม่ได้…”
อึนโจรู้สึกว่าน้าที่กำลังบ่นพึมพำเหมือนผู้หญิงบ้าพลางเช็ดเลือดที่เปื้อนมือเธออยู่ดูเหมือนคนแปลกหน้าที่น่ากลัว
“ที่นี่คือหมู่บ้านไร้อาชญากรรม และกำลังจะได้รับป้ายหมู่บ้านไร้อาชญากรรม…ใช่แล้ว เราต้องตั้งสติให้ดี ฉันกับอึนโจจะต้องไม่เป็นอะไรเพราะชินฮันกุก ฉันกับอึนโจจะต้อง… อึ อึนโจ มานอนนี่เร็ว!”
โซพัลฮีดึงอึนโจนอนลงแบบกึ่งบังคับ
“หลับตาซะ เดี๋ยวน้าออกไปข้างนอกแป๊บเดียว”
“ถ้าอยู่คนเดียว ดะ โดยไม่มีพัลฮี มัน น่ากลัว จิ้งจอกเก้าหางมัน…”
“จิ้งจอกเก้าหางมีที่ไหน เดี๋ยวน้ามา น้าปวดอึจะไปเข้าห้องน้ำ”
โซพัลฮีรีบออกมาข้างนอกโดยทิ้งอึนโจไว้คนเดียว
ครู่ต่อมาก็มีเสียงล้อรถเข็นเก่าๆ ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูรั้ว น้าไม่ได้ไปห้องน้ำ
อึนโจลุกจากที่นั่งแล้วเปิดประตูห้องมองออกไปด้านนอก
“พัลฮี พัลฮี มันน่ากลัว! น่ากลัวมาก!”
ไม่ว่าจะตะโกนดังแค่ไหน น้าก็ไม่ตอบ อึนโจจึงออกจากห้องมาสวมรองเท้า แล้วเดินไปยังหน้าประตูรั้วที่เหมือนได้ยินเสียงคน แล้วก็ได้เห็นพัลฮีดึงศพขึ้นรถเข็น
“พัลฮี! พัลฮี!”
“โธ่เอ๊ย! เข้าไปนอนได้ไหม!”
ความมืดทำให้มองไม่เห็นสีหน้าของน้า แต่เสียงนั้นทำให้อึนโจรู้สึกได้ว่าน้าเหมือนพร้อมจะร้องไห้ออกมาในทันที
หลังจากดึงศพชินฮันกุกขึ้นรถเข็นได้แล้ว โซพัลฮีก็ลากรถเข็นเข้ามาหลังประตูรั้วด้วยความยากลำบาก ก่อนจะรีบปิดทันที เธอจับมือฮวังอึนโจลากไปยังก๊อกน้ำแล้วล้างมือที่เปื้อนเลือดของตัวเองออกก่อน จากนั้นค่อยล้างให้อึนโจอีกที
โซพัลฮีลากแขนฮวังอึนโจไปยังห้องนอน
“อึนโจ นอนลง!”
“น้าจะไม่ไปไหนใช่ไหม”
“ใช่ เอ่เอ๊ เอ่เอ๊…”
แม้มือของโซพัลฮีจะตีอยู่ที่หน้าอกของอึนโจเบาๆ แต่สายตากลับจ้องไปที่ลานบ้านซึ่งเธอลากศพมาไว้สลับกับมองโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโทรทัศน์
“เอ่เอ๊ เอ่เอ๊ เอ่เอ๊…”
โซพัลฮีไม่อาจรอให้อึนโจที่ตื่นตระหนกจนหลับไม่ลงผล็อยหลับลงไปอีกครั้งได้
“น้าออกไปข้างนอกแป๊บนะ ดูทีวีไป”
หลังจากลากอึนโจมานั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ โซพัลฮีเดินออกมายังโถงนั่งเล่นในบ้าน แล้วก็ต้องชะงักด้วยสีหน้าราวกับโดนสายฟ้าฟาด เมื่อเห็นว่ารถเข็นที่ควรอยู่ตรงลานบ้าน รถเข็นที่มีศพอยู่นั้น หายไป
โซพัลฮีรีบใส่รองเท้าแล้ววิ่งออกนอกประตูรั้วไป แต่รอบบ้านมีเพียงความมืดมิด ไม่เห็นแม้แต่แมวสักตัว
โครม!
เสียงกึกก้องดังฝ่าความเงียบในคืนต้นฤดูร้อนของหมู่บ้านชนบทขึ้นมา ทำเอาฮวังอึนโจที่หลับๆ ตื่นๆ เพราะฝันร้ายลืมตาพรึบทันที
“พัลฮี พัลฮี”
“ชู่!”
โซพัลฮีที่นั่งอยู่โดยไม่ยอมนอนหันหน้าลงมาดูอึนโจพลางยกนิ้วมือขึ้นแตะปาก แล้วความเงียบก็แล่นผ่านมา แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย
“น้าไปเข้าห้องน้ำแป๊บ นอนรอนะ”
“พัลฮี! มะ เมื่อกี้ก็ไป หะ ห้องน้ำแล้วนี่ มันน่ากลัว…”
เมื่อเลี่ยงไม่ได้ โซพัลฮีจึงสวมรองเท้าให้อึนโจที่เดินตามมา
“โอ๊ะ!”
โซพัลฮีที่จูงมืออึนโจเดินออกไปนอกประตูรั้วตกใจและชะงักนิ่งอยู่กับที่ ตรงหน้าประตูรั้วมีรถเข็นว่างเปล่าวางอยู่อย่างโดดเดี่ยว รถเข็นที่หายไปพร้อมศพของชินฮันกุกเมื่อประมาณสองชั่วโมงก่อน กลับมาอีกครั้ง
“ปะ เป็นไปได้ไง…”
โซพัลฮีอ้าปากค้างพลางหันหน้าซ้ายขวาสังเกตไปรอบบริเวณบ้าน แต่ก็พบเพียงความมืด ไม่มีแม้แต่หมาเดินผ่านมาสักตัว
‘ผีหลอกเหรอ’
แต่ในท้ายที่สุด มันก็ไม่ใช่ทั้งจินตนาการและภาพหลอน เพราะตรงพื้นรถเข็นมีรอยเลือดปรากฏอยู่อย่างชัดเจน
เธอไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด
โซพัลฮีเปิดประตูรั้วให้กว้างขึ้น แล้วรีบลากรถเข็นเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว จากนั้นเข็นไปยังคอกวัวที่ว่างเปล่าเพื่อกำจัดรอยเลือดบนรถซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในการฆาตกรรม แล้วค่อยคิดถึงสิ่งที่จะต้องทำต่อไป
โซพัลฮีเดินไปยังก๊อกน้ำและหิ้วถังน้ำขึ้นมา แต่แล้วกลับได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังมาจากที่แห่งหนึ่งในหมู่บ้าน
“กรี๊ดดด!”
โซพัลฮีชะงักและเงี่ยหูฟัง แล้วก็ได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันอย่างเลือนราง เป็นคำพูดที่ฟังดูไม่ปกติด้วย
โซพัลฮีหิ้วถังใส่น้ำไปยังคอกวัว แล้วเทราดพื้นรถเข็นอยู่สองสามที ก่อนจะหยิบคราดสามซี่บนผนังมา
โซพัลฮีถือคราดและจับมือฮวังอึนโจวิ่งตรงไปยังบ้านของผู้ใหญ่บ้าน
“ว้าย!”
เมื่อวิ่งไปถึงลานด้านนอกบ้านผู้ใหญ่บ้าน โซพัลฮีก็ต้องหยุดวิ่งและส่งเสียงร้องออกมา
รถบรรทุกขนาดหนึ่งตันของผู้ใหญ่อูแทอูจอดค้ำอยู่กับต้นพลับที่ลำต้นแยกออกเป็นรูปตัววี (V) ซึ่งตั้งอยู่ตรงทุ่งมันหวานด้านล่างลานนอกบ้าน แล้วระหว่างรถบรรทุกกับต้นลูกพลับนั้นก็มีคนคั่นอยู่ รอบๆ รถบรรทุกที่เกิดเหตุมีคนมุงดูอยู่หกเจ็ดคน แล้วก็มีใครคนหนึ่งฉายแสงสลัวจากไฟฉายไปยังชายที่มีเลือดท่วมร่างอยู่ตรงกลางระหว่างรถบรรทุกกับต้นพลับนั้น
“ผะ ผี! เกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง… ผี ต้องเป็นฝีมือของผีแน่…”
“ผีที่ไหน! ตั้งสติหน่อย!”
ผู้ใหญ่อูแทอูเข้ามาดูศพโดยใช้ไฟฉายส่อง ก่อนจะหันแสงไฟฉายไปยังฮันดนซุก เมียที่กำลังโวยวายอยู่พร้อมเสียงตวาด
มีใครบางคนพยายามเปิดประตูรถบรรทุก แต่มันล็อกอยู่
เงามืดที่ห้อมล้อมอยู่แถวๆ รถบรรทุกพากันเดินมาที่หน้ารถทีละคนสองคน ก่อนจะพยายามดันรถให้ถอยหลังไป เมื่อรถบรรทุกขยับไปด้านหลังได้นิดหนึ่ง ชายร่างท่วมเลือดที่ติดอยู่ระหว่างหน้ารถบรรทุกกับต้นพลับก็ล้มลงด้านข้าง แล้วก็มีใครคนหนึ่งรีบดึงชายร่างท่วมเลือดออกไปอย่างรวดเร็ว
“ชะ ชินฮันกุก ใช่ไหม”
แสงไฟฉายแสนสลัวที่ส่องไปทางโน้นทางนี้ พากันส่องมาทางร่างของชายที่นอนอยู่
“ชะ ใช่แล้ว!”
ยางดงนัม ลูกชายของยางชิกยอน เจ้าของบ่อเพาะเลี้ยงเพ่งใบหน้าชายร่างท่วมเลือดแล้วตอบออกมา
“เกิดอะไรขึ้นกับชินฮันกุก…”
พอได้ยินชื่อ ‘ชินฮันกุก’ ดังขึ้นในความมืด ฮวังอึนโจก็เงยหน้ามองน้าซึ่งยืนนิ่งราวกับร่างกายแข็งไปแล้ว แม้จะมองไม่เห็นสีหน้าของน้า แต่น่าจะเป็นเพราะใบหน้าซีดเผือดจึงมองเห็นใบหน้าได้ชัด
“กะ เกิดอะไรขึ้น”
“เกียร์หลุดเหรอ”
“ตายรึยัง”
“ลองปั๊มหัวใจ ผายปอดดูซิ”
เสียงผู้คนในหมู่บ้านยังคงดังในความมืดเรื่อยๆ
“ชีพจรไม่เต้นแล้ว ตัวก็เย็นแล้ว”
“เย็นแล้วเหรอ”
“ไม่หายใจแล้วด้วย”
“เฮ้อ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
“คิดแล้วเหนื่อยใจจริงๆ ทำไมต้องมาเกิดก่อนจะมีพิธีมอบป้ายหมู่บ้านไร้อาชญากรรมด้วย…”
“โธ่เอ๊ย ไอ้ขี้เหล้า! ก่อเรื่องให้เดือดเนื้อร้อนใจจนตายจริงๆ”
“เรียก 119[2] กันไหม”
“ตายไปแล้ว เรียก 119 ได้เหรอ ต้องเรียกตำรวจสิ”
“เอาไงดี”
“จะยังไงเล่า ก็โทร.112[3] เรียกตำรวจมาสิ”
“โอ๊ย! คนเรานี่นะ ขวางโลกจนตายจริงๆ ถ้าจะตาย ก็น่าจะตายไปเงียบๆ คนเดียวสิ มาตายกลางค่ำกลางคืนหน้าบ้านคนอื่นกับรถของคนอื่นแบบนี้…”
“แล้วไงล่ะ รีบโทร.แจ้งเถอะ”
“ถะ ถ้าแจ้งตำรวจ ผู้ใหญ่จะไม่โดนจับเหรอ มะ แม้ว่าจะไม่ได้ทำผิด แต่ก็ประมาททำให้คนตายไม่ใช่เหรอ”
คำพูดของโซพัลฮีที่เฝ้ามองอยู่ด้านหลังด้วยอาการกระสับกระส่าย ทำให้สายตาของผู้คนหันไปหาผู้ใหญ่อูแทอูที่ยืนถือไฟฉายอยู่ ซึ่งใบหน้ามืดๆ ของผู้ใหญ่บ้านก็แสดงออกถึงความกลัวอย่างชัดเจน
“โธ่ จริงๆ เลย… เพราะไอ้ขี้เหล้าตัวเดียว ทำให้พี่แทอูต้องมาปวดหัวซะแล้ว”
ยางชิกยอน เจ้าของบ่อเพาะเลี้ยงปลาน้ำจืดนั่งยองๆ บ่นพึมพำอยู่ข้างศพ
“มันเป็นปัญหาของพี่แทอูคนเดียวเสียเมื่อไร มันเป็นปัญหาใหญ่ของคนทั้งหมู่บ้านเลยล่ะ แบบนี้สถิติหมู่บ้านไร้อาชญากรรมก็หยุดลงน่ะสิ”
วังจูยอง เจ้าของร้านอาหารในตำบลพูดขึ้นพลางมองไปยังใบหน้ามืดๆ ทั้งหลาย แม้เขาจะสวมกางเกงสแล็กกับรองเท้าหุ้มส้นสีน้ำตาล แต่ด้านบนกลับใส่เสื้อกล้ามสีน้ำตาลหม่น ท่าทางเขาเพิ่งกลับเข้าบ้านหลังไปข้างนอกมา พอได้ยินเสียงดังก็รีบวิ่งออกมาทั้งที่ยังถอดเสื้ออยู่
“เฮ้อ นั่นสิ หมดกัน ตั้งแต่ปีหน้าไปคงจะไม่ได้เงินรางวัลแล้ว”
“เฮ้อ ไอ้ห่าเอ๊ย!”
เสียงถอนใจที่ฟังดูประหลาดๆ ดังออกมาจากปากของผู้คน แต่แปลกที่ท่ามกลางเสียงนั้นกลับได้ยินเสียงถอนใจด้วยความโล่งใจอยู่ด้วย ทำเอาอึนโจหันไปมองผู้คนรอบตัว
“แต่ก็แปลกนะ กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ เบรกมือคลายจนไปชนคนได้ยังไง”
“พ่อ มันแปลกตรงไหน เวลาเกิดอุบัติเหตุมีกฎบอกเหรอว่าต้องเกิดที่ไหนเมื่อไรน่ะ”
“แล้วแกไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ เบรกมือคลายเลยไหลลงไปตามทางลาด แล้วชินฮันกุกดันยืนอยู่ตรงหน้ารถพอดี มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ ถ้าคิดถึงความเป็นไปได้ มันไม่ต่างจากความเป็นไปได้ที่ลูกพลับบนต้นจะหล่นลงมาใส่ปากตอนหาวพอดิบพอดีเลยนะ”
“เวลาเกิดเรื่องไม่ดี แม้จะล้มลงข้างหลัง แต่ดันเจ็บจมูกก็มีนะ[4]”
“แล้วมันใช่เวลามาทะเลาะกันด้วยเรื่องแบบนี้ไหม มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงให้มันจบลงเงียบๆ และราบรื่นน่ะ”
“แล้วจะมีวิธีไหนที่จัดการเรื่องนี้ได้อย่างราบรื่น โดยไม่ส่งผลเสียต่อผู้ใหญ่แล้วก็หมู่บ้านของเราอย่างที่คุณป้าบ่อเพาะเลี้ยงบอกล่ะ”
โซพัลฮีลอบสังเกตท่าทีของผู้คนแล้วเริ่มพูดจูงใจ
“ถ้ามีวิธีแบบนั้นก็คงจะดี แล้วจะทำยังไงดีล่ะคะ”
วังจูยองส่ายหน้าช้าๆ
“ถ้าแจ้งตำรวจไปแบบนี้ ท่านผู้ใหญ่บ้านที่ไร้ความผิด ไม่สิ ที่แสนใจดีของเราก็จะถูกจับไม่ใช่เหรอ จะว่าไปท่านผู้ใหญ่บ้านของเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ไอ้ขี้เหล้าชินฮันกุกที่มาถูกรถชนตายอยู่หน้าบ้านคนอื่นกลางดึกต่างหากที่ผิด ไอ้ห่าเอ๊ย!”
“นี่ ยางดงนัม! ตอนนี้ไม่ใช่เวลาโมโห ใจเย็นๆ แล้วมาช่วยกันคิดก่อนว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตอนนี้ยังไงอย่างที่แม่แกว่าดีกว่า”
“ในเมื่อถูกรถชนตายเพราะเมา ถ้าทำเป็นเหมือนพลัดตกลงไปตรงหินฆ่าตัวตายจะดีไหม”
วังจูยองนำเสนอความคิดพิเรนทร์ขึ้นมา
ทำเอาผู้คนต่างหันมาจ้องหน้ากันและกัน
ผู้เฒ่าพักดัลซูที่ยืนฟังคนอื่นพูดคุยอยู่เงียบๆ กับพักกวังกยูลูกชาย ก็ขยับไม้เท้าที่ถืออยู่และก้าวออกมา
“นี่ พูดอะไรเป็นไปไม่ได้! เดี๋ยวนี้นิติวิทยาศาสตร์พัฒนาไปถึงไหนแล้ว ทำแบบนี้จะได้เหรอ ระหว่างการตายเพราะตกจากหินมีรูกับการตายเพราะถูกรถชน แค่พวกผู้เชี่ยวชาญเห็นก็รู้ได้แทบจะทันที… ผิดพลาดอะไรขึ้นมาเรื่องมันจะใหญ่ คดีเคลื่อนย้ายศพโทษหนักขนาดไหนไม่รู้เหรอ ขนาดขุดเอากระดูกใครไม่รู้ที่ถูกฝังไปนานแล้วขึ้นมายังติดคุกเลย”
“แล้วถ้าเป็นอุบัติเหตุชนแล้วหนีระหว่างกลับจากตัวกิ่งอำเภอช็องยางล่ะคะ หรือเอาศพไปวางแถวๆ ถนนใหญ่ที่มีรถเยอะๆ แต่ห่างออกมาหน่อยล่ะ…”
โซพัลฮีมองผู้คนแล้วค่อยๆ เอ่ยปากเสนอความคิดเห็นออกมา
“ชนแล้วหนีเหรอ”
“ฟังดูเป็นไปได้ แต่กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ ชินฮันกุกจะไปไหนให้รถชนเอาได้”
วังจูยองเจ้าของร้านอาหารส่ายหน้า
“ฉันก็ว่าวิธีนี้ดี คนเราตาย มันจะต้องมานั่งอธิบายรายละเอียดด้วยเหรอ เวลาจะตาย เรามักจะทำอะไรที่ไม่ปกติไม่ใช่เหรอ ดูอย่างชินฮันกุกมาตายเอาตรงนี้สิ มันยังหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้เลย… แล้ววันนี้ที่กิ่งอำเภอช็องยางมีตลาดนัด มันก็คงจะไปเที่ยวดื่มเหล้าที่ตลาดนัดจนเมาแล้วไปหลับอยู่ที่ไหนสักแห่ง พอตื่นก็จะเดินกลับบ้านเลยโดนรถชนแล้วหนีได้ไม่ใช่เหรอ”
ชอนซูจี ภรรยาของยางชิกยอนออกหน้าเห็นด้วย
“จะว่าไปมันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด…”
“ใช่ ไม่ว่าจะคิดยังไง วิธีนี้น่าจะดีที่สุด”
“เป็นไปไม่ได้ ถ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ได้เข้าคุกกันหมดแน่”
พักกวังกยูลูกชายของผู้เฒ่าพักออกหน้าคัดค้านเช่นเดียวกับผู้เป็นพ่อ
“แล้วจะให้ทำยังไง หรือแกมีข้อเสนอ หรือคิดจะส่งพี่แทอูเข้าคุก”
วังจูยองถามราวกับไล่ต้อนพักกวังกยู
“ก็ไม่ใช่อย่างนั้น… รถแต่ละคันต่างก็มีประกันตามกฎหมายอยู่แล้ว ถ้ากระทำความผิดขึ้นมา อาจจะแค่รอลงอาญา… แต่ถ้าเคลื่อนย้ายศพมันคดีใหญ่กว่าไม่ใช่เหรอ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องมาโมโหใส่กันด้วย”
“นี่! ที่พยายามพูดแก้ตัวมาเรื่อยๆ เป็นเพราะไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่ไหม ทำไม ไม่อยากเดือดร้อนเพราะเรื่องของคนอื่นล่ะสิ ถ้าไม่อยากยุ่งก็ออกไป ฉันจะทำเหมือนแกไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยก็ได้”
“ไม่ใช่อย่างนั้น… ผมก็แค่กลัวว่าถ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา…”
พักกวังกยูหันไปมองผู้คนรอบตัวก่อนจะละคำพูดไป
“เอาล่ะ ไม่ว่าหมู่บ้านเราจะยังเป็นหมู่บ้านไร้อาชญากรรมต่อไปหรือไม่ และสถิติหมู่บ้านไร้อาชญากรรมจะแตกหรือไม่ ต่างก็เป็นปัญหาของหมู่บ้านเราทั้งสิ้น ฉะนั้น เราจะตัดสินกันโดยให้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ออกเสียง ใครคิดว่าแจ้งตำรวจไปตามความจริงดีกว่า ยกมือ!”
พักกวังกยูยกมือรับคำพูดของวังจูยองพลางหันไปมองสายตาของคนอื่น ไม่น่าเชื่อว่าผู้เฒ่าพักพ่อของพักกวังกยูกลับไม่ยกมือ พร้อมแสดงท่าทีเกรงใจผู้ใหญ่อูแทอูอยู่ในที สุดท้าย นอกจากพักกวังกยูแล้วก็ไม่มีใครยกมืออีก
“พักกวังกยูหนึ่งคน เอาล่ะ แล้วใครคิดว่าควรจัดการเหตุร้ายที่เกิดขึ้นที่บ้านพี่แทอู โดยไม่ให้พี่แทอูเดือดร้อนเพราะพี่เขาก็เปรียบเสมือนสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว ยกมือ!”
ทุกคนต่างหันมามองกันแล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นทีละคนสองคน นอกจากพักกวังกยู ผู้เฒ่าพักและฮวังอึนโจแล้ว ทุกคนต่างยกมือกันหมด
“คัดค้านหนึ่ง ไม่ออกเสียงสอง ที่เหลือเห็นด้วยหมด”
“ไม่ค่ะ อึนโจยังเป็นผู้เยาว์ ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง เว้นด้วยค่ะ”
“ไม่ค่ะ หนูก็เห็นด้วย”
ฮวังอึนโอยกมือขึ้นฉับ
“ตัดสินได้แล้ว จะเอายังไงต่อ…”
“ก็ทำให้เหมือนโดนรถคนต่างถิ่นชนแล้วหนีอย่างที่คุยกันเมื่อกี้นี้ไง ทุกคนจะได้ไม่เดือดร้อน…”
“แล้วถ้าการสืบสวนคดีชนแล้วหนีมาถึงหมู่บ้านเราจะทำยังไง แล้วพอมาเห็นรถบรรทุกของผู้ใหญ่บ้านด้วย…”
วังจูยองเจ้าของร้านอาหารเริ่มไม่เห็นด้วย
“แล้วจะเอายังไง ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วนี่”
“นั่นสิ พวกตำรวจจะมาสืบสวนถึงบ้านนอกนี่เลยเหรอ”
“ส่วนรถบรรทุกของผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ต้องเอาไปซ่อมที่อู่ ไปซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนกันเองก็ได้ ผมเคยทำงานที่อู่ซ่อมรถ แค่มีอะไหล่ ผมซ่อมได้อยู่แล้ว ผู้ใหญ่คิดเห็นยังไงครับ ทำยังไงดี”
“นะ นั่นสิ… ก็ได้! ไหนๆ ก็โดนรถชนอยู่แล้ว ทำเหมือนชนแล้วหนีละกัน”
เมื่อผู้ใหญ่อูแทอูออกตัวถึงขนาดนี้ วังจูยองจึงไม่อาจคัดค้านได้อีก
“ถ้าเอาศพไปทิ้งในที่ไกลๆ ได้ยิ่งดี ว่าแต่จะย้ายชินฮันกุกยังไงดีล่ะ จะมัดแล้วแบกขึ้นหลังก็คงไม่ได้”
คำพูดของยางชิกยอน ทำให้ทุกคนต่างหันมาจ้องวังจูยอง เพราะตอนนี้คนในหมู่บ้านที่มีรถยนต์มีเพียงวังจูยองคนเดียว
“มะ ไม่ได้ ฉันไม่ให้เอารถเก๋งฉันมาขนศพหรอก เพิ่งจะซื้อมาได้ไม่กี่เดือน ยังใหม่ๆ อยู่เลย…”
“เฮ่อ แกนี่นะ! ตอนนี้ปัญหามันอยู่ที่รถเหรอ เราก็เอาพลาสติกห่อหลายๆ ชั้นแล้วใส่ท้ายรถไปก็ได้ มีรถไว้อวดรวยหรือไง”
“ฉันดื่มเหล้ามาเยอะ เมาแล้วขับไม่ได้”
“เมาแล้วขับเหรอ แล้วที่ดื่มเหล้ามาจากกิ่งอำเภอช็องยาง ละขับรถมาจนถึงบ้านนี่ล่ะ ไม่ได้เรียกว่าเมาแล้วขับเหรอ เมื่อกี้ยังขับได้ แล้วทำไมตอนนี้จะขับไม่ได้”
ยางดงนัมไล่เลียง
“ถ้าโดนจับขึ้นมาล่ะ… กว่าฉันจะได้ใบขับขี่มา มันลำบากแค่ไหนแกน่าจะรู้ดี สองปีเลยนะโว้ย”
“โธ่ รู้แบบนี้ยังจะเมาแล้วขับอีกเหรอ”
แล้วยางชิกยอนก็เข้ามาเสริมคำพูดของลูกชาย
“ใครที่ไหนจะมาจับคนเมาแล้วขับ ฉันเมาแล้วขี่มอเตอร์ไซค์มาเป็นสิบปียังไม่เห็นเคยโดนจับข้อหาเมาแล้วขับเลยสักที”
“มะ ไม่ใช่อย่างงั้น! ความจริง รถฉันเองก็เกิดอุบัติ… ไม่สิ เสียน่ะ”
“หา! เสีย! จริงเหรอ ไม่ได้โกหกใช่ไหม”
“จริงๆ! เมื่อกี้ตอนขับกลับบ้าน หินจากคันกั้นดินมันกลิ้งลงมาขวางถนนแล้วไม่ทันมอง… พอกลับมาดูที่บ้านถึงได้เห็นว่าเกียร์มีปัญหา กำลังคิดว่าพรุ่งนี้จะเรียกรถมาลากอยู่”
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ในเมื่อวังจูยองเจ้าของรถพูดถึงขนาดนี้ก็ไม่อยากตอแยต่อ
“อ่อ บ้านชินฮันกุกมีรถไถนี่ เอามาขนก็น่าจะได้”
“นี่ แม่เด็กฝรั่ง เรามาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
ถึงตอนนี้ชอนซูจีแห่งบ้านบ่อเพาะเลี้ยงที่เห็นฮวังอึนโจที่ยืนอยู่ข้างหน้าโซพัลฮี จึงพูดออกมาด้วยท่าทีงงๆ
“เอ่อ ฉันไม่ใช่แม่เด็กฝรั่ง แต่ชื่อฮวังอึนโจ”
“พาเด็กมาดูภาพน่ากลัวแบบนี้ได้ยังไง รีบพากลับบ้านไป!”
“นั่นสิ ที่เหลือเดี๋ยวพวกผู้ชายจัดการเอง พวกผู้หญิงกับคุณพ่อกลับบ้านไปก่อนเถอะ นี่ ฮวังอึนโจ รีบกลับไปกับน้าเราเถอะ”
พักกวังกยูมองฮวังอึนโจสลับกับโซพัลฮีพลางพูดขึ้น
“ดีนะ ที่แม่เด็กฝรั่งไม่มีเพื่อนคุยกับเขา ว่าแต่ คราดนั่นเอามาทำไม”
ชอนซูจีมองไปที่คราดในมือโซพัลฮีแล้วถาม
“เมื่อกี้ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องก็เลยกลัว…”
“ตอนเจอศพ เมียผู้ใหญ่คงตกใจมากน่ะ มันก็แหงอยู่แล้ว ฉันเองยังตกใจจนแทบเป็นลม รีบพาเด็กกลับบ้านไปก่อนเถอะ”
“ไม่ต้องให้ฉันช่วยเหรอคะ”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพวกเราจัดการเอง”
พักกวังกยูพูดให้โซพัลฮีสบายใจพลางดันหลังฮวังอึนโจให้เดินไป
โซพัลฮีอยากอยู่ดูการจัดการศพจนแล้วเสร็จ แต่ไม่อาจทำได้เพราะมีฮวังอึนโจอยู่
“อึนโจ กลับบ้านกัน”
โซพัลฮีเหลือบมองศพของชินฮันกุกที่เต็มไปด้วยเลือด ก่อนจะใช้มือหนึ่งลากแขนฮวังอึนโจที่ยังคงกลัวให้เดินไป พร้อมกับถือคราดเหล็กไว้ในมือ
ระหว่างทางกลับบ้าน โซพัลฮีไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว พอมาถึงหน้าประตูเข้าบ้าน เธอก็ดึงมือของอึนโจให้หยุดยืนอยู่บนพื้นเฉอะแฉะ ที่เธอสาดน้ำปริมาณมากเอาไว้เพื่อลบร่องรอยต่างๆ ให้หมดไป
“ฮวังอึนโจ มองตาน้า! ห้ามเอาเรื่องที่ได้เห็นในวันนี้ไปบอกใครอย่างเด็ดขาด ไม่งั้นเราจะไม่ได้อยู่กับน้าอีก! เพราะน้าจะต้องติดคุก ส่วนเราก็ต้องไปอยู่บ้านเด็กกำพร้า!”
โซพัลฮีเพ่งมองอึนโจด้วยสายตาน่ากลัวขณะพูด
“ระ รู้แล้ว”
โซพัลฮีทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมาอีก แต่กลับมีฟ้าแลบแปลบขึ้นมาบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
“ว้าย!”
อึนโจและโซพัลฮีสะดุ้งขึ้นพร้อมกัน
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าร้องดังตามมาพร้อมกับฝนที่ร่วงหล่นลงมาเป็นสาย เพียงไม่นานสายฝนก็เปลี่ยนเป็นฝนห่าใหญ่
สายฝนตกลงมากระทบกับหลังคาสังกะสีส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ฟังคล้ายเสียงหมอผีเขย่าพวงลูกกระพรวนเพื่อเรียกผีที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมกลับมา
[1] EPIRB ย่อมาจาก Emergency Position Indicating Radio Beacon
[2] หมายเลขแจ้งเหตุฉุกเฉินเหมือน 1669 ในประเทศไทย
[3] หมายเลขแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายเหมือน 191 ในประเทศไทย
[4] เป็นภาษิต หมายถึง คนที่ดวงตกมักจะเจอเรื่องที่คนปกติทั่วไปไม่ค่อยเจอกัน