[ทดลองอ่าน] ปาจิงโกะ / แพรวสำนักพิมพ์

ปาจิงโกะ

อีมินจิน เชียน

ฐิติพงษ์ เหลืองอรุณเลิศ แปล

ติดตามการวางจำหน่ายได้ที่เพจ แพรวสำนักพิมพ์

(เวอร์ชันนี้สำหรับทดลองอ่าน ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์) 

——————————————————————————————————————-

บ้าน เป็นทั้งนามและถ้อยคำที่แกร่งกล้า

แกร่งกว่าคาถาใดที่จอมเวทเคยร่าย ฤๅวิญญาณขานรับ

– ชาร์ลส์ ดิกเกนส์

 

1

ยองโด – ปูซาน – เกาหลี

ประวัติศาสตร์ทำให้เราผิดหวัง แต่ช่างเถอะ

ช่วงรอยต่อศตวรรษ ชาวประมงแก่กับภรรยาตัดสินใจเปิดบ้านให้เช่าพักแรมหารายได้พิเศษ ทั้งสองเกิดและเติบโตที่หมู่บ้านชาวประมงในเมืองยองโด เกาะเล็ก ๆ กว้าง 5 ไมล์ ถัดจากท่าเรือเมืองปูซาน ตลอดชีวิตคู่อันยาวนาน ภรรยาให้กำเนิดลูกชายสามคน แต่มีเพียงฮูนี ลูกคนโตที่อ่อนแอที่สุดเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ ฮูนีเกิดมาปากเพดานโหว่ซ้ำยังขาเป๋ ยังดีที่ได้ไหล่ที่ล่ำสัน ร่างกายสันทัด กับผิวสีน้ำผึ้งมาทดแทน แม้จะโตเป็นหนุ่ม ฮูนียังคงนิสัยอ่อนโยนและคิดถึงแต่คนอื่นเหมือนตอนเด็ก เวลาเจอคนแปลกหน้าเขาชอบยกมือขึ้นป้องปากที่ผิดรูป ทำให้เห็นเพียงดวงตากลมโตดูใจดีที่ถอดแบบมาจากพ่อผู้หล่อเหลา คิ้วเรียวเข้มเข้ากับหน้าผากกว้างสีแทนจากการทำงานกลางแจ้ง ฮูนีไม่ใช่คนพูดจาคล่องแคล่ว ซึ่งไม่ต่างอะไรกับพ่อแม่ของเขา ด้วยเหตุนี้เอง หลายคนจึงสำคัญผิดว่าฮูนีมีสติปัญญาไม่สมบูรณ์ทั้งที่มันไม่เป็นความจริง

ฮูนีอายุครบยี่สิบเจ็ดปีเมื่อญี่ปุ่นเข้ายึดครองเกาหลีในปี ค.ศ.1910 ชาวประมงกับภรรยาผู้ขันแข็งและมัธยัสถ์ ไม่เคยให้ค่ากับพวกขุนนางอ่อนหัดกับชนชั้นปกครองจอมโกงกินที่พ่ายแพ้ยกประเทศให้กับกองโจร เมื่อถูกขึ้นค่าเช่าบ้าน ทั้งคู่ก็เลือกย้ายออกมานอนที่โถงถัดจากห้องครัว เพื่อรับผู้อาศัยเพิ่ม

บ้านไม้ที่เช่าอยู่มากว่าสามทศวรรษมีขนาดไม่ใหญ่นัก เกือบ ๆ 500 ตารางฟุต ประตูบานเลื่อนกระดาษแบ่งพื้นที่ออกเป็นสามส่วน ชาวประมงลงมือเปลี่ยนหลังคาจากมัดหญ้าที่รั่วซึมเป็นประจำมามุงด้วยกระเบื้องดินเผาด้วยตัวเอง เพื่อเอาใจเจ้าของบ้านที่อาศัยอยู่ในคฤหาสต์หรูหรา ณ เมืองปูซาน สุดท้ายส่วนครัวก็ถูกขยายกินพื้นที่แปลงปลูกผัก เปิดทางให้หม้อที่ใหญ่ขึ้นตามจำนวนโต๊ะกินข้าวพกพา ที่แขวนรายอยู่ตามกำแพงหินก่อ

พ่อของเขายืนกรานให้ฮูนีเรียนอ่านเขียนภาษาเกาหลีและญี่ปุ่นจากครูใหญ่ในหมู่บ้าน พอให้เขาจัดการบัญชีหอพักและคำนวณเลขในหัวไม่ให้ถูกโขกราคาเวลาไปตลาด เมื่อทำได้อย่างที่ว่า พ่อแม่ก็เลิกส่งเขาไปโรงเรียน ในวัยหนุ่ม ฮูนีทำงานหนักพอๆ กับผู้ชายที่อายุมากกว่าเขาสองเท่าและมีขาได้รูปสมบูรณ์ แต่เขามีมือคล่องแคล่วและพลังในการยกของหนัก ๆ ทดแทนการวิ่งหรือเดินที่ทำได้ไม่เร็วนัก เป็นที่รู้กันว่าฮูนีและพ่อของเขาไม่เคยแตะของมึนเมา ชาวประมงแก่กับภรรยาเลี้ยงดูลูกชายที่เหลือรอด ลูกโทนที่ไม่สมประกอบ ให้โตเป็นคนที่ฉลาดและขยันขันแข็ง เพราะพวกเขาไม่รู้เลยว่า ใครจะอยู่ดูแลฮูนีเมื่อพวกเขาตายไปแล้ว

หากว่าสองสามีภรรยาสามารถใช้หัวใจดวงเดียวกัน ฮูนีก็คือใจดวงนั้นที่เต้นอยู่อย่างสม่ำเสมอ พวกเขาสูญเสียลูกชายที่เหลือ คนเล็กให้กับโรคหัด ส่วนคนกลางที่ไม่เอาอ่าว ให้กับอุบัติเหตุกระทิงขวิดที่ไร้สาระ ถ้าไม่นับโรงเรียนและตลาด พวกเขาให้ฮูนีเล่นแค่ละแวกบ้าน สุดท้ายเมื่อเขาเป็นหนุ่ม เขาก็ต้องอยู่บ้านช่วยงานพ่อแม่ พวกเขาทนไม่ได้ที่จะทำให้ลูกชายผิดหวัง ด้วยความรักที่มากพอจึงไม่รักจนเกินเลย ทั้งคู่คอยระวังให้ไม่เอาใจลูกชายคนนี้จนเลยเถิด ด้วยรู้ดีว่าลูกชายที่ถูกตามใจจนเสียคนบั่นทอนครอบครัวมากกว่าลูกที่ตายไปแล้ว

ไม่ใช่ทุกบ้านในผืนดินนี้ที่จะโชคดีมีพ่อแม่ที่มีเหตุมีผล เฉกเช่นประเทศที่ถูกระรานโดยศัตรูหรือภัยธรรมชาติ ณ คาบสมุทรที่ถูกครอบครองนี้ คนที่อ่อนแอ คนชรา แม่ม่ายหรือเด็กกำพร้า ต่างก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง บ้านไหนพอจะเลี้ยงได้อีกสักปากสักท้อง ก็มีคนรอต่อแถวยอมทำงานเต็มวันเพื่อแลกกับข้าวบาร์เลย์สักชาม

ฤดูใบไม้ผลิปี 1911 สองสัปดาห์หลังจากฮูนีอายุ 28 ปี แม่สื่อแก้มแดงจากตัวเมืองก็แวะมาหาแม่ของเขาที่บ้าน

แม่ของฮูนีให้เธอนั่งรอที่ครัว ทั้งสองต้องคุยกันเบา ๆ เพราะลูกบ้านกำลังหลับอยู่ในห้องส่วนหน้า เป็นเวลาสายที่ชาวประมงที่ออกเรือตั้งแต่ช่วงเย็น กลับมากินมื้อค่ำร้อน ๆ อาบน้ำชำระร่างกายแล้วเข้านอน แม่ของฮูนีรินชาบาร์เลย์ให้แม่สื่อ แต่ไม่ได้ผละจากงานที่กำลังทำ

เธอรู้แก่ใจดีว่าแม่สื่อต้องการอะไร แต่คิดหาคำสนทนาไม่ถูก ฮูนีไม่เค่ยเอ่ยปากขอภรรยาจากพ่อแม่ของเขา นึกไม่ออกว่าจะมีบ้านไหนปล่อยลูกสาวมาแต่งงานกับคนมีตำหนิ ที่ต้องถูกถ่ายทอดสู่รุ่นถัดไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เธอไม่เคยเห็นฮูนีคุยกับสาวคนไหน ผู้หญิงในหมู่บ้านต่างก็เลี่ยงสายตาฮูนี เขาก็คงเข้าใจดีว่าไม่ควรต้องการในสิ่งที่ไม่มีทางเป็นได้ การข่มใจอดกลั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ว่าชาวบ้านคนไหนก็ต้องยอมรับ ทั้งเรื่องชีวิตและสิ่งที่เขาได้รับอนุญาตให้ปรารถนา

แม่สื่อมีใบหน้าเล็กชวนขัน อวบอิ่มอมชมพู ดวงตาคมสีดำกลอกไปมาอย่างมีชั้นเชิง เธอพูดแต่เรื่องดี ๆ พลางเลียริมฝีปากราวว่ากระหายน้ำ แม่ของฮูนีรู้สึกว่าอีกฝ่ายคอยสังเกตตัวเธอเองและเก็บทุกรายละเอียดของตัวบ้าน เธอวัดขนาดของห้องครัวด้วยสายตาอันแม่นยำ

อย่างไรก็ตาม การจะอ่านใจแม่ของฮูนีนั้นไม่ง่าย ความที่เป็นคนเงียบๆ เอาแต่ทำงานตั้งแต่ลืมตายันเข้านอน ทำทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับวันนี้และวันถัดไป เธอไม่ค่อยโผล่หน้าไปที่ตลาดเพราะไม่อยากพูดคุยให้เสียสมาธิ เธอส่งฮูนีไปจ่ายตลาดแทน ขณะที่แม่สื่อกำลังพูด ปากของแม่ของฮูนีมั่นคงไม่ไหวติง ไม่ต่างกับโต๊ะไม้สนหนัก ๆ ที่เธอกำลังหั่นไชเท้าอยู่ตอนนี้

แม่สื่อเป็นฝ่ายยกขึ้นมาก่อน ว่าเท้ากับปากที่พิการของฮูนีเป็นเรื่องโชคร้าย แต่พ่อหนุ่มเป็นคนดีแท้ มีสติปัญญา แถมยังแข็งแรงอย่างกับโคถึกลากเกวียน! เธอชื่นใจแทนที่มีลูกชายดี ๆ อย่างนี้ เธอค่อนแคะลูกชายของเธอว่าไม่เคยสนใจตำราหรือการค้าการขายแต่ก็ไม่แย่นัก ลูกสาวของเธอแต่งงานเร็วและย้ายไปอยู่ไกลหูไกลตา เธอหวังว่าทุกคนจะมีชีวิตแต่งงานที่ดี ส่วนลูกชายนั้นช่างเกียจคร้าน ไม่เหมือนกับฮูนี หลังพูดจบเธอก็จับจ้องที่ใบหน้าผิวสองสีที่ตีหน้านิ่ง ไม่มีทีท่าสนใจเลยแม้แต่น้อย

แม่ของฮูนียังคงก้มหน้าจับมีดเล่มคมหั่นไชเท้าเป็นลูกเต๋าเท่า ๆ กันอย่างแม่นยำ พอไชเท้าทรงลูกบาศก์กองเต็มเขียงก็ปาดลงในกะละมังที่ใช้ผสม เธอสงวนท่าทีแต่ก็ตั้งใจฟังคำพูดของแม่สื่ออย่างจดจ่อ เธอเกรงว่าความประหม่าจะทำเธอเก็บอาการไม่อยู่

ก่อนหน้าที่แม่สื่อจะก้าวเท้าเข้าบ้าน เธอเดินสำรวจรอบบริเวณเพื่อประเมินฐานะการเงิน จากรูปลักษณ์และคำบอกเล่าจากเพื่อนบ้านก็ยืนยันได้ว่าบ้านนี้มีสถานะมั่นคง ในสวนผัก ไชเท้าโพนีเทลที่อวบอ้วนและได้น้ำหนักจากฝนต้นฤดูใบไม้ผลิพร้อมถูกดึงขึ้นจากผืนดิน ปลาพอลแลคและปลาหมึกถูกแขวนอย่างเป็นระเบียบบนเชือกตากผ้ารับแดดอ่อน ๆ ของสันตฤดู ถัดไปจากตัวบ้าน หมูดำสามตัวถูกเลี้ยงไว้ในคอกสะอาดสะอ้านที่ก่อขึ้นจากปูนและหินของท้องที่นั้น มีพ่อไก่หนึ่งตัวและแม่ไก่เจ็ดตัวที่แม่สื่อนับได้ตรงหลังบ้าน แต่ความมีอยู่มีกินยิ่งปรากฏเด่นชัดภายในตัวบ้าน

ภายในครัวมีชามข้าวชามแกงวางซ้อนกันบนชั้นที่สร้างมาอย่างประณีต พวงกระเทียมและพริกแดงแขวนอยู่ตามจันทันเตี้ย ๆ ในครัว ที่มุมหนึ่งใกล้ ๆ อ่างล้างจาน มีตะกร้าสานใบยักษ์กองพูนไปด้วยมันฝรั่งที่เพิ่งขุดมาสด ๆ ใหม่ ๆ กลิ่นอบอวลจากข้าวบาร์เลย์และข้าวฟ่างที่กำลังหุงอยู่ในหม้อสีดำโชยไปทั่วบ้านหลังเล็ก

สถานะที่น่าพึงพอใจของบ้านพักแรมท่ามกลางประเทศที่มีแต่จะจนลง ๆ แห่งนี้ แม่สื่อมั่นอกมั่นใจว่าคนอย่างฮูนีก็มีคู่ครองที่ดีกับเขาได้ เธอจึงหว่านล้อมอย่างไม่ลดละ

เจ้าสาวมาจากอีกฝากหนึ่งของเกาะถัดจากเขตป่าทึบ พ่อของเธอเช่าที่ทำนา และเป็นหนึ่งในคนนับไม่ถ้วนที่ต้องสูญเสียที่ทำกินจากการสำรวจที่ดินโดยรัฐอาณานิคมไม่นานมานี้ พ่อม่ายผู้อาภัพ ไม่มีลูกชาย มีแต่ลูกสาวติดมา 4 คน นอกจากของที่เก็บจากในป่า ปลาที่ขายไม่ออกกับอาหารที่ปันจากเพื่อนบ้านที่สภาพไม่ต่างกัน ก็ไม่มีอะไรให้ตกถึงท้อง ผู้เป็นพ่ออ้อนวอนให้แม่สื่อช่วยหาเจ้าบ่าวให้กับลูกสาวที่ยังโสด ให้สาวบริสุทธ์ได้แต่งงานไปกับใครสักคน ยังดีกว่าเที่ยวขอทานด้วยความหิวโหย ที่สำคัญพรหมจรรย์ถือเป็นของมีราคา ยังจินลูกสาวคนสุดท้องที่สะดวกในการถ่ายออก เพราะยังเด็กเกินไปที่จะโต้เถียง และอาหารก็แทบไม่เหลือตกถึงเธออยู่แล้ว

ยังจินอายุ 15 ปี ทั้งบอบบางและอ่อนเยาว์เหมือนลูกวัวแรกเกิด แม่สื่อว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องสินสอด ไม่มีแน่นอน ฝั่งนั้นก็ไม่ได้เรียกร้องของกำนัลอะไรมาก แค่แม่ไก่ไข่สักตัวสองตัว ผ้าฝ้ายให้พี่สาวของยังจิน ข้าวฟ่างสัก 6-7 กระสอบให้พวกเขาได้รอดพ้นหน้าหนาวนี้ไป” เมื่อไม่มีเสียงทัดทานเรื่องของกำนัล แม่สื่อก็ลากต่อ “บางทีแพะสักตัว หรือหมูตัวเล็ก ๆ ครอบครัวนั้นไม่มีอะไรติดตัวเลย ค่าตัวเจ้าสาวก็ลงมาต่ำเตี้ย เพชรพลอยสาวเจ้าก็ไม่อยากได้” แม่สื่อหัวเราะนิด ๆ

แม่ของฮูนีสะบัดข้อมืออันกำยำของเธอ เพื่ออาบเกลือทะเลให้ทั่วไชเท้า แม่สื่อไม่มีทางรู้ได้เลยว่าแม่ของฮูนีจดจ่อและคร่ำเคร่งกับข้อเรียกร้องของเธอมากขนาดไหน อันที่จริงตัวแม่เองก็พร้อมจะแลกทุกอย่างเพื่อสู้ราคาของเจ้าสาว แม่ของฮูนีเองก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่ภาพฝันและความหวังที่พองฟูอยู่ในอก ทั้งที่สีหน้ายังคงสงบและนิ่งเฉย อย่างไรก็ดี ใช่ว่าแม่สื่อจะตามเกมไม่ทัน

“เป็นฉันคงยอมทุกอย่าง ขอให้ได้มีหลานชายกับเขาสักวัน” แม่สื่อกล่าวปิดการขายพลางจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าเหี่ยวย่นสีคล้ำของเจ้าของบ้านพัก “ฉันมีแต่หลานสาว ไม่มีหลานชาย พวกเด็กผู้หญิงขี้แยกันเหลือเกิน”

แม่สื่อพูดต่อ “ฉันยังจำแม่น วันที่อุ้มลูกชายคนแรกสมัยยังแบเบาะ โอ้ย ฉันมีความสุขมาก! ผิวนี่ขาวเหมือนเค้กข้าวที่นึ่งหมาด ๆ ในตะกร้าตอนปีใหม่ เหมือนแป้งอุ่น ๆ ทั้งนุ่มทั้งชุ่มฉ่ำ น่าอร่อยจนอยากจะกัด แต่พอโตขึ้นมาก็เป็นแค่ไอ้ทึ่มคนนึง” เธออดไม่ได้ที่จะโม้ไปบ่นไป

ในที่สุดแม่ของฮูนีก็เผลอยิ้มเพราะเห็นภาพนั้นชัดเจน ถ้าแม่สื่อไม่แวะมาหาเธอคงจินตนาการไม่ออก หญิงแก่ประเภทไหนกันที่ไม่อยากอุ้มหลานชาย? เธอกัดฟันเพื่อกลั้นขำและยกกะละมังขึ้นเขย่าเคล้าให้เกลือทั่วกัน

“สาวเจ้าหน้าตาน่าชัง ไม่มีรอยฝี มีมารยาทเชื่อฟังพ่อกับพี่สาว ผิวไม่ค่อยคล้ำ ถึงตัวเล็กแต่มือกับแขนแข็งแรงดี เธอต้องเพิ่มน้ำหนักสักหน่อย คุณก็รู้ บ้านนั้นเขากำลังลำบาก” แม่สื่อยิ้มไปทางตะกร้ามันฝรั่งที่มุมห้องราวกับกำลังบอกว่า เด็กสาวจะได้กินมากเท่าที่เธอต้องการถ้าอยู่ที่นี่

แม่ของฮูนีวางกะละมังบนชั้นแล้วหันไปทางแขกผู้มาเยือน

“ฉันจะคุยกับสามีและลูกชายก็แล้วกัน ฉันคงไม่มีแพะหรือหมูให้ ถ้าเป็นปุยฝ้ายกับของอื่น ๆ ล่ะก็ พอจะจัดให้ทันหน้าหนาวได้ ฉันต้องถามดูก่อน”

เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้พบหน้ากันในวันแต่งงาน ยังจินไม่รู้สึกกลัวเมื่อเห็นใบหน้าของฝ่ายชาย ในหมู่บ้านของเธอก็มีคนเป็นแบบนี้อีกสามคน เธอเคยเห็นมันเกิดกับพวกวัวควายและหมูเช่นกัน เด็กผู้หญิงที่อยู่ใกล้ ๆ บ้านของเธอก็มีก้อนเนื้อเหมือนลูกสตรอว์เบอร์รี่งอกออกมาระหว่างจมูกกับริมฝีปากแห้งแตก เด็กคนอื่นเรียกเธอว่าสตรอว์เบอร์รี่ ฉายาที่เธอก็ไม่ว่าอะไร ตอนที่พ่อของยังจินบอกกับเธอว่า สามีของเธอเป็นแบบสตรอว์เบอร์รี่ แถมยังขาเป๋ เธอไม่ได้ร้องไห้ เขาบอกกับเธอว่าเธอเป็นเด็กดี

ฮูนีกับยังจินแต่งงานกันอย่างเงียบเชียบ ถึงขนาดถ้าไม่ได้แบ่งขนมงานแต่งให้เพื่อนบ้าน ก็อาจถูกนินทาได้ว่าขี้ตืด แม้แต่ลูกบ้านเองยังแปลกใจเมื่อเจ้าสาวโผล่มาเสิร์ฟอาหารเช้าหนึ่งวันถัดจากวันแต่งงาน

ขณะที่ยังจินตั้งท้อง เธอกังวลว่าความพิการของฮูนีจะถูกส่งทอดไปสู่ลูกของเธอ ลูกคนแรกของเธอเกิดมาเพดานปากโหว่ แต่ขาแข้งปกติดี ฮูนีและพ่อแม่ของเขาไม่ได้อารมณ์เสีย เมื่อหมอตำแยอุ้มทารกมาให้ดู “ไม่เป็นไรใช่ไหม” ฮูนีถามภรรยา เธอตอบว่าไม่ เพราะเธอคิดอย่างนั้นจริง ๆ เวลาที่ยังจินอยู่กับลูกคนแรกตามลำพัง เธอไล้นิ้วชี้ไปที่ริมฝีปากของทารกและจูบลงเบา ๆ เธอไม่เคยรักใครเท่านี้มาก่อน สัปดาห์ที่เจ็ด ลูกชายก็จากไปเพราะเป็นไข้ ลูกคนที่สองของเธอมีใบหน้าปกติกับขาที่สมบูรณ์ แต่ก็เช่นเดียวกัน ลูกชายคนนี้ด่วนจากไปก่อนฉลองวันแบคอิล[1] จากอาการท้องร่วงและไข้สูง ฝ่ายพี่สาวที่ยังโสดของเธอโทษว่าเป็นเพราะน้ำนมที่ไหลอ่อน และแนะนำให้ไปหาคนทรงเจ้า ฮูนีและที่บ้านไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ แต่เธอก็แอบไปโดยไม่บอกขณะตั้งครรภ์ลูกคนที่สาม ระหว่างที่ตั้งท้อง เธอรู้สึกประหลาด เธอทำใจรอไว้แล้วว่าคราวนี้ก็คงไม่รอด เธอเสียลูกคนที่สามให้กับไข้ทรพิษ

แม่ยายของเธอไปหาแพทย์สมุนไพรและต้มยาบำรุงให้เธอ ยังจินดื่มยาสีน้ำตาลในถ้วยจนหมดทุกหยด และขอโทษที่ทำให้ต้องหมดเงินไปไม่น้อย ทุกครั้งหลังคลอด ฮูนีจะแวะไปซื้อสาหร่ายที่เธอชอบจากตลาดเพื่อบำรุงมดลูก และทุกครั้งที่ต้องเสียลูกไป เขาจะเอาเค้กข้าวรสหวานที่ยังอุ่น ๆ จากตลาดมาให้เธอกิน “เธอต้องกินนะ จะได้มีแรง”

สามปีหลังแต่งงาน พ่อของฮูนีตาย ไม่กี่เดือนถัดมาภรรยาของเขาก็ตามไป พ่อแม่สามีไม่เคยปฏิเสธอาหารหรือเสื้อผ้าฝีมือเธอ แม้ว่าเธอจะล้มเหลวในการส่งมอบผู้สืบสายเลือด แต่ไม่มีใครเคยทุบตีหรือก่นด่าเธอเลย

ในทีสุด ยังจินก็ให้กำเนิดซอนจา ลูกคนที่สี่และลูกสาวคนเดียว และหนนี้เธอรอดชีวิต กระทั่งเธอเข้าสามขวบ พ่อแม่จึงได้หลับยาวตลอดคืน ไม่ต้องคอยตื่นมาดูที่เตียงว่าเจ้าตัวน้อยที่นอนอยู่ข้าง ๆ ยังหายใจดีอยู่ไหม ฮูนีทำตุ๊กตาเปลือกข้าวโพดให้ลูกสาวเล่นและเลิกสูบยาเพื่อซื้อขนมให้เธอ ทั้งสามกินข้าวพร้อมหน้ากันทุกมื้อ แม้ว่าลูกบ้านอยากให้ฮูนีมาร่วมวงด้วยก็ตาม เขารักลูกแบบเดียวกับที่พ่อแม่รักเขา แต่เขาพบว่าเขาไม่อาจปฏิเสธลูกสาวของเขาได้เลย ซอนจาเป็นเด็กหญิงหน้าตาธรรมดา ๆ ที่หัวเราะเก่งและฉลาดเฉลียว แต่สำหรับผู้เป็นพ่อแล้ว เธอคือความงดงาม เขาทึ่งกับความไร้ที่ติของเธอ มีพ่อไม่กี่คนในโลกนี้ที่ให้คุณค่ากับลูกสาวได้เท่ากับฮูนี ราวกับว่าเขามีชีวิตอยู่เพื่อสร้างรอยยิ้มให้กับลูกของเขา

ในฤดูหนาวเมื่อซอนจาอายุ 13 ขวบ ฮูนีก็ถึงแก่กรรมจากวัณโรค ระหว่างพิธีศพ ยังจินกับลูกสาวเศร้าโศกเสียใจจนไม่มีอะไรปลอบโยนได้ เช้าวันรุ่งขึ้น แม่ม่ายลุกขึ้นจากที่นอนและกลับไปทำงาน

2
พฤศจิกายน ค.ศ. 1932

หน้าหนาวหลังญี่ปุ่นบุกยึดแมนจูเรียเป็นหน้านาวที่ทรหด ลมหนาวสะท้านแทรกทะลุบ้านพักหลังน้อย พวกผู้หญิงต้องยัดนุ่นคั่นระหว่างชุดที่สวมใส่ สิ่งที่เรียกว่า ดีเพรสชัน เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก ลูกบ้านพูดถึงบ่อย ๆ ระหว่างทานอาหาร ย้ำความที่ได้ยินจากผู้ชายในตลาดที่อ่านหนังสือพิมพ์ออก ชาวอเมริกันที่ยากจนก็โหยหิวพอ ๆ กับคนจนในรัสเซีย และคนจนในจีน

แน่นอนว่าคนที่มีสมองกับคนที่อดทนเอาตัวรอดจากหน้าหนาวครั้งนี้ได้ แต่กระนั้นยังมีรายงานข่าวอันน่าเศร้าใจให้เห็นอยู่บ่อยๆ ว่ามีเด็กที่เข้านอนแล้วไม่ตื่นอีกเลย เด็กสาวเร่ขายตัวเพื่อแลกกับเส้นก๋วยเตี๋ยวข้าวสาลีหนึ่งชาม และคนชราที่หายตัวไปจบชีวิตอย่างเงียบ ๆ เพื่อให้คนหนุ่มสาวได้มีกิน

ถึงอย่างนั้น ลูกบ้านก็ยังคาดหวังมื้ออาหารที่สม่ำเสมอ บ้านเก่าก็ต้องมีการซ่อมแซม ค่าเช่าก็ต้องจ่ายให้กับตัวแทนผู้ดื้อด้านของเจ้าของที่ดินเป็นประจำทุกเดือน ยังดีที่ยังจินเรียนรู้เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ การตกลงกับคู่ค้า และการปฏิเสธข้อตกลงค้าขายที่เธอไม่เห็นด้วยได้ทันเวลา เธอว่าจ้างเด็กสาวกำพร้าสองพี่น้องและกลายเป็นเป็นนายจ้าง เธอคือหญิงม่ายวัยสามสิบเจ็ดปีผู้บริหารบ้านพัก ไม่ใช่สาวน้อยคนเดิมที่ก้าวเข้าประตูบ้านหลังนี้ด้วยสองตีนเปล่ากับห่อชุดชั้นในอีกต่อไป

ยังจินต้องเลี้ยงซอนจาและหาเงินไปด้วย พวกเธอโชคดีที่มีกิจการนี้อยู่แม้ไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านก็ตาม ทุกต้นเดือนลูกบ้านจะจ่ายเงินคนละ 23 เยนสำหรับอาหารและห้องพัก เงินส่วนนี้นับวันก็ยิ่งไม่เพียงพอจะหาซื้อข้าวสารที่ตลาด หรือถ่านสำหรับให้ความอบอุ่น เธอยังคงต้องหาเลี้ยงลูกบ้านในปริมาณเท่าเดิม จะขึ้นค่ากินค่าอยู่ก็ไม่ได้ เพราะลูกบ้านขัดสนไม่ต่างกัน เธอต้มซุปข้นสีน้ำนมจากกระดูกขาและปรุงรสผักเพื่อเป็นกับข้าวที่อร่อยถูกปาก พอถึงปลายเดือนที่เงินแทบไม่เหลือใช้ เธอพยายามทำอาหารจากข้าวฟ่างและข้าวบาร์เลย์กับบรรดาวัตถุดิบที่เหลือติดครัว เมื่อเมล็ดธัญพืชในกระสอบร่อยหรอ เธอผสมแป้งถั่วกับน้ำเพื่อทำแพนเค้กรสกล่มกล่อม วันไหนที่ลูกบ้านหอบเอาปลาที่ขายไม่ได้จากตลาดมาให้เธอ หรือมีปูและปลาแม็คเคอเร็ลเหลือกิน เธอจัดการหมักเข้ากับเครื่องเทศถนอมไว้สำหรับมื้อที่ขาดแคลนที่คงมาแน่สักวันหนึ่ง

ตลอดสองฤดูกาลที่ผ่านมา ลูกบ้านหกคนสับเปลี่ยนกันนอนที่ห้องสำหรับแขกซึ่งมีเพียงห้องเดียว พี่น้องตระกูลชองทั้งสามจากชอลลาโดออกหาปลาตอนกลางคืนและนอนตอนกลางวัน ชายหนุ่มสองคนจากแทกูและพ่อม่ายจากปูซานทำงานที่ตลาดปลาริมฝั่งและเข้านอนช่วงเย็น พวกผู้ชายนอนชิดติดกันในห้องเล็ก ๆ แต่ไม่ปริปากบ่น เพราะบ้านนี้ยังดีกว่าบ้านพักที่เคยอยู่มาในเมืองเกิด ที่นอนสะอาดสะอ้าน อาหารก็อิ่มท้อง พวกผู้หญิงซักผ้าของพวกเขาได้หมดจด ผู้ดูแลบ้านยังช่วยเย็บปะชุดลุยงานของพวกเขาที่ขาดวิ่นให้พอใช้งานต่อไปได้อีกฤดู พวกเขาไม่มีปัญญามีภรรยากับเขาสักคน บริการแบบนี้ก็ถือว่าไม่เลวเลย ภรรยาอาจจะให้ความสะดวกสบายทางกายสำหรับชายที่ต้องออกหากิน แต่ชีวิตคู่ก็นำไปสู่การมีทายาทที่ต้องการอาหาร เสื้อผ้า และที่อยู่อาศัย ภรรยาของผู้ชายจน ๆ ก็มีแนวโน้มจะขี้บ่นและเจ้าน้ำตา พวกเขาเข้าใจดีถึงข้อจำกัดเหล่านี้

ราคาของที่แพงขึ้นประกอบกับรายได้ที่ลดลงเป็นเรื่องน่ากังวล แต่พวกเขาก็ไม่เคยจ่ายค่าเช่าช้ากว่ากำหนด ผู้ชายที่ทำงานที่ตลาดบางครั้งก็ได้ค่าจ้างเป็นสินค้าที่ขายไม่ออก ยังจินเองก็ยินดีรับน้ำมันสำหรับทำอาหารหนึ่งเหยือกแทนเงินสดในวันจ่ายค่าเช่า แม่ของสามีเคยบอกเธอว่าต้องทำดีกับลูกบ้านให้มากเข้าไว้ เพราะอย่างไรก็ยังมีที่พักอื่น ๆ ที่ผู้ชายทำงานพวกนี้เลือกไปอยู่ได้ เธออธิบายว่า “ผู้ชายมีทางเลือกแต่ผู้หญิงไม่มี” เมื่อถึงช่วงปลายฤดูกาล หากยังพอมีเงินเหลือ ยังจินจะหยอดลงในโถดินเผาสีเข้มและซ่อนไว้หลังตู้เสื้อผ้า ที่เดียวกับที่สามีของเธอใช้เก็บแหวนทองคำสองวงที่แม่ของเขาเคยครอบครอง

เมื่อถึงเวลาอาหาร ยังจินกับลูกสาวเสิร์ฟอาหารอย่างเงียบ ๆ ส่วนลูกบ้านก็คุยเรื่องการเมืองกันอย่างโฉงฉาง พี่น้องตระกูลชองไม่รู้หนังสือ แต่ชอบติดตามข่าวสารจากท่าเรืออย่างเอาจริงเอาจัง และชอบวิเคราะห์ชะตากรรมของบ้านเมืองบนโต๊ะอาหารในบ้านพัก

ช่วงนั้นเป็นช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่การออกหาปลาได้ผลผลิตดีเกินคาด พี่น้องชองเพิ่งจะลืมตาตื่น ลูกบ้านกะเย็นกำลังจะกลับเข้าบ้านเพื่อพักผ่อน สามพี่น้องนักหาปลาจะกินอาหารมื้อหลักก่อนออกเรือสู่ทะเล ทั้งพักผ่อนมาเต็มอิ่ม ทั้งกระปรี้กระเปร่า สามพี่น้องเชื่อเหลือเกินว่าญี่ปุ่นไม่มีทางปราบจีนลงได้

“ใช่แล้ว ไอ้เวรนั่นคงได้แต่ตอดเล็กตอดน้อย แต่ไม่มีทางแดกจีนได้ทั้งหมดหรอก ไม่มีวัน!” พี่น้องชองคนกลางประกาศกร้าว

“ไอ้พวกแคระแม่งไม่มีทางล้มอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ได้หรอกเว้ย จีนคือลูกพี่ของเรา! ญี่ปุ่นก็แค่พวกคนถ่อยล่ะวะ” ฟัตโซน้องเล็กตะโกนพร้อมกระแทกถ้วยน้ำชาอุ่น ๆ ลงกับโต๊ะ “เดี๋ยวจีนจะสั่งสอนพวกระยำนี่ คอยดูเหอะ!”

สามพี่น้องล้อเลียนเจ้าอาณานิคมอยู่หลังกำแพงมอซอของบ้านพัก ปลอดภัยจากตำรวจอาณานิคมที่ไม่ยี่หระกับชาวประมงที่มีความคิดใหญ่โต สามพี่น้องคุยโขมงถึงความแข็งแกร่งของจีน ด้วยใจวาดหวังให้ชาติอื่นยืนหยัดต่อสู้ อย่าให้เหมือนกับผู้นำของเขาที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะเกาหลีถูกยึดครองมายี่สิบสองปีแล้ว พี่น้องชองที่อายุน้อยกว่าทั้งสองไม่เคยสัมผัสเกาหลีที่เป็นอิสระจากญี่ปุ่นเลย

“อาจูมอนี[2]” ฟัตโซ ตะโกนเรียกอย่างสนิทสนม “อาจูมอนี”

“ว่าไงจ๊ะ?” ยังจินรู้ว่าเขายังไม่อิ่ม เขาเป็นหนุ่มผอมโกรกที่กินจุกว่าพี่น้องอีกสองคนรวมกัน

“ขอเติมซุปอร่อย ๆ อีกสักชามได้ไหม”

“ได้ ได้ แน่นอน”

ยังจินเข้าไปตักจากในครัว ฟัตโซซดเสียงดัง แล้วทั้งสามก็ออกจากบ้านไปทำงาน

ลูกบ้านกะเย็นกลับมาถึงบ้านให้หลังไม่นานนัก อาบน้ำ และกินข้าวเย็นอย่างรวดเร็ว พวกเขาสูบไปป์เสร็จแล้วเข้านอน พวกผู้หญิงเก็บกวาดโต๊ะและกินข้าวเย็นกันเงียบ ๆ ไม่ให้รบกวนลูกบ้านที่กำลังนอนหลับ คนงานหญิงกับซอนจาจัดครัวให้เข้าที่และทำความสะอาดอ่างล้างจาน ซอนจาเช็กดูถ่านหินก่อนเตรียมเข้านอน คำพูดถึงประเทศจีนของสามพี่น้องยังติดอยู่ในหัว ฮูนีเคยนั่งฟังข่าวสารจากผู้ชายพวกนี้ที่นำข่าวมาเล่าให้เขาฟังอย่างตั้งใจ เขาจะพยักหน้าพลาง ถอนใจพลาง ก่อนจะลุกขึ้นจัดการงานบ้านต่อไป “ช่างเถอะ” เขามักพูด “ช่างเถอะ” ไม่ว่าจีนจะยอมอ่อนข้อหรือโต้กลับ เขายังคงต้องถอนวัชพืชจากสวนผัก สานรองเท้ารองเท้าแตะเพื่อให้มีรองเท้าใส่ และคอยกันพวกโจรที่ชอบย่องมาเอาไก่ซึ่งมีไม่กี่ตัวของเขา

ปลายเสื้อโค้ทขนสัตว์เปียก ๆ ของแบค อีซัค เริ่มแข็งตัวจากความเย็นเยือก แต่เขาก็หาบ้านพักเจอในที่สุด การเดินทางอันยาวนานจากเปียงยางทำให้เขาหมดเรี่ยวแรง ความหนาวที่ปูซานช่างซ่อนรูปตรงข้ามกับหิมะขาวโพลนแบบทางเหนือ ฤดูหนาวของภาคใต้ดูเหมือนอุ่นกว่า แต่ลมยะเยือกที่พักจากทะเลแทรกซึมเข้าสู่ปอดที่อ่อนแอของเขาและซ่านไปถึงไขกระดูก ตอนออกจากบ้าน เขารู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงพอจะเดินทางด้วยรถไฟ แต่ตอนนี้เขาหมดเรี่ยวแรงอีกครั้ง เขารู้ว่าจำเป็นต้องพัก จากสถานีรถไฟในปูซาน เขาโดยสารเรือลำเล็กข้ามทะเลมาสู่เกาะยองโด เมื่อเทียบท่า พ่อค้าถ่านหินแถวนั้นก็นำทางเขามาจนถึงประตูบ้านพัก ก่อนที่จะหมดแรงล้มพับ อีซัคถอนหายใจแล้วเคาะประตู เขาคิดว่าถ้าได้นอนพักเต็มอิ่มซักคืน พรุ่งนี้เช้าอาการคงจะดีขึ้น

ยังจินเพิ่งจะเอนตัวลงนอนบนฟูกผ้าฝ้าย เมื่อคนงานหญิงที่อายุน้อยกว่าเคาะขอบประตูห้องนอนที่เว้าเข้าไปในผนังซึ่งผู้หญิงในบ้านใช้นอนรวมกัน

“อาจูมอนี มีคุณผู้ชายคนหนึ่งมาที่นี่ เขาอยากคุยกับเจ้าบ้าน เกี่ยวกับพี่ชายของเขาที่เคยพักอยู่ที่นี่หลายปีก่อน เขาอยากพักแรมที่นี่ คืนนี้” คนงานหญิงพูดรัวแทบไม่หายใจ

ยังจินนิ่วหน้า ใครกันที่มาถามหาฮูนี? เธอสงสัย เดือนหน้าก็จะครบรอบสามปีที่เขาเสียชีวิตแล้ว

บนพื้นที่ปรับอุณหภูมิให้อุ่น ซอนจาลูกสาวของเธอหลับไปแล้ว มีเสียงกรนเล็ก ๆ ผมสยายเป็นลอนจากเปียที่ถักไว้ตลอดวัน แผ่คลุมหมอนเป็นทรงสี่เหลี่ยมแวววาวราวผืนผ้าไหมสีดำขลับ ข้าง ๆ เหลือที่ว่างสำหรับคนงานให้แทรกตัวเข้ามานอนหลังเสร็จงานในตอนค่ำ

“บอกเขาไปหรือยังว่าเจ้าบ้านเสียไปแล้ว”

“ค่ะ เขาก็ดูแปลกใจ คุณผู้ชายเขาว่า พี่ชายเขาเขียนจดหมายมาหาเจ้าบ้านแต่ไม่มีการตอบกลับ”

ยังจินยันตัวขึ้นนั่ง หันไปคว้าฮันบกมัสลินที่เพิ่งถอดออกแล้วพับไว้อย่างเรียบร้อยข้างหมอนของเธอ เธอสวมเสื้อนวมทับบนกระโปรงและเสื้อคลุม เธอเกล้าผมเป็นมวยด้วยความคล่องแคล่ว

เมื่อได้เห็นกับตา ก็รู้ได้ทันทีว่าทำไมคนงานถึงไม่ไล่ผู้ชายคนนี้ไป เขามีรูปร่างเหมือนต้นสนวัยเยาว์ ตั้งตรงและสง่างาม หล่อแบบไม่เหมือนใคร มีดวงตายิ้มเรียวยาว จมูกโด่ง คอยาว คิ้วเรียบเกลี้ยง เขาดูแตกต่างจากลูกบ้านผมหงอกที่ชอบตะโกนโหวกเหวกเรื่องของกิน ไม่ก็เหย้าแหย่แม่บ้านที่ไม่ยอมแต่งงาน พ่อหนุ่มใส่สูทแบบตะวันตกสวมทับด้วยโค้ทตัวหนา ทั้งรองเท้าหนังนำเข้า กระเป๋าเดินทางหนังและหมวกสักหลาดดูไม่เข้ากับทางเข้าบ้านแห่งนี้เอาเสียเลย มองจากภายนอก ผู้ชายคนนี้น่าจะมีเงินมากพอที่จะหาห้องพักตามโรงแรมในตัวเมืองสำหรับพ่อค้าหรือนักธุรกิจ ถึงแม้ทุกโรงแรมในปูซานที่คนเกาหลีเข้าพักได้จะถูกจองจนเต็มแล้ว แต่ถ้ามีเงินมากพอก็น่าจะพอหาได้อยู่ คนอาจจะคิดว่าเขาเป็นพวกเศรษฐีญี่ปุ่นจากการแต่งตัว คนงานอ้าปากค้าง จ้องเขม็งไปที่ผู้ชายคนนี้ ในใจก็ลุ้นอยากให้เขาได้พักที่นี่คืนนี้

ยังจินน้อมศีรษะ ไม่รู้จะเอ่ยคำว่าอะไร แน่นอนว่าพี่ชายของเขาได้ส่งจดหมายมาที่นี่ แต่เธออ่านไม่ออก สองสามเดือนเธอถึงจะพกจดหมายไปให้ครูใหญ่ในเมืองช่วยอ่านให้ฟัง แต่หน้าหนาวที่ผ่านมาเธอยุ่งจนไม่มีเวลาทำ

“อาจูมอนี” เขาโค้งคำนับ “หวังว่าผมจะไม่ได้ปลุกคุณนะครับ กว่าผมจะลงเรือข้ามฟากก็มืดแล้ว ผมเพิ่งทราบเรื่องของสามีคุณวันนี้เอง ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ผมชื่อแบค อีซัค มาจากเปียงยาง พี่ชายของผมชื่อ แบค โยเซบ เคยพักอยู่ที่นี่เมื่อหลายปีก่อน”

สำเนียงเหนือลื่นหูกับคำพูดคำจาแบบมีการศึกษา

“ผมอยากเข้าพักที่นี่ซักสองสามสัปดาห์ ก่อนจะเดินทางไปโอซาก้าครับ”

ยังจินก้มลงมองที่เท้าเปล่าเปลือยของเธอ ห้องพักเต็มหมดแล้ว และผู้ชายคนนี้คงอยากมีห้องหับเป็นสัดส่วน แต่ดึกดื่นป่านนี้ จะหาคนเรือพาเขากลับไปแผ่นดินใหญ่ก็ท่าจะยาก

อีซัคหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกจากกางเกงเพื่อป้องปากขณะไอ

“พี่ชายของผมพักอยู่ที่นี่เมื่อเกือบสิบปีก่อน ไม่แน่ใจว่าคุณจำเขาได้ไหม เขาชื่นชมสามีของคุณมากเลยนะครับ”

ยังจินพยักหน้า แบคผู้พี่ยังแจ่มชัดในความทรงจำของเธอ เพราะเขาไม่ใช่ชาวประมงและไม่ได้ทำงานที่ตลาด ชื่อโยเซบ ก็เป็นชื่อจริงที่ตั้งขึ้นตามบุคคลในไบเบิ้ล พ่อแม่ของเขาเป็นชาวคริสต์ผู้ก่อตั้งโบสถ์ที่ตั้งอยู่ในตอนเหนือ

“แต่พี่ชายของคุณ ผู้ชายคนนั้นดูไม่เหมือนคุณสักเท่าไร เขาตัวไม่สูง สวมแว่นตากลม ๆ เขากำลังจะเดินทางไปญี่ปุ่น พักอยู่ที่นี่ก่อนไปสักสองสามสัปดาห์ได้”

“ใช่ ใช่ครับ” อีซัคหน้าตาสดใสขึ้นมา เขาไม่ได้พบโยเซบมานานกว่าทศวรรษแล้ว “เขาอยู่ที่โอซาก้ากับเมีย เขาคือคนที่เขียนจดหมายมาหาสามีของคุณ เขากำชับว่าผมต้องพักที่นี่ให้ได้ เขาเขียนถึงปลาค็อดตุ๋นฝีมือคุณด้วยครับ เขาว่า ‘ดีกว่าที่บ้านเรา’ อีก”

ยังจินยิ้ม ใครจะไปกลั้นไหว?

“พี่ของผมบอกว่าสามีคุณทำงานหนักมาก” แน่นอนว่า อีซัคไม่ได้ยกเรื่องเท้าพิการกับเพดานปากโหว่ขึ้นมา โยเซบเขียนถึงรายละเอียดเหล่านี้ในจดหมาย อีซัคเองก็ใคร่รู้จักชายผู้เผชิญอุปสรรคมากมายคนนี้

“กินอะไรมาหรือยังคะ” ยังจินถาม

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ”

“เราพอจะหาอะไรให้กินได้นะ”

“คุณคิดว่าผมจะพักที่นี่ได้ไหม ผมก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองโผล่มาแบบที่คุณไม่ได้ตั้งตัว แต่ผมเดินทางมาสองวันแล้วครับ”

“เราไม่มีห้องว่างเลยค่ะ ที่นี่ก็ไม่ได้ใหญ่โต อย่างที่เห็นนี่ล่ะ…”

อีซัคถอนหายใจแลัวยิ้มให้กับแม่ม่าย มันเป็นเรื่องของเขาเองไม่ใช่ภาระของเธอสักหน่อย เขาไม่อยากทำให้เธอต้องรู้สึกผิด เขามองหากระเป๋าเดินทาง มันวางอยู่ข้างประตู

“ไม่เป็นไรครับ ผมควรกลับไปหาที่พักที่ปูซาน แต่ก่อนจะกลับไป คุณพอจะแนะนำบ้านพักละแวกนี้ที่น่าจะมีห้องว่างได้ไหมครับ” เขาพยายามยันตัวตรง ไม่อยากแสดงให้เห็นถึงความผิดหวัง

“ไม่มีหรอกแถวนี้น่ะ ที่นี่ก็ไม่มีห้องว่าง” ยังจินตอบ ถ้าเธอจับเขานอนกับพวกลูกบ้าน เขาอาจจะหัวเสียกับกลิ่นของพวกผู้ชาย ไม่ว่าจะซักไปกี่น้ำ กลิ่นคาวปลายังติดแน่นอยู่บนเสื้อผ้า

อีซัคหลับตาพลางพยักหน้า เขาหันตัวเตรียมกลับ

“ยังพอมีที่ว่างในห้องที่ลูกบ้านนอนรวมกัน มีอยู่ห้องเดียวอย่างที่เห็นนี่ล่ะ สามคนนอนกลางวัน อีกสามคนผลัดมานอนตอนกลางคืน ขึ้นกับตารางงานของพวกเขา ยังมีที่พอให้แทรกเข้าไปได้อีกคน แต่ไม่สบายหรอกนะ คุณจะลองเข้าไปดูก่อนก็ได้”

“ไม่เป็นไรเลยครับ” อีซัคตอบด้วยความโล่งอก “ผมต้องขอบคุณจริง ๆ ผมยินดีจ่ายเต็มเดือนได้เลยครับ”

“มันอาจจะแออัดกว่าที่คุณคิดนะ สมัยที่พี่ชายของคุณพักอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มีคนเยอะขนาดนี้ ยังไม่ค่อยวุ่นวายเท่าไร ฉันไม่รู้ว่า…”

“ไม่ ไม่เลยครับ ผมต้องการแค่มุมเล็ก ๆ พอซุกตัวนอน”

“มันก็ดึกแล้ว ลมก็แรงมากเลยคืนนี้” ยังจินรู้สึกอายสภาพของบ้านพักของตัวเองขึ้นมาโดยที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ถ้าเขาเปลี่ยนใจอยากย้ายออกพรุ่งนี้เช้าก็จะคืนเงินให้ทั้งหมด เธอคิดในใจ

เธอแจ้งเขาว่าค่าเช่ารายเดือนต้องจ่ายเต็มล่วงหน้า ถ้าเขาจะออกก่อนสิ้นเดือน เธอจะคืนส่วนที่เหลือให้ เธอคิดค่าเช่าจำนวน 23 เยนเท่ากันกับชาวประมง อีซัคนับเงินและยื่นให้เธอด้วยสองมือ

แม่บ้านวางกระเป๋าของเขาไว้หน้าห้องแล้วเดินไปหยิบที่นอนใหม่จากตู้เก็บของ เขาน่าจะต้องใช้น้ำร้อนจากครัวเพื่อชำระล้างร่างกาย คนงานหญิงหลุบตาลงต่ำแต่ในใจอยากรู้อยากเห็น

ในขณะที่ยังจินกับคนงานกำลังจัดที่นอน อีซัคยืนมองอย่างเงียบ ๆ ไม่นานแม่บ้านก็ยกกะละมังน้ำอุ่นกับผ้าเช็ดตัวมาให้ สองหนุ่มจากแทกูนอนเป็นระเบียบอยู่ข้าง ๆ กัน ส่วนพ่อม่ายนอนยกแขนชูขึ้นเหนือหัว ที่นอนของอีซัคปูขนานอยู่กับพ่อม่าย

พอถึงตอนเช้า ลูกบ้านพากันบ่นอุบที่ต้องแบ่งที่พักให้กับผู้เช่าเพิ่มอีกราย แต่ก็ใช่ว่ายังจินจะปฏิเสธเขาได้ลงคอ

3

เช้าตรู่ พี่น้องตระกูลชองกลับจากออกเรือ ฟัตโซสังเกตเห็นผู้เช่ารายใหม่ที่หลับอุตุอยู่ในห้องทันทีที่มาถึง

เขายิ้มให้ยังจิน “ผมดีใจที่เห็นผู้หญิงที่ทำงานหนักอย่างคุณประสบความสำเร็จนะ ฝีมือการทำอาหารของคุณดังไปไกลจนเข้าหูพวกคนรวย ต่อไปคงถึงตาแขกญี่ปุ่น หวังว่าคุณจะเก็บเงินพวกมันสัก 3 เท่าของที่คนจนอย่างพวกเราต้องจ่าย”

ซอนจาส่ายหน้าใส่ แต่เขาไม่ทันสังเกต ฟัตโซชี้นิ้วไปที่เนกไทของอีซัคที่แขวนอยู่

“นี่คือไอ้ที่พวกยังบัน[3]ใช้พันรอบคอเพื่อให้ดูเป็นคนสำคัญงั้นสินะ ยังกับบ่วงคล้องคอแหนะ ฉันไม่เคยได้เห็นใกล้ ๆ มาก่อน หวา ลื่นมือชะมัด!” น้องเล็กถูเนกไทกับเคราของเขา “น่าจะเป็นไหม บ่วงไหมแท้ ๆ!” เขาหัวเราะลั่น แต่อีซัคไม่กระดิก

“ฟัตโซ-ยา[4] อย่าจับของเขานะ” กมโบเอ็ดน้อง พี่ใหญ่ผู้มีผิวหน้าเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำและเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเวลาโกรธ นับตั้งแต่พ่อของเขาจากไปก็เป็นเขาที่คอยดูแลน้อง ๆ ทั้งสอง

ฟัตโซปล่อยเนกไทอย่างว่าง่าย เขาไม่ชอบทำให้กมโบหัวเสีย สามพี่น้องอาบน้ำ กินและนอนหลับ ลูกบ้านหน้าใหม่ยังคงนอนหลับอยู่ข้าง ๆ คนหน้าเก่าต่อไป มีเพียงการไอในลำคอที่ขัดจังหวะการนอนของเขาอยู่เป็นระยะ

ยังจินวานแม่บ้านให้ไปเช็กลูกบ้านคนใหม่ว่าตื่นหรือยัง พวกเธอเตรียมอาหารร้อน ๆ ไว้สำหรับเขา ซอนจาที่กำลังก้มตัวปอกมันหวานอยู่ที่มุมหนึ่ง ไม่ได้เงยขึ้นมองเวลาแม่ของเธอเดินเข้ามาหรือออกไปในห้อง ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วทั้งคู่พูดคุยกันเท่าที่จำเป็น คนงานหญิงไม่รู้ว่าเพราะอะไรซอนจาถึงเงียบลงกว่าปกติ

บ่ายแก่ ๆ พี่น้องตระกูลชองตื่นนอน กินอีกรอบ และออกไปที่หมู่บ้านเพื่อซื้อยาสูบก่อนขึ้นเรือ ลูกบ้านกะเย็นยังไม่กลับจากทำงาน บ้านพักจึงสงบเงียบอยู่สองสามชั่วโมง ลมทะเลแทรกผ่านรูที่กระจายอยู่ทั่วกำแพงและรอบบานหน้าต่าง ก่อเป็นกระแสลมพัดในทางเดินสั้น ๆ ที่เชื่อมห้องต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน

ยังจินนั่งขัดสมาธิใกล้กับจุดที่อุ่นที่สุดของพื้นปรับความร้อนในห้องเว้าที่ผู้หญิงนอนร่วมกัน เธอกำลังซ่อมกางเกงตัวหนึ่งจากกองกางเกงชำรุดของลูกบ้านที่กองอยู่ครึ่งโหล เสื้อผ้าของพวกเขาไม่ได้ซักบ่อย ๆ เพราะมีกันอยู่ไม่กี่ชิ้นและไม่อยากให้ต้องลำบาก

“เดี๋ยวก็สกปรกอีกนั่นแหละ” ฟัตโซตัดพ้อ แต่พี่ชายทั้งสองของเขาชอบให้มันสะอาดอยู่เสมอ หลังจากซักเรียบร้อยแล้ว ยังจินจัดการเย็บปะเท่าที่พอทำได้ อย่างน้อยปีละครั้งเธอจะเปลี่ยนคอปกของเสื้อและเสื้อคลุมที่ไม่สามารถซ่อมหรือซักได้อีกต่อไป เธอผงกหัวสะดุ้งทุกครั้งที่ลูกบ้านคนใหม่ไอขึ้นมา เธอพยายามเพ่งสมาธิไปที่รอยเย็บที่เรียบร้อย มากกว่าลูกสาวของเธอที่กำลังถูพื้นบ้านพัก พื้นเสื่อน้ำมันสีเหลืองถูกกวาดด้วยไม้กวาดและถูด้วยผ้าขี้ริ้วสะอาดด้วยมือวันละสองครั้ง

ประตูหน้าบ้านเปิดออกช้า ๆ แม่และลูกสาวเงยขึ้นจากงานตรงหน้า พ่อค้าถ่านหินชื่อจุนแวะมาที่บ้านพักเพื่อเก็บเงิน

ยังจินลุกขึ้นจากพื้นเพื่อต้อนรับ ซอนจาโค้งคำนับอย่างลวก ๆ แล้วกลับไปทำงานของเธอต่อ

“เมียเธอสบายดีไหม” ยังจินถาม ภรรยาของเขาท้องไส้ปั่นป่วน ทำให้ต้องนอนอยู่กับเตียงบ่อยครั้ง

“เธอตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ออกไปตลาดเรียบร้อยแล้วครับ ห้ามผู้หญิงคนนี้ไม่ให้หาเงินไม่ได้เลย คุณก็รู้นิสัยแม่คนนี้” จุนกล่าวอย่างภูมิใจ

“เธอน่ะเป็นผู้ชายที่โชคดีนะ” ยังจินหยิบกระเป๋าสตางค์เพื่อจ่ายเงินค่าถ่านหินประจำสัปดาห์

อาจูมอนี ถ้าลูกค้าทุกคนเป็นเหมือนคุณ ผมไม่มีทางอดแน่ คุณจ่ายเงินตรงเวลาเสมอเลย” เขาหัวเราะเบา ๆ ด้วยความพอใจ

ยังจินยิ้มตอบ เขาตัดพ้อว่าไม่มีใครจ่ายตรงเวลาอยู่ทุกสัปดาห์ อันที่จริงทุกคนยอมกินให้น้อยลงเพื่อให้มีเงินพอจ่าย หน้าหนาวหนนี้เย็นเยือกเกินกว่าจะไม่ใช้ถ่านหิน พ่อค้าถ่านเจ้าเนื้อยังได้ดื่มชากับกินขนมจากทุกบ้านตลอดเส้นทาง เขาไม่มีวันหิวโหยไม่ว่าปีนั้นจะแร้นแค้นสักแค่ไหน ภรรยาของเขาก็เปิดแผงขายสาหร่ายที่ดีที่สุดในตลาด

“ปลายถนนนี่นะ ไอ้ระยำ ลี-แซกี[5] มันไม่ยอมจ่ายหนี้…”

“อะไร ๆ ก็ลำบาก ทุกคนก็มีปัญหากันหมด”

“ใช่ อะไร ๆ ก็ลำบากมาก แต่บ้านของคุณก็เต็มไปด้วยลูกค้าที่ยินดีจ่ายเงิน เพราะคุณทำกับข้าวเก่งที่สุดในคยองซังโด ศาสนาจารย์คนนั้นพักอยู่กับคุณหรือเปล่า? คุณหาที่นอนให้เขาได้ไหม? ผมบอกเขาไปว่าปลาจานของคุณอร่อยที่สุดในปูซาน” จุนทำจมูกฟุดฟิด สงสัยว่าพอมีอะไรให้เขารองท้องก่อนไปบ้านหลังถัดไป แต่เขาไม่ได้กลิ่นอะไรน่ากิน

ยังจินส่งสายตาไปที่ลูกสาวของเธอ ซอนจาหยุดทำความสะอาด แล้วเดินเข้าครัวเพื่อหาอะไรมาให้พ่อค้าถ่านกิน

“แต่คุณรู้ไหม หนุ่มคนนั้นเขารู้เรื่องฝีมือครัวของคุณจากพี่ชายเขาที่เคยพักที่นี่เมื่อสิบปีก่อน อ่า พุงนี่ความจำดีกว่าหัวใจเสียอีก”

“ศาสนาจารย์?” ยังจินทำหน้าฉงน

“ก็พ่อหนุ่มจากทางเหนือที่ผมเจอเมื่อคืนไง เขาเดินตามหาบ้านไปมาอยู่บนถนน แบค อีซัค เขาออกจะหรู ๆ หน่อย ผมพาเขามาที่บ้านคุณ ตอนแรกก็ว่าจะแวะสักหน่อยแต่ต้องไปส่งของให้โช-แซกีที่เพิ่งจะหาเงินมาจ่ายได้ หมอนั่นหลบหน้าผมมาเป็นเดือน —”

“โอ้ —”

“ช่างเถอะ ผมเล่าเรื่องเมียผมให้ศาสนาจารย์ฟังว่าเธอชอบเจ็บท้อง ว่าเธอทำงานที่แผงหนักแค่ไหน คุณรู้ไหม เขาบอกว่าเขาจะสวดภาวนาให้กับเธอตอนนั้นเลย แล้วอยู่ ๆ เขาก็ก้มหัวลงแล้วหลับตา! ไอ้ผมก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อเรื่องการพึมพำที่คนเขาทำกันนี่หรือเปล่า แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดูดีทีเดียวคุณว่าไหม เขาออกไปหรือยังนะ? ฉันควรไปทักทายซะหน่อย”

ซอนจาถือถาดไม้ที่รองถ้วยชาบาร์เลย์ร้อน ๆ กับมันหวานนึ่งในชามมาเสิร์ฟให้เขา พ่อค้าถ่านทิ้งตัวลงนั่งบนฟูกรอง แล้วจัดการยัดมันร้อนเข้าปาก เขาละเลียดหัวมันแล้วกลับมาจ้ออีกครั้ง

“แล้วเช้านี้ผมถามเมียว่าเป็นไงบ้าง เธอบอกว่าไม่แย่เท่าไร แล้วก็ออกไปทำงาน! บางทีบทสวดนั่นอาจจะมีของดีอยู่ก็ได้ ฮ่า —”

“เขาเป็นคา-ธอ-ลิกหรือ” ยังจินไม่ได้ตั้งใจจะพูดตัดบทบ่อยครั้ง แต่มันไม่มีทางอื่นที่จะคุยกับจุนที่พูดน้ำไหลไฟดับได้เป็นชั่วโมง ๆ สามีของเธอเคยบอกว่าเขาเป็นคนพูดมากเกินไปถ้าเทียบกับผู้ชายด้วยกัน “เป็นนักบวช?”

“ไม่ ไม่ เขาไม่ใช่นักบวช เขาไม่เหมือนพวกนั้น แบคเป็นโปร-แตส-แตนท์ นิกายที่แต่งงานได้ เขากำลังจะไปโอซาก้าเมืองที่พี่ชายเขาอยู่ ผมจำไม่ได้ว่าเคยเจอพี่ชายเขา” เขาเคี้ยวต่อไปอย่างเงียบเชียบสลับกับการจิบชา

ก่อนที่ยังจินจะทันพูดขัด จุนพูดต่อว่า “ไอ้ฮิโรฮิโตะ-แซกีมันยึดประเทศของเรา ฮุบเอาที่ดินงาม ๆ ทั้งข้าวปลา แล้วนี่ยังจะฉกเอาคนหนุ่มสาวของเราไปอีก” เขาถอนหายใจแล้วงับหัวมันต่อ “ผมน่ะไม่โทษเด็ก ๆ ที่อยากไปญี่ปุ่นหรอกนะ อยู่นี่ก็ไม่มีหนทางหาเงิน ไอ้เราน่ะก็สายเกินไป ถ้าผมมีลูกชาย” — จุนชะงัก เพราะมันทำให้เขาเศร้าทุกครั้งที่ต้องคิดว่าเขาไม่มีลูกชาย — “ผมจะส่งเขาไปฮาวาย เมียผมมีหลานชายหัวดีอยู่คนหนึ่ง ทำงานอยู่ในไร่น้ำตาลที่นั่น งานก็หนัก แต่แล้วไง เขาไม่ได้ทำงานให้ไอ้พวกเวรตะไลนี่ ไม่กี่วันก่อนตอนผมผ่านไปที่ท่าเรือ ไอ้พวกเวรนั่นมันพยายามบอกผมไม่ให้ —”

ยังจินหน้านิ่วใส่เขาที่พูดจาหยาบคาย บ้านหลังเล็กแค่นี้ สาว ๆ ในครัวและซอนจาที่กำลังถูห้องนอนคงได้ยินกันหมด แน่นอนพวกเธอก็เงี่ยหูฟังอยู่ตลอด

“ขอชาเพิ่มหน่อยได้ไหมครับ?”

จุนดันถ้วยชาอันว่างเปล่าไปทางเธอด้วยสองมือ

“เป็นความผิดของเราเองที่ต้องเสียประเทศนี้ไป ผมรู้” เขาพูดต่อ “พวกขุนนางชั่วมันหักหลังเรา ไม่มียังบันเลยสักตัวที่ใจกล้าพอ”

ทั้งยังจินและซอนจารู้ว่าสองสาวในครัวกำลังขำกันคิกคัก เพราะคำสบถของพ่อค้าถ่านที่เหมือนกันทุกสัปดาห์

“ฉันอาจจะเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ แต่ฉันก็ตั้งใจทำงานทำการ ไม่มีทางที่ฉันจะยอมให้พวกญี่ปุ่นมาบงการ” เขาดึงผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดออกมาจากเสื้อคลุมที่เต็มด้วยเขม่าถ่านเพื่อเช็ดน้ำมูก “ไอ้พวกเวร ฉันไปดีกว่า ต้องไปส่งของต่อ”

แม่ม่ายบอกให้เขารอขณะที่เธอหายเข้าไปในครัว ยังจินยื่นมันฝรั่งที่เพิ่งขุดขึ้นมาใหม่ ๆ มัดในห่อผ้าให้กับจุน มีมันหนึ่งหัวหลุดจากห่อหล่นกลิ้งไปบนพื้น เขากระโจนคว้ามันไว้และหย่อนลงในกระเป๋าลึกของเสื้อคลุม “อย่าปล่อยให้ของมีค่าสูญหาย”

“ให้เมียของเธอ” ยังจินพูด “ฝากสวัสดีเธอด้วยนะ”

“ขอบคุณครับ” จุนสวมรองเท้าอย่างรวดเร็วแล้วจากไป

ยังจินยังคงยืนอยู่ที่ประตูมองเขาเดินห่างออกไป เมื่อเห็นเขาก้าวเข้าบ้านหลังข้าง ๆ แล้ว เธอจึงกลับเข้าบ้าน

บ้านรู้สึกโล่งกว่าเก่าเมื่อไม่มีคำพูดอวดดีโหมกระหน่ำ ซอนจากำลังคลานเข่าเพื่อเก็บงานถูพื้นโถงทางเดิน ที่เชื่อมห้องด้านหน้ากับส่วนที่เหลือของบ้าน เธอมีหุ่นแน่นกระชับเหมือนท่อนไม้ขาวซีดถอดแบบมาจากแม่ มีมือที่แข็งแรงและคล่องแคล่ว กล้ามเนื้อแขนกำลังพอดีและคู่ขาที่มีพลัง โครงร่างตันแบบมะขามข้อเดียวของเธอถูกสร้างมาเพื่อทำงานหนัก โดยมีความละเอียดอ่อนบนใบหน้าและแขนขาอยู่เพียงเล็กน้อย แต่เธอก็มีรูปลักษณ์ภายนอกที่น่าดึงดูดใจ ออกไปทางหล่อเหลามากกว่างดงาม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ซอนจาก็โดดเด่นเพราะความกระฉับกระเฉงและกิริยาที่สดใสอยู่เสมอ แม้ลูกบ้านจะเรียงแถวขอเธอเป็นคู่ครองอย่างไม่ลดละ แต่ไม่มีคนไหนได้ใจเธอไปครอง ดวงตาสีดำเป็นประกายราวกับหินแม่น้ำวับวาวที่จัดวางบนพื้นผิวสีขาวละเอียด เมื่อใดที่เธอหัวเราะ คุณก็อดหัวเราะไปกับเธอไม่ได้ ฮูนี พ่อของเธอหลงรักเธอตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก และตั้งแต่เล็ก ๆ ซอนจาจำได้ว่าหน้าที่แรกของเธอคือการทำให้เขามีความสุข เมื่อเธอเริ่มเดินได้เอง เธอก็ตามเขาต้อย ๆ เหมือนสัตว์เลี้ยงผู้ซื่อสัตว์ แม้ว่าเธอจะชื่นชอบแม่ของเธอเช่นกัน แต่หลังพ่อของเธอจากไป ซอนจาก็เปลี่ยนจากเด็กหญิงที่รื่นเริงแจ่มใสเป็นหญิงสาวที่มีนิสัยชอบครุ่นคิด

ไม่มีใครในสามพี่น้องชองที่มีเงินพอจะออกเรือน แต่กัมโบพี่คนโตเคยพูดหลายครั้งว่า ซอนจาจะเป็นภรรยาที่ดีให้กับชายที่คิดการใหญ่ ฟัตโซก็ชอบเธออยู่เหมือนกัน แต่ก็ทำใจให้รักแบบพี่สะใภ้ แม้ว่าเธอจะมีอายุ 16 ปีเท่ากันกับเขาก็ตาม ถ้ามีใครในสามคนจะแต่งงาน ก็คงไม่พ้นกัมโบพี่ใหญ่ที่จะมีภรรยาก่อนใครเพื่อน แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีความหมายอีกต่อไป อนาคตอันสดใสของซอนจาเพิ่งจะดับวูบลง เธอตั้งท้องกับพ่อของเด็กที่ไม่อาจแต่งงานกับเธอได้ ซอนจาสารภาพกับแม่ของเธอเมื่อสัปดาห์ก่อน แน่นอนว่ายังไม่มีคนอื่นรู้เรื่องนี้

อาจูมอนี อาจูมอนี!” คนงานหญิงผู้พี่กรีดร้องมาจากหน้าบ้านที่เป็นห้องนอนของลูกบ้าน ยังจินวิ่งแจ้นไปที่นั่น ซอนจาทิ้งผ้าขี้ริ้วแล้วตามเธอไป

“มีเลือด! บนหมอน! เหงื่อโชกเต็มตัวเลยค่ะ!”

บกฮีสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติ เธอไม่ใช่คนที่ชอบทำเสียงดังและไม่อยากทำให้คนอื่นต้องตื่นตระหนก แต่เธอไม่รู้จริง ๆ ว่า ลูกบ้านคนนี้ตายแล้วหรือกำลังจะสิ้นใจ เธอเองก็กลัวเกินกว่าจะเข้าใกล้

ทุกคนเงียบกริบอยู่ชั่วขณะ จนกระทั่งยังจินบอกให้คนงานออกไปรออยู่ที่ประตูหน้าห้อง

“หนูว่า น่าจะเป็นวัณโรค” ซอนจาพูด

ยังจินพยักหน้า สภาพของลูกบ้านทำให้เธอนึกถึงฮูนี ในช่วงไม่กี่สัปดาห์สุดท้าย

“ไปเรียกหมอยามา” ยังจินสั่งบกฮี แต่เธอเปลี่ยนใจปุบปับ “ไม่ ๆ เดี๋ยวนะ ฉันอาจต้องใช้เธอ”

อีซัคนอนหลับอยู่บนหมอน หน้าแดง เหงื่อโซมกาย ไม่รับรู้เลยว่ามีคนกำลังจ้องมองอยู่ ดกฮีผู้น้องเพิ่งจะตามมาจากครัว เธออ้าปากร้องเสียงดังจนพี่สาวต้องรีบทำให้หุบปาก ตอนที่ลูกบ้านคนนี้มาถึงเมื่อคืนก่อน หน้าตาดูซีดเหมือนขี้เถ้า แต่แสงตอนกลางวัน เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาเป็นสีเทา เหมือนน้ำฝนขุ่น ๆ ที่เก็บอยู่ในโถ หมอนของเขาเต็มไปด้วยเลือดเป็นจุด ๆ จากการไอ

“ออม่อ[6] — ” ยังจินอุทาน ทั้งตกใจและกระวนกระวาย “พวกเราต้องย้ายเขาออกไปตอนนี้เลย เดี๋ยวคนอื่นจะติดเชื้อ ดกฮี-ยา เอาของที่อยู่ในห้องเก็บของออกมาให้หมด รีบเลยนะ” เธอจะย้ายเขาไปที่ห้องเก็บของ ที่ที่สามีของเธอเคยนอนซมตอนป่วย แต่คงจะทุลักทุเลน้อยกว่ามากถ้าเขาพอจะลุกเดินไปหลังบ้านได้เอง ไม่ใช่ให้เธอย้ายร่างของเขาด้วยแรงตัวเอง

ยังจินดึงมุมของฟูกนอนเพื่อปลุกให้เขาตื่น

“บาทหลวงแบคคะ คุณคะ” ยังจินเขย่าต้นแขน “คุณ!”

ในที่สุดอีซัคก็ลืมตา เขาจำไม่ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ในความฝันเขาอยู่ที่บ้าน นั่งพักอยู่ใกล้กับสวนแอปเปิ้ล ที่เต็มไปด้วยดอกสีขาวสะพรั่ง เมื่อได้สติถึงรู้ว่าเป็นเจ้าของบ้านพักนั่นเอง

“ทุกอย่างเรียบร้อยไหมครับ?”

“คุณเป็นวัณโรคใช่ไหมคะ?” ยังจินสอบถาม เขาต้องรู้อยู่แล้วเป็นแน่

เขาส่ายหน้า

“ไม่นะครับ ผมเคยเป็นเมื่อสองปีก่อน แต่ก็ไม่มีอาการมาตั้งแต่นั้น” อีซัคแตะที่คิ้ว เขาสัมผัสได้ถึงเหงื่อที่เกาะอยู่ตามไรผม เขาเงยหน้าขึ้นและรู้สึกถึงศีรษะที่หนักกว่าปกติ

“โอ ผมรู้ละ” เขาพูด หลังจากเหลือบเห็นจุดสีแดงเปรอะอยู่บนหมอน “ผมขออภัยจริง ๆ ครับ ผมคงไม่มาที่นี่ถ้าผมรู้ว่าจะทำให้คุณเดือดร้อน ผมควรจะไป ผมไม่อยากให้คุณเสี่ยง” อีซัคหลับตาลงเพราะเขารู้สึกอ่อนเพลียอย่างมาก อีซัคป่วยออด ๆ แอด ๆ มาตลอดชีวิต วัณโรคครั้งนี้เป็นเพียงหนึ่งในอีกหลายความเจ็บป่วยที่เขาต้องทนทรมาน พ่อแม่และหมอของเขาไม่อยากให้เขาเดินทางไปโอซาก้า มีเพียงแค่โยเซบพี่ชายที่คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา อากาศที่โอซาก้าอบอุ่นกว่าที่เปียงยาง อีกอย่าง เขารู้ว่าอีซัคไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนอ่อนแออย่างที่คนอื่นตีตรามาเกือบทั้งชีวิต

“ผมควรกลับบ้าน” อีซัคพูด เขายังคงหลับตา

“คุณจะตายอยู่บนรถไฟ คุณจะทรุดลง ไม่ใช่ทุเลาลงน่ะซี คุณพอจะลุกขึ้นนั่งได้ไหมคะ” ยังจินถามเขา

อีซัคลุกขึ้นนั่งพิงกำแพงที่เย็นเยือก เขารู้สึกเหนื่อยล้ามาตลอดการเดินทาง แต่ตอนนี้เขารู้สึกราวกับมีหมีกำลังออกแรงต้านเขาไว้ อีซัคหยุดพักหายใจ เขาหันไปทางกำแพงเพื่อไอจนหยดเลือดกระเด็นไปติดที่กำแพง

“คุณต้องพักอยู่ที่นี่จนกว่าจะหายดี” ยังจินพูด

เธอกับซอนจาหันมองหน้ากัน ย้อนกลับไปตอนฮูนี ทั้งสองไม่ได้ติดโรคล้มป่วย แต่คนงานหญิงอีกสองคนไม่ได้อยู่ที่นี่ ณ ตอนนั้น อีกทั้งลูกบ้านยังต้องได้รับการป้องกันอยู่ดี

ยังจินมองหน้าเขา “คุณพอจะเดินไปที่ห้องข้างหลังใกล้ ๆ นี้ได้ไหมคะ? เราจำเป็นต้องแยกคุณออกจากคนอื่น ๆ”

อีซัคพยายามยันตัวลุกขึ้นยืนแต่ไม่สำเร็จ ยังจินพยักหน้า เธอวานดกฮีให้ไปตามหมอยา ส่วนบกฮีให้กลับไปที่ครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็นให้ลูกบ้าน

ยังจินพยุงเขานอนลงบนฟูก เธอค่อย ๆ ดึงที่นอนไปทางห้องเก็บของอย่างช้า ๆ แบบเดียวกับที่เธอย้ายสามีของเธอเมื่อสามปีก่อน

อีซัคพึมพำ “ผมไม่มีเจตนาจะทำให้คุณเดือดร้อน”

ชายหนุ่มทรมานตัวเองด้วยปรารถนาจะได้เห็นโลกกว้างนอกบ้านเกิด และหลอกตัวเองว่าแข็งแรงพอจะเดินทางไปโอซาก้า ทั้งที่รู้แก่ใจว่าไม่มีทางหายขาดจากความป่วยไข้ หากเขาเป็นต้นเหตุให้คนที่เข้าใกล้ต้องพลอยติดโรคร้าย ความตายที่เกิดขึ้นก็ถือเป็นความรับผิดชอบของเขา ถ้าเขาจำต้องตายจาก ก็หวังให้ตายเสียเร็วไว เพื่อรักษาไว้ซึ่งผู้บริสุทธิ์

[1] 백일 งานฉลองครบรอบหนึ่งร้อยวัน

[2] 아주머니 คำเรียกผู้หญิงที่อาวุโสกว่า คล้ายคำว่า “ป้า” ของภาษาไทย

[3] 양반 คำเรียกชนชั้นสูงในสังคมเกาหลี เช่น ราชนิกูล ข้าราชการ

[4] เป็นคำลงท้ายชื่อของคนเกาหลี ใช้กับคนใกล้ชิดที่มีอายุน้อยกว่าหรือฐานะต่ำกว่า

[5] 새끼 คำลงท้ายเรียกคนในทางไม่ชอบ คล้ายกับคำว่า “ไอ้” ในภาษาไทย เช่น ลี-แซกี หมายถึง ไอ้ลี

[6] 어머 คำอุทานแสดงความตกใจของคนเกาหลี

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า