อโศกสาง
ปราปต์
ติดตามการวางจำหน่ายได้ทางเพจ “เเพรวนิยายเเปล”
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
o อะไรใหม่มิใช่ความจริงแน่
ความจริงแท้เกิดใหม่เกิดได้หรือ
อะไรใหม่ไม่จริงทุกสิ่งคือ
อะไรจริงใช่ชื่อว่าใหม่เอย ฯ
จาก นิทานเวตาล
พระนิพนธ์ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ
– ต้นเรื่อง –
ผ้าคลุมดูปัตต้าถูกห่อเก็บแล้ว ป้องกันชายยาวเปื้อนเลือด มันอาจทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากตามมา
การเลือกชุดแบบซัลวาร์ กามีซ ที่เป็นเพียงเสื้อคลุมและกางเกงทรงหลวมนี้ ช่วยให้เคลื่อนไหวแคล่วคล่อง สีดำพรางกาย แต่เลื่อมระยับพรายจะวิบวับล่อคนจับตาเหมือนเห็นผี
คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าส่าหรีมีหลายรูปแบบ ชนิดที่คุ้นตาคือส่าหรีชนิดที่มีผ้ายาวผืนหนึ่งจีบและพันรอบตัวผู้ใส่ คู่กับโชลี คือเสื้อเอวลอย อีกแบบที่เห็นบ่อยในซีรีส์อินเดียคือ แลงก้า โชลี (ที่บ้างเรียก กากร้า โชลี) กอปรด้วยเสื้อเอวลอยกับกระโปรงลายปักยาว คลุมไหล่ด้วยผ้าคลุมดูปัตต้า พลิ้วไสว
หลังตรวจชีพจรจนแน่ใจว่าเหยื่อตายสนิท ผู้สวมใส่ซัลวาร์ กามีซ เลือกจัดการกับด้านหลังศีรษะทุยสวยของผู้ตายก่อน ค้อนขนาดเหมาะมือถูกเหวี่ยงใส่กะโหลกไม่กี่ครั้ง จากนั้นจึงบรรจงกอบส่วนที่แตกหลุดออกมา ห่อด้วยที่คลุมผม แล้วมัดรวมกันยื่นเป็นก้อนไปทางด้านหลังต่างมวย
สิ่งที่ไหลออกจากกะโหลกส่งกลิ่นชวนเอียน ทว่ามือค้อนไม่อินัง ชื่นใจมากกว่าที่ขั้นตอนยากสุดผ่านพ้นไปด้วยดี
คราวนี้ก็ข้างหน้า…
มือสวมถุงมือยางบีบข้างแก้มผู้ตาย ทำให้ปากเปิดอ้า แสงไฟจากไฟฉายแบบสวมหัวส่องลึกเข้าไปภายใน
ลิ้นลื่นนัก ใช้คีมลากออกมาง่ายกว่า
ว่ากันว่า ความยาวเฉลี่ยของลิ้นมนุษย์ตั้งแต่คอหอยถึงปลายลิ้นคือสิบเซนติเมตร เราขอแค่ราวนิ้วหนึ่งก็พอ
จัดสภาพให้ลิ้นห้อยค้างได้ตามต้องการ ขั้นตอนถัดไปคือลงมีดกรีดตามแนวยาว
ลื่นชะมัด รู้งี้ติดกรรไกรมาด้วยก็ดี
ข้อความสำคัญในซองถูกวางทิ้งไว้ จัดแจงให้แน่ใจว่าจะไม่ปลิวตามลม หรือมีตัวอะไรมาคาบหาย
ร่างในชุดส่าหรีถอยห่างออกมานิดหนึ่งเพื่อพินิจ กำลังจะลุกผละแล้วเชียว โชคดีที่ทันนึกได้
ขั้นตอนสุดท้าย คมมีดถูกใช้แล่ไสจมูกโด่งงามของเหยื่อหลุดมาทั้งชิ้น
เป็นอันเรียบร้อย เจ้าของมีดค่อยลุกขึ้นพร้อมยิ้มกระจ่าง
ในที่สุดก็สำเร็จอีกหนึ่ง…
. . . . . . . . . . .
กลิ่นหอมฉุยลอยเรียกให้คนบนเตียงกว้างชะโงกเหลียวมา เส้นผมละเอียดสีออกน้ำตาลที่เริ่มยาวหลุดทรงนั้นชี้โย้เย้ แต่ถึงอย่างไรใบหน้าได้รูปและมีเครื่องเคราเหมาะเจาะก็ยังชวนมอง
“ใครให้มึงเข้ามา” เสียงถามยังแหบเพราะน่าจะเป็นประโยคแรกของวัน และถึงอย่างนั้น สายตาก็ไม่ได้จับตามเจ้าของร่างใหญ่ผู้ถือวิสาสะ – ถาดในมือเจ้าตัวอันมีสองชามใหญ่ ควันลอยโชยชายต้นกำเนิดกลิ่นนั่นต่างหาก
“ใจพี่สั่งมา” อีกรายยักคิ้ว ละมือข้างหนึ่งไปลากโต๊ะพับตามมาหยุดข้างเตียง ใกล้จุดที่เจ้าของห้องยังพังพาบอยู่
“มึงนี่ไม่รู้จักสิทธิส่วนบุคคล”
“ถ้าเป็นบุคคลคนเดียวกันล่ะ”
พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มหน้ายักษ์ คนวางถาดลงโต๊ะก็พยักไปด้านหลังเจ้าตัว ตรงนั้นมีตุ๊กตาเสือโคร่งตัวใหญ่หมอบอยู่ พยักทำตาเล็กตาใหญ่ “อย่าคิดว่าเค้าไม่รู้นะ ว่าตัวเองไปซื้อตุ๊กตาตัวนั้นมาทำไม”
“มีคนให้กูต่างหาก!” เจ้าของเสือเหลียวตาม น้ำเสียงภาคภูมิอยู่ในที
เป็นที่รู้กันดีว่าไตรตรึงษ์ไม่เคยขาดคน ‘ปลื้ม’ นอกจากรูปร่างหน้าตา ชายหนุ่มยังมีบุคลิกโดดเด่น เป็นธรรมชาติเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองน่าสนิทเสน่หา
ใช่ แค่ ‘เหมือน’! มโหตรเท่าทันเพื่อนซี้มาแต่เล็ก ไอ้คุณหนูมันรู้ทุกอย่าง! รู้ว่าเวลายิ้มต้องชักมุมปากกี่องศา เห็นไรฟันกี่ซี่ หรือเวลาเหลียวทีต้องเอี้ยวทำมุมเท่าไร ให้ลมพัดปอยผมสะบัดแค่ไหน คนมองอยู่จึงจะตะลึง
มันรู้กระทั่งว่าถ้าทำตัวเก๊ก แสดงความมั่นใจในตัวเองเกินไป ความน่าเอ็นดูก็จะหย่อนลง มันจึงแสร้งถ่อมตัว ไม่แยแสกับตัวเอง ทั้งที่จริงทุกอย่างนั้นถูกสร้างและสะสมมาอย่างอุตสาหะ
“ใครให้” เขาแสร้งถามแล้วตอบเอง “คู่หมั้นที่เทมึงน่ะนะ”
คนภาคภูมิสะดุดหน้าคว่ำลงนิด ไม่ใช่เพราะยังเศร้า ที่จริง ตั้งแต่คุณไฮโซสาวชิ่งมันไปหลังจากคดีบ้านหลาวปีก่อน มโหตรยังไม่เห็นเพื่อนเศร้าจริงจังสักที อย่างมากสุดก็แค่เสียหน้า เพราะรู้สึกว่าประวัติเฉิดฉายของตัวเองมีอันลายด่าง
หนนี้ก็เช่นกัน มันหน้าคว่ำเพราะรู้ตัวว่าถูกแซะ
“ทุกวันนี้เขาก็ยังเสียดายกูอยู่หรอก!”
มโหตรแสร้งทำไม่ได้ยิน ขยับไปลากเก้าอี้ติดล้อจากโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง
คอนโดมิเนียมของไตรตรึงษ์แห่งนี้มีสองห้องนอนกับหนึ่งห้องทำงาน แต่นิสัยผู้เป็นเจ้าของชอบขนงานเข้ามาทำในห้องนอนจนดึกดื่นมากกว่า โต๊ะทำงานในห้องนี้จึงสุมพะเนินต่างจากอีกห้องที่เหมือนแค่จัดไว้โชว์ เพิ่งจะได้เริ่มใช้จริงจังก็ตอนที่มโหตรย้ายเข้ามาอยู่ด้วย หลังเขากับมันลาออกจากงานเพื่อทำตามความฝัน – ฝันในการพิทักษ์โลกของมันนั่นละ
จอดเก้าอี้ที่อีกฝั่งของโต๊ะรับประทานอาหารจำเป็น เหลือบเห็นว่าที่มันก้มหน้าอยู่นั้น จริงแท้กำลังหมกมุ่นอยู่กับหน้าจอสมาร์ทโฟน
“แล้วมึงไปพูดยังไงเขาถึงได้รู้ว่ารักเสือโคร่ง” เขาถาม
มันลอยคาง “ระดับนี้ไม่ต้องพูด คนเขาก็สังเกตจนรู้เอง!”
ผู้ถามหัวเราะเพราะมันไม่เท่าทันนัยของเขา กำลังจะนั่งลง แต่เจ้าของห้องที่ยังอยู่ในห่อผ้านวมดึงตัวเองลุกขึ้นมา ยื่นแขนยาว เอามือมาปัดตัวเขาแล้วชะเง้อดูข้างหลัง
“พี่ใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นจ้ะ ไม่ได้โทงเทงห้อยมาแต่ผ้ากันเปื้อน” คนแจ้งพอจะจินตนาการตามมุมมองของเพื่อนออก ผ้ากันเปื้อนผืนใหญ่ผูกหลังคอและรัดสะเอวเขา คลุมทับเสื้อและกางเกงจนถ้ามองด้านหน้าน่าจะเหมือนไม่สวมอะไรอีกเลย เห็นแต่กล้ามเนื้อเกรียมกร้านของช่วงแขนและขายาว
มโหตรขยิบตา “เสียใจด้วยนะจ๊ะ”
“กูบอกให้ใส่เสื้อดีๆ ก่อนทำครัว เสื้อกล้ามอย่างนี้ เดี๋ยวขนสกปรกของมึงก็ตกลงไปในข้าวกูพอดี!”
“ทำเป็นรังเกียจขน ทีอย่างอื่นไม่รังเกียจ”
“อะไร!” เสียงมันเริ่มตวัด
“ข้าวไง้! เนี่ย แค่เอามาตั้งก็จะจับช้อนแล้ว” ว่าพลางเขาตีมือมัน “ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะจ๊ะคนดี หรืออยากให้พี่ช่วย”
“ไม่ต้อง!”
ครั้นเจ้าของเสียงตะคอกขยับท่อนบนเปลือยเปล่าขึ้นจากห่อผ้านวม มโหตรก็เลิกคิ้ว “โอ้โห! ไม่คิดว่าจะแดงขนาดนั้น”
“อะไร” ไอ้ลิงก้มดูตัวเองตามสายตาเขา พื้นที่หว่างอกและไหล่ กับอีกที่คือตรงหน้าขาเป็นรอยแผลเป็นจากการถูกทำร้ายปลายปีก่อน แต่ที่เขาจ้องไม่ใช่ตรงนั้น มือขาวของมันไล่แปะเข้าสีข้างตัวเอง ผิวเรียบช่วงนั้นกลายเป็นรอยคลื่นและแดงเห่อ “สงสัยเมื่อกี้ตุ๊กตาทับ”
“เปล่า” คนทักแสร้งกะพริบตาปริบ “นมมึงอะ แดงฉิบหาย”
“คว—!”
“นั่นยังไม่เคยเห็น ไม่ต้องสปอยล์บ่อย”
“เดี๋ยวกูถุยน้ำลายลงข้าวมึง!” มันยอมละจากสมาร์ทโฟน โดดผลุบลงจากเตียงอีกข้าง เผยให้เห็นทั้งร่างที่อยู่ในกางเกงบ็อกเซอร์สีเทาอ่อนแค่ตัวเดียว สีผิวขาวนวลอมชมพูและกล้ามเนื้อค่อนข้างชัดทำให้มันดูโป๊มากกว่าผู้ชายทั่วไปเวลาใส่ชุดอย่างนี้
มโหตรชะโงกตามเมื่อเพื่อนเดินเข้าห้องน้ำ “ถ้าพี่ทับจะไม่ให้แดงเหมือนตุ๊กตาทำน้องเลย”
“กินรอกูด้วย!” เสียงคนตัวแดงยังลอยลอดออกมา
มโหตรหัวเราะ “รีบก่อนข้าวจะเย็นนะโว้ย”
ไอ้ลิงไวเป็นลิงสมชื่อเก่าของมัน – ชื่อเก่าที่น่าจะมีเขาเรียกอยู่คนเดียวแล้ว ตอนที่ก้าวออกจากห้องน้ำ หน้าเนียนใสนั้นดูเผือดลงไปเล็กน้อยเพราะเพิ่งลูบล้าง ขอบคางและผมบางเส้นยังแฉะ แล้วที่ชี้โย้เย้ก็ยังตั้งอยู่อย่างเก่า
กับเขา มันไม่เคยเนี้ยบอย่างที่ต้องรักษาภาพกับใครๆ แล้วมโหตรก็พอใจที่ไอ้ลิงยอมให้เขาเห็น
พ่อครัวกำลังใช้ยางรัดผมของตัวเองเป็นมวย หลังจากมันลุ่ยลงมาเมื่อครู่ เส้นผมดำหยักเป็นคลื่นเหมือนสาหร่ายยังยาวไม่เท่าเก่า แต่ไอ้ลิงบ่าวเริ่มบ่นว่ารุงรังอีกแล้ว
เขาพยักไปยังของบนปลายเตียง “ใส่เสื้อซะ เดี๋ยวไม่สบาย”
“กูไม่ใช่เด็กๆ” ถึงพูดอย่างนั้น คนหน้าเปียกก็ยังยอมก้าวไปหยิบสวมโดยดี
“ว่าง่ายแบบนี้สิน่ารัก”
มันดึงเสื้อออก
“อยากให้กูกอดแทนก็ไม่บอก”
พอเขาทำท่าจะขยับลุกจากเก้าอี้ มันก็ยอมใส่คืนดีๆ ขยับมานั่งบนเตียงฝั่งตรงข้ามเขา หน้าโต๊ะที่มีข้าวต้มวางอยู่
“ชอบจริงๆ ปลาชิ้นหนาๆ” มันว่าพลางถูมือเข้าหากัน หยิบช้อนกระเบื้องขึ้นชี้เขาโดยไม่ได้เงยมอง “ไม่เสียทีที่เคยอยู่ตลาดปลา”
มโหตรรู้ว่าเพื่อนล้อเลียน ปีก่อนเขาต้องปลอมตัวเป็นคนงานที่นั่นเพื่อสืบราชการลับ เรื่องราวพัวพันถึงมัน ถึงคนที่มันรัก กับทั้งถึงองค์กรที่เขาและมันทำงานอยู่ ไอ้ลิงขัดใจเพราะสิ้นศรัทธา ชวนเขาลาออกมาตั้งหน่วยงานอิสระเพื่อช่วยเหลือคน เป็นสำนักงานนักสืบชื่อลิงพาดกลอน ตอนแรกไม่มีใครใช้บริการเลย พ่อไอ้แสบกีดกันทุกช่องทางเพื่อต้อนให้มันกลับไปช่วยงานครอบครัว มโหตรต้องปลอบมันด้วยการเล่นตลกเหมือนทุกที
‘มึงตั้งชื่อลิเกแบบนี้สิถึงไม่มีคนเข้ามา ปลายเดือนนี้ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าตัวกูนะ คอยดู จะคิดเป็นอย่างอื่นแทน!’
‘ไอ้เค็ม!’ เวลาอยู่กับเขาลำพัง มันสามารถร้องแรกแหกกระเชอ ‘บ้านกูก็ให้อยู่ฟรี ลูกเมียก็ไม่มี มึงจะเอาเงินไปทำไมนักหนา’
‘งั้นมีเมียเลยแล้วกันวะ!’
ถึงอย่างไร มันก็เอาตัวรอดมาได้ด้วยเส้นสายที่มันชิงชังนั่นละ ไอ้ลิงพาลิงพาดกลอนไปโปรโมตตามสื่อต่างๆ ที่เคยขอมันสัมภาษณ์ในหัวข้อหนุ่มหล่อในฝัน ไม่ทันข้ามวันที่ข่าวออกก็มีคนติดต่อเข้ามาล้นหลาม บอกว่าจะให้ไปสืบเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่สุดท้ายไม่มีคดีไหนเป็นชิ้นเป็นอัน เกินครึ่งในนั้นมันจับได้ว่าผู้ว่าจ้างแค่อยากใกล้ชิดอดีตหมวดหนุ่มสุดหล่อ
‘เออ เปลี่ยนจากสำนักงานนักสืบเป็นบาร์โฮสต์เลยมั้ย ชื่อที่มึงตั้งก็เข้าเค้าอยู่นะ’
‘แล้วหน้าอย่างมึงจะทำไร เป็นแมงดาคุมกูรึ’
‘เท่าที่เคยคลุกคลีมา นอกจากคุมแล้ว แมงดาต้องทำอย่างอื่นด้วยนะ’
ไปๆ มาๆ จึงเหมือนมันจ้างเขามาทำกับข้าวและทำความสะอาดห้องให้มากกว่า ไอ้ปากดีบอกว่า ‘ดีเหมือนกัน ช่วงนี้ก็ถือว่าพักผ่อน กูแทบจะไม่ได้พักเลยตั้งแต่เรียนจบ’ แต่ถึงอย่างนั้น มโหตรก็รู้ทันว่ามันไม่ได้คิดอย่างปากพูดแม้แต่น้อย
“ไหนว่าไม่สนใจคดีบ้าบอ มึงอ่านข่าวฆาตกรรมนิทานเวตาลนั่นทำไม” ชายหนุ่มถามขึ้น หลังจากฝ่ายตรงข้ามตักน้ำซุปซด
“นี่มึงแอบดูมือถือกูเหรอ!”
“เออ กูแอบหล่อลายนิ้วมือมึงไว้เข้าเครื่อง”
มันค้อนควักให้คำประชด รู้แหละว่าสายตาอดีตสายสืบอย่างเขา มองปราดเดียวก็เก็บข้อมูลได้ถึงไหนๆ
ซดน้ำซุปอีกช้อนแล้วมันบอก “ก็เห็นมึงถึงกับซื้อนิทานเวตาลมาอ่านตาม เลยอยากรู้ว่าแม่งสนุกไรนัก”
คดีฆาตกรรมที่ว่านั้นถูกพูดถึงเกรียวกราวตลอดสองเดือนที่ผ่านมา กระทั่งเดี๋ยวนี้ตำรวจก็ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้ และยังสรุปไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นฝีมือฆาตกรต่อเนื่องจริงๆ หรือไม่
เหตุผลหนึ่ง เป็นเพราะนิยามของฆาตกรต่อเนื่องจะต้องก่อเหตุขึ้นสามครั้งเป็นอย่างน้อย ทว่าคดีนี้เพิ่งปรากฏต่อสาธารณชนเพียงสองครั้ง นอกจากนั้นองค์ประกอบสำคัญอันจะสรุปว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องก็ยังคลุมเครือ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการฆ่าที่ต้องเหมือนกัน เป็นการฆ่าที่ปราศเหตุผล หมายถึงฆาตกรและเหยื่อไม่มีความสัมพันธ์กันแต่อย่างใด หรือแม้แต่ลักษณะที่บ่งบอกว่าฆาตกรมีปัญหาทางจิต
สิ่งที่พอแน่ชัดเป็นเพียงแผนประทุษกรรม และบุคลิกลักษณะของเหยื่อ
คดีแรก นายแพทย์ ไถ้ อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด วัย 33 ปี ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลไกลกังวล ประจวบคีรีขันธ์
คดีที่สอง แพทย์หญิง ร้อยกรอง อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด วัย 40 ปี ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลเลิศวิชาญเวช กรุงเทพฯ
มีหลักฐานแสดงชัดว่า คนร้ายสุ่มจับเหยื่อด้วยการโรยตะปูเรือใบบนถนนเปลี่ยวช่วงกลางคืน ครั้นเหยื่อขับรถทับแล้วเผลอเปิดประตูออกมาดูก็จะถูกคลุมหัวลากไปสังหาร ก่อนจัดแสดงศพด้วยท่าทางพิลึกพิลั่น ตลอดจนทิ้งข้อความจากวรรณกรรมเรื่องนิทานเวตาลเอาไว้ด้วย
สถานที่เกิดเหตุรายแรกคือถนนสายเปลี่ยวระหว่างหัวหินซอย 10 กับซอยสมอชัย นายแพทย์ไถ้ถูกลากเข้าข้างทางซึ่งมีลักษณะเป็นลานดินหลังพงรกริมสระบัว คนร้ายรัดคอเหยื่อจนเสียชีวิต แล้วใช้คราดสามง่ามทิ่มค้ำลำตัวให้ยืนอยู่ สภาพศพมีรอยสามง่ามแทงที่ท่อนขาซ้าย รอยประแป้งร่ำกระแจะจันทร์สองข้างแก้ม มือทั้งสองข้างถูกมัดด้วยเชือกประกบกันเป็นท่าประณมถือบัวตูมไว้ดอกหนึ่ง อีกดอกเสียบเข้ากับเรือนผม อีกดอกทัดข้างหู อีกดอกบี้ในปาก อีกดอกถูกเหยียบอยู่ใต้เท้าข้างที่ท่อนขามีรอยแผลจากสามง่าม กับอีกดอกใช้เหล็กแหลมเสียบปักอก ใต้ดอกที่ปักอกนี้ยังมีซองพลาสติกแบบที่เป็นไส้ในแฟ้มเสียบไว้ด้วย ตัวซองปิดอย่างดี ภายในมีกระดาษแผ่นหนึ่งแสดงข้อความด้วยตัวพิมพ์ขนาดพอเห็นชัด ความว่า
o ได้เห็นพระเพ็ญโฉม ดุจโสมสว่างหน
ราคเร้ากำเดาดล จิตเดือดบ่เหือดลง
o ศรทรงอนงค์แผลง พิษแสร้งจะเสียบองค์
ปักในหฤทัยตรง อุระแค้นเพราะแสนคม
o วันพบประสบพักตร์ ศุภลักษณ์มโนรมย์
อิ่มใจจะใคร่ชม บ่มิพริบกระหยิบตา
o เพ็ญโสมบ่เพ็ญศรี ดุจนี้ ณ เวหา
แสงส่องบ่ผ่องปรา กฏอย่างพระนางนวล
o งอนงามอร่ามโรจน์ ฉวิโชติประชันชวน
แข่งขันพระจันทร์บวรณ์ ศศิแน่จะแพ้นาง
o ยามยลพิมลโฉม อุระโหมพระเพลิงพลาง
ร้อนรักตระหนักกลาง จิตข้าศิขาดูร
o นางกลับและลับเนตร ก็เทวศทวีคูณ
เร่าร้อนบ่ผ่อนภูล พิษรักประจักษ์แด
o คิดไปก็ใจหาย เพราะกระต่ายจะหมายแข
เวียนหวังระวังแล ศศิไซร้บ่ไยดี
o อ้านางสอางรัตน์ วรขัติยนารี
โปรดด้วยอำนวยชี วะบ่ตัดสลัดตู ฯ
สถานที่เกิดเหตุรายที่สองคือซอยเล็กบนถนนราชพฤกษ์ แพทย์หญิงร้อยกรองถูกลากเข้าในลานดินห่างจากรั้วโรงงานเย็บผ้าชื่อกรกนกไปไม่ไกล สภาพศพถูกทิ้งนอนตะแคง คนร้ายลากลิ้นเหยื่อออกมาผ่าเป็นสองแฉก ตัดจมูกหาย ทุบกะโหลกด้านหลังจนเสียรูป แล้วล้อมประคองไว้ด้วยเศษผ้า มันสมองนองเนือง
เช่นเดียวกับคดีแรก ซองพลาสติกบรรจุข้อความถูกวางไว้บนอกเหยื่อ อาศัยน้ำหนักมือเหยื่อทับอีกทีมิให้ปลิวหาย แต่ข้อความไม่เหมือนเก่า
“แล้วสรุปว่าเป็นไง” มโหตรเลิกคิ้วให้เพื่อนที่นั่งเป่าข้าวต้มอยู่ฝั่งตรงข้าม “มึงเป็นถึงคนไขคดีบ้านหลาวเชียวนะ”
คดีที่ว่ามีลักษณะละม้ายคดีนี้อยู่เหมือนกัน ฆาตกรสังหารเหยื่อและจัดฉากไว้น่าสยดสยองโดยมีรูปแบบบางอย่างอ้างอิง ทว่าเกิดถี่กว่า และอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ไม่ใช่ห่างคนละจังหวัดเช่นคดีนี้ ที่สำคัญก็คือ—
“นิทานเวตาลไม่ได้มีฉากลงโทษหรือฆาตกรรมไม่ใช่เหรอวะ” ไตรตรึงษ์นิ่วหน้า ท่าทางคงเพิ่งอ่านแค่สภาพเหตุการณ์ ยังไม่ได้อ่านบทวิเคราะห์
“เปิดยูทิวบ์มาดิ” มโหตรกวักมือขอสมาร์ทโฟนจากมัน
คราวนี้เพื่อนยอมเปิดส่งให้อย่างว่าง่าย
ระหว่างค้นหาคลิปที่ต้องการ ชายหนุ่มอธิบาย “มึงรู้ใช่มั้ยว่านิทานเวตาลเป็นเรื่องเกี่ยวกับกษัตริย์ชื่อพระวิกรมาทิตย์ ที่รับภารกิจจากโยคีศานติศีลให้ไปเอาตัวเวตาลมาให้”
“ไม่ค่อยชัวร์”
เห็นมุมปากเขาเริ่มหยักขึ้น มันก็รีบกระชากเสียงทันที “แต่กูเคยได้ยินอยู่!”
“ก็มันมีในบทเรียน”
พอเขารู้ทัน และรู้ว่ามันไม่น่าจะได้อ่านมากไปกว่านั้น ไอ้ลิงก็หุบเขี้ยว
“งั้นรู้ใช่มั้ยว่าเวตาลเป็นศพผีสิงห้อยอยู่ใต้ต้นอโศก”
“แล้วระหว่างทางที่เอาไปให้โยคี เวตาลก็จะเล่านิทานไปเรื่อยๆ หลอกให้กษัตริย์ตอบ ถ้ากษัตริย์หลุดพูดอะไรออกมา เวตาลก็จะลอยกลับไปที่ต้นอโศกเหมือนเดิม อันนี้กูรู้!”
“ก็จำแม่นดีนี่หว่า” มโหตรพยักหน้า “ใช่ เวตาลเล่านิทานสิบเรื่อง”
ไอ้รูปหล่อยักไหล่เหมือนกับว่า เรื่องแค่นี้! แต่แล้วก็ยอมเลิกเก๊ก “แต่กูจำไม่เห็นได้ว่ามีฉากลงโทษโหดๆ พวกนี้”
“เพราะมันไม่ใช่ฉากลงโทษ”
ไม่ต้องรอให้ไอ้ลิงถามอีก ปลายนิ้วของมโหตรกดลงบนคลิปที่เลือกขึ้นมา กะตรงช่วงเวลาอันเป็นใจความได้พอเหมาะ เพราะเขาเองก็เคยดูคลิปนี้มาแล้ว
“—คนร้ายจัดฉากฆาตกรรมโดยอาศัยบทบรรยายในฉากต่างๆ จากวรรณกรรมนิทานเวตาล พระนิพนธ์ของ น.ม.ส. หรือกรมหมื่นพิทยาลงกรณนะคะ—”
“เบื่อหน้ายายนิจนี่จริงๆ” ไอ้ลิงบ่นแทรก
มโหตรหัวเราะ ‘ยายนิจ’ คือนักข่าวสาวผู้วนเวียนทำข่าวคดีซึ่งเคยอยู่ในความรับผิดชอบของไตรตรึงษ์มาแล้วหลายครั้ง
“อย่างน้อยยายนิจก็ไม่มาตามสัมภาษณ์ ว่ามึงรู้สึกยังไงที่กิจการแฟนเก่าโดนแฉจนเละเป็นโจ๊กนะ”
“ยายนี่ถึงได้รางวัลนั่นไง”
อันที่จริง รางวัลนั่นเป็นของทั้งทีมข่าวประเภทสืบสวนสอบสวนที่ได้จากการคุ้ยปมหมู่บ้านป่าโหว่ แต่ในฐานะคนอยู่หน้าจอ เจ้าหล่อนย่อมเป็นหน้าเป็นตาที่สุด
ในคลิป ยายนิจกำลังยืนเล่าสกู๊ปคดีฆาตกรรมนิทานเวตาล พื้นที่ด้านข้างปรากฏภาพสามมิติจำลองสถานการณ์ด้วยเทคโนโลยีอิมเมอร์ซีฟกราฟิก เหตุผลสำหรับผู้ชมคือทำให้เห็นภาพและเข้าใจง่ายขึ้น แต่เหตุผลสำหรับผู้จัดทำคือ นี่เป็นอาวุธช่วงชิงเรตติ้งอีกประเภทที่กำลังได้รับความสนใจในสมรภูมิข่าว
“—การสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มต้นสาวจากข้อความที่คนร้ายทิ้งไว้ ปรากฏว่ามันเป็นอินทรวิเชียรฉันท์จากนิทานเวตาลเรื่องที่หนึ่งค่ะ—”
“ข่าวนี่เลยยิ่งทำให้หนังสือนิทานเวตาลขายดีเข้าไปใหญ่สินะ” ไอ้ลิงเปรย
“ฮื่อ” มโหตรร้องในคอพลางกลืนข้าวต้มอุ่นๆ “ติดอันดับขายดีเลย เห็นว่ามีคนจะเอาไปทำหนังทำซีรีส์ด้วย”
“หรือว่าคนสร้างคดีมันถือลิขสิทธิ์เรื่องนี้วะ”
“ไอ้ทุนนิยม!” เขาส่ายหน้า “ไม่มีคดีนี้ หนังสือก็ดังมาตั้งแต่กลางปีแล้ว”
“ก็จริง” มันทำหน้าคิด สายตายังเพ่งภาพอิมเมอร์ซีฟกราฟิกในคลิป พึมพำคาดการณ์อย่างไม่มีทางรู้ ว่านั่นอาจเป็นเหมือนลางร้าย ต้นทางอันทำให้ทั้งเขาและมันต้องเข้าไปพัวพันกับคดีนี้ในที่สุด
“มึงเชื่อเหมือนกันเหรอ ที่เขาว่าข่าวเมื่อกลางปีอาจจะเป็นต้นเหตุของคดีนี้—”
มโหตรไม่ได้ตอบ เพราะยายนิจพูดขึ้นมาพอดี
“—ถ้ายังจำกันได้ ข่าวนี้โด่งดังเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมานะคะ เรื่องราวแชตบอตของคุณลุงเข็มทิศ” บนพื้นที่ข้างๆ ของคนพูดปรากฏภาพข่าวเก่า เน้นใบหน้าของชายสูงวัยผู้มีมุมปากตกและกึ่งกลางหัวคิ้วเป็นร่องลึก ทำให้ดูหน้าตามู่ทู่คล้ายอารมณ์เสียตลอดกาล
“คุณลุงเพิ่งเกษียณราชการมาอยู่บ้านค่ะ หลานสาวที่กำลังศึกษาต่อด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ก็เลยพัฒนาแชตบอตมาคุยเป็นเพื่อนแก โดยนำข้อมูลจากโซเชียลมีเดียของน้องสาวที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานมาสร้าง แต่ปรากฏว่าเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้น—”
. . . . . . . . . . .
– ข่าวชิ้นที่ 1 –
เสียงร่ำไห้จากโลกวิญญาณ
“—จู่ๆ แชตบอตของหลานสาวก็โคว้ตคำพูดหรือกลอนแปลกๆ ขึ้นมา ตอนแรกคุณลุงเข็มทิศก็งงค่ะว่ามันคืออะไร พอเอาไปเสิร์ชดูถึงรู้ว่าเป็นข้อความจากวรรณกรรมเรื่องนิทานเวตาล แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น เพราะข้อความพวกนี้มาถี่ขึ้นเรื่อยๆ สลับกับข้อความขอความช่วยเหลือจากหลานสาว – ใช่ค่ะ หลานสาวที่ตายไปแล้ว—”
คลิปถูกปลายนิ้วแบนๆ กดหยุด เจ้าของนิ้วดึงสายตากลับมาที่เธอบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ
นักข่าวสาวรู้สึกเหมือนมีมือล่องหนมาอุดจมูก
ยิ่งวัน การสนทนาระหว่างเธอกับหัวหน้าก็ยิ่งนำมาซึ่งอารามหายใจติดขัด
“มันธรรมดาไป”
คำสรุปเรียบง่าย ทว่าเข้าใจยาก
สีหน้าของเธอทำให้เขาถอนหายใจ ปัดป่ายนิ้วไปบนหน้าจอแท็บเล็ตอีกครั้ง เรียกอีกคลิป “ดูนี่”
คลิปใหม่ผู้บรรยายข่าวคือชายหนุ่มร่างเล็กแต่รุ่นใหญ่กว่าเธอ ท่าทางบุ่มบ่าม พูดจาเสียงดังจนแทบสะดุ้ง
“—ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละคุณ แชตบอตของคุณลุงเข็มทิศสร้างมาจากข้อมูลในโซเชียลมีเดียของหลานสาวถูกแมะ เรื่องนี้สำคัญนะคุณนะ! เพราะจริงๆ แล้วน้องข้างแรมหรือน้องแรมเธอเป็นผู้หญิงอายุยี่สิบสองปีที่เงียบๆ แล้วก็เรียบร้อยน่ารักมากเลยแหละ ยอยศไปถามชาวบ้านกับเพื่อนๆ ที่รู้จักเธอ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่าวันๆ เอาแต่ยิ้ม คุณลุงเข็มทิศซึ่งเป็นปู่ของน้องบอกให้ทำอะไรก็ทำหมด แล้วน้องเรียนพอใช้ได้ ไม่ได้แย่ กำลังจะจบมหา’ลัยอีกไม่กี่เดือนนี้ วิทยานิพนธ์ตัวจบก็ทำเรื่องนิทานเวตาลนี่แหละ เธอถึงอินมากแล้วก็เอามาโคว้ตใส่บนเฟซบุ๊กบ่อยๆ แต่ทีนี้ คำว่า ‘ช่วยด้วย’ หรือ ‘ใครก็ได้ช่วยเราที’ พวกนี้มาจากไหน
“เรื่องมันเป็นอย่างงี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจค้นดูในเฟซบุ๊กของน้องแรมแล้วเจอ แต่เจอแค่สเตตัสเดียว เขียนว่า ‘ช่วยด้วย’ – คุณคิดดูดิว่าวันๆ คนเราโพสกันกี่สเตตัส รวมแล้วเป็นร้อยๆ ถูกแมะ แต่นี่เจอสเตตัสเดียว! แล้วน้องตั้งค่าให้มองเห็นได้เฉพาะเพื่อน มีเพื่อนโพสถามว่าเป็นอะไร น้องตอบว่าไงรู้แมะ ยอยศจะอ่านให้ฟังเลยนะคุณนะ น้องเขาว่า ‘เราดูหนัง ขำน้ำตาไหล ปวดท้องมาก’
“ขำ – น้ำ – ตา – ไหล ปวด – ท้อง – มาก นี่หมายความว่าน้องเป็นคนสนุกสนานถูกแมะ แต่ทำไมข้อมูลพวกนี้มันไปแปลความกลายเป็นการขอความช่วยเหลือในแชตบอตได้
“อีกประเด็นก็คือ ก่อนที่น้องจะเสียชีวิตเนี่ย – วันนี้ยอยศใช้คำว่า ‘เสียชีวิต’ แล้ว ไม่ใช่ ‘หายตัวไป’ แบบที่พูดวันก่อน เพราะมีคนท้วงมาว่าคดีของน้องได้ข้อสรุปแล้ว ทำไมยังใช้คำว่า ‘หายตัวไป’ อีก – คือคนสรุปว่าเสียชีวิตน่ะ เจ้าหน้าที่ตำรวจไงคุณ แต่คุณปู่ของเธอหรือคุณลุงเข็มทิศแกไม่ได้เชื่อแมะ คิดดูว่าเด็กผู้หญิงดีๆ ที่ไหน จู่ๆ ขับรถออกจากบ้านไปโผล่ที่ชายป่าละเมาะ แถมพุ่งชนต้นไม้จนรถคว่ำไฟท่วม ท่วมจนตัวเองเหลือแต่โครงกระดูกแทบจะสืบหาต้นตอและยืนยันตัวตนไม่ได้น่ะ
“แต่ไหนๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจเขาพูดว่าเสียชีวิต ยอยศก็จะใช้ตามนั้นนะคุณนะ ป้องกันโดนท้วงอีก แต่คุณต้องไม่ลืมว่าคุณลุงเข็มทิศแกไม่คิดอย่างนั้น พอเห็นคำว่า ‘ช่วยด้วย’ แยะๆ ในแชตบอต แกก็เลยสงสัยแหงะ ว่าตกลงหลานแกเป็นอะไร แล้วไปแจ้งความเอาเรื่องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. เดิม—”
“แค่นี้ก็พอค่ะ” ผู้ถูกขอให้ดูเอ่ยปาก อีกฝ่ายจึงยอมกดหยุดคลิป ทำท่าเหมือนว่า ก็นี่แหละ
แต่เธอยังงง
“ถ้าพี่ทิวบอกว่านี่ ‘ไม่ธรรมดา’ นิจเชื่อ แต่ถ้าจะบอกว่านี่เป็นไดเรกชั่นที่ดีกว่า นิจว่าไม่ใช่”
ทองทิวทำเสียงจึ้กจั้กทันควัน “เราก็เป็นซะอย่างเนี้ย”
ประโยคนั้นดุจเข็มจิ้มใจ อาการเจ็บจี๊ดหวนคืนอีกครั้ง หลังหายไปพักใหญ่ ตั้งแต่เธอโดนปลดจากทีมข่าวสืบสวน ถูกย้ายมาเป็นนักข่าวเฉพาะกิจแทน เน้นรายงานเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง
ใช่ เราก็เป็นซะอย่างนี้!
เพราะนี่คือเหตุผลที่สารนิจตะเกียกตะกายมาเป็นนักข่าว เหตุผลที่เธอรักวิชาชีพนี้ และยอมทุ่มเทเพื่อมัน โดยไม่ได้คิดถึงรางวัลยิ่งใหญ่ใดๆ ด้วยซ้ำ
ด้วยความมุ่งมั่นนี้ หญิงสาวพาตัวเองเข้ามาที่สามัญชนทีวีตั้งแต่เรียนจบ ภาพลักษณ์ช่องข่าวและวาไรตี้เชิงสร้างสรรค์ มีประเด็น เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ดึงดูดเธอตั้งแต่สมัยเป็นเฟรชชี่ สารนิจมีนักข่าวของสามัญชนทีวีหลายคนเป็นไอดอล เธอประกาศจุดมุ่งหมายชัดในการสัมภาษณ์งานวันแรก ผู้สัมภาษณ์ยิ้มขำเสมือนเธอเป็นเด็กน้อย บอกว่านักข่าวสายสืบสวนที่เธออยากเป็นนั้นควรมีประสบการณ์อย่างน้อยห้าปี สารนิจไม่ยี่หระ ยืนยันว่ายินดีเรียนรู้ทุกงาน ด้านใดก็ได้ เพื่อจะไปให้ถึงจุดนั้น
คงเพราะแววมุ่งมั่นแกมดื้อรั้นในตาเธอ กับความมุมานะตั้งแต่เริ่มงานจริงฉายเข้าตาอีกฝ่าย รายนั้นจึงคอยเจียดเวลามาให้คำแนะนำ สารนิจรู้ดีว่าตัวเองมีจุดแข็งหลายอย่าง แต่จุดอ่อนที่มักได้รับคำเตือนก็คือ ‘—รักจะเป็นนักข่าว ต้องรู้จักประสานงาน เข้าถูกคน แล้วก็เข้ากับคนเป็น ปณิธานอย่างเดียวไปไม่รอด ทำตัวแข็งไป ในที่สุดแกจะไม่ได้ข้อมูลหรือความร่วมมือจากใครเลย จำไว้นะไอ้นิจ’ เธอจึงพยายามปรับตัว แม้ธาตุแท้อันทะนงและนิสัยกระด้างแข็งจะคงคืออุปสรรค
กระทั่งปีที่สามของที่นี่ คดีฆาตกรรมในเคหาสน์อาสนมนตรีกลายเป็นงานชิ้นโบแดง สารนิจเกาะติดสถานการณ์จนแทบไม่ได้กินนอน วิ่งสลับระหว่างข้างนอกกับข้างในสถานีจนลืมบ้าน แต่นั่นก็แลกกับผลงานที่ดี ผู้ชมเริ่มคุ้นตา หัวหน้าทีมข่าวสืบสวนเชื่อมั่นและยอมผลักประตูบานใหญ่พาเธอเข้าทีม
ข่าวสืบสวนชิ้นแรกที่ทำ ได้แก่การขุดค้นปริศนาเบื้องหลังการตายของเน็ตไอดอล หลานสาวหุ้นส่วนร้านสะดวกซื้อเชนมหึมา แต่นั่นเป็นเพียงฉากหน้า จุดประสงค์ที่แท้คือเพื่อโน้มน้าวความสนใจของผู้ชมสู่การขยายปมผูกขาดในตลาดค้าปลีก ข่าวนี้ไม่ประสบความสำเร็จนัก เพราะถูกวิพากษ์ว่าจุดเริ่มคดีเป็นแค่อุบัติเหตุและเรื่องส่วนตัว
ข่าวชิ้นต่อมาเธอกับทีมงานลงใต้ไปสืบเบาะแสขบวนการค้ามนุษย์รากษะ แต่ไม่ทันไรก็ต้องเผชิญหน้ากับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องบ้านหลาวอันโด่งดัง สมาชิกในทีมทักว่าเธอสะใจใช่ไหมที่เรื่องจบด้วยความแพ้พ่ายของหมวดไตรตรึงษ์ นายตำรวจหนุ่มไฮโซผู้ดูจะขัดหูขัดตาการทำงานของเธอมาตั้งแต่คดีอาสนมนตรีที่เขารับผิดชอบ สารนิจยอมรับว่าเธอเองก็อคติในความสะอ้านสำรวยเกินอาชีพของเขาอยู่เหมือนกัน ทว่าความวิบัติของเพื่อนมนุษย์ผู้ไม่ได้ทำอะไรผิดนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เธอชมชอบ
หลังจบงานที่ใต้ ต้นปีต่อมาสารนิจเดินทางขึ้นเหนือเพื่อติดตามการประท้วงคดีหมู่บ้านป่าโหว่ ให้บังเอิญอีกว่าเอกชนรายยักษ์ที่พัวพันอยู่เบื้องหลังการทุจริตนั้น คือกิจการของครอบครัวแก้วชิงดวง อดีตคู่หมั้นของไตรตรึงษ์เสียเอง
ไม่นานหลังจากพวกเธอตามเจอประเด็นนักเคลื่อนไหวในท้องถิ่นถูกลอบทำร้ายจนเจ็บหนัก แก้วชิงดวงก็ติดต่อสายตรงมา ทำทีว่าสะดวกจะให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องป่าโหว่และกรณีผู้บาดเจ็บรายนั้น
แน่ละ ไฮโซสาวปฏิเสธความเกี่ยวข้อง แถมฉวยพื้นที่สื่อโปรโมตว่าตัวเองรับดูแลรักษาผู้บาดเจ็บด้วย สารนิจยังจำได้แม่นถึงเสียงหวานมั่นใจ ตอนที่ร่างเปรียวในชุดราคาแพงระยับยืนเกาะอยู่ข้างเตียงเหยื่อ
‘—ปกติถ้ามีเวลา ชิงขึ้นมาเชียงใหม่ทีไรก็แวะมาเยี่ยมคุณตาธารทุกที ชื่นชมคนมีสปิริตนะคะ บ้านเมืองเราต้องการคนแบบนี้’
สารนิจกับทีมได้แต่ลอบกลอกตา จะว่าไป ประโยคนั้นกลายเป็นเชื้อไฟให้พวกเธอเพิ่มแรงสว่านเจาะถึงใจกลางเรื่องสกปรก ทว่าด้วยอำนาจของทางนั้น รายละเอียดที่เตรียมไว้หลายอย่างกลับถูกสกัดไม่ให้นำออกอากาศ เธอต้องยอมถอย แต่การถอยไม่ได้แปลว่าหยุด สารนิจเลือกปูดข้อมูลบางส่วนผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัว กลายเป็นหัวข้อในวงสนทนาที่สังคมช่วยกันสาวต่อราวสามวันติด ชื่อของสารนิจถูกเชิดชู จากที่โดดเด่นมาพักใหญ่ ทุกแสงไฟก็พุ่งมาหาเธอพร้อมเพรียง
แต่แค่ไม่นาน พร้อมๆ กันกับที่สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ประกาศรางวัลชนะเลิศให้ทีมของเธอ จากผลงานข่าวสืบสวนคดีบ้านหลาว คำสั่งด่วนภายในช่องกลับออกมาว่า สารนิจถูกให้พ้นจากทีม
ใครๆ ตบไหล่สงสาร ไม่มีคำพูดแต่ต่างก็รู้ สามัญชนทีวีที่ศักดิ์สิทธิ์ถูกแทรกแซงเสียแล้ว หญิงสาวได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม เตือนตน ไม่ว่าตกไปอยู่กองไหน ให้ทำข่าวอะไร มันก็เป็นสารประโยชน์ได้ทั้งนั้น
ไม่คิดเลย ผลประกอบการของทีวีดิจิทัลที่ตกต่ำลงทุกวันจะทำให้ผู้บริหารถูกปรับเปลี่ยน แล้วแนวทางของสถานีก็เริ่มแปลงไป
สัดส่วนรายการสาระถูกแทรกด้วยบันเทิงมากเข้า แม้แต่รายการข่าวก็เริ่มวางของขายตรง เนื้อหาข่าวเบนมาจับเรื่องชาวบ้านและอาชญากรรม วิธีเล่าต้องเบาและสนุกขึ้น เพียงรายการอันเป็นหน้าเป็นตาของช่องในช่วงไพรม์ไทม์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้คงลักษณะเดิม
สารนิจดีใจกับทีมงานเก่า ขณะที่ตัวเองต้องเผชิญกับหัวหน้าคนใหม่ซึ่งถูกส่งมากระตุ้นเรตติ้งโดยเฉพาะ ความคิดเห็นและแนวทางของเธอถูกปัดตกไปทีละข้อ แล้วก็เป็นอย่างที่คาด จุดตกต่ำสุดเดินทางมาเยือน เธอถูกชี้ให้ดูการรายงานของผู้สื่อข่าวช่องอินทีวีเป็นตัวอย่าง!
สูดลมหายใจเข้า หญิงสาวแทบจะสัมผัสความฉ่ำชื้นในโพรงจมูก ขณะเดียวกันก็ยินเสียงสะอื้นจากจิตวิญญาณสื่อมวลชนของตัวเอง
อินทีวีไม่ใช่สถานีข่าว ต่อให้รายการข่าวหลายช่วงโดยเฉพาะช่วงไพรม์ไทม์อย่างคนอินข่าวจะโกยเรตติ้งได้สูง จนหลายครั้งเอาชนะละครทีวีช่องใหญ่ๆ แต่อินทีวีก็ไม่เคยอยู่ในรายการคู่แข่งของสามัญชนทีวี ยอยศ นักข่าวคนในคลิปตรงหน้าคือตัวแทนที่ดีของบุคลิกช่องนี้
โผงผาง บันเทิง แต่ตื้นเขิน และสักแต่จะขายโดยไร้ความผิดชอบต่อผู้ชมหรือแม้แต่คนในข่าว
พูดง่ายๆ จุดยืนของอินทีวีก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้เม็ดเงินหลั่งไหลเข้าหน้าตัก!
ไม่แปลกหากมันเป็นรายการวาไรตี้ หรือทีวีซีรีส์ อย่างที่เอนเตอร์ไทม์ บริษัทบันเทิงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของอินทีวีผลิตป้อนช่องนั้นตลอด แต่ดีเอ็นเอของข่าวคืออีกอย่าง ต้องนำเสนอความจริงเป็นพื้นฐาน รับผิดชอบต่อสังคม และควรหล่อเลี้ยงด้วยอุดมการณ์ ข่าวของอินทีวีถูกก่นด่าไม่รู้แล้วถึงความพยายามสร้างและเกาะเกี่ยวดราม่า ปั้นดินให้เป็นดาว แล้วก็มอมเมาประชาด้วยอภินิหารอันนำมาถอดเป็นตัวเลข
ตัวยอยศเองก็โด่งดังขึ้นมาจากข่าวที่พี่ทิวเพิ่งเปิดนี่แหละ เที่ยวได้ตามเกาะชายที่ชื่อเข็มทิศ เพิ่มกระพือความสงสัยว่านางสาวข้างแรมยังไม่ตาย และแชตบอตต้นเรื่องอาจเป็นแชตธรรมดา ไม่ใช่แชตบอต ข้างแรมเพียงแต่มีเหตุผลให้ต้องซ่อนตัว และต่อมาเกิดเหตุที่ต้องการความช่วยเหลือ ทว่าบอกตามตรงไม่ได้
“พี่ทิว” สารนิจเอ่ยเป็นคำแรกหลังจากสูดลมหายใจจนเริ่มสงบ “พี่ก็เห็นว่าวิธีปั่นข่าวของยอยศนี่สร้างความเดือดร้อนให้ตำรวจแล้วก็ผู้คนแวดล้อมคุณเข็มทิศขนาดไหน เรื่องมันเคลียร์จบหมดแล้ว ข้างแรมก็ตายมาหลายเดือนตั้งแต่เกิดเหตุรถชน ส่วนแชตบอตที่ข้างขึ้น – หลานอีกคนทำให้คุณเข็มทิศนั่น มันก็แค่เกิดบั๊ก หรือเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมาสักอย่างเท่านั้นเอง ที่ยอยศกับอินทีวีทำเหมือนว่ามันยังมีปริศนานักหนาก็เพื่อยื้อข่าวกระชากเรตติ้งเท่านั้นเอง นี่เป็นวิถีของคนข่าวที่ดีเหรอคะ–”
ไม่รอให้อีกฝ่ายพูด แค่เจ้าตัวเอียงคอตีหน้าหน่าย เธอก็ชิงว่าต่อไป “สำหรับนิจนะ แค่เป็นคน คนกลุ่มนี้ก็ยังถือว่าโคตรอำมหิตเลย!”
“นี่นิจ–”
“พวกนั้นรู้ว่าคุณลุงเข็มทิศแกทำใจไม่ได้ที่หลานตาย ก็เลยอาศัยความหวังริบหรี่ของคนแก่มาเป็นเครื่องมือสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง!”
“นิจ” เสียงเรียกเริ่มแข็งขึ้น เธอจึงจำหุบปาก
“พี่กับ ‘ผู้บริหาร’ ไม่ได้ชี้นิ้วว่านิจจะต้องไปทำอย่างยอยศนะ”
รายนั้นยกย้ำคำ ‘ผู้บริหาร’ เพื่อให้เธอขยาด และไม่อาจเถียงต่อ
เปล่า สารนิจไม่พูดเพราะนับวันยิ่งหน่ายกับคนกลุ่มนั้นมากขึ้นทุกทีต่างหาก
คงเพราะเข้าใจว่าเธอยอมรับสถานะลูกไก่ในกำมือ ทองทิวจึงเริ่มใหม่
“พี่แค่อยากให้นิจใช้ ‘จินตนาการ’ หาวิธีรายงานเรื่องนี้ให้สร้างสรรค์ขึ้น เรื่องจริงมันมีหลายด้าน อย่าไปตัดสินเองสิว่านำเสนอแค่ด้านนี้ๆ ถึงจะดี มีประโยชน์กับคนดู อีกด้านมันอาจจะทำประโยชน์ให้เขาเหมือนกันก็ได้”
อย่างน้อยก็ความบันเทิงเหมือนดูละครน้ำเน่าไง!
เม้มปากเพราะกลัวตัวเองจะหลุดเถียง หญิงสาวก้มหน้า เลี่ยงสายตาไปทางอื่น
“แล้วไอ้คดีแชตบอตนี่น่ะนะ มองอย่างที่คุณลุงเข็มทิศหรือพวกยอยศมันมองก็ไม่เห็นจะผิดตรงไหน นอกจากเลขทะเบียนรถแล้วก็ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้แน่ชัดไม่ใช่รึ ว่าเถ้ากับโครงกระดูกในซากรถที่ถูกไฟคลอกนั่นเป็นของข้างแรมจริงๆ”
ใช่ เพราะเถ้ากับโครงกระดูกที่ถูกเผาขนาดนั้นไม่อาจนำมาตรวจยืนยันตัวบุคคลได้
หากถึงอย่างไร ตำรวจยังมีพยานหลายคนที่ยืนยันตรงกัน ว่าเห็นข้างแรมเป็นผู้ใช้รถคันนั้นเป็นคนสุดท้าย
พยานรายสุดท้ายที่ได้คุยกับข้างแรมคือเจ้าของร้านขายยาในตัวเมืองลพบุรี นายเข็มทิศใช้ให้ข้างแรมขับมาซื้อยาที่นี่บ่อยๆ เจ้าของร้านหนุ่มบอกว่า วันนั้นข้างแรมมีลักษณะมึนๆ เหมือนเมายาแก้แพ้ ตนยังได้เตือนเรื่องการขับรถไว้ด้วยซ้ำ
ส่วนจุดที่รถแล่นไปประสบอุบัติเหตุ จะว่าอยู่นอกเส้นทางก็ไม่ใช่ ถนนผ่านละเมาะไม้สายนั้นคือทางลัดสู่ที่พักของสองปู่หลาน แม้ทั่วไปจะมิใคร่มีคนใช้งานก็เถอะ รถเล็กชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่จนพลิกคว่ำไฟลามท่วม กว่าจะมีคนผ่านมาพบ ทั้งรถทั้งคนขับก็กลายเป็นตอตะโก
อีกประเด็นสำคัญ ข้างแรมเป็นเด็กเงียบหงิม ไม่มีศัตรูที่ไหน แล้วบริเวณที่เกิดเหตุก็ไม่เคยมีข่าวโจรร้าย รถที่เด็กสาวขับก็เก่าแก่ไม่มีราคา ยากที่คนขับจะตกเป็นเป้าหมายในการก่อคดีฆาตกรรม
อันที่จริง มีข้อมูลสนับสนุนให้เชื่อได้ด้วยซ้ำ ว่าข้างแรมจงใจปลิดชีพตัวเอง!
สารนิจเคยดูสกู๊ปช่องอินทีวีนั่นละ คนแถวบ้านของนายเข็มทิศรายหนึ่งเป็นเซียนพระ พอยอยศขอเข้าสัมภาษณ์ก็โบกมือเบ้หน้า ภรรยาของเจ้าตัวต้องออกมาบอก
‘อย่าไปตื๊อเลย ผัวป้าไม่สนิทกับตาทิศ ที่จริงคนแถวนี้ไม่มีใครได้คุยกับตาทิศนักหรอก’
คำพูดเป็นอย่างนั้น แต่สีหน้าพยักเพยิดแทนคำ ‘ไม่สนิท’ และ ‘ไม่มีใครคุย’ ด้วยคำว่า ‘ไม่ชอบหน้า’ ได้ชัดแจ้ง
‘ทำไมเหรอๆ’
‘ก็แกขวางโลกขนาดนั้น ดูอย่างเรื่องหลานสิ ตำรวจบอกว่าตายแล้วๆ ก็ยังไม่เชื่อ พยายามจะขุดคดีขึ้นมาให้ได้ ทีตอนไอ้แรมยังอยู่ล่ะก็ ด่าเช้าด่าเย็น ด่าจนมันเป็นไอ้โรคนั่นน่ะ’
‘โรคอะไรป้า’ คนถือไมค์ตาลุกวาว
ผู้ถูกสัมภาษณ์ชี้นิ้วหงึกหงักอย่างนึกคำไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะบอก ‘อ้อ ซึมเศร้าไง้’
แน่นอน ประเด็นนั้นถูกขุดต่ออีกยาว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีข้อมูลหักล้างได้ว่าข้างแรมยังไม่ตายจริงๆ หรือโครงกระดูกในซากรถคันนั้นเป็นของใครอื่น
คงเพราะนายเข็มทิศไม่เหลือผู้ชิดใกล้ จึงยากจะทำใจ
หากจำไม่ผิด ลูกชายลูกสะใภ้ของชายแก่เลิกรากันไปนาน ต่อมาลูกชายเสียชีวิตด้วยโรคร้าย เหลือแต่หลานสาวสองคนคือข้างขึ้นกับข้างแรม ข้างขึ้นเข้ามาทำงานและเรียนต่อปริญญาโทในกรุงเทพฯ นานๆ จะติดต่อกลับบ้าน มีแต่ข้างแรมที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยราชภัฏท้องถิ่นใกล้จบ เป็นอีกความหวังของปู่ที่เพิ่งเกษียณอายุมาอยู่บ้านเฉยๆ ฟุ้งซ่านไปวันๆ กับการปลูกต้นไม้ เพราะนิสัยดุดันเจ้ากี้เจ้าการไม่มีใครอยากคบหา
ยิ่งถูกยอยศปั่นหัวให้สงสัยในประเด็นไม่เข้าท่า แล้วเต้นตามจนคนใกล้ตัวรำคาญ นายเข็มทิศก็ยิ่งถูกตัดขาดจากวงสังคม เหลือคนคุยด้วยแค่นักข่าวเจ้าเล่ห์
ยอยศแสดงความสนิทสนมเห็นอกเห็นใจประหนึ่งญาติ แต่ที่แท้ตามติดแพร่ภาพชีวิตชายแก่ดุจรายการเรียลิตี้ คุ้ยไปถึงตู้เสื้อผ้าข้างแรม แล้วกระทุ้งกระแสชุดส่าหรีที่เด็กสาวเก็บไว้ ครั้นนายเข็มทิศนึกอะไรได้ ยอยศก็เที่ยวไล่ไปสืบสาวมาออกอากาศจนชาวบ้านแถวนั้นระอาเอือม
คนตรงข้ามโต๊ะของสารนิจพล่ามต่อไปว่า “ส่วนแชตบอตเจ้าปัญหา เอาจริงๆ ถ้าตำรวจยอมตรวจดีๆ แต่แรก ยอยศมันก็คงไม่มีประเด็นให้ขยี้ยาวมาจนป่านนี้หรอกใช่มั้ยล่ะ”
พี่นึกว่าตำรวจเขาว่างจนหาเรื่องทำอะไรไร้สาระแบบนี้ได้สินะ
ถึงจะคิดอย่างนั้น ความมีเหตุมีผลในตัวเองก็ยังเตือนว่า แต่มันก็จริงแหละ
ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจลงแรงกับคดีนี้ มากกว่าแค่คอยตั้งโต๊ะให้นักข่าวสัมภาษณ์ชิลๆ แต่ต้น ยอยศก็จะถูกปิดโอกาสลากประเด็นจนเรื่องลุกลาม ตะแคงวิเคราะห์มาถึงข้อความต่างๆ จากนิทานเวตาลที่ปรากฏขึ้นในแชตบอต จนไปๆ มาๆ วรรณกรรมเรื่องดังกล่าวกลับติดกระแสขึ้นมาเสียฉิบ แม้แต่นักวิชาการและสำนักข่าวออนไลน์ก็ตื่นตาม ทั้งพูดทั้งเขียนถึงประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับงานเก่าชิ้นนี้ สารนิจได้ข่าวว่าเมื่อสองเดือนก่อนถึงกับมีบริษัทหนังกับผู้สร้างทีวีซีรีส์อีกเจ้า (เอนเตอร์ไทม์นั่นละ) ประกาศว่าจะนำนิทานเวตาลกลับมาทำเป็นภาพเคลื่อนไหว ครั้นมีรายชื่อของนักแสดงเริ่มประกาศออกมา มันก็ยิ่งถูกพูดถึง โดยเฉพาะเมื่อไม่ติดลิขสิทธิ์ทางปัญญาอีกต่อไป ตัวละครหรือแต่ละฉากในเรื่องจึงถูกชะลอไปใช้ตามสื่อต่างๆ ทั้งภาพยนตร์โฆษณา มิวสิกวิดีโอ หรือมุกแก๊กตามวงสนทนาทั้งในและนอกโซเชียลมีเดียได้ง่ายๆ
สายตาของสารนิจเพิ่งโฟกัสจุดที่เพ่งอยู่แต่ต้น แม้แต่พวงกุญแจที่ห้อยพ้นขอบกระเป๋ากางเกงของทองทิวออกมาก็ยังเป็นรูปเวตาล!
เพราะต้องทำข่าวนี้ หญิงสาวจึงต้องตามไปอ่านเนื้อเรื่องในวรรณกรรมด้วย เวตาลตามตำนานทางฮินดูคืออมนุษย์จำพวกหนึ่งคล้ายค้างคาว เป็นวิญญาณร้ายวนเวียนในสุสานหรือป่าช้า ตอนกลางคืนออกหากิน แต่ตอนกลางวันจะอาศัยสิงในศพผู้อื่น ศพที่ถูกเวตาลสิงจะมีมือเท้าหันไปข้างหลัง ขยับร่างได้ ออกเดินทางได้ และไม่เน่าเปื่อย พวกมันทำร้ายผู้คนที่เข้าไปรบกวน มีความรู้ประหลาดเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทั้งยังหยั่งรู้จิตใจผู้คน หมอผีจึงนิยมเสาะหานำมาเป็นทาส
น.ม.ส. หรือกรมหมื่นพิทยาลงกรณ ผู้นิพนธ์นิทานเวตาลฉบับภาษาไทยทรงบรรยายว่า เวตาลในเรื่องคือศพมนุษย์ที่ถูกแขวนอยู่บนกิ่งอโศก ศพนั้นลืมตาโพลง มีลูกตาเขียวเรือง ผมและใบหน้าเป็นสีน้ำตาล ขณะที่ท่อนร่างผอมแห้งจนเห็นซี่โครงเป็นริ้วๆ และมีหางเหมือนแพะ
น่าตลกดี เคยมีคนบอกว่ามองดีๆ แล้วอีตายอยศหน้าเหมือนปีศาจนี่ สารนิจเป็นคนสำรวมและเส้นลึกยังถึงกับหลุดขำยกใหญ่
จากอุปนิสัยในเนื้อเรื่อง แรกเริ่มนั้นเวตาลมักถูกให้ภาพเป็นอมนุษย์หน้าตาน่ากลัว หรือไม่ก็เจ้าเล่ห์ชวนขัน แต่เดี๋ยวนี้ หน้าตาเวตาลแตกแขนงไปสารพัน มีทั้งรูปงามอย่างเทพบุตรรัตติกาลแนวการ์ตูนมังงะ ไปจนถึงน่ารักเหมือนกาชาปอง อย่างตัวที่ห้อยอยู่ตรงพวงกุญแจของทองทิวขณะนี้
ทุกคนมองเห็นแต่ด้านดีที่วรรณกรรมเก่าชิ้นนี้กลับมามีลมหายใจ รายการหรือวงเสวนาพยายามเชิญนายเข็มทิศไปสัมภาษณ์ความรู้สึกที่เป็นเชื้อแห่งการปลุกกระแสนี้ ต่อเมื่อเจ้าตัวไม่ชอบข้องแวะ ยอยศก็ได้เดินสายเก็บผลประโยชน์แทน ไม่มีใครคิดว่าตลอดเวลาดังกล่าว ด้านอันตรายของมันกำลังลับคมอยู่ในเงามืด…
“พี่ก็แค่มาเตือนเราน่ะนะ” เจ้าของพวงกุญแจเวตาลขยับสรุป “นิจก็รู้ว่าตอนนี้แนวทางของช่องเราเปลี่ยนไปแล้ว จะอยู่ให้ได้เราก็ต้องปรับ”
จดจ้องคล้ายรอว่าเธอจะพูดอะไร ครั้นไม่เห็นเธอเงยมองด้วยซ้ำ เจ้าตัวก็ว่าต่อด้วยเสียงอ่อนลงอย่างจะประโลม
“ที่จริง ข่าวฆาตกรรมนิทานเวตาลเนี่ยก็มีเรื่องน่าสนใจเต็มไปหมดอยู่แล้ว พี่ว่าหามุมใหม่ๆ มาขยี้ได้ไม่ยากหรอก พี่เชื่อมือเรานะ”
ความรู้สึกถูกคาดหวังและรอคอย ดึงให้เธอช้อนสายตากลับไปจ้องตอบ คู่สนทนากำลังเลิกคิ้วและยักมุมปากให้นิดหนึ่ง
ทองทิวเป็นคนอย่างนี้ หลังจากตบหัวแล้วลูบหลัง เจ้าตัวมักหยุดรอคำรับด้วยเสมอ
โชคดี เสียงอืด…ดังขึ้นเสียก่อน ทั้งจากโทรศัพท์มือถือของเขาและของเธอ
ด้วยสัญชาตญาณนักข่าว เธอกับเขาก้มหาสมาร์ทโฟนของตัวเอง เชื่อแน่ในใจว่าสิ่งที่ถูกส่งมาจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา
. . . . . . . . . .
– ข่าวชิ้นที่ 2 –
พุทธรูปแขนมนุษย์
ชุมชนศรีสุขารมย์เป็นชุมชนใหญ่ในเขตปริมณฑล เดิมแถบนี้เป็นทุ่งนาเวิ้งว้าง มีเพียงวัดโบราณชื่อวัดศรีสุขารมย์ตั้งอยู่โดดเด่น แต่ที่เด่นกว่าเห็นจะเป็นชื่อเสียงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อพระประธาน ชาวบ้านแถวนี้เมื่อขวบปีนั้นจึงมีอาชีพยึดโยงกับกิจการของวัด สารนิจเคยเลาะลัดเข้ามาสมัยที่ทำข่าวการตายของเน็ตไอดอล หลานสาวหุ้นส่วนร้านสะดวกซื้อแบรนด์ยักษ์ ผู้ตายมีที่พักอยู่แถวนี้ นักข่าวสาวพบว่าตามซอกซอยหว่างโรงงาน ห้างร้าน และอาคารใหม่ๆ ยังมีร่องรอยของวิถีชีวิตดั้งเดิมเต็มไปหมด โดยมากเป็นพวกร้านสังฆภัณฑ์เก่าแก่ แผงพระเครื่อง ไปจนถึงธุรกิจเกี่ยวกับงานศพ
หากพูดถึงซอยศรีสุขารมย์ 42 คนเดี๋ยวนี้จะรู้จักในฐานะซอยเล็กๆ ติดกับมหาวิทยาลัยพิพัฒน์บัณฑิต ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านค้าชื่อดังอย่างร้านโชเฮง น้อยคนนักจึงจะรู้ว่าล่วงเข้ามาในซอยลึก ค่อนสู่ปากทางอีกฝั่ง ยังมีโรงหล่อพระพุทธรูปเก่าแก่ตั้งอยู่
โรงหล่อพระกิจวาณิชมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง แนวรั้วคงจะเคยแข็งแกร่งเมื่อกาลก่อน ถึงตอนนี้เสาบางต้นเริ่มโย้ ตาข่ายถักขึ้นสนิม แม้แต่ไม้พุ่มและไม้ยืนต้นรอบบริเวณก็ดูแห้งแกร็น ตรงข้ามกับอีกฝั่งซึ่งถูกทิ้งไว้รกร้าง มีกอไม้ยืนทะมึน อีกทั้งสุมทุมพุ่มพันสายไฟยาวระย้า ลึกเข้าไปจึงคือกำแพงรั้วสูงทึบของมหาวิทยาลัยพิพัฒน์บัณฑิต
มุมข้างประตูรั้วโรงหล่อมีสุนัขพันทางตัวหนึ่งนอนเป็นศพบนพื้นดินปนทราย ไม่มีรอยเลือด ไม่มีรอยบาดแผล ข้างกันคือซากอาหารที่ถูกเทไว้กับพื้น พอจะบอกได้ว่าคือขาหมูพะโล้
ถัดเข้ามาด้านในเป็นที่เก็บพระพุทธรูปซึ่งหล่อเสร็จแล้ว เจ้าของสถานไม่ได้ตีกำแพงล้อม เป็นแต่เพียงโรงอันกอปรด้วยเสาสูงมุงหลังคาแกร่ง อาศัยแผ่นหลังคาโปร่งแสงสลับเป็นช่วงๆ ขณะนี้แสงวันทอลอดกระทบฝุ่นละอองภายในดูเป็นลำ แตะองค์พระพุทธรูปน้อยใหญ่เรียงรายให้ความรู้สึกขรึมขลัง ขณะเดียวกันก็ชวนสะพรึง
เสียงที่ดังที่สุดคือเสียงลั่นชัตเตอร์ ประสานกับเสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามกันนักข่าวให้ออกไปนอกพื้นที่เกิดเหตุ สื่อมวลชนส่วนใหญ่ถูกทิ้งให้ยืนออกันอยู่หน้าประตูรั้ว ถึงกระนั้นก็มีบางรายที่สนิทสนมกับเจ้าหน้าที่ หรืออาศัยทีเผลอเล็ดลอดเข้าไปข้างใน
ปกติสารนิจทำตามข้อกำหนดเพื่อความเท่าเทียมกับสื่ออื่นๆ แต่นี่เป็นคดีใหญ่ ใครๆ ก็ต้องหาทางเข้าไปใกล้จุดเกิดเหตุให้มากที่สุด เมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พอจะรู้จักกันส่งสัญญาณให้เข้าไปได้ นักข่าวสาวจึงเร่งรุดสำรวจ ชี้ให้พี่ป๋องตากล้องคู่ใจเก็บภาพสถานที่ โดยเฉพาะพระพุทธรูปปางตรัสรู้หล่อสำริดองค์ใหญ่กลางโรงเก็บของ
พระพุทธรูปองค์สำคัญนี้ถูกเว้นพื้นที่รอบๆ ไว้อย่างผิดแปลก ที่น่าประหลาดกว่าคือ เมื่อมองจากด้านหน้าจะพบว่าตรงช่องว่างหว่างแขนขวากับสะเอวขององค์พระ มีแขนมนุษย์โผล่ออกมาข้างหนึ่ง แขนนั้นยาวและผอมดำตัดกับสีองค์พระมันเลื่อม ส่วนมือที่ดูแห้งเป็นแผ่นพาดมาแปะอยู่เหนือท่อนแขนองค์พระ ไม่ผิดสัตว์ร้ายกำลังไต่กระดืบ
ต่อเมื่ออ้อมมามองจากด้านหลัง จึงจะพบว่าส่วนร่างของเจ้าของมือนั้น ถูกซุกอยู่ในองค์พระ แผ่นหลังสำริดเจาะเป็นโพรง ทำให้ท่อนบนของเจ้าของมือโผล่ออกมาได้ในลักษณะเอียงๆ เพื่อสอดแขนพาดไปด้านหน้า ช่องแคบระหว่างแขนกับสะเอวขององค์พระคงจะช่วยยึดให้รักษาท่าทางดังกล่าวได้ เพราะส่วนศีรษะของเจ้าตัวหงายทิ้งตามแรงโน้มถ่วงมาทางด้านหลัง ปากเปิดอ้า เปลือกตาก็เปิดเห็นดวงตาเหลือกลอย
แม้จะเคยเห็นภาพสยดสยองผ่านตามาไม่น้อย ภาพดังกล่าวยังทำให้สารนิจเย็นหวิวบนผิวหนัง กำลังจะก้าวถอยออกมา เสียงหนึ่งดังกลับแทรกขึ้นจนทุกคนหันไปมอง
“อยู่นั่นๆ!”
ยอยศนั่นเอง เดี๋ยวนี้นักข่าวอินทีวีรายนี้กลายเป็นคนดังไปแล้ว แค่ได้ยินเสียง คนส่วนใหญ่ก็หันตามไปด้วยความตื่นเต้น
เจ้าตัวเพิ่งเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ ร่างเล็กแต่พุงพลุ้ย มีตาโปนบนใบหน้าสีน้ำตาลเหมือนเวตาล พยายามดุ่มดั้นฝ่าเจ้าหน้าที่และสื่อรายอื่นตรงเข้ามายังจุดที่เห็นภาพชัดเจนที่สุด สารนิจกลอกตาพลางเอี้ยวหนีอย่างเอือมๆ จังหวะนั้นพลอยเห็นนักข่าวที่ไม่รู้จักอีกรายกำลังล้ำเข้าไปถ่ายตะกร้าสานขนาดใหญ่ไม่ไกลกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจยกมือห้าม “เฮ้ยคุณ จากสำนักไหนเนี่ย บอกว่าให้ออกไปไง!”
ยอยศยิ้มพยักให้คนอื่นๆ เป็นเชิงขอบคุณที่เปิดทางให้ กลิ่นตัวอันเป็นเอกลักษณ์ลอยมาแตะจมูกสารนิจ ไม่อาจบอกได้ว่าหอมหรือเหม็น แต่เป็นกลิ่นที่เธอไม่อยากเข้าใกล้
“หวัดดีครับ หวัดดีครับ ขอแป๊บหนึ่งน้า”
จะว่าไปรายนี้คือตัวอย่างที่ดีของผู้เชี่ยวชาญการประสานสิบทิศ รู้จักนอบน้อมเสียงอ่อนเสียงหวานเพื่อบรรลุเป้าหมาย น่าเสียดายที่เป้าหมายนั้นไม่ใช่ความจริงเพื่อประชาชน
นักข่าวสาวกระเถิบถอยอีกนิดเมื่อคนหน้าเหมือนเวตาลเบียดมายังจุดที่เธอยืน
เป็นเช่นที่พี่ป๋องเคยกระซิบ ยอยศมักแทรกเข้าหาตำแหน่งที่สารนิจประจำอยู่ในที่เกิดเหตุ ปกติเธอไม่สนใจใครเป็นพิเศษ เห็นเป็นคนวงการเดียวกัน พอจะคุ้นหน้ากันก็พยักทักตามมารยาท – กับนักข่าวจรรยาบรรณชำรุดอย่างหมอนี่แทบไม่อยากทักด้วยซ้ำ ตอนแรกได้ฟังคำพี่ป๋อง นักข่าวสาวบอกปัดว่าน่าจะแค่บังเอิญ แต่ไปๆ มาๆ ท่าจะมีเค้า
นอกจากแทรกแย่งพื้นที่ ยอยศยังชอบทำตัวใหญ่หรือเสียงดังเรียกความสนใจจากเธอ ทำนองว่าได้ประเด็นที่น่าสนใจละ หรือคืนนี้คนอินข่าวน่าจะคว้าเรตติ้งเป็นอันดับหนึ่งของรายการข่าวตามเคย
‘หมาหวงก้าง’ พี่ป๋องเคยวิพากษ์
ครั้นเธอทำหน้างง ตากล้องจึงอธิบาย ‘ก็ตอนนี้มันกำลังเป็นดาวในหมู่นักข่าว คงกลัวว่านิจจะมาสอยดาวร่วงแล้วเจิดแทนน่ะสิ’
‘ถ้าคิดแบบนั้นก็หูตาโคตรแคบจนไม่น่ามาทำอาชีพนี้ นักข่าวพม่าที่นิจรู้จักยังทักมาปลอบเลย ตอนที่กระเด็นจากงานเดิมน่ะ’
‘เฮ้ย’ พี่ป๋องเป็นคนไม่ชอบยิ้มเห็นฟัน หนวดเครารกเรื้อยิ่งทำให้ยากจะเห็นว่าตกลงยิ้มอยู่หรือไม่ ครั้งนั้น ถ้าไม่เพราะคำพูดเจือขัน สารนิจอาจไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังหัวเราะ ‘คนมันไม่เจ๋งจริงน่ะนะ อยู่ที่ต่ำก็อิจฉาคนข้างบน อยู่ที่สูงก็กลัวใจคนข้างล่าง ต่อให้ใครจะเม้าท์กันยังไง แต่ชื่อนิจมันใหญ่นะโว้ย รางวัลก็เพิ่งจะได้มา–’
‘รางวัลของทีม ไม่ใช่ของนิจคนเดียว’
‘ไม่เชื่อก็ดูกันต่อไป๊ ที่พูดเนี่ยให้ระวังไว้’
เพราะเดี๋ยวนี้ คดีฆาตกรรมนิทานเวตาลกลายเป็นข่าวสำคัญของข้นชนข่าว ซึ่งสามัญชนทีวีออนแอร์ชนกับคนอินข่าวทางอินทีวีเช่นกัน ไหนจะแนวทางการขยี้ และความพยายามสร้างดราม่าเรียกเรตติ้งที่หัวหน้าของเธอเริ่มเอนเอียงไปตามอินทีวี สารนิจจึงกลายเป็นคู่แข่งหลักของยอยศไปโดยปริยาย
ทั้งที่หากเปรียบกัน สารนิจไม่มีอาวุธใดๆ พร้อมจะสู้ในแนวทางนั้น แหล่งข่าวคนสำคัญๆ ในคดีอย่างนายเข็มทิศและคนแถวบ้าน ล้วนถูกอินทีวีหว่านเงินล่อ โน้มน้าวให้มอบข้อมูลแก่ยอยศก่อน จำนวนเงินปกติจะถูกทบเพิ่มหากมีช่องอื่นพยายามแย่ง – แน่นอน ไม่ใช่ช่องจนๆ อย่างสามัญชนทีวี
ล่าสุดสารนิจได้ยินว่า ยอยศไปยื่นข้อเสนอจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของข้างขึ้น หลานสาวนายเข็มทิศผู้ประดิษฐ์แชตบอตเจ้าปัญหานั่น ดีแต่ว่าสาวเจ้าเป็นตัวของตัวเองและมีสมองมากพอจะปฏิเสธ
ลับหลังยอยศทำอย่างนั้น ต่อหน้ายังพยายามแทรกมาจุดที่เธอยืน เพื่อจะเห็นจุดที่เธออาจเห็นแล้วเปิดบางประเด็นได้ มุมภาพที่เธอเลือกให้ตากล้องถ่ายจะต้องมีอยู่ในกล้องของอินทีวีเช่นกัน มากกว่านั้น มันทำให้ยอยศรู้ว่าคู่ต่อสู้มีอะไรในมือ และควรหาภาพ หรือประเด็นแบบไหนมาแย่งความสนใจผู้ชม
พอได้ยืนแทนที่เธอ ยอยศก็หันถามเจ้าหน้าที่ตำรวจคนข้างๆ “ไหนล่ะ หลักฐานที่ว่าอาจจะเป็นฆาตกรรายเดียวกัน”
ผู้ถูกถามเป็นตำรวจชั้นผู้น้อยที่น่าจะไม่เคยเจอคดีใหญ่ๆ และนักข่าวผู้โด่งดังมาก่อน จึงดูตื่นเต้นพอสมควรขณะพยักไปทางหน้าองค์พระ “ที่มือศพนั่นครับ”
ชะโงกตามคำบอก ดวงตาโปนของยอยศยิ่งโปนขึ้นเมื่อพบว่า มือของศพอันเป็นสีคล้ำ กอปรด้วยเล็บตัดสั้นสีอ่อนกว่า ซึ่งวางอยู่บนท่อนแขนของพระพุทธรูป ที่แท้ข้างใต้นั้นมีซองพลาสติกใสแนบไว้ด้วย ภายในบรรจุกระดาษลังเขียนข้อความด้วยปากกาเมจิเป็นตัวอักษรโย้เย้
O อันปวงกรรมทำไว้ในปางหลัง เป็นพืชยังปางนี้ให้มีผล
หว่านพืชดีผลดีมีแก่ตน หว่านพืชชั่วกลั้วผลที่ข้นแค้น
อันความจริงข้อนี้มีมาแล้ว ไม่คลาดแคล้วเป็นอื่นทุกหมื่นแสน
จะเปลี่ยนชั่วให้ดีมีมาแทน ถึงแม้นแมนแม่นไม่เปลี่ยนได้เอย ฯ
. . . . . . . . . .
“—คุณผู้ชมคะ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่โรงหล่อพระกิจวาณิชในซอยศรีสุขารมย์สี่สิบสอง โดยจุดที่พบศพคือภายในองค์พระพุทธรูปสำริดปางสมาธิขนาดหน้าตักห้าสิบนิ้วกลางคลังสินค้านะคะ ผู้ตายเป็นชายอายุประมาณสามสิบห้าปี ไม่พบบาดแผลถูกทำร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานขั้นต้นว่าอาจถูกวางยาพิษก่อนจะนำศพมายัดไว้ในองค์พระ โดยที่มือของผู้ตายมีแฟ้มใสใส่ข้อความที่คัดลอกจากวรรณกรรมนิทานเวตาลทิ้งไว้ด้วย
“จากการสอบสวนนายเลื่องหัวหน้าโรงหล่อ ให้การว่าตนและคนงานในโรงหล่อไม่มีใครเคยเห็นหน้าผู้ตายมาก่อน โดยช่วงเช้าวันนี้ตนเปิดประตูรั้วพาคนงานเข้ามาทำงาน รู้สึกผิดปกติเมื่อพบว่าสุนัขที่เจ้าของโรงหล่อเลี้ยงไว้นอนตายอยู่หน้าทางเข้า จึงรีบให้คนงานตรวจสอบพื้นที่ ปรากฏว่าพบศพปริศนาถูกยัดไว้ในองค์พระนี้นะคะ คาดว่าคนร้ายน่าจะนำมาซุกไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เนื่องจากนายกิเลน กิจวาณิช เจ้าของโรงหล่อเพิ่งเดินทางไปเยี่ยมบ้านคนรู้จักเมื่อวานนี้ และประสบอุบัติเหตุจนต้องถูกนำตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาล ไม่ได้เข้าพักที่นี่เช่นทุกคืน
“ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของพื้นที่ได้เร่งประสานหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรมนิทานเวตาลแล้ว หลังจากตรวจสอบเพิ่มเติมจะแถลงสรุปผลในช่วงบ่าย ในเบื้องต้นดิฉันกับทีมสามัญชนทีวีของเราได้ลองเดินตรวจสอบพื้นที่ใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ พบว่าซอยศรีสุขารมย์สี่สิบสองเป็นซอยค่อนข้างแคบ แต่มีผู้อาศัยอยู่ไม่น้อยค่ะ เนื่องจากตัวซอยมีความยาวมากถึงหนึ่งจุดหนึ่งกิโลเมตร แต่ตลอดซอยแทบไม่มีกล้องซีซีทีวีอยู่เลย เท่าที่เห็นก็จะเป็นอย่างนี้ คือมีแต่กล้อง สายไฟไม่มีนะคะ ส่วนยานพาหนะที่คนร้ายใช้ยังคงต้องตรวจสอบต่อไป แต่ถ้าคุณผู้ชมยังจำกันได้ ในกรณีของนายแพทย์ไถ้กับแพทย์หญิงร้อยกรอง คนร้ายอาศัยรถเช่าแล้วปิดป้ายทะเบียนปลอมทับอีกที ทำให้การติดตามตัวผู้ให้เช่าเป็นไปด้วยความยากลำบาก และจนถึงตอนนี้ยังคงไม่มีมาตรการแก้ไขในส่วนนี้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด
“สำหรับกรณีศพในองค์พระหนนี้ ตรวจสอบจากข้อความที่คนร้ายทิ้งไว้ ปรากฏว่าเหตุการณ์ที่นำมาใช้จัดฉากฆาตกรรมมาจากนิทานเรื่องที่แปดค่ะ เรื่องของพระยศเกตุและทีรฆะทรรศิน–”
. . . . . . . . . .
“—ใช่ครับคุณผู้ชม นี่ศพที่สามแล้ว ยอยศบอกแล้วว่าให้ซื้อหนังสือติดบ้านไว้เลย ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจยังตามจับคนร้ายไม่ได้ เดี๊ยวมันต้องเกิดเรื่องให้เราเปิดค้นอีกแหงๆ
“นิทานเรื่องที่แปดนี่เป็นเรื่องของพระราชาบ้าผู้หญิง ในหนังสือเขาเขียนไว้ว่า ‘…เธอทรงหมกไหม้ใฝ่ฝันในกามารมณ์ พระเนตรคอยจะเพลินอยู่ง่ายๆ แลเพราะพระเนตรเพลินง่าย จำนวนนางข้างในจึงไม่น้อยแลเพิ่มร่ำไป’ อุ๊…หู! ถ้าเขียนละเอียดกว่านี้ยอยศอาจต้องเซ็นเซอร์ตัวเองแล้วแหละ แหะๆ พระราชาองค์นี้ชื่อพระยศเกตุ วันๆ ไม่ทำงานทำการอะไร โบ้ยให้มุขมนตรีชื่อทีรฆะทรรศินทำอย่างเดียว คนก็นินทาไม่รู้จะยังไง เขาว่าอย่างนี้แหงะ – ‘…พระองค์ผู้เป็นพระราชาได้ทรงฟังคนทั้งหลายยกยอพระองค์ คือเจ้าบทเจ้ากลอนที่เรียกแก้วทั้งเก้านั้นเป็นต้น แต่ในขณะที่ถูกยกมากนั้น ถ้าทรงคิดว่าถูกนินทาน้อย พระองค์ก็คิดผิดไกลทีเดียว’
“ตัวทีรฆะทรรศินเองก็โดนไม่แพ้กันนะคุณนะ ทำงานดีเกินไปคนหาว่ามีแผนจะล้มเจ้า เลยรีบแกล้งทูลขอพักราชการ บอกว่าจะไปบำเพ็ญกุศล พระราชาขัดไม่ได้ แล้วทีรฆะทรรศินก็ดั๊นได้ติดเรือพ่อค้าล่องไปในทะเล วันดีคืนดีเกิดมีต้นกัลปพฤกษ์งอกขึ้นกลางน้ำ แถมมีนางวิทยารีโฉมงามโผล่ขึ้นมาขับกลอนด้วย ซึ่งกลอนที่ว่าก็คือกลอนที่ไอ้คนร้ายทิ้งไว้ในคดีหนนี้แหละ
“ทีรทรรศ – โอ๊ย ขออภัย ลิ้นเริ่มพันกัน ชื่อเรียกยากแหงะ – ทีรฆะทรรศินก็กลับมาทูลเล่าในพระยศเกตุฟัง พระยศเกตุเลยอยากเจอบ้าง ถึงกับทิ้งบ้านทิ้งเมืองไปล่องเรือแล้วกระโดดลงเมืองบาดาลตามสาว นางวิทยารีก็มีใจรักพระยศเกตุยอมเป็นเมียง่ายๆ นะคุณนะ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องให้นางไปไหนก็ได้เดือนละสี่วัน คือทุกวันแปดค่ำและสิบสี่ค่ำ พระราชาของเราก็ปาดเหงื่อแมะ แต่ก็เออออไปอย่างนั้น พอถึงวันจริงก็แหกคำสัญญาเป็นปกติ
“ทีนี้เป็นซีนสำคัญแล้วนะคุณนะ ที่ยอยศต้องเล่ามาถึงนี่ไม่ใช่จะแข่งกับคนทำคลิปสปอยล์ในยูทิวบ์ เดี๋ยวจะมีคนหาว่าเล่ายาวเรียกเรตติ้งอีกแหงะ แต่ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ คือพอพระยศเกตุตามไปก็เลยได้เห็นว่าเมียใหม่ในฮาเร็มตัวเองโดนรากษสกินว่ะเฮ้ย ถ้าใครงงว่ารากษสคืออะไร มันก็คือยักษ์นะคุณนะ พระยศเกตุแกก็โกรธยักษ์ ชักดาบฟันคอขาดเลย พอยักษ์ตาย นางวิทยารีก็เลยออกมาจากกายรากษสได้
“เป็นไง คุ้นๆ แมะ รู้สึกแมะว่าฉากนี้อาจจะเป็นฉากเดียวกับที่ไอ้คนร้ายมันจัดท่าทางเหยื่อไว้ แต่แทนที่จะเลือกรูปปั้นยักษ์ ดั๊นเลือกพระพุทธรูปแทน เพราะอะไรหว่า – เพราะมันเป็นคนชั่วแมะ อันนี้เราต้องก็เดากัน คือคนชั่วมันอาจจะมองสลับกับเราว่าคุณพระคุณเจ้ากลายเป็นยักษ์สำหรับมัน เดี๋ยวต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจเขาแถลงการณ์กันอีกทีนะคุณนะ
“แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เจ้าของโรงหล่อพระดวงตกแล้วแหละ ถ้าได้ติดตามข่าวช่องอินทีวีเมื่อค่ำวานนะ เราได้นำเสนอเรื่องเซียนพระที่โดนตู้ล้มทับด้วย นั่นแหละ นายกิเลน กิจวาณิช เจ้าของโรงหล่อนี้–
“คือเมื่อเย็นวาน นายกิเลนแกไปเยี่ยมรุ่นพี่เซียนพระที่บ้านในซอยศรีสุขารมย์หกสิบเอ็ด พันตำรวจโทแมนรัตน์ คนที่เราขึ้นภาพให้เนี่ย แกเป็นตำรวจเก่าที่หันมาเอาดีในวงการพระเครื่องของขลัง เรียกว่ากว้างขวางในวงการนี้เลยแหละ แล้วก็เป็นคณะกรรมการชมรมพระเครื่องศรีสุขารมย์ด้วย
“ใช้คำว่า ‘ชมรม’ อาจจะนึกว่าเล็กๆ ไม่ใช่นะคุณนะ ไม่เล็กเลย ถ้าคุณขับรถหันหน้าเข้าหาวัดศรีสุขารมย์เนี่ย จะเจอตึกใหญ่ตั้งอยู่ติดๆ กัน นั่นแหละ ชมรมพระเครื่องฯ ที่ว่า ที่นี่เขามีร้านอาหารร้านค้ารวมไว้ด้วยเหมือนห้างย่อมๆ เลย เพราะงั้นไม่แปลกที่ใครๆ แถวนี้ โดยเฉพาะคนในแวดวงพระจะเข้าหาพันตำรวจโทแมนรัตน์กัน คนรู้จักของนายกิเลนก็บอกว่านายกิเลนมักจะไปเยี่ยมท่านอยู่บ่อยๆ
“แต่ทีนี้ เมื่อเย็นวานแกคุยกันท่าไหนไม่รู้ จบที่ไปช่วยกันย้ายตู้ในบ้าน ภรรยาของพันตำรวจโทแมนรัตน์เล่าให้ทีมข่าวอินทีวีของเราฟังว่า ฝาตู้มันเป็นกระจก ตอนแรกก็ใส่พวกพระพุทธรูปโชว์ไว้ แล้วตอนเกิดเหตุ นายกิเลนกับคนของพันตำรวจโทแมนรัตน์ช่วยกันขนของออกมา แต่ไม่ทันเห็นว่ามีที่เขี่ยบุหรี่กระเบื้องอีกอันซุกอยู่ในมุมบนสุด พอยกตู้เอียง ที่เขี่ยบุหรี่เลยไหลลงมากระแทกกระจกแตก นายกิเลนอยู่ตรงจุดที่ใกล้ที่สุด กระจกเลยพุ่งเข้าหน้าแกเต็มๆ แล้วพอแกตกใจปล่อยมือ ตู้เลยเอียงมาหาแกทั้งตัว อุ๊…หู! น่าหวาดเสียว เห็นว่าแผลเหวอะทั้งหน้า หลังจากส่งโรงพยาบาล แพทย์ต้องให้พักที่นั่นก่อนด้วยเพราะแกโดนตู้กระแทกหัวจนสลบ ต้องดูอาการทางสมอง
“กลายเป็นว่า พอนายกิเลนไม่ได้กลับบ้าน ทั้งโรงหล่อก็เหลือหมาเฝ้าอยู่ตัวเดียว คนร้ายอาศัยจังหวะนั้นแหละแอบเข้ามาก่อคดีฆาตกรรมนิทานเวตาลครั้งที่สามที่นี่
“โอเค ระหว่างที่รอแถลงการณ์เบื้องต้นจากทางตำรวจ ตอนนี้เราจะมาคุยกับคุณลุงเข็มทิศกันว่าแกรู้สึกยังไงที่เกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว คุณลุงอยู่ในสายกับเราแล้วแหละ สวัสดีครับคุณลุง–”
. . . . . . . . . .
นายเข็มทิศมีใบหน้าเรียวแหลม ขากรรไกรล่างยื่นยาวอย่างที่เรียกกันว่า ฮับส์เบิร์ก จอว์ หรือขากรรไกรแบบราชวงศ์ฮับส์เบิร์กแห่งสเปน อันเป็นผลจากการจับคู่กันเองในหมู่ญาติจนเกิดความอ่อนแอทางพันธุกรรม รูปปากคว่ำตลอดกาลของชายแก่ชักใบหน้าให้ดูบึ้งตึง มุมหนึ่งของปากที่เหยียดขึ้นเน้นให้ดูหยันโลก ดีแต่ว่าลูกตาและจมูกทรงงาม
เหนือชื่อสกุลของชายแก่ อินทีวีแสดงภาพนิ่งของเจ้าตัวด้วยรูปเดิมเสมอ ราวกับกลัวผู้ชมจะสับสนว่าเป็นคนอื่น ขณะนี้ภาพนั้นขึ้นอยู่ข้างๆ ภาพเคลื่อนไหวของยอยศที่ยืนถือสมาร์ทโฟนจ่อลงไมโครโฟนอยู่แถวมุมโรงหล่อ มีพระพุทธรูปปางรับหญ้าคาแย่งซีนอยู่ข้างหลัง
“—ชินซะแล้วละคุณ” เสียงของนายเข็มทิศค่อนข้างเล็กแหลมผิดชายแก่ส่วนใหญ่ มีสำเนียงดูแคลนเจือเข้ม “ตราบใดที่ยังจับคนร้ายไม่ได้ เรื่องมันก็จะเกิดซ้ำไปอย่างนี้เรื่อยๆ ไม่ใช่รึ”
“หมายความว่า คุณลุงเองก็เชื่อว่าคนร้ายในคดีนี้เป็นคนเดียวกับที่ก่อเรื่อง–”
“ตั้งแต่ไอ้แรมหลานผมนั่นไง!” ปลายสายแทรกขึ้น “จากตอนแรกมันไม่ตาย ป่านนี้คงไปเกิดใหม่แล้ว คดีความไม่เคยคืบหน้า เบาะแสสำคัญก็ดันเอาไปดองกันหมด กว่าจะกระดิกได้ก็สายไปแล้ว”
มือข้างที่สารนิจถือสมาร์ทโฟนดูไลฟ์ข่าวดังกล่าวอยู่ขยับเล็กน้อยเพื่อคลายเมื่อย แต่หลังม่านตาเห็นภาพที่ไม่ได้อยู่ในหน้าจอ
นักข่าวสาวทบทวนเรื่องราวที่เกิดกับผู้ให้สัมภาษณ์รายนั้น ข่าวแชตบอตเมื่อกลางปีถูกอินทีวีกระพือจนเกิดกระแสต่างๆ ตามมา กดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องรื้อฟื้นคดีของนางสาวข้างแรมอีกครั้ง ทว่าหลักฐานหลายอย่างเริ่มสูญหายเพราะเหตุไฟไหม้รถผ่านไปเป็นเดือนแล้ว หลักฐานที่เก็บเพิ่มได้ก็ไม่ทำให้ข้อสรุปเปลี่ยน คงด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่สนใจขุดคุ้ยตัวแชตบอตเจ้าปัญหามากนัก ปล่อยให้ยอยศกับนายเข็มทิศโพนทะนาต่อไป หวังว่าผู้ชมจะเบื่อแล้วทุกอย่างจะเงียบหายเอง
แต่เพราะนิทานเวตาลกลายเป็นกระแสที่ถูกหนุนด้วยคลื่นทุนนิยมต่อ เรื่องราวของแชตบอตปริศนาจึงไม่มีทีท่าจะเงียบดับ ดีแต่ว่านายเข็มทิศเป็นคนขวางโลก นอกจากสำนักข่าวและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชายแก่ไม่ยินดีข้องแวะกับหน่วยงานอื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางสาวข้างขึ้นซึ่งอยู่ห่างมาคนละจังหวัด ที่พักในกรุงเทพฯ นั้นถูกเก็บเงียบ สื่อแทบไม่เคยเห็นหน้าเจ้าหล่อนชัด ข้อกังขาเกี่ยวกับที่มาของคำร้องขอความช่วยเหลือในแชตบอตจึงยังดำเนินต่อไป พร้อมกับการคาดเดาและทฤษฎีสมคบคิดนานา
กระทั่งการอุบัติของคดีฆาตกรรมนายแพทย์ไถ้ อินทรวิเชียรฉันท์ที่ถูกทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุอย่างจงใจ ได้นำไปสู่การสืบสาวตัวบทของนิทานเวตาลอีกครั้ง – และแน่นอน ถูกโยงกับแชตบอตต้นเรื่องอย่างเอิกเกริก! ฆาตกรคดีนี้ใช่เพียงสังหารเหยื่ออย่างเหี้ยมโหด ความอุกอาจนั้นยังประหนึ่งยกมีดจี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้กลับไปให้ความสำคัญที่มาของแชตบอตดังกล่าวอย่างไม่อาจเลี่ยง
สารนิจยังจำได้ คลิปข่าวสัมภาษณ์นายเข็มทิศช่วงนั้น เห็นได้ชัดว่ามุมปากหยันของชายแก่ยิ่งยกสูง ราวกับว่าความตายของเหยื่ออีกรายคือเครื่องบูชายัญหลานของแก แววตาจงชังนั้นมองเมื่อไรก็ชวนขนลุก ขณะเดียวกัน เจ้าตัวก็ประชดประชันโดยทำทีต้อนรับตำรวจอย่างดี ถึงกับกำชับให้นางสาวข้างขึ้นให้ความร่วมมือด้วยอีกคน
ผลปรากฏ มีข้อผิดพลาดในการสร้างบอตจริงๆ ข้างขึ้นเผลอเขียนคำสั่งซ้ำ ข้อความขอความช่วยเหลือจึงถูกเลือกแสดงถี่กว่าข้อความอื่น
อย่างไรก็ตาม กว่าจะถึงข้อสรุปนั้น อินทีวีก็ไล่ขุดจนสังคมรอบตัวข้างแรมเริ่มยอมเปิดปากว่า ประโยค ‘ช่วยด้วย’ ของเด็กสาวผู้จากไป ที่แท้มีเบื้องหลังมากกว่าแค่ที่เด็กสาวเคยโพสตอบเพื่อนว่า ‘เราดูหนัง ขำน้ำตาไหล ปวดท้องมาก’
‘แรมเขาเป็นคนมีปัญหานะพี่’ ครั้งหนึ่งเพื่อนของข้างแรมให้สัมภาษณ์โดยปิดหน้าพรางเสียง ‘ปู่กดดันมาก เอาเขาไปเปรียบเทียบกับพี่ขึ้นตลอด จนแรมกลายเป็นคนไม่มั่นใจเลย ออกมาข้างนอกก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับใครตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว พอดูเป็นคนแปลกๆ เพื่อนเลยชอบแกล้ง’
‘เท่าที่อาจารย์พอจะทราบ ทางบ้านไม่ชอบให้ข้างแรมเป็นนักเขียนนะคะ ที่แกเลือกเรียนศิลปศาสตร์นี่ก็เหมือนกัน อาจารย์เชียร์ตลอดนะว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ อย่าท้อ นานๆ ทีเราถึงจะมีเด็กที่อินกับงานวรรณกรรมวรรณคดีขนาดนี้ นิยายที่เขียนเอง เขาก็เอาเรื่องพวกนี้ไปผสมด้วย น่าเสียดาย นักอ่านในเว็บมีแต่เด็กๆ ไม่ค่อยชอบกัน—’
‘—แรมโดนด่าด้วยครับ บางทีชีวิตมีปัญหา อัพเรื่องช้าก็โดนไล่ให้ไปตาย เคยมีคนอ่านงานของมันแค่สามหน้าแล้วเอาไปด่าลงทวิตเตอร์ มีพวกไล่จับผิดฉอดว่าตรรกะบ้งมั่ง ใช้คำผิดมั่ง ทั้งที่พวกนั้นไม่รู้จักศัพท์เองแท้ๆ—’
‘—พอมันแคปทวิตของแอคเคานท์นั่นมาบ่นในเฟซส่วนตัว ก็มีเพื่อนในเฟรนด์ลิสต์มันแคปไปให้ทางนั้นแขวนล่อคนมาช่วยกันยำต่อ คุณว่ามันตลกมั้ยอะ ด่ากันซะเยอะว่าแรมมันแคปคนนั้นมาให้คนอื่นด่าจนเสียชื่อ แต่ทุกวันนี้ยังไม่เห็นมีใครรู้เลยว่าอีคนนั้นมันชื่อจริงว่าอะไรแน่ แต่ทุกคนรู้จักเรียลไอ้แรมหมด—’
‘—สุดท้ายเลยรวมหัวกันเหยียบไอ้แรม—’
‘—ใช่ค่ะ เรื่องนั้นเกิดขึ้นไม่นานก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ’
. . . . . . . . . .
– ข่าวชิ้นที่ 3 –
การกลับมาของปีศาจ
“จะว่าไปมันก็แปลกๆ นะ”
เสียงของตากล้องรุ่นพี่ที่ก้าวตามกันมา ปลุกสารนิจจากความคิด หันไปเลิกคิ้ว
“ก็ทำไมหนนี้คนร้ายมันถึงเลือกมาจัดฉากโชว์เหยื่อที่โรงหล่อนี่น่ะสิ รั้วรอบขอบชิดขนาดนี้ กว่าจะลากศพเข้ามา ลำบากตายโหง”
“โรงหล่อพระหรือพระพุทธรูปมีความหมายอะไรในนิทานเวตาลรึเปล่า” เธอถาม
“แบบคดีหมอไถ้น่ะนะ”
สารนิจไม่ได้ตอบพี่ป๋อง แต่ในใจก็นึกเห็นภาพเหตุการณ์สยดสยองนั้น เปรียบเทียบกับข้อความในหน้าหนังสือนิทานเวตาลที่ถูกนำมาแสดงซ้ำไม่รู้กี่หน
ใช่ อินทรวิเชียรฉันท์บทที่ถูกเหน็บไว้กับศพแซมดอกบัวของนายแพทย์ไถ้ ทำให้คนตามไปขุดคุ้ยจนพบว่ามันมีที่มาจากนิทานเรื่องแรกที่เวตาลเล่า
เรื่องของพระวัชรมุกุฏ ราชบุตรซื่อบื้อ กับเพื่อนรักผู้หลักแหลมและแทบจะเป็นคู่จิ้น ชื่อพุทธิศริระ ลูกชายหัวหน้าอำมาตย์
วันหนึ่งสองสหายไปเที่ยวป่าด้วยกัน พระวัชรมุกุฏเดินชมสระบัวจนไปพบหญิงงามหนึ่งผู้มีบริวารห้อมแหน ครั้นเห็นพระองค์เข้า หญิงนั้นก็ยิ้มให้แล้วทำกิริยาแปลกๆ ดั่งมีนัย พระวัชรมุกุฏคงอกแตกตายถ้าไม่ได้พุทธิศริระช่วยไขปริศนา แล้วพาไปพบจนถึงกับได้ครองคู่นางผู้มีนามว่าปัทมาวดีในที่สุด
อันที่จริง โดยไม่ต้องไปหาอ่านที่มาของอินทรวิเชียรฉันท์บทดังกล่าว ผู้ชมข่าวหลายคนก็ตอบได้ทันทีด้วยซ้ำ ว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับนิทานเวตาลเรื่องแรก ค่าที่การจัดฉากความตายของนายแพทย์ไถ้นั้น ตรงกันกับสัญลักษณ์ที่นางปัทมาวดีกระทำชนิดจับวาง
…ครั้นถึงขอบสระฟากข้างโน้น พระราชธิดาก็เหลียวดูว่าชายหนุ่มผู้ตกประหม่ายังนิ่งอยู่กับที่หรือทำอย่างไรต่อไป ครั้นเห็นพระราชบุตรยังยืนจ้องดูอยู่ นางก็ทรงยิ้มแล้วเสด็จลงไปที่ขอบสระ เก็บดอกบัวดอกหนึ่งชูขึ้นไหว้ฟ้า แล้วเอาเสียบเกศา แล้วทัดที่กรรณ แล้วกัดด้วยทนต์ แล้วทิ้งลงเหยียบด้วยบาท แล้วกลับหยิบขึ้นปักที่อุระ ครั้นทำเช่นนี้แล้วนางก็เสด็จไปขึ้นยานกลับคืนสู่นิเวศน์แห่งนาง
นอกจากนั้น เมื่อพินิจรายละเอียดอื่นๆ บนตัวศพเพิ่มเติม ยังพบว่ากระแจะจันทร์ที่ถูกขยี้ไว้สองข้างแก้ม รวมถึงบาดแผลที่ถูกสามง่ามแทงที่ท่อนขา ก็ยังมีที่มาเช่นกัน
ในช่วงกลางของนิทาน พระวัชรมุกุฏพยายามจะเข้าพบนางปัทมาวดี แต่เพราะนางมีศักดิ์เป็นถึงราชธิดาของท้าวทันตวัตแห่งนครกรรณาฏกะ จึงจำต้องเล่นองค์และออกอุบายเพื่อนัดหมายอีกครั้ง
นางปัทมาวดีได้ทรงฟังดังนั้นก็สำแดงความโกรธยิ่งกว่าครั้งก่อน นางเสด็จลุกไปเอากระแจะจันทร์ละเลงบนพระหัตถ์ทั้งสองพระหัตถ์ แล้วตบเข้าที่แก้มนางนมทั้งสองแก้ม ตรัสว่า “แกจงรีบไปจากวังนี้โดยเร็ว มิฉะนั้นจะต้องรับโทษยิ่งกว่านี้ แกจำไม่ได้หรือว่าข้าห้ามไม่ให้เอาเรื่องนี้มาพูดต่อไปเป็นอันขาด” นางนมออกจากวังกลับไปทูลพระวัชรมุกุฎ ต่างคนเสียใจที่ไปหลงเชื่อพุทธิศริระ ครั้นเล่าความให้พุทธิศริระฟัง พุทธิศริระก็ทูลพระราชบุตรว่า “พระองค์อย่าทรงตกใจ การที่พระราชธิดาเอากระแจะจันทร์ทาแก้มนางนมด้วยนิ้ว 10 นิ้วนั้น หมายความว่ากลางคืนยังมีแสงพระจันทร์อยู่อีก 10 คืน เมื่อพ้น 10 คืนไปแล้ว นางจะออกมาพบพระองค์ในที่มืด พระองค์จงหักความกระวนกระวายในพระหฤทัยคอยไปอีก 10 วันเถิด”
และในตอนท้ายของนิทาน เมื่อนางปัทมาวดีพบว่าพระวัชรมุกุฏคิดถึงพระสหายมากกว่า นางก็เกิดหึงหวงจนถึงแก่วางแผนฆ่าพุทธิศริระ โชคดีพุทธิศริระแก้เผ็ดโดยวางอุบายให้นางถูกขับจากฐานะราชกุมารี ครั้นนางสิ้นอำนาจก็ย่อมจัดการเขาได้ไม่ง่าย ทั้งยังต้องยอมตามพระวัชรมุกุฏกลับไปยังเมืองของพระองค์อีกด้วย
แผนที่พุทธิศริระแนะนำเพื่อนนั้นมีอยู่ว่า
…พระองค์จงรับตรีศูล (คือสามง่าม) นี้ซ่อนไปในพระองค์ แลเมื่อพบนางจงสำแดงเสน่หาให้มาก อย่าตรัสเล่าถึงการที่เป็นไปเมื่อคืนนี้ นางคอยฟัง ไม่เห็นตรัสว่ากระไร ก็คงจะถามถึงข้าพเจ้า พระองค์จงตรัสบอกนางว่าข้าพเจ้ากำลังไม่สบาย ยังไม่ได้กินขนมที่นางประทานออกมา ข้าพเจ้าเก็บขนมนั้นไว้ว่าจะกินคืนวันนี้ ในกลางคืนเมื่อนางผทมหลับ พระองค์จงลอบถอดเครื่องเพชรพลอยที่ประดับองค์นาง แล้วเอาตรีศูลนี่แทงที่ชงฆ์ข้างซ้ายแห่งนาง แล้วรีบเสด็จออกมาหาข้าพเจ้า ถ้านางผทมยังไม่หลับ จงประทานผงนี้ให้นางดม เมื่อดมผงนี้แล้วอย่าว่าแต่คน ถึงช้างก็จะหลับเหมือนตายไปจนรุ่งสว่าง แม้นแทงด้วยตรีศูลก็ไม่ตื่น ส่วนพระองค์เองนั้นอย่าลองดมยานี้เป็นอันขาด
จากการสืบสวนสอบสวน พบว่านายแพทย์ไถ้ทำงานประจำอยู่ที่โรงพยาบาลไกลกังวลมาได้เกือบสองปี เป็นอายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือดฝีมือดี เช่าพักในบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งในหมู่บ้านจัดสรรไม่ไกลจากโรงพยาบาล เดิมมีเพื่อนร่วมเช่าอีกราย แต่เพิ่งย้ายไปประจำจังหวัดอื่นได้สามเดือนก่อนเกิดเหตุ นายแพทย์ไถ้ประกาศหาเพื่อนแชร์ที่พักมาราวเดือนหนึ่งแต่ไม่มีเสียงตอบรับ ในที่สุดจึงตัดสินใจปลดประกาศและพักลำพัง เพื่อนร่วมงานทุกรายยืนยันว่าเขาเป็นคนอัธยาศัยดี ขี้เล่น แทบไม่เคยมีปัญหากับใคร ในคืนเกิดเหตุ นายแพทย์ไถ้กำลังเดินทางจากโรงพยาบาลกลับบ้านเหมือนทุกวัน แต่โชคร้ายมาประสบเคราะห์กรรมเสียก่อน
นางถนอมหญิงวัยหกสิบห้า ผู้เป็นมารดาร้องไห้ใจแทบขาดหลังทราบข่าว ว่ากันว่าแต่ไหนมาร่างกายของแกแข็งแรงเพราะทำงานในสวนมาตลอด ตอนที่สารนิจไปทำข่าว เธอเห็นหมู่ปาล์มที่แกปลูกไว้ขายมากมายในรั้วบ้านแล้วยังตะลึงใจ ต่อให้นางถนอมจะจ้างคนมาช่วยบ้างก็ยังนับว่าแกทำงานหนัก หลังๆ มาสภาพของแกทรุดลงจนเพื่อนบ้านในละแวกนั้นสงสาร
ข้อสันนิษฐานที่ว่า ฆาตกรผู้สังหารนายแพทย์ไถ้ได้ศึกษานิทานเวตาลมาก่อน ทั้งยังเตรียมการไว้อย่างละเอียดรอบคอบ ได้รับคำยืนยันอีกครั้งในคดีที่สอง – คดีฆาตกรรมแพทย์หญิงร้อยกรอง ฉะนั้น การที่คนร้ายเลือกโรงหล่อพระกิจวาณิชสำหรับการก่อคดีครั้งที่สาม ก็อาจเป็นไปได้ว่ามีอะไรบางอย่างของที่นี่เข้าเค้ากับนิทานที่มันเลือกอ้างอิง
นิทานเรื่องที่แปด…
แต่นอกจากฉากคนที่โผล่มาจากองค์พระ – องค์พระ ไม่ใช่ยักษ์ด้วยซ้ำ! – สารนิจก็ยังไม่เห็นว่ามีอะไรตรงกันกับรายละเอียดของนิทานเรื่องนี้มากนัก
จะว่าไป คดีนี่มีอะไรแปลกจริงๆ
แต่แปลกของเธอกับพี่ป๋องนั้นท่าจะเป็นคนละอย่าง
คนข้างๆ ตั้งข้อสันนิษฐาน “หรือว่าคนร้ายจะพาเหยื่อเข้ามาตั้งแต่ตอนยังไม่ตาย รั้วเป็นตาข่ายปีนไม่ยาก แถมตัวโรงหล่อตั้งกว้าง ข้างๆ เป็นที่รกร้างกับบ้านที่มีแต่คนแก่อีก ช่วงมืดๆ ถ้าแอบเข้ามาคนเดียวนี่คงปร๋อเลย”
“แต่พอเป็นคนร้ายกับเหยื่อ มันก็เป็นอีกเรื่องนะพี่ ต่อให้คนร้ายมีปืน สั่งเหยื่อให้ปีนเข้าไปก่อน ก็น่าจะยังแน่ใจไม่ได้ปะ ว่าตอนที่ตัวเองปีนตาม เหยื่อจะไม่ฉวยโอกาสหนี”
“ก็จริง”
“แล้วโรงหล่อมีหมาอยู่ตัวหนึ่งไม่ใช่เหรอ นิจได้ยินเขาว่ามันดุเหมือนกันนะ”
“คนร้ายมันก็โยนแกงไรนั่นให้หมากินจนตายไปแล้วไง”
“แสดงว่ามันต้องใช้ยาที่หวังผลได้ในเวลาไม่นาน”
“กับเหยื่อก็เหมือนกัน บางทีจะโดนตัวเดียวกันนี่แหละ บังคับให้กินซะ พอตายแล้วก็จัดฉากยัดในองค์พระ – ไอ้ห่า สรุปกูว่าหาที่อื่นง่ายกว่ามั้ง ปีนลงมาอย่างนั้นแม่งเดี๋ยวขาแข้งหักก่อนได้ฆ่าคน!”
บทสนทนาจบลงแค่นั้น สารนิจเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนมุงอะไรกันอยู่หน้ารั้วด้านนอก ไม่ใช่พวกสื่อ…
ครั้นก้าวตามมาดูจึงพบ นักข่าวรายหนึ่งกำลังยื่นโทรศัพท์อัดเสียงคำตอบของกลุ่มคนดังกล่าว น่าจะเป็นผู้พักอาศัยละแวกนี้
พี่ป๋องกระซิบนินทา “นั่นสตริงเกอร์เหรอวะ ไม่เคยเห็นหน้า”
ปกตินักข่าวสายเดียวกัน แม้จะทำงานต่างสำนัก แต่ก็มักได้เจอกันในที่เกิดเหตุเพื่อทำข่าว กลายเป็นคนคุ้นหน้ากันโดยปริยาย แต่สตริงเกอร์นั้นต่างไป พวกนี้เป็นสื่อท้องถิ่น หรือผู้ทำข่าวจากพื้นที่แต่ละพื้นที่เพื่อส่งขายเป็นรายชิ้นให้แก่สำนักข่าวส่วนกลาง หากเป็นหน้าใหม่ หรือไม่ใช่คนที่ชอบแสดงตัวเด่น ก็อาจไม่คุ้นตา
โดยทั่วไป เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้น สตริงเกอร์เหล่านี้จะเป็นต้นทางของการทำข่าว อาจพบเห็นด้วยตัวเอง มีเส้นสายของเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยแจ้ง บางรายก็เกาะติดอยู่ตามโรงพัก หรือแม้แต่แอบจูนวิทยุสื่อสารของตำรวจเพื่อดักฟังว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เพื่อจะเข้าไปทำข่าวได้เร็วที่สุด
ข่าวเหล่านั้นจะถูกส่งสู่ ‘ถังข่าว’ ของสำนักข่าวแต่ละสังกัด ผู้มีสิทธิ์เข้าถึงถังข่าวเช่นบรรณาธิการข่าวจะตรวจดูเพื่อซื้อชิ้นที่น่าสนใจมานำเสนอหรือเล่นประเด็นต่อ สำนักข่าวอาจจ้างสตริงเกอร์เกาะติดสถานการณ์ต่อไป แต่ส่วนใหญ่จะส่งนักข่าวของตนมาทำข่าวเอง เนื่องจากนักข่าวของสังกัดย่อมรู้เป้าประสงค์ หรือทิศทางตามที่สำนักของตัวเองต้องการนำเสนอมากกว่า
สตริงเกอร์รายที่พี่ป๋องว่านั้นเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอม ส่วนสูงและไหล่กว้างกลับดูหดเล็กลงกว่าควร เพราะท่ายืนหย่อนขาข้างหนึ่งและห่อไหล่นิดๆ จนดูเหนียม แถมยังตัวเอียงไปข้าง ผมยาวประบ่าเป็นลอนคลื่นทำไฮไลต์สีทองอ่อน สวมหน้ากากอนามัยเย็บจากผ้าสีดำ ล่างลงมาลูกกระเดือกค่อนข้างแหลมใหญ่ เสื้อยืดและกางเกงยีนเก่าปอน
ในพริบตานั้น สารนิจพอจะนึกออกว่าเคยเห็นเจ้าตัวมาก่อน ตาคนนี้เองที่เมื่อกี้มัวไปตามถ่ายตะกร้ามากกว่าศพ จนโดนตำรวจร้องห้าม
‘เฮ้ยคุณ จากสำนักไหนเนี่ย บอกว่าให้ออกไปไง!’
“—พอทำหุ่นเสร็จแล้วก็เทของที่จะใช้หล่อลงไป ทองเหลืองบ้าง ทองเหลืองผสมทองบ้าง แต่อย่างพระองค์นั้นก็สำริด—”
ฟังจากชาวบ้านรายที่ยืนให้สัมภาษณ์ สารนิจพอจะเดาได้ คงกำลังคุยกันถึงวิธีหล่อพระ
ตั้งแต่ทราบข่าวแล้วเดินทางมาที่นี่ หญิงสาวอาศัยช่วงเวลานั้นค้นข้อมูลแวดล้อมต่างๆ ทั้งที่มาของกลอนในนิทานเวตาล เพื่อหาข้อมูลเปรียบเทียบกับฉากฆาตกรรมที่ฆาตกรทิ้งไว้ ประวัติโรงหล่อพระกิจวาณิชและผู้เกี่ยวข้อง เรื่อยไปถึงวิธีหล่อพระ เผื่อจะช่วยให้เห็นภาพที่คนร้ายนำศพเหยื่อเข้าซ่อนในองค์พระง่ายขึ้น
ในการหล่อพระนั้น ขั้นแรกจะเริ่มจากปั้นแบบพระ วัสดุมีตั้งแต่ขี้ผึ้ง ปูน หรือดินเหนียว จากนั้นถอดแบบเป็นแม่พิมพ์ด้วยไฟเบอร์ ปูนปลาสเตอร์ แม้แต่ยางซิลิโคน แล้วจึงแกะขี้ผึ้งจากแบบพิมพ์ เดินฉนวนหรือทำทางเดินน้ำทองภายใน ก่อนพอกด้วยปูนหรือวัสดุอื่นๆ เสร็จแล้วนำไปเผาไฟเพื่อให้แบบที่เป็นขี้ผึ้งละลายออกเกิดเป็นโพรง น้ำทองที่เผาเตรียมไว้จะเข้าไปแทนที่ หลังจากนั้นทุบหุ่นออกให้เหลือแต่องค์พระ แต่งสีหรือขัดมันให้เงางาม
ใช่แล้ว เป็นอันว่าองค์พระนั้นหล่อขึ้นเป็นรูปพร้อมกันทั้งองค์ ไม่ใช่ทีละชิ้นแล้วนำมาประกอบกัน อันจะทำให้คนร้ายเคาะแตกเป็นรูง่ายกว่า
หมายความว่าการเจาะเองก็ต้องใช้ความอุตสาหะพอสมควร และที่สำคัญ เวลาที่ผลาญไป กับเสียงดังที่เกิด ไม่ทำให้คนร้ายกลัวใครจะมาพบเข้า…
“คิดว่าทำไมคนร้ายถึงเลือกซ่อนศพไว้ในพระองค์นั้นคะ” คนถามผู้เป็นชายร่างผอม สูงอย่างคนโครงใหญ่ ทว่ากลับบีบเสียงและมีทีท่ากระมิดกระเมี้ยน
“ใครจะรู้มันล่ะ” ผู้ตอบรายหนึ่งถูหน้าผาก “บาปกรรมฉิบหาย พรุ่งนี้จะขนไปถวายวัดแล้วแท้ๆ!”
“ท่านซื้อไว้เหรอคะ”
สตริงเกอร์ใช้สรรพนามเช่นนั้น คงเพราะชายสูงวัยผู้กำลังให้สัมภาษณ์มีศักดิ์ใหญ่ในชุมชนศรีสุขารมย์เช่นกัน สารนิจเห็นเจ้าตัวกับพรรคพวกมะรุมมะตุ้มกับเหล่าตำรวจระดับผู้บังคับบัญชามาพักหนึ่งแล้ว เธอเองมัวสนใจรายละเอียดในสถานที่เกิดเหตุ จึงยังไม่ได้ตามฟังว่าพวกเขาเป็นใครกันบ้าง
ชายสูงวัยอีกรายที่ยืนอยู่ข้างกับชายผู้นั้นตอบว่า “สั่งทำ”
แต่อีกรายที่ยืนสมทบอยู่ด้านหลังรีบขยายความ “พระพุทธรูปองค์นั้นเป็นงานที่ทางชมรมสั่งทำพิเศษ ตั้งใจจะเอาไปถวายวัดแถวประจวบฯ”
“ชมรมเหรอคะ” นักข่าวถาม
“อื้ม” รายแรกพยัก ท่าทางผึ่งผาย แต่ลักษณะการกะพริบตาโดยเกร็งกล้ามเนื้อรอบๆ ดวงตาจนดูคล้ายกระตุกทำให้เสียบุคลิก “ชมรมพระเครื่องศรีสุขารมย์ไง ตึกที่ติดกับวัดศรีฯ น่ะ กิจกรรมของเราออกสื่อบ่อยนะ คุณช่วงนี่แกก็เป็นกรรมการเหมือนกัน”
ชายชื่อช่วงคือผู้ขยายความนั่นเอง รายนี้มีวัยน้อยกว่ากันไม่มาก แต่ท่าทางต่างกันพอดู ค่อนข้างนอบน้อมกว่า รูปร่างไม่ใหญ่ทว่าไร้คาง พื้นที่ใต้ปากเหมือนต่อลงมาถึงอกโดยตรง ผมตัดสั้นแต่ไม่ได้จัดทรง หย่อมกลางศีรษะหงอกขาวราวครึ่งนิ้ว ตัดกับสีดำเกินจริงของที่เหลือ เมื่อใช้มือปัดผมให้เรียบลง ปลายกลับกระดกชี้ด้วยไฟฟ้าสถิตซ้ำๆ จังหวะหนึ่งสารนิจพบว่าที่แท้เจ้าตัวไม่ได้ห่วงผม แต่คงรำคาญแมลงที่ไต่จากกลุ่มผมออกมาตรงหน้าผาก ครั้นถูกปัดหล่น มันก็กระดอนไปแปะตรงอกเสื้อผู้ให้สัมภาษณ์รายหลัก
“หยะ…อย่างนี้ก็แย่เลยนะคะ จะเอาที่ไหนไปถวายแทน” ถึงพูดอย่างนั้น น้ำเสียงของนักข่าวหนุ่มตุ้งติ้งกลับดูตื่นเต้นคล้ายกระตือรือร้นขึ้นมา กระทั่งประกายตาก็วาวโรจน์ “ท่านคิดว่า คนร้ายเลือกพระพุทธรูปองค์ที่กำลังจะถูกนำไปถวายวัดอยู่แท้ๆ เนี่ย ถือเป็นสัญลักษณ์อะไรในนิทานเวตาลได้บ้างมั้ยคะ”
“เห็นคุณยอยศเขาว่าจริงๆ มันต้องเป็นยักษ์” คนข้างหน้าชายชื่อช่วงออกความเห็นอีกครั้ง
“จริงค่ะ!” จู่ๆ คนถามก็กลับพยักรับด้วยอารมณ์อันโลดขึ้นอีก “พี่ยอยศจับประเด็นได้เยี่ยมมากเลยนะคะ แค่เห็นสถานการณ์ก็อ่านเกมออกแล้ว”
สารนิจลอบกลอกตากับพี่ป๋องเล็กน้อย นอกจากทัศนคติของคนพูด การที่คนพูดในฐานะนักข่าวทำแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นผลดีกับเนื้องานเลย
เจ้าตัวยังไม่รู้สึกตัว ลุกลนต่อไปว่า “นี่หนูยังไม่ได้เช็กเลยว่าเมื่อคืนเป็นคืนแปดค่ำหรือสิบสี่ค่ำรึเปล่า”
“เกี่ยวอะไรกับคืนแปดค่ำกับสิบสี่ค่ำ” ชายผึ่งผายงุนงง ยังคงไม่รู้ว่าแมลงที่อกเสื้อไต่ขึ้นถึงคอ
“ก็ในนิทานเวตาล เหตุการณ์ตัวละครถูกยักษ์กินจะเกิดขึ้นเฉพาะวันแปดค่ำกับสิบสี่ค่ำน่ะซีคะ นางวิทยารีที่ผุดขึ้นมากลางทะเล จะไปบูชาพระเคารีทุกสองวันนั้น เป็นเหตุให้โดนสาป – เอ๊ะ หรือว่าที่คนร้ายเลือกโรงหล่อพระ เพราะมันจะเกี่ยวกับการบูชาด้วยน้า!”
“ตอนหล่อพระองค์นี้ เจ้ากิเลนมันก็ทำพิธีที่นี่อยู่นะ—”
คนสัมภาษณ์ไม่ได้สนใจ ตาเบิกโพลงพูดต่อไปคล้ายตกในภวังค์ตัวเอง “แต่ถึงจะมีเรื่องเกี่ยวกับการบูชา พระกับยักษ์ก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี หรือคนร้ายจะให้ความหมายพระกับยักษ์สลับกันอย่างที่พี่ยอยศสันนิษฐานไว้จริงๆ น้า เศียรพระพุทธรูปเองก็ไม่ได้ถูกตัดออกเหมือนยักษ์ในเรื่องด้วย…”
“แต่เมื่อวานน่ะ ไม่ใช่ทั้งแปดค่ำแล้วก็สิบสี่ค่ำหรอกนะ” ชายผึ่งผายยังพยายามชิงความสนใจของคนถามกลับมา
ทว่าไม่ได้ผล คนถามยังเอียงคอ เพ่งไปในอากาศ “เหยื่อเป็นใครก็ยังไม่รู้ ไม่มีหลักฐานระบุตัวตน แต่ดูจะไม่ใช่คนแถวนี้เพราะถามใครก็ไม่มีคนรู้จักเลย ตอนนี้รู้แต่ว่าท่าจะตายเพราะโดนวางยาเหมือนหมาหน้ารั้ว หรือว่านี่เป็นอีกสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับในเรื่อง!”
“ยังไง—” ชายผึ่งผายถามบ้าง แต่ไม่ทันจบคำก็ต้องหันขวับไปข้างหลัง กะพริบตาแบบกระตุกพื้นที่รอบดวงตาแรงกว่าเดิม เพราะถูกมือนายช่วงตะปบเข้าเบาๆ ข้างลำคอ
“แมลงน่ะ พี่หมัย” ชายชื่อช่วงหน้าแหย แบมือให้ดูอย่างพินอบพิเทา แล้วก้มทิ้งพื้น
คนตบก้มขยี้แมลงด้วยปลายเท้า แต่ค่อนข้างทุลักทุเลชอบกลจนชายอีกคนข้างๆ ต้องช่วยคว้าแขนไว้ คล้ายกลัวเจ้าตัวเซล้มเพราะหลักไม่ดี
สารนิจเป็นฝ่ายตอบคำถามที่ยังค้างอยู่
“เพราะสาเหตุที่นางวิทยารีถูกสาป ก็เกิดมาจากเรื่องของกินเหมือนกันน่ะค่ะ”
เกือบทุกสายตาหันมาจ้องเธออย่างยังไม่คลายกังขา จะมีก็แต่นักข่าวรายนั้นที่เบิกตาโพลง แต่พอเห็นหน้าเธอ เจ้าตัวก็กลับชักสีหน้าเหมือนรำคาญกึ่งๆ ผิดหวัง
สารนิจไม่ได้สนใจ ยกมือไหว้แนะนำตัวกับแหล่งข่าว “สวัสดีค่ะ ดิฉันสารนิจจากช่องสามัญชนทีวี”
ชายชื่อหมัยที่น่าจะย่อมาจากสมัยพยักเพยิด “ที่บ้านก็ดู” ว่าพลางเจ้าตัวยกมือขึ้นลูบคอตรงจุดที่เมื่อครู่นายช่วงตะปบเข้า สารนิจเพิ่งสังเกตว่าพ้นจากข้อมือที่สวมริสแบนด์ลายธงชาติไป ครึ่งมือตั้งแต่ช่วงโคนนิ้วทุกนิ้วมีสีซีดตัดกับผิวส่วนอื่น
โรคด่างขาว…
คิดในใจ สิ่งที่บอกไปคือ “ขอบคุณค่ะ”
“ตอนนี้เท่ากับว่าเราไขสัญญะของคนร้ายจากนิทานเวตาลได้เพิ่มมาอีกข้อซีนะคะ!” นักข่าวตุ้งติ้งหันกลับไปสนใจเรื่องเดิม “แล้วยังมี…ยังมีอะไรพิเศษมากกว่านี้มั้ยน้า ที่โรงหล่อนี่น่ะ!”
“เจ้าของโรงหล่อพระเป็นพวกลักเพศนี่ถือว่าพิเศษมั้ยล่ะ” ชายที่ช่วยประคองนายช่วงพูดพลางหัวเราะ แต่นายช่วงที่เพิ่งละความสนใจจากซากแมลง ช้อนสายตาขึ้นมาพลางแตะหลังเตือน “พี่กระทิง!”
เจ้าของนามกระทิงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดอะไร แค่โบกมือ “เฮ้ย ผมล้อเล่น นี่มันยุคไหนแล้ว พวกตุ๊ดพวกเกย์เดี๋ยวนี้ก็มีกันเกร่อเป็นเรื่องปกติ จริงมั้ยหนู” คนพูดจงใจเจาะจงที่นายสตริงเกอร์
“ถ้ารักกันแล้วไม่ได้ก่อปัญหาก็ไม่ได้แย่อะไรนี่นะ” ท่านสมัยคงรับรู้สำเนียงเหยียดของผู้ทำงานร่วมกัน จึงโน้มน้าวคำตอบไปทางนั้น อาจเพื่อป้องกันมิให้ชมรมถูกมองไม่ดี มือด่างขาวโบกปัดเป็นทำนองย้ำว่านี่ไร้สาระ การกะพริบตาแบบหยีไปทั้งตาทำให้ดูคล้ายหลบสายตาในที
“แล้วกับคนอื่นล่ะคะ” สารนิจถามบ้าง “คุณกิเลนมีปัญหากับใครบ้างรึเปล่า”
“เกี่ยวอะไรกับปัญหาของเจ้ากิเลนมันล่ะหนู คนตายไม่ใช่มันซะหน่อย” นายช่วงถูมือตัวเองแล้วจ้องกลับมาอย่างไม่พอใจนัก คล้ายกับว่าสารนิจกำลังดูหมิ่นคนในแวดวงเจ้าตัว
ท่านสมัยเป็นผู้บรรเทาสถานการณ์ลง “มีเรื่องแบบนี้ในโรงหล่อก็เหมือนเจ้าของโรงหล่อถูกปองร้ายไปด้วยนั่นละน่า แต่ว่านะ—” ท่านหันมาตอบเธอ “กิเลนมันไม่เคยมีปัญหากับใครหรอก หึงๆ หวงๆ น่ะมีบ้างสมัยยังเด็ก หลังๆ มาชอบเรื่องพระนี่ก็ไม่เห็นว่ามันไปยุ่งกับใคร วันๆ ลงแรงที่โรงหล่อตัวเอง ช่วยงานชมรม กับดูพระ ที่วันก่อนไปหาท่านแมนรัตน์จนเกิดเรื่องนั่นก็เห็นว่าไปส่องพระกัน”
“ไม่รู้อะไรดีกว่ากันนะ ต้องกินข้าวโรงบาลแทนกินข้าวเย็นฝีมือเมียท่านแมนน่ะ” นายกระทิงยังคงพูดติดตลก ต่อเมื่อได้รับปรายตาเอือมๆ จากนายสมัยก็แสร้งพยัก “อ้อๆ คงไม่มีใครหลวมตัวอยู่กินข้าวบ้านท่านแมนแต่แรกแหละเนอะ”
สารนิจถามต่อ “แล้วคนอื่นในโรงหล่อล่ะคะ ข้างหลังเป็นที่พักของคุณกิเลนด้วย แต่เห็นว่าอยู่คนเดียว แกไม่มีญาติพี่น้องเลยเหรอ โรงหล่อใหญ่ขนาดนี้ คนช่วยเฝ้าก็ไม่มีเหรอ”
“มันไม่ชอบให้ใครไปยุ่งเรื่องของมันหรอก” นายกระทิงว่า “เป็นงี้ตั้งแต่พ่อตาย—”
“นึกออกแล้ว!” เสียงร้องของท่านสมัยดึงดูดสายตาทุกคนไปพร้อมกัน คนอุทานตาโต อ้าปากค้าง เนื้อตัวก็แทบจะสั่น “นะ…นึกออกแล้ว ศพนั่นมันเหมือนใคร!”
“ใครครับ!” นายกระทิงหลุดเสียงห้วน คนอื่นๆ รวมถึงนายช่วงก็จ้องเขม็ง
มือด่างขาวข้างที่สวมริสแบนด์ลายธงชาติไทยถูกยกขึ้นอีกครั้งเพื่อลูบรอบปากตัวเอง เหมือนเรื่องที่จะพูดนั้นเป็นสิ่งไม่ควร รอบปากจึงแห้งผากขึ้นมาเสียเฉยๆ เกร็งกะพริบตาถี่ขึ้นอีก “อะ…ไอ้รินไงวะ!”
“รินเหรอ” ขณะที่นายกระทิงยังฉงาย นายช่วงสีหน้าเผือดลง ร้องว่า
“ไฮ้! รินพี่ไอ้เลนมันน่ะนะ!”
นายกระทิงและคนอื่นๆ จึงเบิกตาตาม “เป็นไปได้ไง ก็ไอ้รินมันหายตัวไปตั้งนานแล้ว!”
เห็นได้ชัดว่า แม้แต่เจ้าของคำเอง สีหน้าก็เริ่มคล้ายกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ทะ…ทำไมเหรอคะ ทำไมจะกลับมาไม่ได้!” เป็นครั้งแรกที่สตริงเกอร์กลับมายิงคำถามใหม่ นัยน์ตาโพลงยังมีแววตื่นใจ
สารนิจหันมองคนนั้นที คนนี้ที
คนอื่นๆ ดูจะงงงันไม่แพ้กัน เฉพาะท่านสมัย นายกระทิง และนายช่วงเท่านั้นกลับอึกอัก พิพักพิพ่วน
. . . . . . . . . .
“—พยานที่อยู่บ้านข้างโรงหล่อ ตื่นขึ้นมาทำกับข้าวจะถวายพระตั้งแต่ตีห้า บอกกับเราว่าได้ยินเสียงหมาที่โรงหล่อ อีกรายที่อยู่บ้านละแวกนั้นก็เห็นเงาคนเดินไปทางโรงหล่อด้วยเหมือนกัน ถ้าเป็นตามนี้ก็อาจประมาณการได้ว่า คนร้ายเข้าไปก่อการในโรงหล่อช่วงตีห้าแล้วรีบกลับออกมา แต่จากนั้นไม่มีคนพบตัวอีก กระทั่งคนงานมารอเข้าโรงหล่ออยู่หน้ารั้วตอนเจ็ดโมงกว่าจึงจะเห็นศพหมา และก็คิดว่าไม่มีใครอยู่ในโรงหล่อแล้ว”
“เท่ากับว่าคนร้ายมีเวลาก่อการแค่ราวๆ สองชั่วโมง ผู้การคิดว่ามันฆ่าเหยื่อมาก่อนแล้วค่อยมาซ่อนศพรึเปล่าครับ”
“เรายังไม่ปักใจเชื่อทางไหนนะ”
“พบชิ้นส่วนของเหยื่อรายที่แล้วในศพนี้มั้ยคะ”
“หมายถึงจมูกที่ถูกตัดไปจากศพแพทย์หญิงร้อยกรองใช่มั้ย – เรายังไม่เจอนะ”
“ไม่เจอชิ้นส่วนจากคดีก่อน และดูรายละเอียดรวมๆ หนนี้ก็ต่างไปจากสองคดีแรก อย่างนี้เราจะสรุปได้ยังไงคะว่าผู้ร้ายเป็นคนหรือกลุ่มคนเดิม”
“ทางตำรวจก็ยังไม่ได้สรุปอย่างนั้นนี่ คุณสารนิจ”
“แหะ ท่านครับ ยอยศจากอินทีวีนะ ได้ยินเสียงหมา แต่ช่วงเวลานั้นไม่มีใครได้ยินเสียงเจาะพระเลย หรือว่ามันเจาะไว้ก่อนแล้วค่อยกลับมาอีกที”
“ยังตอบไม่ได้”
“คิดว่าคนร้ายเป็นคนในพื้นที่มั้ยคะผู้การ”
“ยังไม่มีหลักฐานให้สรุปได้ขนาดนั้นนะ”
“เป็นเพราะความเกี่ยวโยงเรื่องนิทานเวตาลด้วยรึเปล่า”
“ก็…ใช่”
“แต่อุปกรณ์ที่ใช้เจาะหลังองค์พระก็เป็นของในโรงหล่อเอง ถ้าไม่ใช่คนในโรงหล่อหรือคนที่คุ้นเคยกับที่นี่ ไม่น่าจะรู้รึเปล่า”
“ผู้การคะ คิดว่าคนร้ายวางแผนเอาไว้ล่วงหน้ารึเปล่า”
“กรณีที่เป็นคนนอกนะ น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะคนแถวนั้นไม่เห็นแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดใกล้ๆ เลย แสดงว่าคนร้ายน่าจะศึกษาเส้นทาง รู้ซอกซอยต่างๆ ดี คงจอดที่อื่นแล้วก็เดินต่อเข้ามากระทำการที่โรงหล่อพระ ก่อนจะกลับออกไปเงียบๆ ถ้าใครเห็นรถแปลกๆ มาจอดอยู่ใกล้ๆ ที่เกิดเหตุในช่วงเวลาที่บอกไว้ก็ช่วยแจ้งกันเข้ามานะ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรีบไปตรวจสอบ”
“คนร้ายที่เดินไปทางโรงหล่อ สวมชุดส่าหรีจริงๆ เหรอครับ”
“พยานให้การอย่างนั้นนะ”
“ผู้การ ยอยศจากอินทีวีอีกครั้งครับ ประเด็นที่มีการตั้งข้อสงสัยว่าผู้ตายอาจจะเป็นนายกิรินท พี่ชายของนายกิเลนเองล่ะ”
“ตอนนี้กำลังเร่งตรวจสอบ”
“ค่ะ คุณผู้ชม นั่นก็เป็นการให้สัมภาษณ์ของหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรมนิทานเวตาลนะคะ ขณะเดียวกัน ด้านนายกิเลน เจ้าของโรงหล่อพระกิจวาณิชเอง วันนี้ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลและไม่พร้อมให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากสภาพบาดแผลสาหัสตามลำตัวและใบหน้า รวมถึงสมองได้รับการกระแทกอย่างรุนแรงจากอุบัติเหตุเมื่อวานด้วย นายแพทย์เจ้าของไข้ได้บอกกับทางสามัญชนทีวีค่ะว่าอาจต้องรออีกสองถึงสามวัน–”
. . . . . . . . . . . .
“— สองถึงสามวันถือเป็นเวลาพักรักษาตัวตามปกตินะคุณนะ เพราะเคสของนายกิเลนมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองด้วย ถึงจะออกไม่แยะก็เถอะ แต่ทีนี้ บางคนก็เริ่มตงิดๆ ว่า เอ๊ะ ต้องพักนานขนาดนั้นเลยเหรอ ให้ตำรวจเข้าไปสอบปากคำก่อนไม่ได้เหรอ มันก็เป็นเพราะตอนนี้มีคนในชุมชนศรีสุขารมย์เขาตั้งข้อสังเกตแหละ ว่าเหยื่อในองค์พระอาจจะเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนายกิเลนเองก็ได้ แล้วประเด็นคือ ตัวนายกิรินท กิจวาณิช พี่ชายของนายกิเลนเนี่ย แกมีคดีติดตัว แถมยังหนีการตามจับมาตั้งเกือบสิบเจ็ดปีแล้วด้วยนะ
“อุ๊…หู ซับซ้อนแมะ เอาเป็นว่าวันนี้ยอยศจะมาย้อนคดีนี้ให้ฟังนะคุณนะ
“พ่อของนายกิเลนแกมีเทือกเถาเหล่ากอมาจากบ้านช่างหล่อ ตัวแกเองพาลูกสองคนย้ายมาตั้งโรงหล่อพระกิจวาณิชที่ชุมชนศรีสุขารมย์เมื่อราวๆ ยี่สิบกว่าปีก่อน ต่อมานายกิรินทลูกชายคนโตไปมีเรื่องวิวาทกับลูกของชาวบ้านแถวนั้นจนถึงขั้นแทงกันตาย ก็เลยหนีคดีหายไปตั้งแต่ตอนนั้น โรงหล่อพระกิจวาณิชเหลือลูกชายสืบทอดกิจการคนเดียวคือนายกิเลน แล้วจุดที่น่าสนใจมากๆ คืออะไรรู้แมะ – ปรากฏว่าพ่อของเหยื่อที่ถูกฆ่าน่ะ ปัจจุบันก็คือพระในวัดที่ชมรมพระเครื่องศรีสุขารมย์จ้างให้นายกิเลนหล่อองค์พระเพื่อเอาไปถวายนั่นแหละ!
“ทีนี้ อย่างที่ยอยศบอก เวลามันผ่านไปตั้งสิบเจ็ดปีแน่ะ หน้าตารูปร่างคนเราย่อมเปลี่ยนไปแยะ โดยเฉพาะคนที่เคยอยู่ดีกินดีแล้วต้องไปอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ถูกแมะ แล้วในศพก็ไม่มีหลักฐานระบุตัวตนเลยว่าผู้ตายเป็นใคร เนี่ยแหละ หลายคนก็เลยไม่แน่ใจว่าใช่นายกิรินทจริงๆ รึเปล่า แต่ประเด็นคือ ถ้าศพในโรงหล่อพระของนายกิเลนกลายเป็นนายกิรินทพี่ชายของแกขึ้นมาจริงๆ เท่ากับว่านี่อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วนะคุณนะ คิดดูว่าคนร้ายรู้ได้ยังไงว่าเหยื่อมีความสัมพันธ์กับคนบ้านนี้ หรือรู้แล้วมาจัดฉากอย่างนี้ต้องการบอกอะไร – แน่นอนแหละ มีความเป็นไปได้แยะว่ามันจะโยงไปที่นายกิเลน ยอยศไม่กล้าเดาต่อหรือพูดอย่างที่คนในชุมชนศรีสุขารมย์กับในโซเชียลมีเดียตอนนี้เขาพูดกันเลยนะคุณนะ ว่าจริงๆ นายกิเลนอาจจะรู้อะไรบ้าง เพราะมัน…อุ๊…หู เฮือก! ได้ยินเสียงยอยศถอนหายใจแมะ มันซับซ้อนอิรุงตุงนังจริงๆ เพราะงั้นขึ้นอยู่กับตัวนายกิเลนแหละว่าจะตื่นมา ‘พร้อม’ ให้ปากคำเมื่อไหร่แน่ แล้วจะตอบคำถามพวกนี้ว่ายังไง
“แต่ที่แน่ๆ ถ้าศพนั้นเป็นนายกิรินทจริงๆ มันมีโอกาสตรงกับรายละเอียดในนิทานเวตาลมากขึ้นไปอีกนะคุณนะ ยังจำนิทานเรื่องที่แปดของเวตาลได้แมะ เรื่องของพระราชาบ้ากามที่โดนนินทาจนมุขมนตรียังลำบากใจแน่ะ คือกษัตริย์สมัยก่อนเนี่ยมีอำนาจก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้โดยประชาชนหลับหูหลับตาชื่นชมนะคุณนะ แล้วเสนาอำมาตย์ก็มีหน้าที่รักษาบ้านเมือง ในหนังสือนี้เขาใช้คำว่า ‘อำมาตย์ที่ดี ไม่อาจเพลิดเพลินใจได้ในเวลาที่จรรยาแห่งพระราชาของตนไม่เป็นไปในทางที่ควร’ อำมาตย์คนนั้นคือทีรฆะทรรศินก็เลยหาทางออกด้วยการแกล้งลาราชการไปแสวงบุญแหงะ แต่ดันไปเจอนางงามวิทยารีซะก่อน พอเอาข่าวกลับมาทูลพระราชายศเกตุ ด้วยความบ้าผู้หญิง พระองค์ก็เลยเดินทางจากบ้านจากเมืองตัวเองไปดูบ้าง
“เห็นอะไรแมะ มันคือการ ‘กลับมา’ แหละ เพียงแต่ในนิทาน คนที่กลับมาเป็นอีกคน ส่วนเรื่องจริง ฆาตกรเลือกคนเดิมที่เคยจากไปให้กลับมาใหม่ เริ่มน่าสนใจแล้วถูกแมะ คืนนี้เราจะชวนคุณลุงเข็มทิศมาคุยกันเรื่องนี้แหละ สวัสดีครับคุณลุง ฮัลโหล–”
. . . . . . . . . .
– ข่าวชิ้นที่ 4 –
ยืมจมูกไม่ให้หายใจ
สะพานคอนกรีตแคบๆ โก่งตัวสูงชันเหนือลำคลองช่วงหัวโค้ง เวลากลางวันจะมีเรือแล่นเข้าออกเป็นระยะ สมัยสารนิจเด็กๆ มักจะเป็นเรือบรรทุกสินค้าหรือเรือหางยาวที่คนละแวกนี้ใช้โดยสาร เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่กลายเป็นเรือสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ บ้านเก่าแก่หลายหลังริมคลองกลายเป็นจุดดักสายตา สลับกับวัดวาอารามและหมู่แมกไม้ซึ่งนับวันจะหายไปทุกที
แม่บอกว่าสมัยก่อนคลองนี้เป็นทางสัญจรหลักของที่บ้าน ตายายมีเรือพายลำเล็กๆ เลาะลัดไปถึงวัดกลางหรือปากคลองตลาด นับว่าสะดวกกว่าบ้านหลังอื่นที่อยู่ห่างคลองเข้าไปในเรือกสวน นิทานเรื่องหนึ่งซึ่งแม่มักจะเล่าจนสารนิจจำได้ดี คือเพื่อนแม่ขับรถมาส่งที่บ้านแล้วถึงกับเปรยว่า อยู่กรุงเทพฯ แท้ๆ แต่เหมือนบ้านโคก อันที่จริง ถ้าเพื่อนแม่กลับมาตอนนี้ก็อาจจะยังบ่น เพราะแม้ถนนถูกตัดเข้ามาเกือบทุกทิศ แต่ก็ยังไม่มีสักเส้นที่เข้าถึงบ้านเธอ ใกล้สุดหยุดแค่ตีนสะพานข้ามคลองอีกฝั่ง ถนนของฝั่งที่บ้านเธอตั้งอยู่นั้น ถึงจะเป็นคอนกรีตแต่ก็เล็กแคบไม่อาจขยาย ผู้ใช้เส้นทางต้องเดินเท้า ไม่ก็อาศัยยวดยานสองล้อ ไปๆ มาๆ ละแวกนี้เลยกลายเป็นสวรรค์ที่นักปั่นจักรยานพยายามอนุรักษ์ไปซะฉิบ
หญิงสาวชะลอฝีเท้าทั้งที่เพิ่งไต่มาถึงคอสะพาน ขยับแนบสะโพกไปกับราวโลหะเพราะมีมอเตอร์ไซค์สวนลงมารวดเร็ว ไม่ทันนึกด่าในใจ ไม่รู้เพราะชินหรือวันนี้เหนื่อยเกินไปแล้ว
ลุสู่ยอดสะพานเหนือคลอง ลมหัวค่ำยังพัดแค่แผ่วๆ น้ำในคลองเป็นสีดำเพราะความมืด ตกแต่งด้วยเส้นแสงที่สะท้อนลงไปเต้นกระตุกตามคลื่นน้ำ บ้านเรือนสว่างไสวเลียบคลองทั้งสองฝั่ง หลังใกล้สุดอยู่ตีนสะพานฝั่งตรงข้าม เป็นเรือนไม้สองชั้นดูโย้เย้ยื่นล้ำไปเหนือคลอง ส่วนที่ใกล้กับสะพาน เจ้าของบ้านแขวนไม้ประดับไว้เป็นพุ่มเพื่อบังตาคนนอก ก่อนจะรู้ตัวว่าตกหลุมรักพวกมัน แล้วเลยไล่เลี้ยงกระถางอื่นๆ ต่อมาจนแทบเต็มชานเหนือคลองนั้น
อารมณ์สะท้อนใจบ่าขึ้นมาอีกหน สารนิจไม่เคยบอกใคร แต่คำมั่นยังฝังใจตน
เธออยากได้บ้านใหม่ พ่อควรมีพื้นที่สำหรับปลูกต้นไม้อย่างใจรัก ส่วนแม่ก็ควรมีครัวที่เป็นครัวจริงๆ สำหรับทำกับข้าวและขนม ครัวที่ไม่ต้องกลัวไฟไหม้บ้าน ไม่ต้องคอยยืนขากระทุ้งเพราะโดนยุงรุม และไม่มีเสียงโพล้งเพล้งบ่อยครั้ง เนื่องจากหยิบหม้อใบนี้ อีกใบที่ต้องแขวนแนบกันเพื่อประหยัดพื้นที่ก็พลอยร่วง
ทำไมหนอ คนระดับเธอจึงไม่มีสิทธิ์เลือกเอาทั้งสองอย่าง อุดมการณ์พร้อมไปกับความอยู่ดีมีสุขของชีวิต
ความคิดสะดุดเมื่อเสียงจากโทรทัศน์ลอยมา ครั้นฝีเท้าก้าวลงสะพานไปใกล้ตัวบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ
“—ความเกลียดชังของคนมันมีพลังมากนะคุณ โดยเฉพาะคนที่โดนกระทำมาตลอดแล้วไม่เคยมีใครเหลียวแลเนี่ย ถึงวันหนึ่งเขาอาจทำอะไรก็ได้ กับใครก็ได้ อย่างที่คุณหรือผมไม่มีทางเดาได้หรอก แล้วถ้าเรารู้ เราอาจจะรู้สึกว่ามันสาสมแล้วก็ได้ หึ!”
“ครับๆ โอเคครับ นั่นก็เป็นข้อคิดจากคุณลุงเข็มทิศในวันนี้นะคุณนะ บางทีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฟังแล้วอาจจะได้ฉุกใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมนิทานเวตาลนี่ก็ได้แหละ เพราะคนร้ายดูจะโกรธสังคมแล้วฆ่าเหวี่ยงแหมากจริงๆ ถูกแมะ—”
เสียงนั้นดับไปเป็นเสียงจิงเกิ้ลละครทันทีที่สารนิจก้าวมาถึงพื้นไม้หน้าเรือน ประตูมุ้งลวดทำให้มองทะลุเข้าไปเห็นว่าใบหน้าผู้ถือรีโมตอยู่มีอาการเลิ่กลั่กเล็กน้อย
“อ้าว นิจ กลับมาแล้วเหรอลูก”
เหมือนทุกทีละ สารนิจเดาได้ว่าแม่คงจับจังหวะเสียงก้าวของเธอได้ เสียแต่ว่าเดี๋ยวนี้แม่แก่จนหูไม่ดีพอ กว่าจะได้ยินถนัด เธอจึงถึงบ้านก่อน ทันเห็นว่าพ่อกับแม่กำลังนั่งดูรายการอะไร
นักข่าวสาวถอนหายใจ ตระหนักว่าวันนี้ตัวเองเหนื่อยเกินไปจริงๆ เหนื่อยจนไม่เหลือแรงบ่นให้พ่อกับแม่เลิกดูข่าวบ้าๆ ของอีตายอยศนั่น
“หวัดดีค่ะ” เธอทักโดยไม่ได้ยกมือ วางกระเป๋าลงบนตั่งข้างๆ พลางถอดรองเท้า “พ่อกับแม่ดูเรื่องนี้ด้วยเหรอ ปกติกลัวผีนี่”
“เออะ…เอ้อ ก็สนุกดีนะ” แม่ตะกุกตะกัก ลุกจากแคร่ไปเปิดตู้เย็นในส่วนครัวซึ่งอยู่ห่างกันไม่เกินสามก้าว “ผีในละครมันยังน่ากลัวน้อยกว่าคนจริงๆ อีกนะบางที”
“ขอบคุณค่ะ” ลูกสาวตอบหลังจากรับน้ำเย็นที่แม่รินให้ จิบหนึ่งพลางคิดในใจ ไอ้คนที่ว่าน่ากลัวกว่าผีก็คงหมายถึงฆาตกรนิทานเวตาลล่ะสิ มัวแต่ดูข่าวอินทีวีก็โดนล้างสมองจนเหมือนเด็กโดนขู่เรื่องซีอุย!
หญิงสาวคืนแก้วให้แม่ พูดไปอีกทาง “อย่าดูอะไรที่มันน่ากลัวมากนักเลย พ่อก็ยิ่งเป็นอย่างนี้”
“ดูเอาไว้ให้คุยกับคนเขารู้เรื่องเท่านั้นละ” พ่อพยักเพยิดมาจากโซฟา ตรงที่เท้าแขนเป็นรูและมีฟองน้ำสีเหลืองโผล่ ยิ่งถูกน้ำหนักแขนของพ่อกดลง มันก็ยิ่งฟูออกมา “ช่วงนี้พ่อก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วด้วย”
สารนิจมองพ่อ แต่ความรู้สึกลึกลงไปคล้ายกำลังมองกระจก
เปล่า รูปลักษณ์เธอไม่ได้เหมือนพ่อขนาดนั้น พ่อมีหน้าตาจืดชืดแบบเชื้อสายจีน แต่สารนิจได้ความคมขำจากแม่เติมลงไปบนผิวพรรณเนียนละเอียดด้วย
นิสัยต่างหากที่แทบถอดกันมา ทั้งเธอและพ่อต่างก็พูดน้อย ช่างงำความ และจริงจังจนมักเครียดลำพังอย่างแก้ไม่ตก
ก่อนหน้านี้ พ่อทำงานเป็นเสมียนในโรงงานขนาดย่อมแห่งหนึ่ง คนอาจมองว่าไม่ก้าวหน้า แต่ถ้าเทียบกับระดับการศึกษาต้องถือว่าพ่อมาไกลมาก เงินเดือนไม่สูงนัก แต่สมทบกับรายได้จากการขายขนมขายอาหารนิดๆ หน่อยๆ ของแม่ ทำให้สามชีวิตในบ้านพออยู่ได้ อาศัยว่าสารนิจเรียนดีจนได้ทุนการศึกษามาตลอด
ใครๆ ก็คิดว่าหลังเธอรับปริญญาและได้เริ่มงาน ทางบ้านจะสบายขึ้น ผลกลับกลายเป็นว่าเกิดรัฐประหารในปีนั้น พ่อดีใจเพราะเกลียดนักการเมืองโกงกิน แต่เศรษฐกิจกลับหัวปักลงเรื่อยๆ จนสองปีต่อมาโรงงานของพ่อก็ปิดตัว คนงานถูกลอยแพ พ่อเป็นหนึ่งในนั้น
คงเริ่มคะเนได้ว่าทุกอย่างเกิดจากอะไร สภาพพ่อตอนนั้นจึงแทบไม่ต่างจากคนหัวใจสลาย แกนอนซมในช่วงต้น ต่อมาแม้ลุกจากเตียงก็สังเกตได้ว่าเงียบลง ทั้งที่ยิ้มแต่หลายครั้งมองนัยน์ตาคล้ายคนน้ำตาตกใน หญิงสาวพยายามปลอบพ่อไม่ให้เป็นกังวล ‘—พ่อไม่ออกตอนนี้ อีกสองปีก็ต้องออกอยู่ดีเพราะเกษียณ อยู่มาได้จนถึงตอนนี้ก็เก่งมากแล้ว’ พ่อพยักเพยิดแกนๆ ท้ายที่สุดจึงหลุดว่า พ่อคาดหวังเงินบำเหน็จต่างหาก มันเป็นเงินก้อนใหญ่ที่เจ้านายให้ลูกจ้างเก่าแก่เสมอ ใหญ่พอที่จะนำมาลงทุนทำอะไรได้ แม้แต่เริ่มต้นขยับขยายที่อยู่
ถ้าเป็นลูกคนอื่นก็คงบอก ‘พ่ออย่าคิดมากเลย เดี๋ยวหนูจะหาทางทำงานแล้วซื้อบ้านใหม่ให้ได้’ แต่เพราะสารนิจไม่ใช่คนช่างฝันกลางวัน จุดที่เท้าเธอเหยียบอยู่นั้นใช่แค่พื้นราบ ทว่าเป็นหล่มลึก แถมมีปรสิตยักษ์สูบยากจะตะกายขึ้น แล้วที่สำคัญเธอก็ไม่ใช่คนปากเปราะ ทุกถ้อยล้วนมีความหมาย – อย่างน้อยก็ต้องหมายความอย่างนั้นจริงๆ กับตัวเอง เมื่อรู้ว่ามันยากจะเป็นจริงได้ด้วยมือและจุดยืนของตัวเอง จึงได้แต่ตกในสภาพอ้ำอึ้ง
ที่จริง ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นพ่อก็หาที่ทางใหม่ให้ตัวเองจนได้ แกช่วยแม่ลงครัวและซื้อรถมาเข็นขาย ไม่ถึงกับรุ่งแต่ก็พอเพิ่มรายได้ กระนั้นไม่นานกลับมีอาการแปลกๆ ตามมา แม่แอบกระซิบว่าพ่อมักจะเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก บางครั้งหอบเร็ว เธออยากพาพ่อไปหาหมอ แต่ก็ติดงานต้องตะลอนไปที่นั่นที่นี่ ตัวพ่อก็ดื้อ เดาเอาเองว่าแค่เหนื่อย ทุกอย่างเรื้อรังมานานปีจวบเร็วๆ นี้เพิ่งได้คำตอบ อาการที่พ่อเป็นเรียกว่าโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
“อย่าลืมกินยาตามที่หมอบอกนะพ่อ” หญิงสาวตอบ แล้วยังกำชับมารดา “แม่ช่วยดูด้วยนะ”
“แม่ ‘จับตา’ อยู่แล้ว” แม่ว่าพลางหัวเราะ คงรู้สึกเก๋ไก๋ที่ได้ใช้ศัพท์เหมือนนักข่าวแบบที่ลูกสาวเป็น “แล้วนิจกินอะไรมารึยังลูก”
“กินมาแล้วค่ะ” เปล่า เธอยังไม่ได้กิน แต่เหนื่อยและเบื่อเกินจะกิน
“อ้าวเหรอ แม่มีขนมด้วยนะ มานั่งกินหน่อยมั้ย”
เริ่มอย่างนี้ แสดงว่าแม่มีอะไรอยากจะคุยมากกว่า
“มีอะไรรึเปล่าแม่” เธอถามโดยยังไม่ก้าวตรงไปยังเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าว
“ป้านางน่ะซี—” ป้านางคือญาติที่ห่างจนไม่น่าเรียกญาติ แต่ค่าที่บ้านอยู่ไม่ห่างกัน จึงชอบแวะมาสนทนากับพ่อแม่ “วันนี้แกมาคุย เพื่อนลูกแกที่เป็นผู้ประกาศน่ะ นิจจำได้มั้ย ป้านางบอกว่าเขาได้นั่งเรือบินส่วนตัวไปฮาวายกับพวกฝ่ายมั่นคงอะไรนั่นด้วยนะลูก”
“อ้อเหรอ” สารนิจจำได้ แล้วก็รู้ด้วยว่าข่าวนี้กำลังถูกพูดถึงกันกราวในสื่ออินเทอร์เน็ตถึงความเหมาะสม แต่ก็นั่นแหละ พ่อแม่ย่อมรับรู้เรื่องแค่ด้านเดียว
“นิจไม่สนใจจะไปทำอย่างเขาบ้างเหรอลูก”
“ไม่อะแม่”
“นี่ลูกป้านางที่ทำข้าราชการก็ดีนะ ดูสิ ตอนเช้ามันไปตอกบัตรแล้วก็ขับรถเอาลูกวนมาให้แม่มันเลี้ยงที่นี่ ตอนบ่ายก็เลิกไว ขับมารับลูก—”
“เดี๋ยวนิจจะไปอาบน้ำนอนเลยนะแม่ เหนื่อยอะ”
“อ้อๆ”
พอแม่เออออ พ่อก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง “ไอ้บ้านั่นมันเอาอีกแล้วซีนะ เมื่อไหร่ตำรวจจะจับได้ซะทีก็ไม่รู้ มันยิ่งกว่าผีอีก วนๆ เวียนๆ ไปทั่ว…”
ปล่อยให้พ่อกับแม่พูดกันไป สารนิจเพิ่งนึกขึ้นมาได้ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูหน้าจอขณะก้าวขึ้นชั้นบน
ราวสิบนาทีก่อนนายแพทย์กฤชหิรัณย์ติดต่อเข้ามา เธอไม่ได้รับสายเพราะกำลังลงจากรถสองแถวแออัด นายแพทย์ผู้นี้นี่เองคือคนให้ความกระจ่างเรื่องโรคภัยของพ่อ
เธอกับเขาพบกันในสถานการณ์ไม่น่าพิสมัย นายแพทย์กฤชหิรัณย์เศร้าโศกและตกใจเพราะการจากไปของภรรยา แม้อาจารย์หมออย่างเขาจะรักษาอารมณ์ได้ค่อนข้างคงมั่น แต่การสูญเสียนั้นเต็มไปด้วยความสะเทือนขวัญ ยิ่งเป็นเรื่องที่คนโจษจันมาแต่ต้น ก็ยิ่งถูกจับตา
ใช่แล้ว ภรรยาของเขาคือแพทย์หญิงร้อยกรอง เหยื่อรายที่สองของฆาตกรโหด!
ความรู้สึกของเขาคงคล้ายเห็นตุ๊กตาแก้วที่จู่ๆ สลายไปในลม สารนิจไม่เคยรู้จักทั้งสองมาก่อน ได้เห็นรูปคู่ ได้สัมผัสถึงความเหมาะเจาะพอดีระหว่างกัน ยังอดรู้สึกใจหายและเสียดายไม่ได้
นายแพทย์กฤชหิรัณย์เป็นอายุรแพทย์โรคหัวใจเช่นเดียวกับภรรยา มีส่วนสูงไม่มาก ทว่าสมส่วน เครื่องหน้าไม่ถึงกับดึงดูดสายตาในแวบแรก แต่ยิ่งพิศจะยิ่งรู้สึกถึงความมีเสน่ห์ โดยเฉพาะดูอ่อนเยาว์มากเมื่อเทียบกับอายุและตำแหน่งงานอาจารย์หมอ ขณะเดียวกันก็มีบุคลิกสุขุมสมาร์ทอย่างผู้ได้รับการฝึกฝนมาดี ภูมิประวัติก็บอกว่าเขามีพื้นฐานครอบครัวที่ดี สามารถศึกษาได้สูงลิ่วโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายระหว่างเรียนเหมือนคนระดับล่างๆ อย่างเธอเลย
แพทย์หญิงร้อยกรองมีอายุไล่เลี่ยสามี เป็นผู้หญิงรูปร่างเล็ก สวยจัดดุจกุหลาบอันเป็นดอกไม้ที่เจ้าหล่อนรัก หากแต่ขาดความเย้ายวน คล้ายไม่เข้าใจในอำนาจทางเพศของตน มีความจริงจังอันติดมาจากเนื้องาน กับความไม่ประสาโลกของคนที่ติดอยู่แต่กับงานร่วมกันอยู่
สามีภรรยาทำงานอยู่คนละโรงพยาบาล มีบ้านพักหลังเล็กๆ สวยอบอุ่นแถบชานเมือง วันเกิดเหตุนายแพทย์กฤชหิรัณย์เลิกงานกลับบ้านก่อน เขาให้การกับตำรวจว่าหลับไปด้วยความอ่อนเพลียที่โซฟาในห้องรับแขก เพื่อนบ้านเป็นพยานว่าเห็นเขาขับรถเข้ามาจอดที่หน้ารั้วตั้งแต่ตอนเย็นและไม่ได้ออกไปไหนอีกกระทั่งเช้าวันถัดมา
นายแพทย์กฤชหิรัณย์ตื่นขึ้นช่วงเช้ามืด ตอนแรกคิดว่าภรรยากลับมาเห็นแล้วไม่ได้ปลุกเพราะอยากให้ตนได้พัก เขาตามขึ้นไปที่ห้องนอน แต่กลับพบเพียงความเปล่าว่าง ตรวจดูโทรศัพท์มือถือก็ไม่พบข้อความจากภรรยาว่าไปธุระที่ไหน หรือจะไม่กลับบ้าน ลองโทร.ไปถาม ปลายทางก็ไม่รับสาย
ทั้งที่ช่วงนั้นมีข่าวน่าพรั่นพรึงเกี่ยวกับฆาตกรโรคจิตฆ่าเหยื่อตามนิทานเวตาล แต่นายแพทย์กฤชหิรัณย์ไม่ได้ฉุกใจเลยว่าเรื่องจะเกิดกับคนใกล้ตัว เขานอนต่อ พอเช้าก็ตื่นไปทำงาน พยายามติดต่อภรรยาอีกครั้ง แต่ยังคงไม่สำเร็จ กลายเป็นน้องสาวภรรยาที่ติดต่อกลับมา บอกว่าแพทย์หญิงร้อยกรองถูกฆ่าตายแล้ว
ซอยเล็กบนถนนราชพฤกษ์ ช่วงที่อยู่ไม่ไกลจากรั้วโรงงานเย็บผ้าชื่อกรกนกนั้น เป็นทางผ่านสู่บ้านพักของพ่อแม่แพทย์หญิงร้อยกรอง รถของเธอยังจอดอยู่ไม่ไกล ในขณะที่ศพถูกคนร้ายลากมาทิ้งบนลานดินริมสวน ดึงลิ้นออกผ่าเป็นสองแฉก ตัดจมูก กะโหลกด้านหลังถูกทุบจนเสียรูปแล้วถูกล้อมไว้ด้วยเศษผ้า ถึงกระนั้นมันสมองก็เยิ้มไหลออกมาน่าสยดสยอง
ที่ศพยังพบซองพลาสติกบรรจุกระดาษวางไว้ มีข้อความพิมพ์เป็นระเบียบว่า
o อะไรใหม่มิใช่ความจริงแน่ ความจริงแท้เกิดใหม่เกิดได้หรือ
อะไรใหม่ไม่จริงทุกสิ่งคือ อะไรจริงใช่ชื่อว่าใหม่เอย ฯ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากนายแพทย์ไถ้กลายเป็นศพเพียงแค่สิบวัน
. . . . . . . . . .
“สวัสดีค่ะคุณหมอ” สารนิจกรอกเสียงลงโทรศัพท์หลังจากนายแพทย์กฤชหิรัณย์รับสาย
“สวัสดีคุณนิจ ขอโทษทีครับโทร.มากวน”
น้ำเสียงอีกฝ่ายนุ่มเย็นเสมอต้นเสมอปลาย แต่ก็มีความมั่นใจ ชัดเจน และคำพูดไม่เคยอ้อมค้อม จนบางครั้งให้ความรู้สึกติดจะดุด้วยซ้ำ เฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ถูกขอสัมภาษณ์
ซึ่งนับว่าแปลกดี เท่าที่สารนิจเคยสังเกต เวลาคนทั่วไปถูกขอให้อยู่หน้ากล้อง หลายรายมักจะเกิดบุคลิกใหม่แทรกเข้ามาอย่างทันท่วงที บางทีเกิดจากประหม่า อีกหลายทีเกิดจากปรารถนาให้ตัวเองดูเป็นฝ่ายถูกต้อง ถูกกระทำ หรือต่อให้ตกอยู่ข้างผิดก็ยังพยายามวางท่าให้ได้รับความรู้สึกในเชิงบวกจากผู้ชมมากที่สุด แต่นายแพทย์กฤชหิรัณย์ซึ่งขณะนั้นสุ่มเสี่ยงจะถูกสงสัยว่าเป็นผู้ร้าย กลับวางท่าไม่เป็นมิตรใส่สาธารณชน ราวกับว่าการออกสื่อนั้นเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์สำหรับเขา ทั้งที่ในความจริง ตั้งแต่ภาพของเขาแพร่ออกไป นายแพทย์กฤชหิรัณย์ก็ได้รับความเห็นใจเรื่อยไปถึงชื่นชมรูปลักษณ์
อย่างไรก็ดี ในหมู่สื่อมวลชนที่ต้องตามเทียวไล้เทียวขื่อขอสัมภาษณ์เขา เจ้าตัวดูจะ ‘ตึง’ กับเธอน้อยที่สุด อาจารย์แพทย์หนุ่มวัยสี่สิบสามปีสารภาพว่าเคยติดตามการทำข่าวของเธอมาตั้งแต่กรณีค้ามนุษย์รากษะจนถึงหมู่บ้านป่าโหว่ เขาศรัทธาในอุดมการณ์และชื่นชมการนำเสนอที่ไม่เยิ่นเย้อ เจาะเล่าเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้ชมเท่านั้น ตอนที่ได้ยิน พี่ป๋องถึงกับหน้าบานแล้วเยินยอเธอเสริมอีกยกใหญ่
ช่วงที่ข่าวคราวเริ่มซา พร้อมๆ กับความน่าสงสัยในตัวของนายแพทย์กฤชหิรัณย์เริ่มจางลง สารนิจเอ่ยขอคำปรึกษาเขาเกี่ยวกับอาการของพ่อ แพทย์หนุ่มสันนิษฐานถูกต้องตั้งแต่ยังไม่ได้พบคนไข้ ถึงกระนั้นก็กุลีกุจอขอให้เธอพาพ่อไปพบจนได้ในเร็ววัน ทุกวันนี้เขายังให้ยาและนัดพบพ่อทุกสามเดือนเพื่อดูอาการต่อเนื่อง
ความช่วยเหลือนั้นนับเป็นบุญคุณที่เธอไม่เคยลืม ฉะนั้น ทันทีที่ได้ยินว่าเจ้าตัวมีเรื่องอยากรบกวน นักข่าวสาวจึงกระตือรือร้นทันที
“ผมเห็นข่าววันนี้แล้วไม่ค่อยสบายใจ—” แน่ละ ข่าวศพในองค์พระนั่น เหยื่อรายที่สามต่อจากภรรยาของเขา! “ตั้งแต่กรอง…เสียไป เรายังไม่ได้ความคืบหน้าเลย ซ้ำยังมาเกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก แล้วคราวนี้ก็ดูจะเหมือนเดิม” หางเสียงไม่สบอารมณ์ถูกเกลื่อนด้วยอาการถอนหายใจ “ผมเลยคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะพึ่งตัวช่วยอื่น”
สารนิจสัมผัสได้ถึงจังหวะเต้นของหัวใจที่เพี้ยนผิดไปในอกตน “คุณหมอหมายถึง…”
“เรื่องที่คุณเคยบอกน่ะครับ — หมวดไตร”
“อ้อ…” รู้สึกคล้ายขนแขนตัวเองผุดลุกขึ้นมา
ก่อนหน้านี้สารนิจเคยเอ่ยถึง ร.ต.ท.ไตรตรึงษ์ วิไลวุฒิ ให้นายแพทย์กฤชหิรัณย์ฟังเกี่ยวกับวีรกรรมที่บ้านหลาว ตลอดจนการเลือกออกจากราชการไปเปิดสำนักงานนักสืบเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ คนฟังไม่ได้แสดงความเห็นเป็นพิเศษ ไม่คิดว่าคำพูดเหล่านั้นจะยังติดในความคิดเขาจนสุดท้ายเลือกโทร.มาหา
“ผมอยากขอให้คุณช่วยติดต่อเขาให้ทีได้มั้ยครับ บางทีความสามารถของเขา กับความเป็นอิสระที่ทำให้คล่องตัวกว่า อาจช่วยให้คดีมีความคืบหน้าไวกว่านี้”
. . . . . . . . . .
ทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าตรวจสอบในที่เกิดเหตุคดีฆาตกรรมแพทย์หญิงร้อยกรองนั้น นำโดย พ.ต.ต.บวรชิต จระนำ สารวัตรสืบสวนสอบสวน สน.ภาษีเจริญ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ สารวัตรหนุ่มคุ้นเคยกับนักข่าวสาวจากช่องสามัญชนทีวีตั้งแต่สมัยทำคดีอาสนมนตรีซึ่งเกิดขึ้นในเขตพื้นที่เดียวกัน ขณะนั้นมี ร.ต.ท.ไตรตรึงษ์ ร่วมทีมสืบสวนด้วย
จากกลอนบทที่ฆาตกรทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุ มันถูกสืบสาวไปยังนิทานเวตาลอีกครั้ง สารวัตรหนุ่มต้องไล่พลิกวรรณกรรมตามให้ทัน เพราะคดีนั้นนับเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชนจำนวนมาก
ผลปรากฏว่าคนร้ายอาศัยข้อมูลจากนิทานของเวตาลเรื่องที่สอง ว่าด้วยเจ้าชายพระรามเสนและนางจันทราวดี
เจ้าชายทรงเลี้ยงนกแก้วแสนรู้ตัวผู้ชื่อจุรามัน จุรามันแนะนำให้พระองค์ติดตามไปหานางจันทราวดีที่เมืองมคธเพื่อจัดการวิวาหะ ด้านนางจันทราวดีเองก็ทรงเลี้ยงนกไว้ตัวหนึ่งเช่นกัน เป็นนกขุนทองแสนรู้ตัวเมียชื่อโสมิกา โสมิกาทำนายว่าภายหน้าเจ้านายตนจะได้เป็นชายาของพระรามเสนแห่งกรุงโภควดี ได้ยินดังนั้นนางจันทราวดีก็มีใจปฏิพัทธ์ต่อคู่ครองของพระองค์เช่นกัน
เมื่อต่างฝ่ายต่างมีหทัยรักใคร่กันแต่ต้น เรื่องราวก็ควรจะจบลงง่ายๆ การณ์กลับกลายเพราะเจ้าชายและเจ้าหญิงมีพระประสงค์ให้นกทั้งสองครองรักกันตามไปด้วย
นางนกโสมิกานั้นเดียดฉันท์เพศผู้ จึงได้เล่านิทานว่าด้วยชะตาชีวิตของนางรัตนาวดีที่ต้องแต่งงานกับชายหลังอูฐใจชั่ว ส่วนจุรามันเองก็รังเกียจสตรีมิยิ่งหย่อน จึงได้เล่านิทานอีกเรื่อง ว่าด้วยวีรกรรมของนางชัยศิริ หญิงอัปลักษณ์ใจโฉดผู้คิดคดต่อสามี จนถึงแก่ถูกศพกัดจมูกทิ้ง กลายเป็นหลักฐานประจานความชั่ว นกสองตัวต่างถกเถียงกันจนผู้เป็นเจ้าของปวดพระเศียร ตัดสินไม่ได้ว่าฝ่ายใดผิดถูก
รายละเอียดการจัดฉากฆาตกรรมถูกยกมาจากการเลี้ยงนกให้พูดได้แสนรู้นั่นเอง
…การทำให้นกพูดได้นี้ กล่าวกันว่าเป็นความคิดของนักปราชญ์คนหนึ่ง ซึ่งผ่าลิ้นนกออกให้เป็นสองภาค แล้วเปลี่ยนรูปสมองด้วยวิธีผูกรัดหัวกะโหลกเบื้องหลัง จนหัวกะโหลกเบื้องหลังยื่นออกมา ทำให้เกิดมันสมอง จนถึงรู้คิดแลพูดได้เป็นภาษาคน การที่นักปราชญ์คิดทำให้นกรู้ประสาเช่นนี้ก็มีคุณดีบ้าง แต่มีคุณชั่วมาก เหมือนความคิดนักปราชญ์ทั้งปวง คือเมื่อนกมีความคิดแลพูดได้แล้ว ก็คิดอย่างฉลาดแลพูดอย่างดี คำที่กล่าวล้วนเป็นคำสัตย์ ครั้นมนุษย์พูดเหลวไหลปราศจากสัตย์ นกก็พูดติเตียนจนมนุษย์เบื่อความสัตย์เข้าเต็มที่ ก็ทิ้งวิชาทำให้นกพูดได้นั้นเสีย ความรู้จึงเสื่อมด้วยประการเช่นนี้ ในปัจจุบัน ถ้านกแก้วแลนกขุนทองยังพูดได้ ก็พูดเหลวๆ เพราะความจำอย่างเดียว ไม่ใช่พูดด้วยรู้คิดอย่างแต่ก่อน มนุษย์ไม่ต้องเดือดร้อนด้วยความสัตย์แห่งนกอีกต่อไป
ไม่นานหลังจากข่าวคดีฆาตกรรมหนนี้แพร่ออกไป ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียต่างดาหน้าออกมาประณามฆาตกร เรื่อยไปถึงวิพากษ์ผู้เขียนข่าวและนักวิชาการ โดยเฉพาะรายที่เปรียบว่าเรื่องเล่านกแก้วนกขุนทองในวรรณกรรมเก่านี้มีลักษณะเดียวกับเสียงอื้ออึงในโลกเสมือนยุคปัจจุบัน คือทั้งนกตัวผู้กับนกตัวเมียต่างก็อ้างข้อดีเฉพาะฝ่ายตนแล้วโทษอีกฝ่ายตลอดเวลา หรือกลุ่มที่จับแพะชนแกะ พยายามป้ายสีแพทย์หญิงร้อยกรองว่าน่าจะมีพฤติกรรมคบชู้เยี่ยงนางชัยศิริในเรื่องเล่าของนกตัวผู้ ทั้งๆ ที่สามีและคนรอบตัวยืนยันว่าแพทย์หญิงร้อยกรองไม่เคยมีประพฤติดังกล่าว
นอกจากนี้ ข้อมูลอีกอย่างในตัวคดีก็กลายเป็นอีกปัญหา
ทั้งคดีนายแพทย์ไถ้และแพทย์หญิงร้อยกรอง ต่างก็มีหลักฐานจากกล้องหน้ารถแสดงว่า หลังจากเหยื่อทั้งคู่ขับรถทับตะปูแล้วเผลอเปิดประตูลงไปดู คนร้ายที่จู่โจมเข้าคลุมหัวเหยื่อจากทางด้านหลังนั้น เป็นหญิงสวมส่าหรีปิดหน้าปิดตา ด้วยเหตุนี้ การด่าทอเรื่องเชื้อชาติจึงระเบิด ตามมาด้วยการรณรงค์ยุติการกระทำดังกล่าว ขณะเดียวกัน ชาวโซเชียลก็รวมใจกันติดแฮชแท็ก #saveหมอหัวใจ ซึ่งถูกคาดการณ์ว่าอาจเป็นเป้าหมายหลักของฆาตกรโหดรายนี้ พร้อมๆ ไปกับด่าทอแนวทางการทำข่าวของสื่อ
อย่างไรก็ดี ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เรตติ้งรายการข่าวยังทะยานชนะละครภาคค่ำ การพูดถึงและการกล่าวขวัญยังเกิดขึ้นทุกช่องทาง ทั้งที่มีผู้วิเคราะห์ว่านี่อาจเป็นจุดประสงค์หลักของฆาตกร
ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว พ.ต.ต.บวรชิตจึงต้องระมัดระวังการทำงานร่วมกับสื่อมวลชนอย่างมาก ใครคนหนึ่งหัวเราะบอกเขาว่า ‘อย่าคิดในแง่ร้ายนักซี ตอนนี้พวกนั้นหันไปตีกันเองก็ดีแล้ว ตำรวจจะได้หายใจหายคอคล่องขึ้นบ้าง’
ใครคนดังกล่าวเพิ่งเปิดประตูขึ้นมานั่งคู่กันบนเบาะหน้ารถ น้ำหอมกลิ่นโปรดของฝ่ายนั้นยังคลุ้งทั้งที่บัดนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว
“เฮ้ย ทำหน้ายุ่งนักวะ” คำพูดค่อนข้างคุ้นเคยกันเพราะ พ.ต.อ.อาหรับ เหลืองสนิท เป็นอดีตผู้บังคับบัญชา และยังเกี่ยวดองในฐานะพ่อบุญธรรมของหญิงที่บวรชิตปักใจ
ก่อนจะได้เลื่อนมาเป็นรองผู้บังคับการ กองบังคับการอำนวยการ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ พ.ต.อ.อาหรับเคยประจำตำแหน่งผู้กำกับ สน. ที่บวรชิตสังกัดอยู่ ต่อมาจึงได้ไปมาหาสู่ด้วยเรื่องส่วนตัว
พ.ต.อ.อาหรับไม่ได้เข้าร่วมทีมสืบสวนคดีนี้โดยตรง แต่หลายครั้งการประชุมก็เกิดขึ้นใกล้ที่ทำงานของเจ้าตัว เช่นวันนี้ หลังเลิกงาน อาหรับจึงบอกขอติดรถเขากลับด้วย
“กูนึกว่าจะเปิดโอกาสให้มึงได้เจอยายแขกซะหน่อย”
ภารตามีศักดิ์เป็นหลานอาของผู้พูด ทว่านายไอยคุปต์บิดาแท้ๆ ได้แต่งตั้งให้อาหรับน้องชายเป็นพ่อบุญธรรมของลูกสาวตั้งแต่เธอยังเล็ก นายไอยคุปต์นั้นเป็นนักธุรกิจที่โรจน์แล้วร่วง ล้มแล้วลุกมาสิบหน แต่ในที่สุดก็ผงาดอยู่ในแวดวงเครื่องเช่าสำหรับอุตสาหกรรมบันเทิงได้อย่างเต็มภาคภูมิ ประสบการณ์และวิสัยทัศน์ทำให้เห็นว่าสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นยิ่งกว่าอาหลาน จะอำนวยให้อาหรับเมตตาภารตา และเลยไปถึงกิจการของนายไอยคุปต์เอง ซึ่งจะต้องสืบทอดสู่ลูกสาวต่อไป
ไม่ค่อยมีใครเชื่อเมื่อรู้ว่าบวรชิตหลงรักเธอ ไม่ใช่เพราะภารตาบกพร่อง เพียงแต่เธอดูเป็นผู้หญิงอีกแบบที่ไม่น่าคู่กับเขาได้
ในขณะที่บวรชิตเป็นผู้ชายติดจืดๆ – ยิ่งจืดเมื่อเทียบกับนิสัยอารมณ์ดียืดหยุ่นเยี่ยงคนเฉโกอย่างอาหรับ ภารตากลับเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นตัวเองเข้มข้น เธอผอมจนดูซูบและรักจะให้ผิวเป็นสีน้ำผึ้งมากกว่าน้ำนม ผมยาวหยิกฟูเป็นสีดำเข้มรับกับใบหน้าคม ปีกจมูกข้างขวาฝังหมุดเพชร มุมปากอวบอิ่มข้างเดียวกันก็เจาะห่วงสีดำเก๋ และแขนข้างหนึ่งสักลวดลายไว้เต็ม ภารตามักจะสวมชุดดำ เสื้อเอวลอยแขนกุด กางเกงยีนขาดเป็นริ้วๆ กับรองเท้าบู๊ต บวรชิตชอบมองดูเวลาขาเรียวยาวก้าวกระฉับกระเฉง ชอบแอบมองยางมัดผมที่ถูกถอดรัดไว้ที่ข้อมือ ว่าวันนั้นเปลี่ยนเป็นสีอะไร ในเมื่อมันแทบจะเป็นเครื่องประดับเดียวบนตัวเธอที่ไม่ใช่สีดำ
บวรชิตพบภารตาเป็นครั้งแรกตอนที่เธอแวะมาเยี่ยมพ่อบุญธรรมที่ สน. ด้วยฐานะและรูปลักษณ์ หลายคนเกรงใจจนถึงขั้นเกร็งกับเธอ เขาเท่านั้นที่รู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะเมื่อผู้หญิงท่าทางแรงๆ คนนั้นก้มลงใช้เสียงสองเสียงสามกับเจ้าแมวจร แถมชมว่าผู้ชายตัวดำๆ แมมมอมอย่างเขามีกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนกระดาษหนังสือเก่า – ซึ่งเขาเคยขำว่ามันหอมยังไง
ตลอดเวลาดังกล่าว หากบรรยายความรู้สึกเขาด้วยถ้อยในนิทานเวตาล ก็เห็นจะตรงกับโคลงบทที่ว่า
O อ้าอนงค์ทรงศักดิ์ด้วย ศรดอก ไม้แฮ
จากแหล่งแผลงตรงตอก อกข้า
โปร่งปรุทลุเล่ห์หอก ไล่หั่น
ฤทธิ์ราคเริงแรงกล้า เรี่ยวกลุ้มรุมใจ ฯ
O สาวสวรรค์ดั้นจากด้าว แดนสวรรค์ ใดฤา
อ่าเอี่ยมองค์เอวอัน อ่อนชอ้อน
เพ็ญพักตร์ลักษณ์ลาวัณย์ ราววาด
โอ้อกสทกทุกข์สะท้อน ท่าวสท้านลาญหลง
O เดียวดอมกรอมทุกข์กล้ำ กรึงกมล หม่นแล
กองระกำดำกล ก่นเศร้า
เพลิงร้อนจะผ่อนปรน พอปลด
ร้อนราคเราเร่าร้อน รุ่มร้อนรอนทรวง ฯ
O เปล่าเปลี่ยวเหี่ยวอกโอ้ โอ๋อก
หนาวจิตคืออุทก สทกสท้อน
คิดโฉมประโลมกก กอดอุ่น
กายแม่เย็นยามร้อน อุ่นเนื้อยามหนาว ฯ
O ใคร่สมสมใคร่ได้ ทางใด แม่เอย
เจ็บจิตอาจิณใจ จักขว้ำ
โหยหวนอ่วนอกไอ เป็นเลือด แล้วแม่
แรงรักชักชอกช้ำ ใช่ช้าลาตาย
เชิงรักเขาช่างเยาว์และเขลาหนัก เพียงปราดตาไม่กี่ทีอาหรับก็ทะลุปรุโปร่ง ผู้บังคับบัญชาหัวร่อล้อจนเขาเขิน ออกปากปฏิเสธจนเกินปฏิเสธ ท้ายสุดพอไม่อาจปฏิเสธก็จำยอมรับไปพร้อมกับขอโทษ เพราะตระหนักว่าตนคิดอาจเอื้อม โชคดีที่อาหรับเอ็นดูและเข้าใจ รับปากว่าจะช่วยกรุยทางให้
ในฐานะคนสนิท บวรชิตได้ตาม พ.ต.อ.อาหรับไปในที่ต่างๆ หลายครั้งหลังจากนั้น เขาได้เจอและทำความรู้จักภารตาจนสนิทสนมกันในไม่ช้า อยากเข้าข้างตัวเอง แต่ทำได้ยาก ในเมื่อเห็นๆ กันอยู่ว่าเธอสนิทกับใครได้ง่ายๆ
‘เฮ้ย’ พ.ต.อ.อาหรับนั่นละเคยเถียงแทน ‘สนิทกับคนง่าย แต่คงไม่ใช่ทุกคนหรอกที่ยายแขกจะนั่งชี้ชมเล่าประวัติรอยสักแต่ละรอยของตัวเองอย่างที่เล่าให้มึงฟัง’
เช่นเคย เขาอยากสุขุม แต่กลับยิ้มกว้างไม่หุบ
นั่นก็มีส่วนถูก ภารตามีเพื่อนฝูงมากมาย เนื่องจากมีความสนใจกว้างขวาง เป็นนักอ่านตัวกลั่น เป็นนักดนตรีตัวยง วาดรูปเมื่ออยากวาด คลั่งแคคตัส วันดีคืนดีก็ไปช่วยงานมูลนิธิสัตว์พิการ ฯลฯ แต่คนทั้งหมดนั้นไม่น่ามีใครได้รับกำลังใจและสติ๊กเกอร์รูปหัวใจบ่อยเท่าเขา
เธอเคยถึงขนาดล้อว่า ‘อยู่ใกล้ๆ กันอย่างนี้ พี่ชิตอย่ามาชอบแขกนะ’
หัวใจคนถูกล้อแทบจะหยุดเต้น
เธอคงรู้สึกได้ จึงหัวเราะออกมา ‘ทำหน้าใจแป้วเชียว แขกมีความลับจะบอก แขกไม่ได้ชอบผู้ชายหรอกค่ะ’
มุมปากหยักสูง แล้วหางตาก็ขยิบข้างหนึ่งคล้ายประกายดาวบนฟ้า
ใช่แล้ว ภารตาเป็นเหมือนแสงดาวบนฟ้าในช่วงเวลาที่การงานของเขายุ่งยาก น่าเสียดาย เวลานี้แสงดาวเองก็กลับริบหรี่…
“คดีวันนี้รึ” ในที่สุดผู้เป็นใหญ่ออกปากถาม ขณะที่บวรชิตกำลังชะเง้อมองทางเพื่อถอยรถออกจากซอง
“เรื่องใหญ่อยู่ครับ ก่อนหน้านี้เราเริ่มเห็นทางบ้างแล้วแท้ๆ”
จากคดีของแพทย์หญิงร้อยกรองที่พาเขาเข้าร่วมทีม จวบวันนี้ที่พบศพปริศนาในองค์พระ นับเป็นเวลาประมาณเดือนครึ่งแล้ว ถ้ารวมกับคดีของนายแพทย์ไถ้ด้วยก็เกือบสองเดือน ทั้งที่ตกอยู่ในความสนใจอย่างยิ่ง และมีแรงกดดันให้รีบสรุปคดีอย่างยิ่ง แต่ทุกสิ่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก
ปกติการสืบสวนในคดีฆาตกรรมส่วนใหญ่จะอาศัยแรงจูงใจเป็นเครื่องนำทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องกับผู้ตาย เมื่อพบความขัดแย้งที่อาจเป็นแรงจูงใจก็จะพุ่งไปหาหลักฐาน ไม่ช้าจะเจอสิ่งที่ใช้มัดตัวผู้ต้องสงสัยแล้วสรุปคดีได้
แต่คดีฆาตกรรมนิทานเวตาลไม่เป็นอย่างนั้น เริ่มจากนายแพทย์ไถ้ ดูไม่มีใครมีแรงจูงใจฆ่าเจ้าตัว – อันที่จริง จากกล้องหน้ารถก็แทบจะเป็นหลักฐานชัด คนร้ายโรยตะปูเรือใบแล้วรอเหยื่อโชคร้าย ไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ กอปรกับบริเวณนั้นเป็นที่เปลี่ยว แถมยังเกิดเหตุช่วงค่ำ จึงไม่มีพยานหรือกล้องซีซีทีวีที่พอจะให้การเกี่ยวกับคนร้ายได้ ไม่ต้องพูดถึงหลักฐานจากศพและที่เกิดเหตุ นับว่าฆาตกรฉลาดเป็นกรด แล้วก็รอบคอบยิ่งยวด มันระวังตัวอย่างดี สิ่งเดียวที่พอจะใช้คลำทางได้ คือการเลือกใช้นิทานเวตาล
ทั้งคดีของนายแพทย์ไถ้และแพทย์หญิงร้อยกรอง เหยื่อถูกคลุมศีรษะลากไปยังข้างทางแล้วเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ ทางเลือกนี้ของคนร้ายไม่บอกอะไรเกี่ยวกับตัวมัน นอกจากมันแข็งแรง ต้องการความรวดเร็ว และสภาพศพต้องเรียบร้อยมากพอจะนำมาแสดงนิทรรศการจากวรรณกรรมชิ้นนั้น ส่งทอดข้อความและบริบทบางอย่างจากนิทานของเวตาลเรื่องที่มันหยิบยกขึ้นมา
แน่ละ สำหรับคดีนายแพทย์ไถ้ เรื่องที่ดูจะเข้าเค้าที่สุดก็คือเรื่องชู้สาว ทว่าไม่มีหลักฐานหรือพยานบ่งบอกว่าเหยื่อกำลังคบหาใคร ว่ากันตามตรง เจ้าตัวเป็นคนธรรมะธรรมโม ชอบเที่ยวทำบุญไปตามวัดต่างๆ มากกว่าด้วยซ้ำ
ถัดมา คดีแพทย์หญิงร้อยกรองดูจะยิ่งยืนยันความบ้าของไอ้คนร้าย มันยังคงไม่ได้เจาะจงใคร มีแรงจูงใจเสมือนคลั่งไคล้นิทานเวตาลเป็นหลัก ดังจะเห็นได้จากเวลาที่ใช้ก่อคดีนี้ห่างจากคดีก่อนหน้าสิบวัน ตรงกับสัญลักษณ์รอยกระแจะจันทร์ข้างแก้มนายแพทย์ไถ้ ซึ่งเป็นไปตามการถอดความจากในนิทานว่า
…การที่พระราชธิดาเอากระแจะจันทร์ทาแก้มนางนมด้วยนิ้ว 10 นิ้วนั้น หมายความว่ากลางคืนยังมีแสงพระจันทร์อยู่อีก 10 คืน เมื่อพ้น 10 คืนไปแล้ว นางจะออกมาพบพระองค์ในที่มืด พระองค์จงหักความกระวนกระวายในพระหฤทัยคอยไปอีก 10 วันเถิด’
ด้วยเหตุนี้ หลังจากหลายฝ่ายแสดงวิวาทะกันจนได้ข้อสรุปว่า คนร้ายไม่ได้เฉือนจมูกของแพทย์หญิงร้อยกรองออกไปเพื่อแสดงความหมายว่าเธอคบชู้ ข้อสันนิษฐานใหม่จึงอุบัติ
มันอาจเป็นสัญลักษณ์ประกาศว่าไอ้คนร้ายจะก่อคดีซ้ำ เช่นเดียวกับในวรรณกรรมต้นทางที่จมูกอันสูญหายจะไปปรากฏอยู่ในอีกศพภายหลัง
ความตื่นเต้นหวาดกลัวของผู้คน กลายเป็นแรงกดดันให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งทำคดีนี้ และเพราะแรงจูงใจของคนร้ายดูจะโน้มเอียงไปทางนิทานเวตาลมากกว่า ทีมสืบสวนจึงต้องหันไปให้น้ำหนักกับครอบครัวนายเข็มทิศแทน ค่าที่เป็นคนต้นเรื่อง
ทั้งปู่หลานล้วนถูกตามประกบ โปรแกรมแชตบอตที่ข้างขึ้นสร้างมาก็ถูกรื้อตรวจละเอียด แม้แต่การสืบย้ำความตายของนางสาวข้างแรมก็เช่นกัน ทว่าสุดท้ายกลายเป็นเสียแรงและเสียเวลาเพื่อคว้าน้ำเหลว นายเข็มทิศและนางสาวข้างขึ้นมีพยานที่อยู่แน่นหนาในวันเกิดเหตุ แชตบอตคือแชตบอตแท้ๆ และเรื่องแปลกปลอมก็เกิดจากความผิดพลาด เฉพาะการตายของข้างแรมที่ยังคงชี้ชัดไม่ได้ว่าศพไหม้เกรียมในซากรถนั้นคือเธอจริงหรือไม่
ในที่สุด ทุกคนจึงต้องกลับมาตั้งหลักใหม่ เปลี่ยนแนวทางการตั้งข้อสงสัย เพื่อนำไปสู่คำตอบที่ถูกต้องกว่า
ขณะที่คำตอบนั้นเริ่มแสดงขึ้นเรื่อๆ ศพในองค์พระกลับปรากฏแทรกขึ้นมา
บวรชิตสรุปให้คนที่นั่งอยู่บนเบาะข้างฟังว่า
“เกือบทุกอย่างในคดีใหม่นี้ทำลายสิ่งที่เราพอจะสรุปได้ไปหมดเลยครับท่านรอง—”
. . . . . . . . . .
ติดตามต่อได้ในนิยายฉบับเต็ม
วางจำหน่ายเร็วๆ นี้