The Witcher
Short Story Collection II
ดาบแห่งโชคชะตา
Sword of Destiny
อันเดรย์ ซาพคอฟสกี เขียน
ต้องตา สุธรรมรังษี และ ธนพร ภู่ทอง แปล
ติดตามการวางจำหน่ายได้ทางเพจ “เเพรวนิยายเเปล”
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
“สนุกมาก ผสมผสานความแฟนตาซีกับเทพนิยายได้อย่างลงตัว
บรรยายการต่อสู้ได้ดีเยี่ยม และมีจุดหักมุมที่คาดไม่ถึง สุดยอด!”
– เว็บไซต์ The Fantasy Review
“คนที่ชอบเล่มแรกในชุดจะต้องชอบเล่มนี้ด้วยอย่างแน่นอน
นี่เป็นเรื่องที่อ่านเพลินมาก ทั้งยังเปี่ยมล้นด้วยความแฟนตาซีและการต่อสู้อันเข้มข้นเร้าใจ”
– นิตยสาร Grimdark
“ฉันสนุกกับเรื่องนี้มากจริงๆ…ไม่มีตัวละครไหนในโลกของซาพคอฟสกีที่เป็นสีขาวหรือสีดำล้วน
ทุกตัวละครเป็นสีเทาหมด รวมทั้งเกรอลท์และเหล่าสัตว์ประหลาด”
– หนังสือพิมพ์ The Deckled Edge
ขีดจำกัดของความเป็นไปได้
I
“เขาไม่ออกมาแล้วละ ข้าบอกเลย” ชายหน้าปรุจากแผลฝีดาษเอ่ยพลางส่ายหน้าอย่างปลงตก “เขาลงไปตั้งหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาทีแล้ว ไม่น่ารอด”
เหล่าชาวบ้านที่ยืนมุงซากปรักหักพังอยู่นั้นต่างจ้องมองอย่างเงียบเชียบเข้าไปในหลุมมืดของซากปรักหักพัง ซึ่งเกิดจากเศษอิฐเศษหินที่เกยทับกันจนเป็นโพรง ชายร่างท้วมสวมเสื้อรัดรูปแขนกุดสีเหลืองขยับเท้าไปมา ก่อนจะกระแอมในลำคอ แล้วถอดหมวกบิเร็ตตา[1]ยับยู่ยี่ออก
“รออีกสักนิดเถอะ” เขากล่าวพร้อมกับปาดเหงื่อตรงคิ้วบาง
“รออะไร” ชายหน้าปรุแยกเขี้ยว “ท่านเทศมนตรี ท่านลืมไปแล้วรึว่าบาซิลิสก์มันป้วนเปี้ยนอยู่ในคุกใต้ดิน ไม่มีใครเข้าไปแล้วรอดออกมาได้ เท่านี้คนยังตายไม่พออีกหรือ รอไปเพื่ออะไรกัน”
“แต่เราตกลงกับเขาแล้ว” ชายร่างท้วมทำเสียงอึกอัก “แบบนี้มันไม่ถูกต้อง”
“เราตกลงกับคนเป็น ท่านเทศมนตรี” สหายร่างยักษ์ของชายหน้าปรุแย้ง เขาสวมผ้ากันเปื้อนทำจากหนังสัตว์แบบพ่อค้าเนื้อ “แต่ตอนนี้เขาตายแล้ว แน่เสียยิ่งกว่าแช่แป้ง เงาหัวของเขากุดตั้งแต่แรกเหมือนพวกคนก่อนหน้านี้นั่นแหละ ทำไมน่ะรึ เพราะเขาไม่พกกระจกเข้าไปด้วย แต่กลับพกไปเพียงดาบหนึ่งเล่มอย่างไรเล่า ไม่มีกระจกจะฆ่าบาซิลิสก์ได้อย่างไร ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้น”
“ท่านประหยัดไปหนึ่งชิลลิง[2]นะ ท่านเทศมนตรี” ชายหน้าปรุพูดเสริม “เพราะไม่เหลือคนให้ท่านจ่ายค่าหัวบาซิลิสก์ให้แล้วน่ะสิ กลับไปอยู่บ้านอย่างสบายใจเถอะ เราจะยึดม้ากับสัมภาระของนักเวทเอาไว้เอง ทิ้งไว้ก็เสียของเปล่าๆ”
“ใช่” พ่อค้าเนื้อกล่าว “ม้าตัวบึกๆ กับถุงย่ามอ้วนๆ ขอดูหน่อยเถิดว่าข้างในมีอะไรกันแน่”
“แบบนั้นไม่ถูกต้อง พวกเจ้าจะทำอะไรน่ะ”
“เงียบเถอะ ท่านเทศมนตรี แล้วก็อย่ามายุ่ง ไม่งั้นท่านเดือดร้อนแน่” ชายหน้าปรุเตือน
“ม้าตัวบึกๆ” พ่อค้าเนื้อเอ่ยทวน
“อย่ายุ่งกับม้าตัวนั้น สหาย”
พ่อค้าเนื้อค่อยๆ หันหน้าไปทางผู้มาใหม่ช้าๆ คนผู้นั้นปรากฏกายขึ้นจากช่องตรงกำแพง ทำให้ผู้คนไปออกันตรงปากทางเข้าคุกใต้ดิน
ชายแปลกหน้ามีผมหยิกหนาสีเกาลัด เขาสวมเสื้อทูนิก[3]สีน้ำตาลเข้มทับเสื้อบุนวมกับรองเท้าบู๊ตทรงสูงสำหรับขี่ม้า และไม่ได้พกอาวุธใด
“ถอยออกมาจากม้าตัวนั้นซะ” เขาย้ำพร้อมกับแสยะยิ้ม “นี่มันอะไรกัน ม้าของคนอื่น ถุงย่ามกับสัมภาระก็ของคนอื่น เจ้าห้ามลูกตาเล็กๆ ฉ่ำน้ำไม่ให้มอง ห้ามมือขึ้นกลากไม่ให้แตะต้องไม่ได้เลยหรือไง พฤติกรรมแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน”
ชายหน้าปรุค่อยๆ สอดมือเข้าไปในเสื้อคลุมพลางเหลือบมองพ่อค้าเนื้อ พ่อค้าเนื้อพยักหน้าแล้วกวักมือไปทางกลุ่มคนซึ่งแหวกออกเพื่อให้ชายร่างหนาผมสั้นเกรียนสองคนก้าวออกมา พวกเขาถือตะบองแบบที่ใช้ทุบสัตว์ให้แน่นิ่งในโรงเชือด
“เจ้าเป็นใคร” ชายหน้าปรุถามโดยที่ยังสอดมือไว้ใต้เสื้อ “ถึงมีหน้ามาบอกเราว่าอะไรควรไม่ควร”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า สหาย”
“เจ้าไม่ได้พกอาวุธนี่”
“ถูกต้อง” ชายแปลกหน้าแสยะยิ้มด้วยความมุ่งร้ายยิ่งกว่าเดิม
“งั้นแย่หน่อยนะ” ชายหน้าปรุชักมีดยาวออกมาจากเสื้อ “โชคร้ายจริงๆ ที่เจ้าไม่มีอาวุธ”
พ่อค้าเนื้อชักมีดออกมาเช่นกัน ความยาวของมีดเล่มนั้นเทียบเท่ากับมีดดาบ ส่วนชายอีกสองคนก็สาวเท้าเข้ามาพร้อมกับเงื้อตะบองขึ้น
“ข้าไม่จำเป็นต้องพกหรอก” ชายแปลกหน้ากล่าวโดยยังยืนอยู่ที่เดิม “เพราะอาวุธของข้าจะติดตามข้ามาเอง”
หญิงสาวสองคนก้าวออกมาจากเบื้องหลังซากปรักหักพังด้วยฝีเท้าแผ่วเบาทว่ามั่นคง ผู้คนเปิดทางให้พวกนางทันที จากนั้นก็ถอยหลังและทยอยแยกย้ายกันไป
หญิงสาวทั้งสองคนยิ้มอวดฟันขาวและหรี่ตาลง พวกนางมีรอยสักเป็นแถบกว้างลากจากหางตาไปถึงใบหู สะโพกทรงพลังเผยมัดกล้ามชัดเจนใต้ชุดหนังลิงซ์[4] ลอนกล้ามตรงท่อนแขนเปลือยเปล่าเหนือเกราะโซ่สวมแขนก็นูนเด่นขึ้นมาเช่นกัน
ชายหน้าปรุย่อเข่าลงอย่างเชื่องช้ามากๆ ก่อนจะทิ้งมีดลงบนพื้น
มีเสียงก้อนหินกระทบกันกับเสียงลากครูดดังก้องมาจากโพรงของซากปรักหักพัง จากนั้นก็มีมือสองข้างโผล่จากความมืดมาเกาะขอบขรุขระของกำแพง ตามมาด้วยศีรษะที่มีผมสีขาวเปรอะเศษอิฐจนเป็นริ้ว ใบหน้าขาวซีด และด้ามดาบซึ่งโผล่พ้นไหล่ ผู้คนพากันพึมพำ
ชายผมขาวเอื้อมมือลงไปลากสิ่งมีชีวิตรูปทรงพิสดารออกมาจากโพรง เจ้าก้อนหนาๆ นั่นดูพิลึกพิลั่น เนื้อตัวของมันเกรอะกรังไปด้วยฝุ่นที่ดูดซับเลือดไว้จนชุ่ม เขาจับหางยาวๆ เหมือนหางสัตว์เลื้อยคลานของเจ้าสัตว์ประหลาดแล้วโยนไปที่เท้าของเทศมนตรีร่างฉุโดยไม่พูดอะไรสักคำ เทศมนตรีกระโดดโหยงไปสะดุดเศษกำแพงที่ล้มพังอยู่โดยที่ตายังมองจะงอยปากงุ้มเหมือนปากนก ปีกกางติดกันเป็นพังผืด เกล็ดบนกรงเล็บเท้า เหนียงบวมๆ ซึ่งเคยเป็นสีแดงสดทว่าบัดนี้เป็นสีน้ำตาลขะมุกขะมอม และดวงตาเหลือกค้างไร้ประกายชีวิต
“นี่ไง บาซิลิสก์ของท่าน” ชายผมขาวกล่าวพลางปัดฝุ่นออกจากกางเกง “ตามที่ตกลงกันไว้ ทีนี้ก็จ่ายมาสองร้อยลินทาร์[5] เหรียญลินทาร์แท้ๆ นะ ไม่เอาอันที่บิ่น ข้าตรวจดูทุกเหรียญแน่ เชื่อเถอะ”
เทศมนตรีล้วงถุงเงินออกมาด้วยมือสั่นเทา ชาวผมขาวมองไปรอบๆ ก่อนจะจับตามองชายหน้าปรุกับมีดที่เท้านิ่ง แล้วเคลื่อนสายตาไปยังชายผู้สวมเสื้อทูนิกสีน้ำตาลเข้มกับหญิงสาวสองนางในชุดหนังลิงซ์
“ยังเป็นเหมือนเคย” เขาเอ่ยขณะรับถุงเงินมาจากมืออันสั่นเทาของเทศมนตรี “ข้าเสี่ยงชีวิตแลกเศษเงิน แต่พวกเจ้ากลับจ้องแต่จะขโมยของของข้า สันดานไม่เคยเปลี่ยน ขอให้นรกกินกบาลพวกเจ้า”
“เปล่านะ” พ่อค้าเนื้อพึมพำพลางขยับก้าวถอยหลัง ส่วนชายถือตะบองสองคนนั้นสลายตัวไปกับฝูงชนนานแล้ว “ข้ายังไม่ทันได้แตะต้องของของท่านเลย”
“ฟังแล้วค่อยชื่นใจหน่อย” ชายผมขาวยิ้ม ทันทีที่เห็นรอยยิ้มราวกับรอยแผลที่ปริแตกบนใบหน้าซีดเซียว ชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ ก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่แตะต้องพวกเจ้าเช่นกัน เชิญกลับไปอย่างสงบ แต่รีบไปให้ไวด้วย”
ชายหน้าปรุถอยกรูดเช่นกัน รอยด่างบนใบหน้าซีดเผือดของเขาเด่นชัดจนเป็นที่อุจาดตา
“เฮ้ย หยุดก่อน” ชายผู้สวมเสื้อสีน้ำตาลเข้มพูดกับเขา “เจ้าลืมอะไรไปรึเปล่า”
“ลืมอะไร…ขอรับ”
“เจ้าชักมีดใส่ข้า”
ทันใดนั้นเอง หญิงสาวที่ตัวสูงกว่าก็โยกตัว แยกขากว้าง แล้วสะบัดสะโพก ไม่มีใครเห็นนางชักกระบี่ ได้ยินเพียงเสียงฉัวะดังแหวกอากาศ แล้วศีรษะของชายหน้าปรุก็กระเด็นเป็นแนวโค้ง หล่นลงไปในปากทางเข้าคุกใต้ดิน ร่างของเขาล้มตึงทั้งยืนท่ามกลางซากอิฐซากปูนราวกับต้นไม้ที่ถูกโค่น ผู้คนต่างกรีดร้อง หญิงสาวอีกคนวางมือบนด้ามดาบ หมุนตัวอย่างว่องไวเพื่อระวังหลังให้คู่หูทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเพราะผู้คนพากันตะเกียกตะกายบนเศษอิฐ แตกกระเจิงเข้าเมืองกันสุดชีวิต เทศมนตรีวิ่งปร๋อนำหน้าคนทั้งฝูง ทิ้งห่างพ่อค้าเนื้อร่างยักษ์ไปเพียงไม่กี่หลา
“ฟันได้เยี่ยม” ชายผมขาวออกความเห็นอย่างเย็นชา พร้อมกับยกมือซึ่งสวมถุงมือสีดำขึ้นป้องตาจากแสงอาทิตย์ “การฟันชั้นเยี่ยมโดยมือกระบี่แห่งเซอร์ริคาเนีย ขอคารวะให้แก่ฝีมือและความงามของท่านนักรบอิสระ ข้าคือเกรอลท์แห่งริเวีย”
“ส่วนข้า” ชายแปลกหน้าผู้สวมเสื้อทูนิกสีน้ำตาลเข้มชี้ที่ตราสัญลักษณ์บนหน้าอกของตน ซึ่งเป็นภาพนกสีดำสามตัวยืนเรียงกันกลางทุ่งสีทอง “มีนามว่าบอร์ช ฉายาทรี แจ็คดอว์ส ส่วนพวกนางคือสาวๆ ของข้า ข้าเรียกพวกนางว่าเทียกับเวีย เพราะถ้าให้เรียกชื่อจริงคงลิ้นพันกันเสียก่อน เจ้าพูดถูกแล้วละ พวกนางเป็นชาวเซอร์ริคาเนีย”
“ดูเหมือนเป็นเพราะพวกนาง ม้ากับสัมภาระของข้าเลยยังอยู่ดี ข้าขอขอบคุณนักรบทั้งสอง และขอบคุณท่านด้วย”
“เรียกทรี แจ็คดอว์สเถอะ แล้วก็ไม่ต้องเรียกแทนข้าว่า ‘ท่าน’ ด้วย ว่าแต่มีสิ่งใดรั้งเจ้าไว้ที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้งั้นหรือ เกรอลท์แห่งริเวีย”
“ไม่มี”
“ยอดเยี่ยม ข้ามีข้อเสนอมาให้ ไม่ไกลจากที่นี่มีที่พักแรมชื่อมังกรรำพึง อยู่ตรงทางแยกที่ตรงไปสู่ท่าเรือ อาหารแถวนี้สู้ที่นั่นไม่ได้เลย ข้าว่าจะไปหาของกินกับค้างคืนสักหน่อย และคงจะเป็นเกียรติมากถ้าเจ้าร่วมเดินทางไปด้วย”
“บอร์ช” ชายผมขาวละสายตาจากม้ามาจ้องมองนัยน์ตาสดใสของคนแปลกหน้าตรงๆ “ข้าไม่ชอบให้มีอะไรคลุมเครือระหว่างกัน ข้าคือวิทเชอร์นะ”
“ข้าพอจะเดาได้อยู่ แต่เจ้าทำเสียงราวกับบอกว่า ‘ข้าเป็นโรคเรื้อน’ อย่างนั้นแหละ”
“คนบางคน” เกรอลท์เอ่ยช้าๆ “คิดว่าการเดินทางร่วมกับคนขี้เรื้อนยังดีกว่าการเดินทางร่วมกับวิทเชอร์เสียอีก”
“แต่คนบางคน” ทรี แจ็คดอว์สหัวเราะ “ก็คิดว่าแกะดีกว่าผู้หญิงนะ อา เราคงทำได้เพียงสงสารทั้งคู่แล้วละ ข้าขอยืนกรานข้อเสนอเดิม”
เกรอลท์ถอดถุงมือออกเพื่อจับมืออีกฝ่ายที่ยื่นมาให้
“ข้าตกลง ยินดีที่ได้ร่วมทางกัน”
“เช่นนั้นเราไปกันเลยเถอะ ข้าหิวแล้ว”
II
เจ้าของที่พักใช้ผ้าเช็ดผิวโต๊ะเนื้อหยาบ จากนั้นจึงโค้งตัวและยิ้มให้ ฟันหน้าของเขาหลอไปสองซี่
“เอาละ…” ทรี แจ็คดอว์ส เงยหน้าขึ้นมองเพดานดำทะมึน กับแมงมุมที่ขยับโยกอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง
“ก่อนอื่น…เอาเบียร์มา เอามาทั้งไหจะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อย แล้วก็กับแกล้มด้วย…เจ้าว่าควรกินอะไรแกล้มเบียร์ดีล่ะ สหาย”
“เนยแข็งไหมขอรับ” เจ้าของที่พักถามหยั่งเชิง
“ไม่เอา” บอร์ชทำหน้านิ่ว “เราจะเก็บเนยแข็งไว้กินเป็นของหวาน ขออะไรเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ มากินคู่กับเบียร์ดีกว่า”
“ได้เลยขอรับ” เจ้าของที่พักยิ้มกว้างกว่าเดิม อวดให้เห็นว่าเขาไม่ได้ฟันหลอแค่สองซี่ “เรามีลูกปลาไหลคลุกกระเทียมในน้ำมันมะกอกกับพริกดองน้ำส้มสายชู หรือว่าจะเป็นลูกปลาไหลหมัก…”
“เยี่ยม เอามาทั้งสองอย่างเลยแล้วกัน แล้วก็เอาซุปที่ข้าเคยสั่งด้วย ที่มีหอยทากหลายๆ ชนิด ปลาตัวเล็กตัวน้อย กับของอร่อยอย่างอื่นที่ลอยเท้งอยู่ในนั้นน่ะ”
“ซุปของคนงานลากไม้น่ะรึ”
“นั่นแหละ เพิ่มแกะย่างกับหัวหอม แล้วก็กุ้งน้ำจืดหกสิบตัว ใส่ผักชีฝรั่งลงไปในหม้อเยอะๆ นะ หลังจากนั้นก็ขอเป็นเนยแข็งนมแกะกับผักกาด แล้วเดี๋ยวค่อยมาว่ากันอีกที”
“ได้ขอรับ ทุกคนรับเหมือนกันไหม ข้าหมายถึงรับแบบนี้สี่ที่เลยไหม”
ชาวเซอร์ริคาเนียที่ตัวสูงกว่าส่ายหน้าพลางเอามือตบเบาๆ ที่เอวซึ่งตอนนี้มีเสื้อทำจากผ้าลินินรัดไว้แน่น
“ข้าลืมไป” ทรี แจ็คดอว์ส ขยิบตาให้เกรอลท์ “สาวๆ เขารักษารูปร่าง เนื้อแกะสำหรับเราสองคนพอ เจ้าของที่พัก แต่เอาเบียร์กับลูกปลาไหลมาตอนนี้เลย ไม่สิ รอสักประเดี๋ยวค่อยเอามาแล้วกัน มันจะได้ไม่เย็นไปเสียก่อน เราไม่ได้มาเพื่อเขมือบให้เต็มคราบ แต่มาสนทนากันเพลินๆ น่ะ”
“ได้ขอรับ” เจ้าของที่พักโค้งคำนับอีกครั้ง
“อาชีพเจ้าความรอบคอบต้องมาก่อน ยื่นมือมาสิ สหาย”
เหรียญทองกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง เจ้าของที่พักอ้าปากกว้างจนสุด
“นี่ไม่ใช่การจ่ายเงินล่วงหน้านะ” ทรี แจ็คดอว์สประกาศ “แต่เป็นเงินพิเศษ ทีนี้ก็รีบเข้าไปในครัวเร็ว สหายที่แสนดี”
อากาศในห้องอบอุ่นสบาย เกรอลท์ปลดเข็มขัด ก่อนจะถอดเสื้อทูนิกออกแล้วพับแขนเสื้อขึ้น
“ข้าเห็นแล้ว” เขากล่าว “ว่าเจ้าไม่ขาดแคลนเงินทองจริงๆ เจ้ามีชีวิตสุขสบายเพราะได้มรดกมาก้อนโตอย่างนั้นรึ”
“ก็ส่วนหนึ่ง” ทรี แจ็คดอว์ส ตอบยิ้มๆ โดยไม่ขยายความ
พวกเขาจัดการกับลูกปลาไหลและเบียร์หนึ่งส่วนสี่ของไหอย่างรวดเร็ว ชาวเซอร์ริคาเนียทั้งสองซดเบียร์แบบไม่ยั้ง และไม่นานทั้งคู่ก็ดูอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด พวกนางกระซิบกระซาบกัน เวียที่ตัวสูงกว่าหัวเราะออกมาเสียงแหบห้าว
“นักรบทั้งสองไม่พูดภาษากลางรึ” เกรอลท์ถามเบาๆ ขณะแอบชำเลืองมองพวกนาง
“พูดได้น้อยมาก แล้วพวกนางก็ไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้วด้วย เรื่องนี้ต้องขอชื่นชม ซุปเป็นอย่างไรบ้าง เกรอลท์”
“อื้ม”
“มาดื่มกันเถอะ”
“อื้ม”
“เกรอลท์” ทรี แจ็คดอว์ส เริ่มเกริ่นนำพร้อมกับวางช้อนลงและกระแอมไออย่างมีมารยาท “ข้าอยากคุยเรื่องที่เราคุยค้างไว้ระหว่างเดินทาง ข้าเข้าใจว่าวิทเชอร์อย่างเจ้าเดินทางเตร็ดเตร่ขึ้นเหนือล่องใต้ เจอสัตว์ประหลาดที่ไหนก็ฆ่าทิ้งที่นั่น และได้เงินจากการทำเช่นนั้นด้วย ข้าบรรยายอาชีพของวิทเชอร์ถูกไหม”
“ประมาณนั้น”
“เคยมีใครเรียกตัวเจ้าไปที่ไหนโดยเฉพาะหรือเปล่า สมมติว่าเขาให้สินจ้างเป็นพิเศษน่ะ จากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อ เจ้าก็ไปทำงั้นรึ”
“ขึ้นอยู่กับว่าใครขอและด้วยเหตุผลอะไร”
“และให้เงินเท่าไรใช่ไหม”
“นั่นก็ด้วย” วิทเชอร์ยักไหล่ “ราคากำลังขึ้นเลย คนเราต้องรู้จักทำมาหากิน อย่างที่สหายจอมเวทหญิงคนหนึ่งของข้าเคยพูดไว้”
“ข้าว่าเป็นวิธีการเลือกสรรที่พิถีพิถันทีเดียว ใช้ได้ดีด้วย ข้าขอบอกเลย แต่ลึกๆ แล้วมันต้องมีเหตุผลสิ เกรอลท์ เพราะมันมีความขัดแย้งระหว่างขุมพลังแห่งความเป็นระเบียบกับขุมพลังแห่งความความโกลาหล อย่างที่สหายจอมเวทชายของข้าเคยพูดไว้ ข้าจินตนาการได้เลยว่าเจ้าทำภารกิจจนสำเร็จ ปกป้องผู้คนจากสิ่งชั่วร้ายตลอดเวลาและทุกหนทุกแห่งโดยไม่ถือตัว เจ้าเลือกข้างอย่างชัดเจนแล้วนี่”
“ขุมพลังแห่งความเป็นระเบียบ ขุมพลังแห่งความโกลาหล ใช้คำซะหรูเลยนะ บอร์ช เจ้าอยากให้ข้าเลือกข้างอยู่ข้างหนึ่งของความขัดแย้งนี้ใจจะขาด ทั้งที่มันมีมานานแสนนาน มีมาก่อนที่เราจะเกิดและจะมีไปอีกนานหลังจากเราสิ้นใจ คนทำเกือกม้าอยู่ฝ่ายไหนล่ะ เจ้าของที่พักที่กุลีกุจอยกหม้อแกะมาให้เราอยู่ฝ่ายไหน เจ้าคิดว่าอะไรคือเส้นแบ่งระหว่างความโกลาหลกับความเป็นระเบียบงั้นรึ”
“ตอบง่ายมาก” ทรี แจ็คดอว์สกล่าวพร้อมกับมองตาเขาตรงๆ “ฝ่ายที่เป็นตัวแทนความโกลาหลคือฝ่ายที่มุ่งร้าย และใช้ความรุนแรง ในขณะที่ตัวแทนความเป็นระเบียบถูกคุกคามและต้องการการปกป้อง ต้องการผู้พิทักษ์ แต่เรามาดื่มกันก่อน กินเนื้อแกะกันก่อน”
“พูดได้ดี”
ชาวเซอร์ริคาเนียซึ่งระวังรักษารูปร่างหยุดพักจากการกิน และดื่มเบียร์ถี่ขึ้น เวียโน้มตัวไปหาสหายของนางแล้วกระซิบอะไรบางอย่างอีกครั้ง หางเปียของนางระไปกับหน้าโต๊ะ เทียที่ตัวเตี้ยกว่าหัวเราะร่าออกมาเสียงดังขณะหรี่ปรือเปลือกตาซึ่งสักลายเอาไว้
“ใช่แล้ว” บอร์ชเอ่ยหลังจากแทะเนื้อแกะจนเกลี้ยงเหลือแต่กระดูก “มาคุยกันต่อเถิด ข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่สนใจที่จะเลือกข้าง เจ้าเพียงแต่ทำหน้าที่ตนเองเท่านั้นสินะ”
“ถูกต้อง”
“แต่เจ้าไม่อาจหนีความขัดแย้งระหว่างความโกลาหลกับความเป็นระเบียบไปได้ ถึงเจ้าจะเทียบตัวเองกับคนทำเกือกม้าแต่เจ้าไม่ใช่ ข้าเคยเห็นเจ้าทำงาน เจ้าลงไปในคุกใต้ดินกลางซากปรักหักพัง แล้วกลับมาพร้อมบาซิลิสก์ที่ตายแล้ว สหายเอ๋ย การทำเกือกม้ากับการฆ่าบาซิลิสก์ต่างกันอยู่นะ เจ้าบอกว่าถ้าค่าจ้างดีพอ เจ้าจะรีบปรี่ไปสุดขอบโลกเพื่อกำจัดสัตว์ประหลาดตามที่อีกฝ่ายร้องขอ สมมติว่ามีมังกรดุร้ายกำลังอาละวาดอยู่ที่—”
“ตัวอย่างนี้ไม่ดีเลย” เกรอลท์แทรกขึ้น “เห็นไหมว่าเจ้าเอาความโกลาหลกับความเป็นระเบียบมาปะปนกันแล้วน่ะ เพราะข้าไม่สังหารมังกร และพวกมันเป็นตัวแทนความโกลาหลอย่างไม่ต้องสงสัย”
“’ทำไมกัน” ทรี แจ็คดอว์สเลียนิ้ว “เหลือเชื่อจริงๆ! อย่างไรเสียในบรรดาสัตว์ประหลาดทั้งหมด มังกรน่าจะเป็นสัตว์ประหลาดที่ร้ายกาจที่สุด โหดเหี้ยมที่สุด และดุร้ายที่สุดสิ เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าขยะแขยงที่สุดในบรรดาสัตว์เลื้อยคลาน พวกมันทำร้ายคน พ่นไฟ แล้วก็ลักพาตัว…เอ่อ…หญิงพรหมจรรย์ มีนิทานพรรค์นี้ตั้งหลายเรื่องเลยนะ เป็นไปไม่ได้หรอกที่วิทเชอร์อย่างเจ้าจะไม่เคยฆ่ามังกรประดับบารมีสักตัวสองตัว”
“ข้าไม่ล่ามังกร” เกรอลท์พูดหน้านิ่ง “ข้าล่าฟอร์กเทลแน่ๆ ละ กับดราโกลิซาร์ด แล้วก็ฟลายอิ้งเดร็ค แต่ไม่ล่ามังกรแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นมังกรเขียว มังกรดำ หรือมังกรแดง โปรดจำไว้ด้วย”
“เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจ” ทรี แจ็คดอว์สกล่าว “ก็ได้ ข้าจำไว้แล้ว เอาเป็นว่าเราหยุดเรื่องมังกรไว้แค่นี้ก่อนดีกว่า ข้าเห็นอะไรแดงๆ มาโน่นแล้ว ต้องเป็นกุ้งของเราแน่ มาดื่มกันเถอะ!”
ฟันพวกเขากัดกร้วมทะลุเปลือกสีแดงแล้วดูดเอาเนื้อสีขาวออกมา น้ำเกลือแสบๆ คันๆ ไหลลงมาตามข้อมือ บอร์ชรินเบียร์อีกหน ซึ่งตอนนี้เขาถึงกับต้องใช้กระบวยครูดกับก้นไหเพื่อตักเบียร์ขึ้นมา นักรบชาวเซอร์ริคาเนียคึกคักยิ่งกว่าเดิม พวกนางมองซ้ายมองขวาไปทั่วที่พักแรมและยิ้มอย่างมีเลศนัย วิทเชอร์เชื่อว่าพวกนางกำลังหาโอกาสทะเลาะวิวาทกับใครสักคนอยู่ ทรี แจ็คดอว์สคงสังเกตเห็นเหมือนกันเพราะจู่ๆ เขาก็หยิบกุ้งจากตรงหางขึ้นมาแกว่งใส่พวกนาง หญิงทั้งสองหัวเราะคิกคัก เทียทำปากยื่นส่งจูบให้พร้อมกับขยิบตา ซึ่งเมื่อดูรวมๆ กับรอยสักบนใบหน้าแล้ว ช่างเป็นภาพที่สยดสยองยิ่งนัก
“พวกนางเถื่อนพอๆ กับแมวป่า” ทรี แจ็คดอว์สพึมพำกับเกรอลท์ “ต้องคอยจับตาดูไว้ให้ดี สหาย เผลอเมื่อไรเป็นได้เห็นไส้พุงเกลื่อนเต็มพื้น แต่พวกนางคุ้มค่าแรงทุกเหรียญ ถ้าเจ้ารู้ว่าพวกนางทำอะไรได้ละก็…”
“ข้ารู้” เกรอลท์พยักหน้า “เจ้าไม่มีทางหาผู้คุ้มกันได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว ชาวเซอร์ริคาเนียเกิดมาเพื่อเป็นนักรบและถูกฝึกให้ต่อสู้ตั้งแต่เด็ก”
“ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น” บอร์ชถุยก้ามกุ้งลงบนโต๊ะ “ข้าหมายถึงเรื่องบนเตียงต่างหาก”
เกรอลท์เหลือบมองพวกนางอย่างกระวนกระวาย ทั้งคู่ยิ้มให้เขา เวียเอื้อมมือไปหยิบจานอาหารอย่างว่องไวจนแทบมองตามไม่ทัน นางหรี่ตามองวิทเชอร์แล้วกัดเปลือกกุ้งดังกร๊อบ ริมฝีปากชุ่มไปด้วยน้ำเกลือ ขณะที่ทรี แจ็คดอว์ส เรอออกมาเสียงดัง
“มาคุยกันต่อเถอะ เกรอลท์” เขากล่าว “เจ้าไม่ล่ามังกร ไม่ว่าจะสีเขียวหรือสีอื่นๆ ข้าจำไว้แล้ว แต่ขอถามหน่อยได้ไหมว่าทำไมมีแค่สามสีนั้น”
“ถ้าพูดให้ถูกคือสี่สี”
“เจ้าเอ่ยถึงแค่สามสีนี่”
“เจ้าสนใจมังกรจังนะ บอร์ช มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”
“ไม่มี ความใคร่รู้ล้วนๆ”
“อาฮะ เรื่องสีน่ะ เป็นความเคยชินที่จะเรียกมังกรแท้เช่นนั้น แม้ว่าจะไม่ถูกต้องนักก็ตาม มังกรเขียวซึ่งพบเห็นได้บ่อยที่สุดจริงๆ แล้วสีออกเทาเหมือนสัตว์ในตระกูลกึ่งมังกรกึ่งกิ้งก่าทั่วไป มังกรแดงนั้นตัวสีออกแดงหรือแดงอิฐ และเป็นความเคยชินที่จะเรียกมังกรสีน้ำตาลเข้มตัวใหญ่ว่า ‘มังกรดำ’ ส่วนมังกรขาวนั้นหายากที่สุด ข้ายังไม่เคยเห็นเลย พวกมันปรากฏตัวทางทิศเหนืออันไกลโพ้น ตามคำล่ำลือน่ะนะ”
“น่าสนใจ แล้วเจ้ารู้จักมังกรชนิดอื่นๆ ที่ข้าเองก็เคยได้ยินมาไหม”
“รู้จักสิ” เกรอลท์จิบเบียร์ “น่าจะเป็นตัวเดียวกันกับที่ข้าเคยได้ยินมา มังกรทองไง แต่มันไม่มีอยู่จริงหรอก”
“ทำไมเจ้าถึงที่กล้ากล่าวอ้างเช่นนั้นรึ เพราะเจ้าไม่เคยเห็นมันงั้นหรือ แต่เจ้าก็ไม่เคยเห็นมังกรขาวเหมือนกันนี่”
“นั่นไม่ใช่ประเด็น ข้ามทะเลไกลโพ้นในดินแดนโอเฟียร์และซังเวบาร์มีม้าสีขาวสลับดำเป็นริ้ว ข้าไม่เคยเห็นพวกมันหรอก แต่ก็รู้ว่ามีอยู่จริง ส่วนมังกรทองนั้นเป็นสัตว์ในตำนานที่ผู้คนเล่าขานกันมา เหมือนนกฟีนิกซ์อย่างไรเล่า โลกนี้ไม่มีนกฟีนิกซ์หรือมังกรทองหรอก”
เวียใช้ศอกเท้าโต๊ะขณะมองเขาอย่างสนอกสนใจ
“เจ้าคงรู้จริงเพราะเจ้าเป็นวิทเชอร์” บอร์ชตักเบียร์จากไห “แต่ข้าคิดว่าทุกตำนาน ทุกเรื่องเล่าขาน ต้องมีที่มา และมีมูลเหตุแห่งที่มาเหล่านั้น”
“มีสิ” เกรอลท์ยอมรับ “ส่วนใหญ่ก็ความฝัน คำอธิษฐาน แรงปรารถนา ความโหยหา ศรัทธาซึ่งมีความเป็นไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด และบางครั้งก็อาจจะเป็นโชค”
“ใช่เลย โชค ในอดีตอาจเคยมีมังกรทอง มังกรที่บังเอิญกลายพันธุ์และมีตัวเดียวในโลก”
“ถ้าเคยมี มันก็คงจะพบชะตากรรมเดียวกันกับพวกที่กลายพันธุ์ทั้งหมดไปแล้ว” วิทเชอร์หันหน้าไปทางอื่น “มันแตกต่างเกินกว่าจะทนอยู่ต่อไปได้”
“ฮ่า” ทรี แจ็คดอว์สกล่าว “เจ้ากำลังปฏิเสธกฎแห่งธรรมชาติแล้วละ เกรอลท์ สหายจอมเวทของข้าพูดเสมอว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีการดำรงสืบต่อไปในธรรมชาติและหาทางรอดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จุดจบของสิ่งหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอีกสิ่ง ความเป็นไปได้นั้นไร้ซึ่งขีดจำกัด หรืออย่างน้อยธรรมชาติก็ไม่รู้จักขีดจำกัด”
“สหายจอมเวทของเจ้ามองโลกในแง่ดียิ่งนัก แต่เขาลืมคำนึงถึงอย่างหนึ่งไป ลืมเรื่องความผิดพลาดที่เกิดจากธรรมชาติ หรือจากน้ำมือของพวกที่ไม่เคารพธรรมชาติ ถ้ามังกรทองกับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ประเภทอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันมีอยู่จริง พวกมันก็ไม่มีทางรอด เพราะมีขีดจำกัดทางธรรมชาติข้อหนึ่งไม่ยอมให้พวกมันอยู่รอด”
“ขีดจำกัดอะไรรึ”
“พวกกลายพันธุ์” กล้ามเนื้อตรงสันกรามของเกรอลท์กระตุกอย่างแรง “พวกกลายพันธุ์นั้นเป็นหมัน บอร์ช สิ่งที่อยู่รอดในนิทานหาได้มีโอกาสรอดในชีวิตจริงไม่ มีเพียงตำนานสิ่งเล่าขานเท่านั้นที่ไม่รู้จักขีดจำกัดของความเป็นไปได้”
ทรี แจ็คดอว์สไม่เอ่ยอะไร เกรอลท์มองใบหน้าชาวเซอร์ริคาเนียซึ่งแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมากะทันหัน เวียโน้มตัวเข้าหาเขาโดยไม่คาดคิดแล้วยกลำแขนบึกบึนแน่นเปรี๊ยะพาดคอเขา เขารู้สึกถึงริมฝีปากฉ่ำเบียร์ของนางที่แก้มตน
“พวกนางชอบเจ้า” ทรี แจ็คดอว์สกล่าวช้าๆ “ให้ตายสิ พวกนางชอบเจ้าจริงๆ”
“มันแปลกนักหรือ” วิทเชอร์ยิ้มอย่างเศร้าๆ
“ไม่แปลกหรอก แต่เราต้องดื่มฉลองให้กับเรื่องนี้ เจ้าของที่พัก เอาเบียร์มาอีกไห”
“ใจเย็นๆ อีกเหยือกก็พอแล้ว”
“สองเหยือก!” ทรี แจ็คดอว์สตะโกน “เทีย ข้าต้องออกไปข้างนอกสักพัก”
ชาวเซอร์ริคาเนียนามเทียลุกขึ้นหยิบกระบี่จากม้านั่งแล้วกวาดตามองทั่วห้องด้วยความคาดหวัง แม้ว่าก่อนหน้านี้สายตาหลายคู่จะเปล่งประกายด้วยความโลภเมื่อเห็นถุงเงินตุงๆ ของบอร์ช ทว่ากลับไม่มีใครรีบร้อนตามเขาออกไปขณะที่เจ้าตัวเดินโซเซเล็กน้อยไปยังประตูทางออกสู่ลานกว้าง เทียจึงยักไหล่แล้วเดินตามเขาไป
“เจ้ามีชื่อจริงว่าอะไร” เกรอลท์ถามชาวเซอร์ริคาเนียคนที่ยังอยู่ที่โต๊ะ เวียยิงฟันขาว เสื้อของนางผูกไว้หลวมๆ จนแทบไม่น่าหุ้มห่ออะไรไว้ได้ วิทเชอร์แน่ใจว่านางจงใจยั่วยวนตน
“อัลเวียเนอร์เล”
“ชื่อเพราะนัก” วิทเชอร์มั่นใจว่าชาวเซอร์ริคาเนียผู้นี้จะทำปากยื่นแล้วขยิบตาให้เขา ซึ่งเขาก็คิดไม่ผิดเลย
“เวีย”
“หืม”
“ทำไมเจ้าถึงเดินทางกับบอร์ชทั้งที่เป็นนักรบอิสระ บอกข้าหน่อยได้ไหม”
“อืม”
“อืม อะไร”
“เขา…” ชาวเซอร์ริคาเนียนิ่วหน้าขณะนึกคำพูด “เขา…งด…งดงามที่สุด”
วิทเชอร์พยักหน้า ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาคิดว่ามาตรฐานการตัดสินเสน่ห์บุรุษของสตรีนั้นเป็นสิ่งลี้ลับ
ทรี แจ็คดอว์สเดินเซกลับเข้ามาพร้อมกับมัดเอวกางเกง แล้วตะโกนสั่งเจ้าของที่พักเสียงดัง เทียเดินตามหลังเขาสองก้าว แสร้งทำเป็นหาวขณะกวาดตามองทั่วที่พักแรม เหล่าพ่อค้ากับคนลากไม้พากันหลบสายตานางอย่างระมัดระวัง เวียดูดเนื้อกุ้งอีกตัวและคอยส่งสายตามีความหมายให้วิทเชอร์อยู่เนืองๆ
“ข้าสั่งปลาไหลให้เราอีกคนละตัว คราวนี้แบบอบ” ทรี แจ็คดอว์สทิ้งตัวลงนั่ง เข็มขัดที่คลายไว้ส่งเสียงดังกริ๊ง “เมื่อครู่ข้าแทบยัดกุ้งลงท้องไม่หมด แต่ตอนนี้กลับหิวขึ้นมาอีกแล้ว ข้าสั่งให้เขาเตรียมที่นอนให้เจ้าแล้วด้วยนะ เกรอลท์ คืนนี้เจ้าจะได้ไม่ต้องรอนแรมไปที่อื่น เรายังสนุกกันต่อได้ มาดื่มกัน สาวๆ”
“เวสเซกกีล (ดื่ม)” เวียเอ่ยพร้อมกับยกแก้วขึ้นคารวะเขา ส่วนเทียขยิบตาและแอ่นอกจนเกรอลท์นึกว่าเสื้อของนางจะปริ แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“มาสำราญกัน!” ทรี แจ็คดอว์สชะโงกข้ามโต๊ะแล้วตบบั้นท้ายของเทีย “มาสำราญกันเถอะ วิทเชอร์ เฮ้ย เจ้าของที่พัก! มานี่ซิ!”
เจ้าของที่พักกุลีกุจอเข้ามาและเอามือเช็ดกับผ้ากันเปื้อน
“เตรียมอ่างให้หน่อยได้ไหม เอาแบบที่ใช้ซักผ้า ใหญ่ๆ และทนทานน่ะ”
“ใหญ่แค่ไหนหรือขอรับ”
“สำหรับสี่คน”
“สำหรับ…สี่…” เจ้าของที่พักอ้าปากค้าง
“สี่คน” ทรี แจ็คดอว์สยืนยันพลางหยิบถุงเงินเต็มแน่นมาจากกระเป๋าเสื้อ
“ข้าหาให้ได้ขอรับ” เจ้าของที่พักเลียริมฝีปาก
“ยอดเยี่ยม” บอร์ชหัวเราะ “ยกขึ้นไปไว้บนห้องนอนข้าแล้วเติมน้ำร้อนซะ ให้ไวด้วยนะ สหาย ยกเบียร์ขึ้นไปด้วยเช่นกัน สามเหยือกเลย”
ชาวเซอร์ริคาเนียหัวเราะคิกคักพร้อมกับขยิบตา
“เจ้าถูกใจคนไหนมากกว่า” ทรี แจ็คดอว์สถาม “ว่าไง เกรอลท์”
วิทเชอร์เกาหัวแกรกๆ
“ข้ารู้ว่าเลือกยาก” ทรี แจ็คดอว์สกล่าวอย่างเข้าใจ “บางครั้งข้าก็เลือกไม่ถูกเหมือนกัน ไม่เป็นไร ไว้ค่อยไปคิดต่อในอ่าง นี่สาวๆ ช่วยพยุงข้าขึ้นไปข้างบนหน่อย!”
III
มีสิ่งกีดขวางตั้งอยู่บนสะพาน เส้นทางนั้นถูกปิดกั้นโดยไม้เนื้อแข็งท่อนยาวบนขาตั้งไม้ ทั้งหน้าและหลังไม้ท่อนยาวล้วนมีพลทหารที่มีโซ่ถักคลุมศีรษะและสวมชุดคลุมหนังปักหมุดเหล็กยืนประจำการอยู่ โดยมีธงสีม่วงแสดงตราสัญลักษณ์กริฟฟินสีเงินสยายปีกอย่างเกียจคร้านอยู่เหนือเครื่องกั้น
“นี่มันปีศาจอะไรกัน” ทรี แจ็คดอว์ส เอ่ยอย่างแปลกใจพลางเดินเข้าไปใกล้ “ผ่านไปไม่ได้รึ”
“มีเอกสารผ่านทางหรือเปล่า” พลทหารที่อยู่ใกล้ที่สุดถามโดยไม่เอาไม้จิ้มฟันที่กำลังเคี้ยวแก้หิวหรือไม่ก็เคี้ยวเพื่อฆ่าเวลาออกจากปาก
“เอกสารผ่านทางรึ เกิดอะไรขึ้น โรคห่างั้นหรือ หรือว่ามีสงคราม ใครเป็นคนออกคำสั่งให้ปิดกั้นเส้นทางกัน”
“ลอร์ดแห่งเคนกอร์น ผู้เป็นคนของราชานีดาเมียร์” พลเฝ้าด่านตอบพลางขยับไม้จิ้มฟันไปมุมปากอีกฝั่งหนึ่งแล้วชี้ไปที่ธง “หากไม่มีเอกสารผ่านทางก็ขึ้นไปไม่ได้”
“บ้าบอสิ้นดี” เกรอลท์เอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ที่นี่ไม่ใช่เคนกอร์น แต่เป็นเขตแดนของแบร์ฟีลด์ แบร์ฟีลด์ต่างหากที่เรียกเก็บค่าผ่านทางบนสะพานข้ามแม่น้ำบราไม่ใช่เคนกอร์น แล้วนีดาเมียร์มาเกี่ยวอะไรด้วย”
“อย่าถามข้า” ทหารยามตอบพลางถุยไม้จิ้มฟันทิ้ง “นั่นไม่ใช่เรื่องของข้า ข้ามีหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร ถ้าเจ้าอยากรู้ ก็ไปถามนายสิบของเราเองสิ”
“แล้วเขาอยู่ที่ไหน”
“นอนอาบแดดอยู่ทางโน้น หลังเรือนที่พักของคนเก็บค่าผ่านทาง” พลหอกตอบโดยไม่มองเกรอลท์ แต่กลับจ้องไปยังสะโพกเปล่าเปลือยของชาวเซอร์ริคาเนียซึ่งกำลังบิดเอี้ยวตัวบนอานม้าอย่างเมื่อยล้า
หลังกระท่อมของคนเก็บค่าผ่านทางมีทหารยามคนหนึ่งนั่งอยู่บนกองไม้แห้ง เขาใช้ท้ายหอกวาดรูปผู้หญิงบนพื้นทราย ซึ่งว่ากันตามจริงแล้วเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของผู้หญิงจากมุมมองที่ประหลาดล้ำต่างหาก ข้างกันมีบุรุษร่างผอมสวมหมวกกดต่ำจนบังตา หมวกของเขาเป็นทรงกลมพองและดูหรูหราด้วยกระดุมเงินกับขนนกกระสาเรียวยาวที่กำลังสั่นกระตุก คนผู้นั้นกำลังนั่งเอกเขนกดีดสายลูท[6]อย่างเบามือ
เกรอลท์จำหมวกทรงครอบประดับขนนกใบนี้ได้ มันเป็นหมวกที่เลื่องชื่อตั้งแต่แม่น้ำบุยนาจรดแม่น้ำยารูกา ทั้งยังขึ้นชื่อในหมู่คฤหาสน์ ป้อมปราการ ที่พักแรม โรงเหล้า และซ่องนางโลม โดยเฉพาะซ่องนางโลมเลยละ
“แดนดิไลออน!”
“วิทเชอร์เกรอลท์!” นัยน์ตาสีฟ้าอมม่วงเหมือนดอกคอร์นฟลาวเวอร์เปล่งประกายสดใสจากใต้หมวกซึ่งบัดนี้ได้ดันกลับไปอยู่บนศีรษะแล้ว “ไม่นึกไม่ฝันเลย! เจ้าอยู่ที่นี่ด้วยหรือ ว่าแต่มีเอกสารผ่านทางมาด้วยไหม”
“ทำไมทุกคนถึงมีปัญหากับเจ้าเอกสารผ่านทางที่นักนะ” วิทเชอร์ลงจากหลังม้า “เกิดอะไรขึ้นที่นี่รึ แดนดิไลออน พวกเราอยากข้ามแม่น้ำบราไป ข้ากับอัศวินผู้นี้ บอร์ช ทรี แจ็คดอว์ส และผู้คุ้มกันของเรา แต่ดูเหมือนว่าจะข้ามไปไม่ได้”
“ข้าก็ด้วย” แดนดิไลออนลุกขึ้นยืน ถอดหมวกทรงครอบออก แล้วโค้งให้ชาวเซอร์ริคาเนียด้วยลีลาเหลือร้าย “พวกนั้นไม่อยากให้ข้าข้ามไปเช่นกัน นายสิบคนนี้ไม่ยอมให้ข้าแดนดิไลออนนักขับลำนำและนักกวีผู้เลื่องชื่อที่สุดในปฐพีคนนี้ข้ามแม่น้ำไป แม้ว่าเขาจะเป็นศิลปินเช่นเดียวกันดังที่เห็น”
“ข้าจะไม่ยอมให้คนที่ไม่มีเอกสารข้ามไป” นายสิบเอ่ยเสียงเด็ดขาดขณะเติมรายละเอียดสุดท้ายแก่ภาพวาดบนทรายนั้นด้วยท้ายหอก
“ไม่เป็นไร” วิทเชอร์กล่าว “เราจะขี่ม้าเลาะริมแม่น้ำฝั่งซ้ายไปแทน เส้นทางไปเฮงฟอส์จะไกลกว่าเดิม แต่ก็ช่วยไม่ได้”
“ไปเฮงฟอส์รึ” นักกวีเอ่ยด้วยความฉงน “เจ้าไม่ได้กำลังตามนีดาเมียร์อยู่หรอกหรือ เกรอลท์ แล้วมังกรล่ะ”
“มังกรอะไร” ทรี แจ็คดอว์ถามอย่างสนใจ
“เจ้าไม่รู้หรือ ไม่รู้จริงๆ หรือ โอ ข้าจะแถลงไขให้ฟังเอง สุภาพบุรุษทุกท่าน ข้าแกร่วรออยู่ที่นี่เผื่อว่าจะมีคนรู้จักข้าเดินทางมาพร้อมกับเอกสารผ่านทาง และจะยอมให้ข้าติดสอยไปด้วย เชิญนั่งก่อนสิ”
“สักครู่นะ” ทรี แจ็คดอว์สบอก “ตะวันเกือบตรงศีรษะแล้ว ข้าคอแห้งเต็มที เราคงคุยต่อทั้งที่ท้องว่างอย่างนี้ไม่ได้ เทีย เวีย รีบกลับเข้าเมืองแล้วซื้อเบียร์มาหนึ่งไห”
“นิสัยของเจ้าถูกใจข้ายิ่งนัก เจ้าคือ…”
“บอร์ช หรือที่รู้จักกันในนามทรี แจ็คดอว์ส”
“แดนดิไลออน หรือผู้ไร้เทียมทาน ตามที่สาวๆ บางคนขนานนามให้”
“ว่ามา แดนดิไลออน” วิทเชอร์พูดอย่างหมดความอดทน “เราจะไม่เอ้อระเหยอยู่ที่นี่จนค่ำหรอกนะ”
นักกวีจับคอลูทของตนแล้วดีดสายอย่างคึกคัก
“ต้องการแบบไหน เล่าเป็นท่องทำนองหรือเล่าปกติ”
“ปกติ”
“ได้ตามนั้น” แดนดิไลออนกล่าวโดยไม่วางลูทลง “สุภาพบุรุษผู้ทรงศักดิ์ จงฟังว่าสัปดาห์ก่อนเกิดอะไรขึ้นใกล้กับเมืองอิสระแห่งแบร์ฟีลด์ เฉกเช่นทุกวัน ก่อนตะวันสาง ก่อนอาทิตย์จะย้อมกลุ่มหมอกซึ่งลอยล่องเหนือทุ่งหญ้าราวกับผ้าห่อศพสีชมพูระเรื่อ—”
“ก็บอกว่าปกติไง” เกรอลท์เตือนความจำเขา
“อ้าว ไม่ใช่หรอกหรือ ก็ได้ๆ เข้าใจแล้ว สั้นกระชับไม่มีอุปมาอุปไมย มังกรตัวหนึ่งโฉบลงมาบนทุ่งหญ้านอกแบร์ฟีลด์”
“โถ อย่ามาโม้” วิทเชอร์กล่าว “ดูไม่น่าเป็นไปได้เลย ไม่มีใครเห็นมังกรในแถบนี้มาหลายปีแล้ว เจ้าแน่ใจหรือว่านั่นไม่ใช่ดราโกลิซาร์ดธรรมดาหรือดราโกลิซาร์ดสวน สายพันธุ์ดราโกลิซาร์ดอาจตัวใหญ่ได้พอๆ กับ—”
“อย่าดูถูกข้า วิทเชอร์ ข้ารู้ดีว่ากำลังพูดอะไรอยู่ ข้าเห็นมัน เพราะฟ้าลิขิตให้ข้าเดินอยู่ในตลาดที่แบร์ฟีลด์และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเองกับตา ข้าแต่งลำนำเอาไว้แล้วด้วย แต่เจ้าไม่อยาก—”
“ว่าต่อซิ ตัวมันใหญ่หรือเปล่า”
“ยาวเท่าม้าสามตัว สูงไม่เกินหนอกม้า แต่อ้วนพีกว่ามาก สีเทาตุ่น”
“หรือก็คือสีเขียว”
“ใช่ มันโฉบลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย บินเข้าใส่ฝูงแกะจนคนเลี้ยงแกะหนีกระเจิดกระเจิงและแกะตายไปสิบกว่าตัว จากนั้นมันก็เขมือบไปสี่ตัวแล้วบินหนีไป”
“บินหนีไป…” เกรอลท์ส่ายหน้า “เล่าจบแล้วใช่ไหม”
“ยังไม่จบ เพราะมันกลับมาอีกในวันต่อมา คราวนี้ใกล้เมืองมากขึ้น มันโฉบลงมากลางกลุ่มผู้หญิงที่กำลังซักผ้าริมแม่น้ำบรา พวกนางกระโดดหนีกันจ้าละหวั่น สหายเอ๋ย! ข้าขำแทบตายเลยละ จากนั้นเจ้ามังกรก็บินวนรอบแบร์ฟีลด์สองสามรอบก่อนจะบินไปกินแกะอีก คนเพิ่งแตกตื่นวุ่นวายกันตอนนั้นเอง เพราะแทบไม่มีใครเชื่อคำพูดของคนเลี้ยงแกะเลย นายกเทศมนตรีเรียกกองปราบของเมืองและสมาคมต่างๆ มา แต่ก่อนพวกเขาจะจัดตั้งกองกำลังขึ้นมาได้ พวกชาวบ้านก็เลือกที่จะจัดการปราบมันเองเสียแล้ว”
“อย่างไรรึ”
“ก็รวมพลังกันประสาชาวบ้าน ช่างฝีมือผู้ชำนาญการที่ได้รับสมญานามว่าคนยัดไส้แกะ เป็นคนคิดวิธีจัดการกับเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ พวกนั้นฆ่าแกะตัวหนึ่ง แล้วยัดไส้มันด้วยต้นเฮลเลบอร์ ต้นไนท์เฉดพิษ ต้นเฮมล็อก กำมะถัน และน้ำมันดินของช่างฝีมือ เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะได้ผล นักปรุงโอสถของเมืองเทยาสำหรับก่อโรคฝีฝักบัว[7]ลงไปอีกเกือบสองลิตร และนักบวชจากวิหารแห่งเครฟว์ก็สวดภาวนาเหนือซากแกะนั่นสำทับไปอีกรอบ จากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันนำซากแกะไปเสียบไม้ตั้งไว้กลางฝูง ว่ากันตามตรง ไม่มีใครเชื่อว่ามังกรจะโง่มากินซากนั่นหรอก เพราะกลิ่นมันเหม็นไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า แต่ความจริงกลับเหนือความคาดหมาย เจ้าสัตว์เลื้อยคลานนั่นเมินแกะตัวเป็นๆ ที่ร้องแบ๊ะๆ แล้วกลืนเหยื่อล่อกับไม้เสียบไปพร้อมๆ กัน”
“แล้วต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เล่าต่อซิ แดนดิไลออน”
“คิดว่าข้าทำอะไรอยู่ล่ะ ข้าเล่าอยู่นี่ไง ฟังเหตุการณ์ต่อนะ ภายในชั่วเวลาไม่เกินกว่าที่ชายผู้ช่ำชองใช้ในการปลดเสื้อรัดทรงของสตรี จู่ๆ เจ้ามังกรก็คำราม พ่นควันจากปากและทวาร มันกลิ้งตีลังกา พยายามจะบินหนี จากนั้นก็ล้มแน่นิ่งไป มีอาสาสมัครสองคนออกไปตรวจดูว่าเจ้าสัตว์เลื้อยคลานต้องพิษตัวนี้ยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ คนหนึ่งคือสัปเหร่อ ส่วนอีกคนคือเจ้าทึ่มประจำเมืองซึ่งเป็นผลผลิตมาจากบุตรสาวสติไม่ดีของคนตัดไม้กับพลหอกรับจ้างกองหนึ่งที่เดินทางผ่านแบร์ฟีลด์ช่วงการกบฏของขุนพลเนลัมโบ”
“เจ้าโกหกแล้ว แดนดิไลออน”
“ไม่ได้โกหก แต่แค่เติมแต่งเพื่อเพิ่มอรรถรส มันไม่เหมือนกันนะ”
“ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก เล่าต่อสิ เรากำลังเสียเวลากันอยู่นะ”
“ก็ได้ อย่างที่เล่าไปนั่นแหละ สัปเหร่อกับเจ้าทึ่มออกไปสำรวจดู หลังจากนั้นพวกเราก็สร้างเนินเล็กๆ แต่สวยงามไว้เป็นหลุมฝังศพให้พวกเขา”
“อะฮ่า” บอร์ชอุทาน “นั่นหมายความว่ามังกรยังไม่ตาย”
“ถูกต้อง” แดนดิไลออนเล่าอย่างร่าเริง “มันยังไม่ตาย แต่ก็อ่อนแอจนไม่ได้กินทั้งสัปเหร่อและเจ้าทึ่ม แค่ดื่มเลือดเท่านั้น จากนั้นพวกเราก็ตกใจกันถ้วนหน้าเมื่อมันบินหนีไป มันกระพือปีกด้วยความยากลำบาก ร่วงตุบลงมาหลายรอบ แต่ก็ลุกขึ้นได้อีกครั้ง บางครั้งมันก็เดินลากขาหลัง มีผู้กล้าหลายคนตามมันไปไม่ให้คลาดสายตา แล้วรู้อะไรไหม”
“เล่ามา แดนดิไลออน”
“มังกรหายไปในหุบลึกแห่งเทือกเขาเครสเทล ใกล้กับแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำบรา และซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่นั่น”
“เรื่องราวเริ่มกระจ่างแล้ว” เกรอลท์เอ่ย “มังกรตัวนี้อาจจำศีลอยู่ในถ้ำแถวนั้นมานานหลายศตวรรษ ข้าเคยได้ยินกรณีแบบนี้มาก่อน กองสมบัติของมันจะต้องอยู่ที่นั่นด้วยแน่ ข้ารู้แล้วว่าทำไมพวกนั้นถึงปิดสะพาน มีคนโลภอยากฮุบสมบัติไว้คนเดียว และคนผู้นั้นก็คือนีดาเมียร์แห่งเคนกอร์น”
“ถูกต้อง” นักขับลำนำยืนยัน “คนทั้งแบร์ฟีลด์เดือดพล่านเพราะสิ่งนี้ เพราะพวกเขาอ้างว่ามังกรกับสมบัติทั้งหมดเป็นของพวกเขา แต่ก็ลังเลที่จะมีเรื่องกับนีดาเมียร์ นีดาเมียร์ยังเป็นเด็กวัยละอ่อนที่หนวดยังไม่ทันขึ้นด้วยซ้ำ แต่เขาก็เคยพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขานั้นต้องชดใช้ด้วยอะไร และเขาต้องการมังกรตัวนั้นมาก จึงลงมืออย่างรวดเร็ว”
“เจ้าหมายความว่าเขาต้องการสมบัติของมังกรสินะ”
“อันที่จริง เขาต้องการมังกรมากกว่าสมบัติ เพราะนีดาเมียร์เล็งอาณาจักรมัลลีโอเรไว้ องค์หญิงวัยกำดัดพระองค์หนึ่งถูกทิ้งให้เป็นม่ายหลังจากการตายที่ทั้งกะทันหันและแปลกประหลาดขององค์ชาย เหล่าขุนนางแห่งมัลลีโอเรพิจารณานีดาเมียร์กับผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมคนอื่นๆ อย่างไม่เต็มใจนัก เพราะพวกเขารู้ว่าผู้ปกครองคนใหม่จะควบคุมพวกเขาชนิดไม่ให้กระดิกตัวได้ ไม่เหมือนองค์หญิงหัวอ่อนผู้นี้ พวกเขาก็เลยขุดเอาคำนายเก่าแก่คร่ำครึออกมา มันกล่าวไว้ว่าบัลลังก์กับองค์หญิงจะตกเป็นของชายที่พิชิตมังกรได้ เนื่องจากไม่มีผู้ใดเห็นมังกรที่นั่นมาเป็นชาติแล้ว พวกเขาเลยคิดว่าวิธีการนี้จะปลอดภัย แน่นอนว่านีดาเมียร์หัวเราะเยาะตำนานนี้ เขาใช้กำลังเข้ายึดมัลลีโอเร แล้วเรื่องทุกอย่างก็จบลง แต่พอข่าวเกี่ยวกับมังกรที่แบร์ฟีลด์หลุดออกไป เขาก็ฉุกคิดได้ว่าเขาสามารถสยบพวกขุนนางได้ด้วยกลอุบายของพวกนั้นเอง ถ้าเขาปรากฏตัวพร้อมกับหัวมังกรในกำมือ ประชาชนจะแซ่ซ้องสรรเสริญเขาดั่งสมมติเทพ และพวกขุนนางก็จะไม่กล้าพูดอะไรสักคำ หายแปลกใจหรือยังล่ะ ว่าทำไมเขาถึงได้รีบร้อนติดตามมังกรตัวนี้ราวกับแมวโดนน้ำร้อนลวก โดยเฉพาะเมื่อมังกรตัวนั้นจะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว สำหรับเขา นี่คือสวรรค์ทรงโปรดอย่างแท้จริง เป็นโชคล้วนๆ ผ่าเปรี้ยงลงมาราวกับสายฟ้า”
“และเขากีดกันผู้แข่งขันคนอื่นๆ”
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นนะ เขายังกีดกันชาวแบร์ฟีลด์ด้วย ยกเว้นแต่ว่าเขาได้ส่งพลม้าพร้อมเอกสารผ่านทางไปทั่วชนบท ส่งไปหาพวกที่ฆ่ามังกรได้จริงๆ เพราะนีดาเมียร์ไม่คิดจะถือดาบเดินดุ่มๆ เข้าไปในถ้ำด้วยตัวเอง เขารวบรวมนักปราบมังกรที่มีชื่อเสียงได้ภายในพริบตา เจ้าอาจจะรู้จักแทบทุกชื่อเลยก็ได้ เกรอลท์”
“ก็เป็นไปได้ มีใครมาบ้าง”
“คนแรกคือเอคแห่งเดเนเซิล”
“ให้ตาย…” วิทเชอร์ผิวปากเบาๆ “เอคผู้ทรงคุณธรรมและน่าเลื่อมใส อัศวินผู้ไร้มลทินมัวหมองก็มาด้วย”
“รู้จักเขาด้วยหรือ เกรอลท์” บอร์ชถาม “เขาเป็นหายนะของมังกรจริงรึ”
“ไม่ใช่แค่มังกร เอคต่อกรกับสัตว์ประหลาดได้ทุกชนิด เขาเคยฆ่าแมนติคอร์กับกริฟฟินด้วยซ้ำ ข้าได้ยินว่าเขาเคยฆ่ามังกรมาแล้วสองสามตัว เก่งเชียวแหละ แต่ไอ้เวรนี่ทำลายงานของข้าเพราะเขาไม่คิดเงิน ใครอีก แดนดิไลออน”
“พวกครินฟริดรีฟเวอร์”
“งั้นมังกรตัวนี้ไม่รอดแน่ ต่อให้ฟื้นคืนกำลังแล้วก็ตาม สามพี่น้องนั่นเข้าขากันดีเยี่ยม วิธีการต่อสู้ของพวกเขาค่อนข้างสกปรก แต่ได้ผลชะงัด พวกเขาฆ่าล้างดราโกลิซาร์ดกับฟอร์กเทลในเรดาเนียจนสิ้นซาก ยังไม่เอ่ยถึงมังกรแดงสามตัวกับมังกรดำหนึ่งตัวที่โดนฆ่าด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หมดแล้วหรือยัง”
“ยัง คนแคระหกตนภายใต้สังกัดของยาร์เปน ซิกรินก็เข้าร่วมด้วย”
“ข้าไม่รู้จักเขา”
“แต่เจ้าเคยได้ยินชื่อมังกรอ็อกวิสต์จากเขาแร่ควอตซ์ใช่ไหม”
“เคย ข้าเคยเห็นอัญมณีจากขุมสมบัติของมันด้วย มีทั้งไพลินสีงามวิจิตรกับเพชรที่ขนาดใหญ่เท่าผลเชอร์รี”
“รู้เอาไว้เสียเถิดว่ายาร์เปน ซิกริน กับคนแคระของเขาคือผู้ที่ฆ่าอ็อกวิสต์ มีคนแต่งลำนำเอาไว้ด้วย แต่มันห่วยแตกเพราะไม่ใช่ลำนำของข้า เจ้าไม่ได้พลาดอะไรไปหรอกถ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ครบทุกคนแล้วใช่ไหม”
“ครบแล้ว แต่ไม่นับเจ้านะ เจ้าอ้างว่าไม่รู้เรื่องมังกร ใครจะรู้ บางทีนั่นอาจเป็นจริงก็ได้มั้ง แต่ตอนนี้เจ้ารู้แล้วนี่ แล้วไงต่อ”
“ไม่ยังไง ข้าไม่สนใจมังกรตัวนั้น”
“ฮ่า! ทำมาเป็นพูด เกรอลท์ เพราะเจ้าไม่มีเอกสารผ่านทางต่างหาก”
“ข้าไม่สนใจมังกรตัวนั้น ขอบอกเลย ว่าแต่เจ้าเถอะ แดนดิไลออน ลมอะไรหอบเจ้ามาที่นี่”
“เหมือนเดิม” นักขับลำนำยักไหล่ “ข้าจำเป็นต้องติดตามเหตุการณ์และความตื่นเต้นอย่างใกล้ชิด ทุกคนจะพากันพูดถึงการต่อสู้กับมังกรในครั้งนี้ ข้าแต่งลำนำจากข่าวลือก็ได้ แต่ลำนำที่ร้องจากปากของคนที่เห็นการต่อสู้กับตามันได้อารมณ์อีกแบบ”
“การต่อสู้หรือ” ทรี แจ็คดอว์สหัวเราะ “เหมือนเอาไม้เสียบหมูหรือเอามีดชำแหละซากสัตว์เสียมากกว่า ข้าฟังไปก็ได้แต่ทึ่ง นักรบผู้โด่งดังทั้งหลายแข่งกันมาที่นี่เพื่อจัดการกับมังกรที่บาดเจ็บร่อแร่เพราะโดนยาพิษของชาวบ้าน มันทำให้ข้าทั้งอยากหัวเราะและอาเจียนไปพร้อมๆ กัน”
“เจ้าพูดผิดแล้ว” เกรอลท์กล่าว “ถ้ามังกรไม่ตายเพราะยาพิษ ร่างกายของมันจะขับพิษออกมาและฟื้นคืนกำลังอีกครั้ง แต่ก็ไม่ช่วยอะไรหรอก พวกครินฟริดรีฟเวอร์จะฆ่ามันอยู่ดี แต่มันจะสู้สุดใจ ถ้าเจ้าอยากรู้น่ะนะ”
“แปลว่าเจ้าเดิมพันฝั่งครินฟริดรีฟเวอร์งั้นรึ เกรอลท์”
“ใช่แล้ว”
“อย่ามั่นใจนักเลย” ทหารยามผู้มีอารมณ์ศิลปินซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้น “มังกรเป็นสัตว์เวทมนตร์ ไม่มีทางฆ่ามันได้นอกจากใช้เวทมนตร์ หากจะมีผู้ใดรับมือกับมันได้ก็ต้องเป็นจอมเวทหญิงที่ขี่ม้าผ่านไปเมื่อวาน”
“ใครรึ” เกรอลท์เงยหน้าขึ้น
“จอมเวทหญิง” ทหารยามทวนซ้ำ “ข้าบอกแล้วไง”
“นางได้บอกชื่อเอาไว้ไหม”
“บอก แต่ข้าลืมไปแล้ว นางมีเอกสารผ่านทาง และยังสาว หน้าตาสะสวยไม่เหมือนใคร แต่ดวงตาคู่นั้น…ท่านก็น่าจะรู้ว่าเป็นเช่นไร เลือดในกายข้าเย็นเฉียบเมื่อนางมองมา”
“รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม แดนดิไลออน เจ้าคิดว่าเป็นใคร”
“ไม่รู้สิ” นักกวีนิ่วหน้า “สาว สะสวย และ ‘ดวงตาคู่นั้น’ คำใบ้ไม่ช่วยอะไรเลย พวกนางเป็นแบบนี้กันทั้งนั้น ทุกคนที่ข้ารู้จัก – ซึ่งข้าก็รู้จักไม่น้อยเลยนะ – ดูอายุไม่เกินยี่สิบห้าถึงสามสิบปี แม้ข้าจะได้ยินมาว่าบางคนเล่าขานถึงตอนที่โนวิแกรดยังเป็นเพียงป่าที่มีลมพัดผ่านได้ อย่างไรเสีย น้ำอมฤตกับแมนเดรกมีไว้ทำไมกันเล่า แล้วพวกนางก็ชอบเอาน้ำแมนเดรกมาหยอดตาเพื่อให้เป็นประกายสดใส พวกผู้หญิงก็อย่างนี้”
“นางมีผมแดงหรือเปล่า” วิทเชอร์ถาม
“เปล่าหรอกท่าน” นายสิบตอบ “ดำราวกับถ่าน”
“ม้าของนางล่ะ สีอะไร สีลูกเกาลัด หน้าผากเป็นรูปดาวสีขาวหรือไม่”
“ไม่ใช่ มันเป็นสีดำเหมือนกับเส้นผมนาง สุภาพบุรุษทั้งหลาย ข้าขอบอกเลยว่านางนี่แหละจะฆ่ามังกรได้ การฆ่ามังกรเป็นงานของจอมเวท มนุษย์ไม่มีพละกำลังพอที่จะต่อกรกับมันหรอก”
“ข้าสงสัยว่าช่างฝีมือฉายาคนยัดไส้แกะจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้” แดนดิไลออนหัวเราะ “ถ้าเขามียาพิษที่แรงกว่าเฮลเลบอร์กับไนท์เฉด ป่านนี้หนังของมังกรคงตากอยู่บนกำแพงเมืองแบร์ฟีลด์ไปแล้ว ข้าคงแต่งลำนำเสร็จและไม่ต้องมานั่งตากแดดเหงือกแห้งอยู่แบบนี้…”
“ทำไมนีดาเมียร์ไม่พาเจ้าไปด้วย” เกรอลท์ถามพลางมองนักกวีด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ “เจ้าก็อยู่ในแบร์ฟีลด์ตอนที่เขาออกเดินทางนี่ องค์ราชาไม่ชอบศิลปินรึ ทำไมเจ้ามานั่งตากแดดเหงือกแห้ง แทนที่จะไปนั่งดีดอากาศบนหลังม้าหลวง”
“เพราะม่ายสาวคนหนึ่งน่ะสิ” แดนดิไลออนพูดอย่างเจ็บช้ำ “ให้ตายสิ ข้าไปสาย ในวันถัดมานีดาเมียร์กับคนอื่นๆ ข้ามแม่น้ำกันไปหมดแล้ว พวกเขายังพาคนยัดไส้แกะไปด้วย รวมทั้งทหารสังเกตการณ์บางนายจากกองกำลังของแบร์ฟีลด์ แต่พวกเขาลืมข้าไปเลย ข้าอธิบายให้นายสิบผู้นี้ฟังแล้ว แต่เขาเอาแต่พูดว่า—”
“ต้องมีเอกสารผ่านทาง ข้าถึงจะยอมให้ข้าม” พลหอกกล่าวอย่างไร้ความรู้สึกขณะปล่อยเบาบนผนังกระท่อมของคนเก็บค่าผ่านทาง “ถ้าไม่มีก็ให้ผ่านไปไม่ได้ ข้าได้รับคำสั่ง—”
“อ้าว” ทรี แจ็คดอว์สเอ่ยแทรก “สาวๆ เอาเบียร์มาแล้ว”
“พวกนางไม่ได้มาตามลำพัง” แดนดิไลออนเอ่ยเสริมพร้อมกับยืนขึ้น “ดูม้าตัวนั้นสิ ใหญ่อย่างกับมังกรแน่ะ”
ชาวเซอร์ริคาเนียควบม้าออกมาจากป่าต้นเบิร์ช โดยขนาบชายบนหลังม้าศึกตัวใหญ่ผู้มีท่าทางหงุดหงิดไว้ทั้งสองข้าง
วิทเชอร์ก็ลุกขึ้นเช่นกัน
คนขี่ม้าผู้นี้สวมชุดคาฟตาน[8]ผ้ากำมะหยี่สีม่วงยาว โดยมีเชือกผูกเอวสีเงิน ทั้งยังสวมเสื้อคลุมสั้นประดับริมด้วยขนเสือเขี้ยวดาบทับอีกชั้น เขานั่งหลังตรงบนอานม้า ชำเลืองมองลงมาด้วยสายตาหยามหยัน เกรอลท์รู้จักสายตาแบบนี้และไม่ชอบมันเอาเสียเลย
“สวัสดีทุกท่าน ข้าคือดอร์เรกาเรย์” คนขี่ม้าแนะนำตัวก่อนลงจากหลังม้าช้าๆ ท่าทางหยิ่งผยอง “ท่านดอร์เรกาเรย์ เป็นจอมเวท”
“ท่านเกรอลท์ เป็นวิทเชอร์”
“ท่านแดนดิไลออน เป็นนักกวี”
“บอร์ช หรือที่รู้จักกันในนามทรี แจ็คดอว์ส กับสาวๆ ของข้าซึ่งกำลังเปิดจุกไห ท่านได้เจอพวกนางแล้วนี่ ท่านดอร์เรกาเรย์”
“เป็นเช่นนั้น” จอมเวทกล่าวโดยไม่ยิ้ม “เราคำนับให้กันแล้ว ข้ากับนักรบแสนสวยจากเซอร์ริคาเนียทั้งสองนาง”
“ถ้าอย่างนั้นมาดื่มกันเถอะ” แดนดิไลออนแจกถ้วยหนังสัตว์ซึ่งเวียเป็นคนนำมา “ดื่มกับเราสิ ท่านจอมเวท นายท่านบอร์ช ข้าขอแบ่งให้นายสิบด้วยได้ไหม”
“ได้อยู่แล้ว มาดื่มด้วยกันสิ พลทหาร”
“ข้าขอเดา” จอมเวทเอ่ยหลังจากจิบเบียร์ให้เห็นเล็กน้อย “ว่าพวกท่านมาที่ด่านบนสะพานด้วยจุดประสงค์เดียวกับข้าใช่หรือไม่”
“ถ้าท่านมาด้วยเรื่องมังกร ท่านดอร์เรกาเรย์” แดนดิไลออนกล่าว “ท่านก็เดาถูกแล้ว ข้าอยากไปที่นั่นเพื่อแต่งลำนำ แต่น่าเสียดายที่นายทหารผู้ไร้ความละเอียดอ่อนคนนี้ไม่ยอมให้ข้าผ่านไป เขาขอเอกสารผ่านทาง”
“ขออภัย” พลหอกพูดหลังจากซดเบียร์จนหมดถ้วยและเม้มปากดังเป๊าะ “ข้าได้รับคำสั่งให้สกัดคนที่ไม่มีเอกสารผ่านทาง ถ้าขัดคำสั่งข้าก็ตาย ข้ายังได้รับแจ้งมาว่าชาวแบร์ฟีลด์พากันรวบรวมเกวียนและวางแผนจะเดินทางไปล่ามังกร ข้าได้รับคำสั่ง—”
“คำสั่งของเจ้า ทหาร” ดอร์เรกาเรย์นิ่วหน้า “มีไว้ใช้กับพวกสามัญชนที่อาจจะเกะกะขวางทาง ใช้กับพวกนางโลมที่อาจล่อลวงให้หมกมุ่นในกามและแพร่โรคร้าย พวกหัวขโมย และสวะกับไพร่สามัญ แต่ไม่ใช่ข้า”
“ข้าจะไม่ยอมให้คนที่ไม่มีเอกสารผ่านทางเล็ดลอดไปได้” นายสิบถลึงตา “ข้าสาบาน—”
“อย่าสาบานเลย” ทรี แจ็คดอว์สเอ่ยแทรก “มาดื่ม
กันดีกว่า เทีย รินเบียร์ให้ทหารใจเด็ดนายนี้อีกถ้วย นั่งกันก่อนเถอะ ทุกท่าน การยืนดื่มกันอย่างเร่งรีบและไร้ซึ่งความเคารพนับถือกันนั้นไม่เหมาะกับผู้สูงศักดิ์”
พวกเขานั่งลงบนขอนไม้รอบไหเบียร์ พลหอกที่เพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นผู้สูงศักดิ์หน้าแดงด้วยความยินดี
“ดื่มสิ นายร้อยผู้กล้า” ทรี แจ็คดอว์สคะยั้นคะยอ
“แต่ข้าเป็นนายสิบ ไม่ใช่นายร้อย” พลหอกแย้งด้วยใบหน้าที่แดงกว่าเดิม
“แต่อีกเดี๋ยวก็ได้เป็นนายร้อยแน่ๆ” บอร์ชยิ้ม “เจ้าเป็นคนฉลาดเฉลียว ไม่นานจะได้เลื่อนยศเลื่อนขั้น”
ดอร์เรกาเรย์ไม่รับเบียร์เพิ่ม แต่หันไปหาเกรอลท์แทน
“ผู้คนในเมืองยังพูดเรื่องบาซิลิสก์กันอยู่เลย วิทเชอร์ และคราวนี้ข้าก็เห็นแล้วละว่าเจ้าเล็งมังกรตัวนั้นอยู่” เขาพูดเสียงเบา “ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าร้อนเงินหรือแค่ฆ่าสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์เพื่อความเพลิดเพลินใจ”
“เป็นความอยากรู้ที่น่าสนใจดีนี่” เกรอลท์ตอบ “ท่านเองแท้ๆ ที่รีบร้อนจะไปให้ทันการชำแหละมังกร จะได้เลาะฟันของมันซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญในการปรุงโอสถวิเศษกับน้ำอมฤตออกมา ท่านจอมเวท จริงหรือเปล่าที่ฟันที่ดีที่สุดต้องถอนจากปากมังกรตัวเป็นๆ น่ะ”
“เจ้าแน่ใจรึว่าฟันคือสาเหตุที่ข้าไปที่นั่น”
“แน่ใจสิ แต่มีคนแซงท่านไปแล้ว ดอร์เรกาเรย์ หญิงผู้มีวิชาชีพเดียวกับท่านได้ข้ามแม่น้ำไปแล้วพร้อมกับเอกสารผ่านทางซึ่งท่านไม่มี นางมีผมสีดำ ถ้าท่านสนใจใคร่รู้”
“บนหลังม้าสีดำรึ”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ”
“เยนเนเฟอร์” ดอร์เรกาเรย์เอ่ยเสียงเศร้า ขณะที่วิทเชอร์สะดุ้งเบาๆ โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ แต่ก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงเรอของว่าที่นายร้อย
“ห้ามใคร…ที่ไม่มีเอกสารผ่านทาง…”
“สองร้อยลินทาร์พอไหม” เกรอลท์หยิบถุงเงินที่เขาได้รับจากเทศมนตรีอ้วนออกมาจากกระเป๋าอย่างใจเย็น
“อ้า เกรอลท์” ทรี แจ็คดอว์ส ยิ้มแฝงความนัย “แปลว่าเจ้า—”
“อภัยให้ข้าด้วย บอร์ช ข้าเสียใจ แต่ข้าจะไม่เดินทางไปเฮงฟอส์กับเจ้า เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกัน เราอาจได้พบกันอีก”
“ข้าเองก็ไม่ได้อยากไปเฮงฟอส์หรอก” ทรี แจ็คดอว์สกล่าวช้าๆ “ไม่เลยสักนิด เกรอลท์”
“เก็บเงินไปเถอะท่าน” ว่าที่นายร้อยทำเสียงขู่ “นี่คือการติดสินบนชัดๆ ต่อให้เอาเงินสามร้อยมาล่อข้าก็ไม่ยอมให้ผ่านไปหรอก”
“งั้นห้าร้อยล่ะ” บอร์ชหยิบถุงเงินออกมาบ้าง “เก็บเงินของเจ้าไปเถอะ เกรอลท์ ข้าจ่ายค่าผ่านทางเอง ข้าชักจะสนุกกับเรื่องนี้แล้วสิ ห้าร้อย ทหาร คนละร้อย ผู้หญิงสองคนนับรวมกันเป็นสมบัติหนึ่งชิ้นงามๆ ว่าอย่างไร”
“แย่แล้วๆ” ว่าที่นายร้อยเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มก่อนจะซุกถุงเงินของบอร์ชเข้าไปในเสื้อของตัวเอง “ข้าจะบอกองค์ราชาว่าอย่างไร”
“บอกเขา” ดอร์เรกาเรย์กล่าวพลางยืดตัวและหยิบคทาซึ่งทำมาจากงาช้างดูหรูหราออกจากเข็มขัด “ว่าเจ้าสะพรึงกลัวในสิ่งที่เห็น”
“เห็นอะไรรึท่าน”
จอมเวทโบกคทาพร้อมกับตะโกนร่ายเวท ต้นสนริมแม่น้ำต้นหนึ่งพลันเกิดไฟลุก ภายในวูบเดียวต้นไม้ทั้งต้นก็มีไฟลุกท่วมตั้งแต่ยอดลงมาจนถึงโคน
“ไปที่ม้า!” แดนดิไลออนร้องตะโกนก่อนจะกระโดดผลุงขึ้นยืนและสะพายลูทไว้ข้างหลัง “ไปที่ม้ากันเหล่าสุภาพบุรุษ! และสุภาพสตรีด้วย!”
“ยกเครื่องกั้น!” นายสิบผู้ร่ำรวยที่มีโอกาสได้เป็นนายร้อยสูงมากตะโกนสั่งบรรดาพลหอกที่เหลือ
เวียคุมม้ากระโดดข้ามเครื่องกั้นบนสะพานไปอย่างรวดเร็ว เสียงเกือกม้ากระทบไม้กระดานดังลั่น หญิงสาวสะบัดผมเปียพร้อมกับแผดเสียงร้องแหลม
“อย่างนั้นแหละ เวีย!” ทรี แจ็คดอว์สตะโกนตอบ “ไปกันเถอะ ท่านทั้งหลาย ไปขึ้นม้ากัน! เราจะขี่ม้ากันแบบชาวเซอร์ริคาเนีย กู่ร้องให้สุดเสียง!”
[1] หมวกทรงสี่เหลี่ยมที่ด้านบนมีจุกเป็นพู่
[2] หน่วยเงินประเภทหนึ่ง 1 ชิลลิงมีค่าเท่ากับ 12 เพนนี
[3] เสื้อทรงหลวมแขนยาวรูปแบบเรียบง่ายที่ยาวถึงสะโพกหรือหัวเข่า
[4] Lynx คือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์เสือและแมว มีขนหนาปุกปุย ลายคล้ายเสือดาว ขนปลายหูแหลมยาวเป็นเอกลักษณ์
[5] สกุลเงินที่ใช้กันในสหพันธ์เฮงฟอส์ 2 ลินทาร์มีค่าเท่ากับ 1 คราวน์เรดาเนีย
[6] เครื่องดนตรีโบราณประเภทสาย มีลักษณะคล้ายลูกแพร์และใช้นิ้วในการดีด
[7] โรคทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่ฝีหนองจะกระจุกตัวเป็นก้อนใต้ผิวหนังจนก้อนเนื้อบวบแดงขยายใหญ่ และก่อให้เกิดการระคายเคือง
[8] ชุดคลุมหลวมๆ ตัวยาวที่มักจะทำมาจากผ้าลินินหรือผ้าไหม