[ทดลองอ่าน] คนดีตายหมดแล้ว – สรจักร ศิริบริรักษ์

คนดีตายหมดแล้ว 

สรจักร ศิริบริรักษ์ เขียน

 

ติดตามการวางจำหน่ายได้ทางเพจ “เเพรวนิยายเเปล”

“ด้วยพื้นฐานการศึกษาด้านเภสัชศาสตร์ จึงทำให้เขามีวิธีสร้างพล็อตที่แปลกใหม่ สร้างความสมจริงให้กับงานของเขาจนได้รบการยกย่องว่าเป็น ‘สตีเวน คิง’ เมืองไทย งานของเขามีลักษณะที่กระชับ ใช้ภาษาเรียบๆ เล่าเฉพาะความที่จำเป็นต่อการดำเนินไปของพล็อต จึงอ่านสนุก ชวนติดตาม และระทึกใจไปกับตอนจบอันคาดเดาไม่ได้ โดยเฉพาะกับรวมเรื่องสั้นชุดนี้ – ชุดที่จะพาเราขุดลึกเข้าไปถึงความล้ำลึกในใจคน ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือไม่ก็ตามที”

-โตมร สุขปรีชา นักเขียน นักคิด นักแปล และคอลัมนิสต์

 

“งานของคุณสรจักรเหมือนมีมนตร์ อ่านจบบรรทัดหนึ่งแล้วยังอยากอ่านต่อไป จบย่อหน้าแล้วยังหยุดไม่ได้ แม้จบเล่มแล้วก็ยังต้องตะกายไปหาเล่มอื่นต่อ… ระบบความคิดของเขาเป็นอย่างไรกันแน่นะ ทำไมถึงพลิกแพลงหลีกตัวเองและหลอกคนอ่านได้มากมายยาวนานขนาดนั้น ไม่ต้องพูดถึงข้อมูลแน่นปึ้กที่ทำให้ทุกอย่างดูสมจริงอย่างยิ่ง”

-ปราปต์ ผู้เขียน กาหลมหรทึก

 

“วันนั้นผมจำได้ดี คุณครูวิชาแนะแนวเริ่มเปิดหนังสือเล่มหนึ่งแล้วอ่านให้พวกเราฟัง เรื่องจบลงด้วยการแก้แค้น แต่แล้วผลลัพธ์ของเรื่องกลับหักมุมไปอีกทาง… ให้ความรู้สึเหมือนโดนตบหัวเหม่งเข้าอย่างแรง หลายคนต้องมนตร์กับเรื่องสั้นหักมุมของคุณสรจักรเข้าอย่างจัง… อ่านแล้วรับรองว่าเดาตอนจบไม่ออกแน่นอน

-เต๋อ รัฐนันท์ จรรยาจิรวงศ์ พิธีกรและนักแสดง

 

“หลังจากที่อ่านเล่มนี้ ทำให้ฉุกคิดได้ทุกครั้งที่อ่านแต่ละเรื่องจบ และพร้อมอ่านตอนต่อไปอย่างอยากรู้อยากเห็นในความ ‘ซับซ้อน’ ของจิตใจมนุษย์ที่เราคาดไม่ถึง ทุกเรื่องสอดแทรกไปด้วยสันดานดิบของมนุษย์ ที่ถูกสัญชาตญาณและจิตใต้สำนึกพาไปให้ทำในสิ่งที่ตนต้องการ เรื่องสั้นที่น่าทึ่งของคุณสรจักรทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าเรายังอ่อนแอนักต่อโลกกว้างใบนี้ รวมถึงต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน พร้อมกับคำถามในใจที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นว่า หรือคนดีจะตายหมดแล้ว”

-เต-ตะวัน วิหครัตน์ นักแสดงและพิธีกร

 

คำนำสำนักพิมพ์

หากกล่าวถึงนักเขียนเรื่องสั้นหักมุมของไทยในตำนาน สรจักร หรือ สรจักร ศิริบริรักษ์ หรือเภสัชกร สรจักร ศิริบริรักษ์ น่าจะเป็นหนึ่งในชื่อที่คอเรื่องสั้นนึกถึงเป็นแน่ ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อยๆ บรรจงร้อยเรื่องราว เก็บทุกรายละเอียดแบบไร้รอยต่อ จนทำให้ผู้อ่านบางท่านอาจข้ามจุดที่ผู้เขียนบอกใบ้เอาไว้ไปง่ายๆ รวมถึงภาษาที่ใช้ ซึ่งอ่านง่าย อ่านสนุก มีจังหวะจะโคน ที่สำคัญ ผู้เขียนเป็นนักเขียนที่เก็บข้อมูลและทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเรื่องอาชีพของตัวละคร สภาพแวดล้อมนั้นๆ หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรมการกิน จึงทำให้เรื่องสั้นของสรจักรเนียนและกลม

คนดีตายหมดแล้ว เป็นชื่อของเรื่องสั้นตอนหนึ่งจากสามสิบเรื่องที่แพรวสำนักพิมพ์คัดสรรมาแล้วว่ากลมกล่อมที่สุดจากเรื่องสั้น “ชุดศพ” ทั้งสามเล่มของสรจักร อันได้แก่ ศพใต้เตียง ศพข้างบ้าน และศพท้ายรถ แม้ชื่อเรื่องทั้งสามจะชวนให้นึกถึงความสยองขวัญ ความสะอิดสะเอียน หรือกลิ่นคาวเลือด หากได้อ่านงานของสรจักรแล้วจะพบว่าแท้จริงมันกลับสะท้อนความคิด ความอ่าน จิตใจ และสภาพของสังคมที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้อย่างชัดแจ้ง แม้กาลจะผ่าน แต่ความจริงที่ชวนหดหู่เหล่านี้กลับไม่เลือนหายไปตามเวลาเลยแม้แต่น้อย

ได้แต่หวังว่าในภายภาคหน้า คนดีที่เหลืออยู่จะไม่ตายหายจากไปหมด

 

คำนำผู้เขียน

สมองของสิ่งมีชีวิตที่เรียกตนเองว่ามนุษย์นั้น มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง ทั้งในแง่กายวิภาคและกระบวนการทางจิต กิจกรรมทางจิตของมนุษย์ที่เราได้สัมผัสตลอดเวลานั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในชีวิตจิต (Psychic Life) ซึ่งถูกกระทบด้วยตัวกระตุ้นต่างๆ มากมาย มันก่อให้เกิดความรู้สึก ความหวัง ความหิว ความโกรธ ความฝัน และอื่นๆ ราวกับว่าโครงสร้างทางจิตของมนุษย์สามารถรับรองความผันแปรแทบทุกชนิดได้

แต่แท้ที่จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ กิจกรรมทางจิตของมนุษย์ล้วนตกอยู่ในอำนาจควบคุมของจิตไร้สำนึก อุดมการณ์ ขนบธรรมเนียม จารีตของผู้ศิวิไลซ์แท้ที่จริงก็เป็นเพียงการแสดงออกของความปรารถนา ซึ่งเป็นรากเหง้าของสัญชาตญาณที่ได้รับการขัดเกลาและปลอมแปลงโฉมให้ดูสมเหตุสมผล ในรูปของธรรมะ มนุษย์สามารถหลอกได้แม้กระทั่งตนเอง จึงมิใช่เรื่องแปลกที่บรมครูสุนทรภู่จะได้ “แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลำล้ำเหลือกำหนด”

การเรียนรู้เท่าทันจิตใจของตัวเองจึงเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่สำคัญมาแต่โบราณกาล

เรื่องเขียนของผมบางเรื่องดูราวกับจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะมีปฏิกิริยาตอบโต้กันเช่นนั้น จึงต้องขอเรียนว่า หลายเรื่องเป็นเรื่องที่เกิดจริง มีบันทึกเป็นหลักฐาน เพียงถูกนำมาดัดแปลงโดยใช้ศิลปะการนำเสนอเพื่อให้น่าสนใจต่อการเรียนรู้

เรียนรู้จิตใจมนุษย์ไว้เถิดครับ และไม่ต้องหาที่ไหนหรอก ภายในสมองของคุณเองนั่นแหละ

 

 

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจในมนุษย์

 

เสียงบี๊บๆ จากเครื่องติดตามตัวซังกะบ๊วยทำให้ผมต้องโดดผลุงลงจากเตียงโดยไม่ได้นุ่งผ้า กระจกเงาที่ผนังและเพดานสะท้อนร่างเปลือยกำยำสมส่วนที่ต้องใช้เวลาถึงสี่ปีในโรงเรียนนายร้อยตำรวจกว่าจะได้มันมา

“ไปที่องค์การโทรศัพท์ด่วน…ศักดิ์” มีข้อความฝากไว้แค่นั้น

แม้ข้อความจะสั้นและไม่มีรายละเอียด แต่ผมก็รู้ดีว่าเป็นเรื่องสำคัญเพราะมีพลสมศักดิ์คนเดียวเท่านั้นที่รู้รหัสติดตามตัวของผม เขาจะคอยกลั่นกรองเฉพาะเรื่องที่สำคัญจากวิทยุตำรวจส่งมาให้ ผมไม่เอาไอ้เจ้าวิทยุปัญญาอ่อนพูดมากติดตัวให้โง่หรอก เสียบรรยากาศหมด คุณเคยเห็นไหม ตำรวจแอบเข้าโรงหนังในเวลางาน แล้ววิทยุก็เกิดดังลั่นขึ้นมา เลยต้องออกเสียแต่กลางเรื่อง

ผมหันกลับไปดู เธอ – ว่าที่ภริยาในอนาคต – กำลังชักผ้าคลุมเตียงขึ้นปิดปทุมถันขาวผ่องด้วยความขวยอาย

เรากำลังทำกิจกรรมถึงตอนเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่พอดีขณะที่สัญญาณติดตามตัวดังขึ้น

“ผมต้องรีบไปนะ มีเรื่องด่วน อาจเป็นข่าวดีของเราก็ได้”

ผมไม่อยากหันไปดูใบหน้าของเธอหรอก มันยากที่จะทำใจจริงๆ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่แสนหวานและซื้อสัตย์คนนี้

ชีวิตตำรวจก็อย่างนี้แหละ

อีกไม่นานเราคงได้อยู่ร่วมกันอย่างถาวรเสียที

ถ้าเพียงแต่เธอไม่รังเกียจที่จะรอ

ผมรีบแต่งเครื่องแบบลวกๆ ไอ้โอ๊บคู่หนักกินเวลาไปไม่ใช่น้อย

“ไปนะคนดี…แล้วค่อยเจอกัน” ผมหันไปยิ้มปลอบใจเธออีกครั้งก่อนพาตัวออกมาจากห้องพิเศษของโรงแรมม่านรูดเจ้าประจำ

บ๋อยหน้าเคาน์เตอร์ยิ้มขำที่เห็นนายตำรวจรูปหล่อกะเร่อกะร่าออกมาจากห้องหลังจากพาหญิงงามเข้าไปได้ไม่ถึงยี่สิบนาที

ผมเอานิ้วปาดที่คอเป็นสัญญาณเตือนว่า หากมันปากโป้งเรื่องที่ผมพาใครเข้าโรงแรมในเวลาปฏบัติงานอะไรจะเกิดกับมัน

เมื่อเปิดประตูรถที่จอดแอบไว้ข้างโรงแรม ผมก็ได้ยินเสียงจากวิทยุปากมาเรียกหาตัวจ้าละหวั่น ผมแก้ตัวว่ากำลังทำกิจธุระส่วนตัวอยู่พอดี

ผมไม่เคยนึกพิศวาสกับมันเลย ให้ตายสิ! ทำไมชาวบ้านชอบซื้อหามาถือกันนักนะ

รถคู่ชีพพาผมไปยังจุดเกิดเหตุในยี่สิบนาที ตอนนี้กี่โมงแล้วหว่า ผมรู้สึกเบาๆ ที่ข้อมือ

ตายโหง ผมลืมนาฬิกาข้อมือแพงระยับไว้ที่โรงแรม!

แต่เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ผมไม่มีเวลาคิดมาก สารวัตรกำลังยืนหน้ามุ่ยอยู่ คงไม่พอใจที่ผมไม่รับวิทยุ พลสมศักดิ์รีบเข้ามารายงาน

“ก็เหมือนเดิมอย่างที่หมวดพูดไว้แหละครับ แต่คราวนี้หนักข้อหน่อย” เขาชี้ขึ้นไปที่เสาส่งสัญญาณวิทยุขนาดยักษ์สีส้มขององค์การโทรศัพท์ฯ ผมไล่สายตาตามขึ้นไป

ที่ปลายยอดลิบๆ มีชายคนหนึ่งเกาะท่อนเหล็กไว้ด้วยมือข้างเดียวและทรงตัวอยู่ด้วยขาข้างเดียว ขณะที่มือและเท้าอีกข้างโบกไปมาชวนหวาดเสียว มีเสียตะโกนโว้กว้ากแบบคนคลุ้มคลั่ง ฟังไม่ได้ศัพท์

“มีใครลองปีนขึ้นไปเจรจาดูหรือยัง” ผมไล่สายตาไปตามบันไดเหล็กกลมสีส้มคล้ายบันไดหนีไฟที่ทอดขึ้นไปลิบๆ สลับจังหวะซ้ายขวาเป็นช่วงเหมือนงูเลื้อย

“ผมลองปีนขึ้นไปดูแล้วครับ ไม่ไหวจริงๆ ท่อนเหล็กกลมลื่นพิกล และเจ้าบ้านั่นก็ขู่ว่าจะโดดลงมาขืนเข้าไปใกล้มันมากๆ ผมพยายามพูดตามที่หมวดสอนแล้วแต่มันไม่ฟังเลย มันคงฟังหมวดคนเดียว”

ผมกวาดตามองเพื่อนร่วมงานที่กำลังขนวัสดุช่วยชีวิตจำพวกนวมฟองน้ำ เปลรับร่าง โดยที่รู้ว่าในความสูงระดับนี้ ของเหล่านี้ช่วยอะไรไม่ได้

“ผู้กองสั่งให้พวกเรารอหมวด เพราะมีแต่หมวดคนเดียวที่ผ่านการอบรมช่วยผู้คิดฆ่าตัวตายมาแล้ว และหมวดก็เคยช่วยเจ้านี่มาได้ถึงสองหน ผู้กองเลยให้วิทยุตามตัวมาด่วน”

บ้าฉิบ! เพราะการที่ผมเคยใช้วาทศิลป์ตามที่ได้เรียนมาช่วยมันไว้ได้ถึงสองครั้งสองครา ผู้บังคับบัญชาก็เลยลงความเห็นว่ามันเป็นหน้าที่เฉพาะของผมที่จะต้องคอยช่วยเหลือไอ้บ้านั่นไม่รู้จบรู้สิ้น

แม้ผมจะไม่ค่อยพอใจกับความเห็นของพวกเขา แต่ในใจลึกๆ ผมก็ยอมรับว่าการช่วยคนที่คิดฆ่าตัวตายเป็นศิลปะที่ลึกล้ำประการหนึ่งทีเดียว ถ้าผมไม่ได้ผ่านการอบรมมา ผมก็คงนึกไม่ถึงหรอกว่าคำพูดด้วยความหวังดีเพียงประโยคเดียวอาจทำให้คนที่กำลังจะฆ่าตัวตายตัดสินใจกระโดดลงมาจากตึกได้ เช่น ถ้าคุณพูดว่า อย่าฆ่าตัวตายเลย เดี๋ยวคนอยู่ข้างหลังจะเสียใจ คำพูดแค่นี้อาจคร่าชีวิตคนได้ทีเดียวแหละ

คุณอาจสงสัยว่าเพราะอะไรเหรอครับ ก็เพราะคนบางคนคิดฆ่าตัวตายเพื่อต้องการให้คนอยู่ข้างหลังเดือดร้อนครับ เขาต้องการแก้แค้นผู้อื่นด้วยความตายของตัวเอง การอบรมที่ผมได้รับทำให้ผมรู้จุดอ่อนของคนพวกนี้ และมันก็ช่วยชีวิตคนมาไม่ต่ำกว่าสิบห้าคนแล้ว

แต่คอร์สอบรมที่ว่านี่ เขาไม่ได้สอนวิธีปีนเสาส่งวิทยุขนาดหนึ่งร้อยแปดสิบฟุตไว้ด้วยนี่ครับ!

“พวก รปภ. ปล่อยให้มันหลุดเข้ามาได้ยังไงวะ” ผมบ่นพึมพำไปตามเรื่องเมื่อหันไปเจอป้ายตัวอักษรสีแดงขนาดสองฟุต เขตห้วงห้าม

            พลสมศักดิ์ไม่ตอบ แต่ยื่นเข็มขัดรัดเอวให้สองเส้น

“เจ้าหน้าที่องค์การโทรศัพท์ฯ เตรียมเข็มขัดนิรภัยไว้ให้หมวดแล้วครับ อีกเส้นไว้สำหรับเจ้านั่น เผื่อมันเลิกคิดจะลงมาด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก” คำพูดตลกแสดงความรู้สึกเคยชินกับงานที่ทำ

แหงอยู่แล้วละ

นี่เป็นครั้งที่สามของการช่วยชีวิตชายคนนี้ ครั้งแรกคงสักห้าเดือนที่แล้วกระมัง มันขึ้นไปยืนบนชายคาตึกขนาดสามชั้น ตะโกนโหวกเหวก ผมขึ้นไปเกลี้ยกล่อมไม่ถึงสิบห้านาทีก็สำเร็จ ครั้งนั้นนับเป็นผลงานชิ้นโบแดงของผมเชียว

ครั้งที่สองเมื่อสามเดือนที่แล้วนี่เอง มันเพิ่มความสูงเป็นห้าชั้น แต่ผมก็เอาตัวมันลงมาได้อีก

ทั้งสองครั้งไม่ทำให้ผมรู้สึกหนักใจอะไรเลย เพราะมันยืนที่ชายคาขณะที่ผมยืนพูดสบายๆ อยู่บนตัวตึก

แต่ครั้งนี้สิสุดเจ็บปวด ผมต้องปีนบันไดเหล็กลื่นขึ้นไปในระดับความสูงถึงหนึ่งร้อยหกสิบฟุต จับพลัดจับผลูจะกลายเป็นผมนี่แหละที่ตกลงมาตายก่อนมัน

ผมคิดถึงคนรักขึ้นมาแปลบหนึ่ง เธอจะคอยเอาใจช่วยผมอยู่มั้ยนะ! ผมเชื่อว่าเธอคงเอาใจช่วยผมอยู่แล้ว เพราะมันแลกด้วยอนาคตของเราทั้งสอง

ผมคาดเข็มขัดนิรภัย คล้องปลายเข้ากับท่อเหล็กด้วยสแน็ปลิงก์ หากเกิดเหตุผิดพลาดมันก็ยังช่วยรั้งตัวผมห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศได้ พลสมศักดิ์ช่วยเช็กความมั่นคงอีกครั้งก่อนผมไต่ขึ้นไปตามบันไดเหล็กช้าๆ ราวบันไดทั้งลื่นทั้งเย็น กอปรกับเหงื่อที่ชุ่มทำให้ผมหลุดมือหลายครั้ง ผมพยายามไม่ก้มลงดูพื้น และคิดถึงเรื่องอื่นเพื่อหันเหความรู้สึกกลัว

เจ้าคนที่พยายามฆ่าตัวตายนี้ชื่อนิคม อายุยี่สิบหกเศษ จบ ปวช. อิเล็กทรอนิกส์ แต่มีพรสวรรค์ทางการขาย ภายในเวลาแค่สามปีหลังจากสมัครเป็นพนักงานขายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสาร เขาก็สามารถทำรายได้เดือนละกว่าห้าหมื่นบาท และกลายเป็นแสนกว่าบาทในสามปีต่อมา ผมยอมรับว่าตอนที่ไปส่งนายคนนี้ครั้งแรกและเห็นบ้านเดี่ยวหรูหราที่มันผ่อน ผมละอิจฉาจริงเชียว นั่นยังไม่กล่าวถึงเมียที่สวยกว่านางงาม แถมจบปริญญาของมันอีกนะ ตำรวจหนุ่มหลายคนมักแกล้งผ่านไปแวะเยี่ยมเยียนถามสารทุกข์สุกดิบเพียงเพื่อจะได้ดูสาวงามคนนี้

ใครๆ ก็พากันสงสัยว่า เหตุใดนิคมจึงคิดฆ่าตัวตายเมื่อสมบูรณ์พร้อมอย่างนี้

คงเป็นผมมั้ง ที่ใกล้ชิดและรู้เรื่องดีที่สุด

            ครั้งแรกที่ผมช่วยเขา เหตุผลไร้สาระที่เขายกมาอ้างคือ เขารู้สึกถูกกดดันและบีบคั้นจากงานที่ทำจนทนไม่ได้ เขากลัวว่าตัวเองจะตกต่ำลงสักวันหนึ่ง เลยคิดจะชิงฆ่าตัวตายลาโลก

ครั้งที่สอง นายนิคมอ้างว่ารู้สึกน้อยอกน้อยใจที่ภรรยาทำตัวเหินห่างซังกะตาย และไม่ให้เกียรติญาติพี่น้องของสามี

ช่างเป็นเหตุผลที่สุดเห่ยจริงๆ แต่ผมรู้ว่าแท้จริงแล้วนายนิคมมีพฤติกรรมฆ่าตัวตายเพราะกรรมพันธุ์

คุณจะเชื่อผมมั้ยล่ะ!

จากประวัติที่ผมได้รับ พ่อของนายนิคมยิงตัวตายตั้งแต่เขายังแบเบาะ และเมื่ออายุได้สิบสี่ พี่สาวก็ผูกคอตายเพราะรักไม่สมหวัง ลุงของเขาก็พยายามฆ่าตัวตายถึงห้าครั้ง และสำเร็จในครั้งที่หก เหมือนโกหกแต่ก็เป็นเรื่องจริง ความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้

การคิดอะไรเรื่อยเปื่อยทำให้ผมลืมเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าไปได้ชั่วคราว แต่พอเผลอมองลงไปข้างล่างก็ใจหายวูบ ผมขึ้นมาสูงเกือบแปดสิบฟุตแล้ว เทียบได้พอๆ กับตึกแปดชั้น ผมเสียวที่ก้นกบขึ้นมาฉับพลัน เรี่ยวแรงหายไปหมด รู้สึกเหมือนว่ามีแรงมหาศาลพยายามดึงผมให้หงายไปข้างหลัง ผมต้องรีบหลับตาและดึงร่างเข้าชิดราวบันได

หลังจากหยุดตั้งสมาธิอึดใจหนึ่ง ผมก็เริ่มปีนต่อ เป้าหมายอยู่อีกไม่ไกล ตรงนั้นเป็นชั้นสำหรับพักพอดี แต่เจ้านิคมไม่ได้ยืนอยู่ในคอกเหล็กที่ทำไว้หรอก มันปีนออกไปห้อยโหนโว้กว้ากอยู่ที่โครงเหล็กเป็นที่น่าหวาดเสียว

ลมหนาวที่พัดกระโชกเป็นระยะช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย มันพยายามมุดเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อจี้รักแร้ไม่ให้กางแขนได้ มันกรูเข้าไปตามช่องว่างขากางเกง และกระซิบที่ข้างหูว่า ปล่อยมือเถอะ ลงไปข้างล่างเถอะ ความตายน่าอภิรมย์นัก ผมหลับตาปี๋

เสียงตะโกนโหวกเหวกจากปากนายนิคมดังเข้าหู ช่วยพาความอุ่นใจกลับคืนมา อย่างน้อยก็ยังมีมนุษย์อยู่บนนี้อีกคน

“หมวดเชาว์เหรอ หมวดจะขึ้นมาทำไม ผมไม่เปลี่ยนใจหรอก ลงไปเถอะ”

ผมทั้งเหนื่อยทั้งโมโห ถ้าไม่เปลี่ยนใจจริงก็น่าจะกระโดดลงไปเสียแต่แรกให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ไม่น่าจะให้ผมต้องขึ้นมาเสี่ยงด้วยเลย ผมเห็นมาเยอะแล้ว ไอ้พวกที่รำพึงรำพันว่าอยากตายๆ พอเอาเข้าจริงไม่เห็นจะกล้าเลย ดีแต่ก่อความวุ่นวายเรียกร้องความสนใจไปวันๆ แล้วผมก็ขึ้นมานั่งหอบฮั่กอยู่บนแท่นพักโครงเหล็กสี่เหลี่ยมมีราวแค่เอวล้อมรอบ ขนาดกว้างยาวไม่เกินสองวา พื้นเป็นเหล็กแผ่นเจาะรูรูปตาข่าย

ที่ระดับความสูงเกือบเท่าตึกสิบสองชั้น มองเห็นตำรวจข้างล่างตัวเท่าตุ๊กตา นายนิคมปีนไปเกาะอยู่ที่โครงเหล็กนอกราวกั้น ใช้มือข้างเดียวเกาะโครงเหล็กทำท่าเหมือนจะกระโดลงไปจริงๆ ผมเกาะพื้นแน่น รู้สึกว่าหากเคลื่อนไหว แท่นเหล็กอาจกระดกเทผมลงไปฟาดพื้นแหลกเหลวได้ทุกนาที ความกลัวพุ่งจี๊ดเหมือนมีเข็มสักร้อยเล่มแทงเข้าที่ก้นกบและแผ่นหลัง ลมหนาวพัดผ่านรูที่พื้นดังหวิวๆ ผมปากสั่นด้วยความหนาวและความกลัว

นี่ไม่ใช่เพราะมีจุดมุ่งหมาย ผมไม่เสี่ยงปีนขึ้นมาหรอก

            “คราวนี้เป็นยังไงอีกล่ะ” ผมถามไปอย่างนั้นเอง

“เมียผม…” มันเริ่มฟูมฟาย “เมียผมจะเลิกกับผม…”

คนที่คิดจะฆ่าตัวตายมีหลายแบบ พวกที่หนึ่งเป็นพวกที่ชอบคิดถึงชีวิตใหม่ เชื่อลึกๆ ว่าคนเราตายแล้วจะได้ไปเกิดใหม่ เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาที่หาทางแก้ไม่ได้หรือมีอะไรมากระทบ ก็มักจะคิดตายเพื่อเกิดใหม่ในสภาพที่ดีกว่าเดิม

พวกที่สองเป็นพวกมีนิสัยชอบลงโทษตัวเอง เวลามีอะไรผิดพลาดมักจะคิดว่าตนเองเป็นคนผิด เป็นผู้ก่อเหตุ ดังนั้น ถ้าไม่มีใครลงโทษ ก็จะลงโทษตัวเองด้วยการฆ่าตัวตาย

พวกที่สามเป็นพวกตรงข้าม คือเมื่อเกิดปัญหาจะใช้วิธีฆ่าตัวตายเป็นการลงโทษผู้อื่น ลึกๆ ในใจคนพวกนี้จะคิดว่า ตายซะก็ดี พวกเขาจะได้รู้สำนึก พอใจที่คนรอบข้างได้อับอายจากการตายของตน

เจ้านิคมก็จัดอยู่ในกลุ่มที่สามนี่แหละ ผมเชื่อว่ามันไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายจริงๆ หรอก แต่ต้องการให้เมียเกิดความอับอาย รู้สึกเป็นบาปที่มีเรื่องกับผัว ทีหลังจะได้ไม่ขัดใจตน

เฮ้อ! พวกประสาท

ถ้าผมเป็นเมียมัน ผมก็อยากเลิกกับผัวประสาทอย่างนี้เหมือนกัน ผู้ชายอะไร อ่อนแอเป็นเด็กลูกแหง่

และก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ นายนิคมเริ่มพร่ำพรรณาถึงความรักอันมั่นคงที่ตนมีต่อภรรยาแสนสวยว่ามีมากมายเพียงใด เขาได้กระทำสิ่งใดบ้างอันเป็นการแสดงความลำบากยากเข็ญเพื่อเธอผู้เป็นที่รัก ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อสุดที่รักมีท่าทีเหินห่างตลอดสามเดือนที่ผ่านมา เสียงนินทาจากเพื่อนบ้านถึงปมด้อยที่ตนจบแค่ ปวช. ขณะที่เธอจบปริญญา

โว้ย! นี่ผมปีนขึ้นมาสูงเท่ากับตึกสิบสองชั้นเพื่อจะมาฟังปัญหาชีวิตไร้สาระอย่างนี้หรือ

คราวนี้มันปีนเสาส่งสัญญาณวิทยุ ถ้ารอดไปได้แล้วเกิดมันไปปีนเครนก่อสร้างตึกสามสิบชั้น ผมมิต้องตามขึ้นไปปลอบประโลมถึงที่อีกหรือนี่

“หมวดรู้มั้ย นังแพศยานั่นมีชู้…มันมีชู้จริงๆ นะ…” คำผรุสวาทมากมายหลุดออกมาเป็นชุด มันกล่าวประณามเมียตนเองจนชายชาตรีอย่างผมร้องแทน

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเมียมีชู้จริง” ผมเริ่มยั่วมัน

กฎข้อที่หนึ่ง อย่ากระตุ้นความโกรธ

            “รู้สิ” มันเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที “คนรอบบ้านพูดกันทั้งนั้น มีคนเห็นมันไปกับผู้ชายตอนผมไปทำงาน ผมเจอถุงยางอนามัยในกระเป๋ามันด้วย หน็อย…ทำเป็นตอแหลว่าพวกอนามัยเอามาแจกที่ตลาด” ยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธจนหน้าแดง

“ผมไม่เชื่อมันหรอก…มันต้องมีชู้แน่ๆ เลย” มันร้องไห้โฮเหมือนเด็กๆ

“ก็ถ้าเธอจะมีใหม่ ใครจะไปห้ามได้ล่ะ”

กฎข้อที่สอง อย่าทำให้รู้สึกว่าไม่มีใครเป็นที่พึ่งได้อีกแล้ว นอกจากความตาย

            มันสะอึกสะอื้น ส่งเสียงงึมงำ

“ใช่…ผมรู้…ผมมันคนไม่ดี…ผมมันเลว…” นัยต์ตาเริ่มเหม่อลอย แขนขาแกว่งไกวในอากาศช้าๆ แล้วเร็วขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงพึมพำในลำคอ

ผมหลับตาปี๋ ไม่อยากบันทึกภาพสยดสยองไว้ในความทรงจำ

“โว้ย! ไม่มีใครรักเราอีกแล้ว อยู่ไปทำไม…” มันตะโกนสุดเสียง

คนข้างล่างวิ่งกันวุ่น คงมองเห็นว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

แต่แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย นอกจากมีเสียงพึมพำสลับตะโกนดังเป็นระยะอยู่นานสองนาน

ทำไมไม่โดดลงไปเสียทีโว้ย ตะโกนหาพระแสงด้ามยาวอยู่ได้ ผมชักหงุดหงิด

กฎข้อมที่สาม อย่าย้ำให้คิดถึงแต่ความตาย

            “ถ้าแกตาย ทุกสิ่งคงจบสิ้นใช่มั้ย ไม่มีใครช่วยแกได้อีกแล้วใช่มั้ย นอกจากความตาย ถ้าเกิดชาติหน้าแกอาจจะได้เมียที่สวยและดีกว่านี้ใช่มั้ย”

ผมแถมเข้าไปอีกเป็นชุดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

ในช่วงวินาทีที่คนตัดสินใจฆ่าตัวตายนั้น จะมีอารมณ์หลายชนิดเข้าประกอบกัน อันได้แก่ ความรู้สึกดูถูกตัวเองอย่างรุนแรง ความต่ำต้อยด้อยค่าจนอยากทำลายตัวเองทิ้ง รู้สึกโกรธตัวเอง ความรู้สึกเหล่านี้ต้องเกิดต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนกักไว้ไม่ได้ มันจะก่อให้เกิดความคิดแบบชั่ววูบให้ตัดสินใจทำลายตัวเองในชั่วเสี้ยววินาทีเดียว

มีแต่เสียงลมพัดอึงอล เหมือนกับว่ามันมิได้อยู่ที่นั่นแล้ว

ผมลืมตาขึ้นดู

มันยังคงเกาะเงียบๆ อยู่ที่เดิม แขนขาหยุดแกว่งแล้ว ท่าทางซึมไปพักหนึ่งมันก็เงยหน้าขึ้นมองผม

“ขอบคุณครับหมวด หมวดทำให้ผมได้คิด จริงสิ เมียดีอย่างนี้ ต่อให้เกิดใหม่อีกสักสิบชาติก็คงหาใหม่ไม่ได้ดีกว่านี้อีกแล้ว ผมไม่น่าโง่คิดฆ่าตัวตายให้ไอ้ชายชู้ชุบมือเปิบเปล่าๆ ผมไม่คิดจะฆ่าตัวตายแล้วครับ ผมจะกลับไปปกป้องเมียผมจากพวกผู้ชายชั่วๆ เมียผมยังอ่อนต่อโลกนัก”

ผมหูฝาดไปหรือเปล่าวะเนี่ย

มันทำท่าจะกระโดดจากโครงเหล็กมายังแท่นที่ผมหมอบอยู่ ผมตาเหลือก ร้องลั่น

“เฮ้ย! อย่ากระโดดมา เดี๋ยวก็ตายโหงกันทั้งสองคนหรอก”

ผมรีบลุกขึ้นยืน เอาตัวชิดแน่นกับราวเหล็ก สองมือยื่นออกเตรียมรับ

“ค่อยๆ โดด” ผมบอกมัน

ฝูงไทยมุงข้างล่างคงเดาเหตุการณ์ออกแล้ว พวกเขาปรบมือแสดงความชื่นชมดังขึ้นมาถึงข้างบน

นิคมกระโดดเต็มแรง สองเท้าเหยียบหมับเข้าที่แผ่นเหล็ก น้ำหนักตัวทำให้แท่นพักสั่น เขาคว้ามือผมเพื่อพยุงตัว ผมลดข้อมือลงต่ำอย่างไม่ให้มีพิรุธ ไอ้บ้านั่นคว้าได้แต่อากาศ ร่างแอ่นเอนไปข้างหลัง สองมือตะกุยลม ตาเหลือกลาน

ผมแสร้งทำท่าตะครุบตามไป แต่ไม่มีทางทันหรอก

ความตายรอมันอยู่ข้างล่างแล้ว

เสียงไทยมุงเบื้องล่างกรีดร้องกันลั่น

 

“ผมเสียใจจริงๆ ครับผู้กอง ผมพูดจนเขาเปลี่ยนใจแล้ว ไม่น่าเกิดพลาดพลั้งเลย” ผมตีหน้าเศร้า

ช่างภาพหนังสือพิมพ์ถ่ายรูปกันแวบวับ พรุ่งนี้คงพาดหัวข่าว “ตำรวจหนุ่มเสี่ยงตายช่วยประชาชน”

            “ช่างเถอะหมวด มันเป็นเหตุสุดวิสัย พื้นมันคงไม่แน่นหนา โยกเยกไปมาเลยผิดพลาด หมวดทำดีที่สุดแล้ว”

พลสมศักดิ์เข้ามาช่วยปลดเข็มขัดนิรภัยที่เอว

“อ้อ! ต้องรบกวนหมวดอีกเรื่อง ช่วยแวะไปบอกข่าวร้ายให้ภรรยาผู้ตายทราบก่อนเข้าโรงพักนะ”

ผู้กองหยอดคำชมก่อนจากไป “หมวดนี่แน่จริงๆ ว่างๆ ผมต้องขอให้สอนเทคนิคหน่อยแล้วว่าพูดยังไงคนจึงเปลี่ยนใจไม่ฆ่าตัวตาย”

ผมยิ้มแห้งๆ

 

พลสมศักดิ์จอดรถหน้าบ้านสวยหลังนั้น เธออยู่คนเดียว ผมรู้ดี

“หมวดเข้าไปบอกคนเดียวนะ ผมไม่อยากเห็นผู้หญิงร้องไห้”

แหงละ ตำรวจทุกคนพากันหลบเลี่ยงภารกิจบอกข่าวร้ายแก่ญาติผู้ตาย มันห่อเหี่ยวใจ เผลอๆ อาจโดนลูกหลงอีกต่างหาก

ผมพยักหน้า ลงจากรถไปกดออดเป็นพิธี แล้วถือวิสาสะผลักรั้วไม้เตี้ยๆ เข้าไป

ผมพบเธอกำลังยืนเช็ดจานอยู่ในครัวด้วยสีหน้าเหม่อลอย มีแต่ความกังวลฉายออกจากแววตาสวยคู่นั้น ตำรวจสายตรวจคงแวะมาบอกเธอแล้วว่าสามีออกไปทำอะไรนอกบ้าน

“เขาเป็นอย่างไรคะ” มือเธอสั่นเห็นได้ชัด

“ตายแล้ว” ผมตอบเสียงแห้ง

เธอร้องไห้โฮ ผมดึงเธอมาซบที่ไหล่ ตบหลังเธอเบาๆ ด้วยความสงสาร อย่างไรเสียเธอก็ยังอาลัยอาวรณ์สามีของเธอ คงต้องให้เวลาเธออีกสักระยะหนึ่ง

พักหนึ่งเธอก็เงียบลง

“อยู่คนเดียวไปก่อนสักพักนะ ให้เรื่องสงบดีแล้วผมค่อยย้ายมา”

ผมจูบลาเธอก่อนถอยกลับออกมาจากครัว

“เชาว์คะ” เธอล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อกันเปื้อน หยิบนาฬิกาเรือนสวยของผมขึ้นมา “เมื่อเช้าคุณลืมนาฬิกาไว้ที่โรงแรม”

เราสบตากัน

 

จ้างฆ่า

 

ศักดิ์ชายเกิดมาบนกองเงินกองทองแท้เทียว เขาอยู่ในโลกกลมๆ ใบนี้ตลอดสามสิบสองปีด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และความบันเทิงเริงรมย์ ผู้หญิงรอบข้างให้คำจำกัดความเขาว่า ‘ชายหนุ่มหล่อ รวยทรัพย์ ร่าเริง และเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ’

ถ้าใครพูดว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญ ศักดิ์ชายจะหัวเราะกลิ้ง เขาไม่รู้ค่าของมันก็จริง แต่เขารู้วิธีซื้อความสุข และมีความสุขจากการซื้อ

แม่ของศักดิ์ชายเสียตั้งแต่เขายังแบเบาะ หน้าที่การใช้เงินให้ทันกับที่บิดาหามาจึงตกเป็นภาระของเขาเพียงผู้เดียว

คุณอาจเคยพบภาพของศักดิ์ชาย ทายาทคนเดียวของมหาเศรษฐีแวดล้อมด้วยเหล่าดารามีชื่อทางหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง วารสารไฮโซบ้าง หรืออาจได้ยินข่าวซุบซิบแกมอิจฉาเรื่องการจองรถสปอร์ตรุ่นล่าทีละหลายคัน

แล้ววันหนึ่ง ช่วงเวลาแห่งความสุขกลับพลันมลายเหมือนก้อนเมฆถูกลมตี บิดาของศักดิ์ชายฟุบหน้าลงกลางที่ประชุมบริษัท ขณะที่ศักดิ์ชายกำลังนอนเอกเขนกในอ่างอาบน้ำพร้อมกับหญิงงาม เขาไม่ทันได้ไปดูใจบิดาด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มตั้งตัวไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะสานต่อธุรกิจของบิดาได้อย่างไร เพราะไม่เคยคิดแม้แต่จะเรียนรู้มาก่อน

หลังเสร็จสิ้นงานศพของบิดา สิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดคือเงินที่เขาเคยเบิกใช้คล่องมือมันหายไปไหนหมด และเขาจะดึงเงินสดออกมาจากบริษัทของบิดาเป็นค่าสำเริงสำราญได้โดยวิธีใด

เหนืออื่นใด ศักดิ์ชายไม่รู้จะแก้เกมธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่ได้อย่างไร

เกมธุรกิจที่ว่านั้นเป็นเกมที่ใครๆ ก็เคยได้ยินเจนหู นั่นคือการที่ผู้มีศักดิ์เป็นอา หรือน้องชายแท้ๆ ของพ่อ และเป็นหุ้นส่วนสำคัญอันดับสองของบริษัทได้ร่วมมือกับผู้ถือหุ้นรายย่อย ประกาศตัวเข้าครอบงำการบริหารงานของบริษัท เขาตั้งตัวเองเป็นประธานบริษัทคนต่อไป ตั้งลูกๆ เป็นผู้จัดการทั้งใหญ่และเล็ก ศักดิ์ชายกลายเป็นรองประธานบริษัทผู้ซึ่งไม่มีสิทธิ์มีเสียงอันใดในการประชุมบริษัท ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงแล้ว ชายหนุ่มก็มิได้ปรารถนาตำแหน่งชื่อเสียง สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงอย่างเดียวคือจะนำเงินหมุนเวียนของบริษัทออกมาใช้จ่ายได้อย่างไร มีเงินก้อนไหนที่สามารถนำมาจ่ายค่ารถที่สั่งจองไว้ และจะให้ทำอย่างไรกับบิลค่าแหวนเพชรห้าวงที่ถูกเรียกเก็บ

ศักดิ์ชายเสนอขอเงินพิเศษประจำตำแหน่งให้กับตัวเอง ที่ประชุมปฏิเสธ และไม่ว่าเขาจะเสนอขอใช้จ่ายเงินในรูปแบบใด คำตอบก็คือ ‘ไม่’

ตลอดชีวิตตั้งแต่เล็กจนโต ศักดิ์ชายเคยได้รับการพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจเหมือนเป็นเทวดา จนเขาเชื่อในคำขวัญประจำตัวที่คิดขึ้นเองว่า ‘ถ้าศักดิ์ชายต้องการ ศักดิ์ชายต้องได้’

ตอนนี้เขาทั้งโกรธและแค้น

เงินมัดจำรถถูกยึด แหวนเพชรห้าวงถูกเรียกคืน พร้อมการยื่นโนติสจากสำนักงานทนายความ กำหนดการท่องเที่ยวถูกยกเลิก กรรมการบริหารบริษัทมีมติไม่จ่ายเงินเดือนแก่ผู้บริหาร แต่จะให้ในรูปเงินปันผลพิเศษรายปี หรืออาจไม่จ่ายหากต้องใช้ขยายกิจการ น้องแท้ๆ ของพ่อกำลังบีบให้เขาจนตรอก

ศักดิ์ชายกำลังคลั่ง ความแค้นสุมแน่นอก พวกนั้นต้องการให้เขาขายหุ้นออกมาเพื่อยังชีพ และมันจะกว้านซื้อจนท้ายที่สุดสามารถครอบงำบริษัทได้แบบเบ็ดเสร็จ ถึงตอนนั้นศักดิ์ชายก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย หมาหัวเน่าที่ไม่มีใครแยแส

แต่พวกมันลืมทางเลือกอีกสายหนึ่ง ทางเลือกที่สามารถแก้ปัญหาให้ศักดิ์ชายได้ ชายหนุ่มตัดสินใจเลือกทางสายนี้ในคืนที่กลับมาบ้านแล้วพบว่าคนสวนและยามหน้าบ้านสะบัดก้นจากไปเสียแล้ว

ศักดิ์ชายต้องการใครสักคน คนเดียวจริงๆ คนที่สามารถจัดการงานตามสั่งอย่างมีประสิทธิภาพ แม่นยำ เฉียบขาด ไม่ทิ้งหลักฐานให้สาวกลับมาได้

คืนนั้นชายหนุ่มนอนไม่หลับ ความคิดแล่นจี๋ นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่หัวสมองถูกใช้อย่างจริงๆ จังๆ

ขว้างงูไม่พ้นคอคือสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด เสียเงินเท่าไรไม่ว่า ขอให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น จับมือใครดมไม่ได้

ศักดิ์ชายเป็นหนุ่มเสเพล ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาคลุกคลีอยู่กับแหล่งเริงรมย์และการพนัน เขาไม่เคยเกลือกกลั้วอาชญากรรม  การหานักฆ่ามือดีสักคนโดยไม่ให้คนรอบข้างรู้จึงเป็นเรื่องปวดกะโหลกยิ่งนัก เขาเคยได้ยินคนพูดถึงมือปืนเมืองเพชรบ่อยครั้ง แต่จะหาตัวได้อย่างไร ขับรถไปตลาดเพชรบุรี ถามแม่ค้าว่ามือปืนอยู่ที่ไหน หรือว่าจะเปิดสมุดหน้าเหลืองในหัวข้อบริการกำจัดมนุษย์

บ้าสิ้นดี!

ศักดิ์ชายคิดถึงการไปตีสนิทกับนักเลงปากซอย พาไปเลี้ยงเหล้าเมาได้ที่จึงเลียบๆ เคียงๆ ถามถึงมือปืนรับจ้างแบบมีเกรด เรื่องเงินจ่ายไม่อั้นอยู่แล้ว แต่จะมีอะไรเป็นหลักประกันว่าคนพวกนี้จะมีฝีมือระดับอาชีพจริง ที่สำคัญต้องไม่ย้อนเกล็ด หรือเอาไปโพนทะนา และถ้าโชคร้ายเจอสายสืบตำรวจ ตะรางก็อยู่แค่เอื้อม อนาคตป่นปี้

การจ้างฆ่าใครสักคนดูง่ายดายในละครโทรทัศน์ แต่ในชีวิตจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นักเลงหัวไม้ที่คอยติดสอยห้อยตามสองคนที่พึ่งพาอะไรไม่ได้ พวกนี้เหมาะสำหรับเป็นลูกกระจ๊อกประดับบารมีเท่านั้น

ถ้าจะกล่าวว่าการหามือปืนอาชีพดีๆ สักคนเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทรคงไม่เกินจริงนักสำหรับศักดิ์ชายขณะนี้

ใกล้รุ่ง ศักดิ์ชายยิ้มออก แสงไฟในห้องนอนดับลงขณะฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทอง

 

บ่ายวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเหี้ยม ปัญหากำลังจะได้รับการแก้ไข เขาไม่คิดว่าแผนการที่วางไว้เป็นสิ่งผิด

‘ถ้าศักดิ์ชายต้องการ ศักดิ์ชายต้องได้’

ชายหนุ่มโทร. ไปหาเพื่อนซี้ สอบถามเรื่องแหล่งทำหนังสือเดินทางปลอม และคืนนั้นเองเขาก็ได้หนังสือเดินทางในชื่อสมนึก สมวงศ์สีมา

วันถัดมา สมนึก สมวงศ์สีมา ก็จองตั๋วเครื่องบินไปกัวลาลัมเปอร์ พร้อมจองห้องพักในแหล่งกาสิโนชื่อดังบนเทือกเขาสูงเกนติงไฮแลนด์ ชายหนุ่มทยอยแลกเงินสดห้าหมื่นดอลลาร์ ซื้อวิกผมและแว่นตากระจกใสคล้ายแว่นสายตา เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เขาบอกแม่บ้านที่ยังจงรักภักดีแม้จะไม่มีเงินเดือนในเดือนที่ผ่านมาว่าจะไปเที่ยวป่าสักอาทิตย์หนึ่ง เขาบินออกนอกประเทศอย่างเงียบเชียบ

กัวลาลัมเปอร์ร้อนชื้น ขณะที่เกนติงไฮแลนด์บนยอดเขาสูงสุดเย็นสบายคล้ายเมืองหนาว ชายวัยกลางคนใส่แว่นกรอบทอง ผมปลอมเป็นกระเซิง เช่ารถในชื่อสมนึก ขับจากสนามบินขึ้นยอดเขาโดยลำพัง

อันที่จริงศักดิ์ชายเคยมากาสิโนแห่งนี้นับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้เขาไม่ต้องการแสดงตัว

ศักดิ์ชายรอจนเย็นจึงใส่สูทเรียบร้อยเพื่อเข้าไปในกาสิโน เขาตรงไปที่บาร์เหล้า มีแขกมาใช้บริการเพียงสองถึงสามคนนั่งกระจายห่างๆ เขาเลือกเก้าอี้หมุนติดเคาน์เตอร์ รู้สึกพอใจเมื่อเห็นบาร์เทนเดอร์ร่างยักษ์หนวดเฟิ้มกำลังยืนเช็ดแก้วท่าทางเบื่อหน่าย นี่คือคนที่เขาต้องการมาหา เงียบ ไม่ปากมาก พูดน้อยต่อยหนัก บ๋อยหลายคนเคยเล่ากิตติศัพท์ให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นเสือร้ายระดับเจ้าพ่อ ต่อมามีศัตรูมากจึงหันมาสังกัดกาสิโนแห่งนี้

ศักดิ์ชายสั่งเบียร์ทั้งที่เครื่องดื่มปกติของเขาคือวิสกี้โซดา เขานั่งเงียบสังเกตการณ์พักหนึ่ง เมื่อเห็นปลอดคนจึงหยิบธนบัตรสิบดอลลาร์ใหม่เอี่ยมหนึ่งใบ เขียนลงไปว่า

‘Need Help’

เขาเป่าเบาๆ แบงก์ปลิวไปตกในคอกปฏิบัติงาน ชายร่างยักษ์หันมามอง

“คุณทำเงินตก” เขาก้มลงหยิบเงินส่งให้

“ช่างมันเถอะ ผมมีเยอะ”

ชายร่างยักษ์หรี่ตามองตัวอักษรบนแบงก์สิบดอลลาร์ ยักไหล่ ยัดเงินใส่กระเป๋า

“ต้องการอะไร” เขากระซิบ ทำทีเป็นยืนเช็ดแก้ว

“ฆ่าใครสักคน”

“ลืมมันซะ!” เขาถอยห่างออกไป

ศักดิ์ชายหยิบใบละร้อยดอลลาร์ใหม่เอี่ยมจากกระเป๋าเสื้อ ทำมันตกลงในคอกอีกสามใบ ชายร่างยักษ์ก้มลงเก็บ ขยับตัวเข้าใกล้

“ห้อง”

“เจ็ดศูนย์เจ็ด”

 

คืนนี้ศักดิ์ชายไม่มีอารมณ์จะเล่นแบ็กแกมมอนที่เคยเป็นของโปรด เขารีบกลับห้องพัก เปิดเบียร์ นอนดูทีวี รอเวลาให้คนติดต่อมา ตกดึกชายหนุ่มก็ผล็อยหลับไป

โทรศัพท์หัวเตียงดังขึ้นตอนตีสอง เสียงชายแหลมเล็กเหมือนดัดจากปลายสายพูดช้าๆ

“ไปคนเดียว หลักกิโลที่สามสิบ เดี๋ยวนี้”

ศักดิ์ชายเด้งตัวจากโซฟา เดี๋ยวนี้…ผู้ติดต่อคงไม่ต้องการให้ผู้จ้างมีโอกาสเตรียมตัว ป้องกันปัญหาสายสืบตำรวจปลอมแปลง นับว่ารอบคอบดี ศักดิ์ชายต้องการคนอย่างนี้ เพราะเท่ากับเป็นการให้ความปลอดภัยกับตัวเองด้วย

ชายหนุ่มคว้าโอเวอร์โค้ต อากาศตีสองหนาวเหน็บ แสงไฟหน้ารถตัดหมอกหนาตามทางลาดชันจนถึงหลักกิโลเมตรที่สามสิบ เขาใส่เบรกมือ ซุ่มดูชั่วครู่ในความมืด

ไม่มีใคร มีแต่ถุงกระดาษสีน้ำตาลใบเขื่องวางอยู่ข้างหลักกิโล ลมชายเขาพัดพรูสดชื่น เขาหยิบถุงกระดาษขึ้นมาดู ในนั้นมีกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง แสงไฟหน้ารถส่องให้เห็นตัวอักษรแถวสั้นๆ

“ใส่รูปถ่าย ชื่อ ที่อยู่”

ผู้รับจ้างไม่ต้องการปรากฏตัว และคงต้องการตรวจสอบประวัติผู้ว่าจ้างก่อนรับงานกันปัญหาตำรวจปลอมแปลง ศักดิ์ชายรู้สึกอึดอัด เขาเองก็ไม่ต้องการให้มือปืนรู้จัก กลัวการแบล็กเมล์

แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว จะถอยคงไม่ได้ หากเขาไม่ทำตามคำสั่งในถุง แสดงท่าพิรุธ กระสุนอาจปลิวฝ่าความมืดในชั่วพริบตา

ศักดิ์ชายค่อยๆ ล้วงมือควักกระเป๋าสตางค์ช้าๆ แสดงให้เห็นว่าไม่ได้หยิบอาวุธ เขาไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า แต่รูปถ่ายในบัตรสมาชิกคลับเฮาส์แห่งนั้นคงใช้ได้ เขาหย่อนบัตรใส่ในถุง และเขียนที่อยู่เพิ่มเติมเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เชิญตรวจสอบได้เลยว่าเขาเป็นใคร ไม่ใช่สายสืบอยู่แล้ว

 

หลังจากทำตามที่สั่งเสร็จสิ้น เขาขับรถกลับมานอนยาวรวดเดียวถึงบ่าย ตกค่ำจึงเข้าไปที่บาร์ คืนนี้คนค่อนข้างเยอะเพราะเป็นวันศุกร์ เขายักคิ้วให้บาร์เทนเดอร์

“ติดต่อมาหรือยัง” ชายหนวดเฟิ้มขยับริมฝีปากเบาๆ

“ยอดมาก รอบคอบมาก”

บาร์เทนเดอร์ยิ้มพอใจ

“ไม่มีใครเคยเห็นเขา ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครติดต่อได้ เมื่อต้องการรับงาน เขาจะติดต่อมาเอง คุณโชคดีที่ได้คนคนนี้ทำงานให้ แต่ราคาแพงหน่อย”

“ไม่มีปัญหา”

มีแขกคอเคเซียนพุงพลุ้ยมานั่งข้างๆ สั่งเครื่องดื่ม บาร์เทนเดอร์แยกตัวออกไป การสนทนายุติ

ศักดิ์ชายเดินออกจากบาร์ด้วยความสบายใจ เขากลับมาที่ห้อง รอเวลาติดต่ออีกครั้ง

การติดต่อครั้งที่สองเกิดเวลาตีหนึ่งครึ่ง เร็วกว่าเดิมครึ่งชั่วโมง ศักดิ์ชายเข้าใจเหตุผลที่เวลาติดต่อเปลี่ยนจากเดิม มืออาชีพเท่านั้นจะทำอย่างนี้

“เงินสามหมื่นดอลลาร์ หลักกิโลที่สี่สิบสาม เดี๋ยวนี้”

ไชโย ศักดิ์ชายกำหมัดชูในอากาศ นักฆ่ารับงานแล้ว

เขารีบนับเงินสด โชคดีที่เตรียมไว้พร้อม แล้วคว้าโอเวอร์โค้ตขับรถฝ่าสายหมอกออกไป

ที่หลักกิโลเมตรสี่สิบสาม มีถุงกระดาษขนาดเขื่องวางอยู่ ศักดิ์ชายจอดรถ เอาเงินใส่ในถุงที่มีกระดาษข้อความว่า

‘เมื่องานเสร็จ จ่ายที่เหลืออีกสามหมื่นดอลลาร์’

รวมเบ็ดเสร็จหกหมื่นดอลลาร์ ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย เกือบล้านห้า แต่ก็คุ้มเมื่อเทียบกับสิ่งที่จะได้กลับคืนมา

 

ชายหนุ่มใช้เวลาอีกสองวันในวงพนัน รู้สึกกังวลนิดๆ เมื่อคืนผู้รับจ้างไม่ติดต่อมา เขารออีกคืน คงไม่ใช่รายการต้มตุ๋นเอาเงินหรอกนะ

คืนนั้นศักดิ์ชายนอนไม่หลับ รอเสียงโทรศัพท์จนหัวรุ่ง ความกังวลใจเพิ่มมากขึ้น เขาหลับตาลงตอนฟ้าเป็นสีทอง

เมื่อตื่นขึ้นตอนหัวค่ำ ศักดิ์ชายตัดสินใจแต่งตัวตรงไปที่บาร์ เขาคิดว่าบาร์เทนเดอร์คงช่วยอธิบายเหตุผลได้

“ท่าทางคุณกังวลใจ” ชายร่างยักษ์ทักเขาก่อน มือเช็ดแก้วไปเรื่อยๆ

“ทำไมเขาหายไป ไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย”

“คุณจ่ายเงินเรียบร้อยหรือยัง”

“เรียบร้อย และนั่นทำให้ผมกังวลว่าจะมีการเบี้ยวหรือเปล่า”

“อ๋อ…ไม่หรอก” บาร์เทนเดอร์หัวเราะ

“สไตล์การทำงานของเขาเป็นแบบนี้เอง เมื่อคุณจ่าย งานจะเดินทันที ป่านนี้เขาคงไปอยู่เมืองไทยเรียบร้อยแล้ว เหยื่ออาจจะถูกเก็บแล้วก็ได้ เมื่อเสร็จงานเขาจะติดต่อกลับมาเอง ระหว่างที่เขาทำงานจะไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ไหน ไม่มีทางติดต่อได้ เขาเคยตามเหยื่อนานเป็นปีโดยไม่มีใครเคยเห็นร่องรอย เราจะรู้ว่าเขากลับมาต่อเมื่องานเสร็จ”

ศักดิ์ชายพิศวงกับคำตอบ

“เป็นไปไม่ได้ ผมว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเริ่มงานแล้ว เพราะผมยังไม่เคยบอกเขาเลยว่าจะให้ฆ่าใคร”

ชายร่างยักษ์มีสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน

“ไม่น่าเชื่อ ทุกครั้งที่รับงานเขาจะตรวจสอบประวัติของเหยื่อและตีราคาตามความยากง่าย วันถัดมาจึงแจ้งราคาให้คุณทราบ เขาจะให้คุณใส่รูปและที่อยู่ของเหยื่อในถุงตั้งแต่ครั้งแรก คุณไม่ได้ทำเช่นนั้นหรือ”

 

ปราบเซียน

 

ผมใช้มือซ้ายจับปม มือขวาปรับเนกไทให้ตรง ยิ้มให้กับตัวเองในกระจก ไม่เบาเลยแฮะ เพื่อนๆ เคยแนะนำให้ย้อมสีผม แต่ผมกลับเห็นว่าผมสีดอกเลาแซมนิดๆ ที่จอนอย่างนี้แหละดีแล้ว ดูภูมิฐานเหมาะกับวิถีชีวิตอย่างผมที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ดูดีเสมอ

เข็มกลัดเนกไทสีทองดูมีค่า เพื่อนคนหนึ่งซื้อมาฝากจากนิวซีแลนด์เกือบสิบปีแล้ว ตรงกลางเข็มประดับด้วยพาวาสีฟ้าเหลือบมุกงามยิ่งนัก ว่ากันว่าพวกนี้เป็นเปลือกหอยที่ต้องลงไปงมถึงก้นสมุทรซึ่งเย็นเฉียบแห่งขั้วโลกใต้ ผมเสียบมันตรงเป๊ะกลางไทไหมแท้สีเปลือกมังคุด เข้ากันได้ดีกับเสื้อนอกผ้าสักหลาดสีน้ำตาลอ่อน

เรี่ยมเร้เรไร ผมให้คะแนนตัวเอง

วันนี้กินอาหารที่ไหนดีนะ รสหูฉลามตำรับฮ่องเต้แท้เมื่อคืนนี้ยังเกาะติดที่ปลายลิ้นเจือจางจนน้ำลายสอ

ไม่เอาหรอก! เขาว่ากินอาหารจีนบ่อยๆ จะทำให้เสียสุขภาพ เพราะมักปรุงด้วยน้ำมันหมูซึ่งมีคอเลสเตอรอลสูง

เอาอะไรดีหว่า หรือจะลองอาหารอิตาเลียนดูบ้าง ไม่ได้กินนานแล้ว ยังติดใจลาซานญ่าไส้เห็ดร้านที่สีลมอยู่เลย เอ…ก็คงไม่ดี ช่วงนี้สถานการณ์ไม่เหมาะ

อ้อ…คิดออกแล้ว อาหารรัสเซียเข้าท่าที่สุด ในเมืองไทยหาอาหารรัสเซียแท้ๆ แทบไม่ได้เลย พอดีช่วงนี้ผมได้ข่าวว่ามีพ่อครัวรัสเซียมาเปิดร้านแถวราชดำริ

ผมหมุนโทรศัพท์ไปจองโต๊ะขนาดสองที่ริมหน้าต่างสำหรับวันพิเศษในชีวิต

 

ผมมาถึงหน้าร้านไชคอฟสกีเวลาหกโมงห้าสิบ ก่อนเวลาจองโต๊ะเกือบสิบนาที ยังมีเวลาโต๋เต๋หาเพื่อนคุยสบายๆ ร้านนี้เป็นที่หมายตาของผมมานานแล้ว มีชื่อเสียงเรื่องอาหารรัสเซีย วารสารไฮโซเคยเขียนถึงบ่อยๆ อย่างชื่นชมเรื่องความสามารถของพ่อครัวพอกับคร้ามในเรื่องราคาค่าอาหาร ถ้าจะกล่าวถึงไวน์ที่นี่ ยกนิ้วให้เลย ทำเลหรือก็เหมาะเจาะ หน้าร้านด้านหนึ่งเปิดสู่ห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์ อีกด้านเปิดสู่ถนนซอยเล็กๆ สำหรับแขกที่ไม่ชอบความพลุกพล่าน

หนุ่มคนหนึ่ง ผมว่าอายุคงราวยี่สิบแปด กำลังยืนจ้องตัวอย่างอาหารที่จัดโชว์หน้าร้าน ท่าทางเหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะต่อกรกับราคาอาหารไหวหรือไม่ การแต่งกายอยู่ในระดับปานกลาง สูทออกจะหลวมและหย่อนยานไปหน่อย เนกไทคงเป็นแบบที่ใช้ต่อเนื่องเป็นเดือนโดยมิได้ถอดปม ส้นรองเท้าข้างซ้ายก็สึกกว่าข้างขวา ผมขำท่าทางเชยๆ ของเขา ประเภทว่าดึงกระเป๋าเปิดนับเงินหน้าร้านพลางกลืนน้ำลาย ผมก็เคยทำอย่างนี้เหมือนกัน แต่ว่านานมาแล้ว

“วีระใช่ไหมนี่” ผมตบไหล่เขาฉาดใหญ่อย่างคุ้นเคย เขาหันมาท่าทางตกใจ

“เปล่าครับ…เอ่อ…ท่าน”

ผมขยับแว่นกรอบทองเพ่งมองดูเขาชัดๆ

“อ้าว…โทษที…ไม่ใช่วีระจริงๆ ด้วย เฮ้อ…อภัยให้คนแก่ด้วยเถอะ” ผมขำท่าทางงกเงิ่นของตัวเอง “คุณเหมือนลูกน้องเก่าของผมมากเลย เฮ้อ…” ผมถอนหายใจอีก “เขาเคยเป็นมือขวาที่ดีของผมเชียวแหละ เราร่วมหัวจมท้ายปลุกปั้นธุรกิจค้าที่ด้วยกัน แล้วอยู่ๆ เขาก็อพยพครอบครัวไปอเมริกาเสียนี่ เด็กหนุ่มคงเหมือนกันหมดนะ ชอบงานท้าทายมากกว่าจะอยู่กับคนแก่เฉื่อยชา อ้อ…แล้วคุณทำงานที่ไหน…โทษนะที่ละลาบละล้วงไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรมิได้ครับท่าน ผมชื่อเกษม เป็นผู้ช่วยหัวหน้าแผนกบุคคลของบริษัทชิปปิ้งเล็กๆ แถวนี้ครับ”

“โอ…อย่าเรียกพี่ว่าท่านเลย มันออกจะหรูหราเกินไป ดูเกษมจะสนใจอาหารรัสเซียไม่น้อยเชียวนะ” ผมเปลี่ยนสรรพนาม

เขายิ้มอายๆ “ผมเพียงแต่อยากเห็นว่าไข่ปลาคาเวียร์หน้าตาเป็นอย่างไร มันอาจจะแพงเกินไปสำหรับคนฐานะอย่างผมครับ”

“เอางี้ดีมั้ย ไปกินอาหารเป็นเพื่อนพี่แล้วกัน ให้พี่เลี้ยงสักมื้อเป็นการขออภัยที่ตบหลังแรงไปหน่อย”

“เอ่อ…” เขาอึกอัก “คงไม่เหมาะหรอกครับ แค่ตบไหล่เรื่องเล็กน้อย”

คำตอบทำให้ผมใจหาย

“พี่ต้องสารภาพกับเกษมตรงๆ” ผมถอนใจ “พี่รู้แต่แรกแล้วว่าคุณไม่ใช่ลูกน้องเก่าหรอก มันเป็นลูกเล่นที่เราจะหาเพื่อนสักคนในวันสำคัญของเรา”

“วันสำคัญ” เขาทวนคำ

“ฮื่อ…คนแก่คนหนึ่ง อยู่เหงาๆ ในคอนโดขนาดสองร้อยสี่สิบตารางเมตรริมถนนสีลม ฉลองวันเกิดให้ตัวเองด้วยการนั่งในร้านอาหารหรู มีรถที่วิ่งผ่านไปมาเป็นเพื่อน เล่าเรื่องในอดีตให้เก้าอี้ว่างตรงข้ามฟัง…น่าขันนะ” ผมรู้สึกขอบตาร้อน “คงไม่บาปนักหรอก ถ้าคนแก่คนนั้นจะใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ หาสหายสักคน และตอบแทนเขาด้วยอาหารรสเลิศสักมื้อ”

ความเงียบครอบคลุมการสนทนาอึดใจหนึ่ง

“พี่ครับ” เขาเอื้อมมือแตะที่ข้อศอกเบาๆ อย่างสุภาพ “ผมอยากลองกินอาหารรัสเซีย ผมพูดจริงๆ นะ สาบานได้”

 

พนักงานต้อนรับโค้งอย่างสุภาพ “ท่านจองที่ไว้หรือยังครับ”

“คุณอภิวัฒน์ สองที่ ริมหน้าต่าง หนึ่งทุ่ม ฉลองวันเกิด” ผมตอบยิ้มๆ อย่างผู้ชำนาญ

พนักงานพลิกสมุดจองอย่างรวดเร็วพลางโค้งให้อีก “เรียนเชิญทางนี้เลยครับ”

เสียงเพลงไวโอลินคอนแชร์โตในบันไดเสียงดีเมเจอร์ โอปุสที่สามสิบห้าของไชคอฟสกีกำลังบรรเลงถึงกระบวนที่สาม ขณะที่พนักงานพาเราเดินไปที่โต๊ะริมหน้าต่าง ผมฟังรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือบรรเลงของฟิลาเดลเฟีย ออร์เคสตรา โดยมียูจีน ออร์มานดี เป็นวาทยกร

ร้านนี้ทำผิดสองประการในการเปิดดนตรีคือ หนึ่ง แม้เพลงนี้จะประพันธ์โดยชาวรัสเซียเข้ากับบรรยากาศร้านดีอยู่ แต่น่าจะหาชุดที่บรรเลงด้วยวงซิมโฟนีออร์เคสตราของรัสเซียเจ้าตำรับ ซึ่งจะให้อารมณ์มากกว่านี้ และสอง ทางร้านไม่น่าจะเปิดกระบวนที่สาม อัลเลโกร วีวาซิสซิโม ซึ่งมีท่วงทำนองรวดเร็วและมีพลังเกินไป มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งกล่าวว่าดนตรีมีอิทธิพลต่อความเร็วในการรับประทานอาหาร ถ้าเปิดเพลงเร็ว ลูกค้าจะเคี้ยวเร็ว กลืนเร็ว ดื่มเร็ว และไปเร็ว จึงเหมาะกับร้านจำพวกฟาสต์ฟู้ด แต่สำหรับร้านที่ต้องการให้ลูกค้าละเลียดอาหารนานๆ เพื่อดึงเงินจากกระเป๋ามากๆ ควรจะเปิดเพลงจำพวกโรแมนติกหรือท่วงทำนองแคนโซเนตตาซึ่งระรื่นหูกว่า

แต่ก็นั่นแหละนะ จะมีสักกี่คนที่พิถีพิถันเรื่องการกินเท่าผม

หนุ่มตรงข้ามมีท่าทางตื่นเต้นกับการตกแต่งร้านสไตล์รัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟเจียระไน รูปปั้นโลหะ เขาแอบเอามือจับผ้าคลุมโต๊ะทอมือลายดอกกุหลาบจากเตอร์กิสถานด้วยความอยากรู้ ผมหัวเราะกิริยาขันๆ ของเขา

“เราเริ่มกันด้วยอะไรดีล่ะ” ผมถามอย่างเอ็นดูเมื่อได้รับเมนูจากกัปตัน

“แล้วแต่พี่เถอะครับ” ตาเขามองอยู่ที่ภาพเขียนสีน้ำมันรูปพระเจ้าซาร์กำลังทรงม้า ผมสังเกตเห็นได้ว่ากัปตันแอบมองดูเพื่อนต่างวัยของผมอย่างดูแคลน เฮ้อ…คนจนมักรังเกียจคนจนด้วยกันเอง ผมจำต้องให้เครดิตเพื่อนใหม่สักนิด

“ท่านจะรับอะไรดีครับ” กัปตันอาวุโสก้มอย่างนอบน้อมเมื่อเห็นผมขยับตัว

“สหายน้อยของผมอยากทดลองไข่ปลาคาเวียร์ของร้านคุณ มีอะไรแนะนำไหม”

“ครับผม ดีทีเดียว ผมขออนุญาตแนะนำออเดิร์ฟมีชื่อของร้านครับ บลินี เป็นแพนเค้กที่ทำจากข้าวบักวีต ทาด้วยไข่ปลาคาเวียร์สีดำเกรดดีที่สุดจากแคสเปียน ตำรับนี้กล่าวกันว่าเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าซาร์หลายยุคสมัยเชียวครับ”

“โอ้โฮ” เกษมอุทาน “ดีจังเลยครับ” เขายิ้มอายๆ เมื่อกัปตันมอง

“โอเค เริ่มด้วยออเดิร์ฟก็ดี” ผมเห็นพ้อง กัปตันจดรายการอาหาร

“ไม่ทราบจะรับไวน์ด้วยดีไหมครับ”

“ดีสิ คุณแนะนำมาเถอะไม่ต้องเกรงใจ เพราะผมเองก็ไม่คุ้นกับอาหารรัสเซียนัก”

“ถ้าเช่นนั้นผมขออนุญาตแนะนำแอนโกฟ วินเทจ ปี 1992 ผลิตจากองุ่นชาร์ดอนเน่ของออสเตรเลีย บุคลิกของไวน์ไปกันได้อย่างวิเศษกับคาเวียร์ ดีไหมครับท่าน”

“แอนโกฟ วินเทจหรือ ผมไม่ชอบกลิ่นโอ๊กของมันเลย” ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ไวน์ตระกูลนี้หมักในถังไม้โอ๊กนานหกเดือนถึงหนึ่งปี จึงมักมีกลิ่นโอ๊กเจือด้วย

“งั้นก็เป็นชาบลีส์ ชองปิแอร์ กรอสโซต์ของฝรั่งเศส ปี 1991 ดีไหมครับ ไวน์รุ่นนี้ไม่ได้บ่มในถังโอ๊ก และเข้าได้ดีกับไข่ปลาคาเวียร์ด้วย”

“ยอดไปเลย” ผมปรบมือหนึ่งทีเบาๆ “คุณเป็นกัปตันที่เชี่ยวชาญเช่นนี้ ใครจะกล้าปฏิเสธ”

 

ผมหัวเราะอีกเมื่อเกษมทำหน้าพิกลกับคาเวียร์คำแรกในชีวิต “เหม็นคาว ไม่เห็นอร่อยเลย” แต่หลังจากไวน์ขาวลงกระเพาะครึ่งแก้ว เขาก็เริ่มสนุกกับอาหาร และเราก็มีเรื่องคุยกันมากขึ้น

เกษมเป็นคนสุภาพและมีน้ำใจคอยดูแลช่วยเหลือผมเป็นอย่างดี เช่น รินไวน์ให้ เสิร์ฟออเดิร์ฟให้ ผมซักถามเกี่ยวกับชีวิตครอบครัว เขาแต่งงานและมีลูกสองแล้ว ดูมีความสุขดี เว้นเสียแต่ว่าไม่มีโอกาสพาลูกเมียไปเที่ยวไหน เพราะต้องเก็บหอมรอมริบผ่อนบ้านราคาถูก การที่เขากลับบ้านมืดก็เนื่องจากการทำงานล่วงเวลาเพื่อเสริมรายได้ครอบครัว

เราต่อออเดิร์ฟกันด้วยวินีเกรตซึ่งเป็นสลัดผักต้ม บีตรูตสีแดงก่ำ ถั่วลันเตา แตงกวาดอง ราดด้วยเมโอเนส์เปรี้ยวจี๊ดเรียกน้ำย่อยและน้ำลายพร้อมๆ กัน

“ผมสารภาพตรงๆ เลยนะพี่” เขาเอามือจับมีดเก้ๆ กังๆ “ผมยังใช้มีดไม่เป็นเลย” ท่าทางซื่อๆ ทำให้ผมเอ็นดู

“กินสลัดผักไม่ต้องใช้มีดหรอกไอ้น้อง การใช้มีดในอาหารฝรั่งนั้น เขามีเจตนาใช้ตัดหรือเฉือนอาหารที่มีความเหนียวและมีขนาดใหญ่ จะจับด้วยมือไหนก็ได้ ถ้าแบบอเมริกันนิยมถือมีดด้วยมือขวา ถือส้อมมือซ้าย อย่างนี้” ผมแสดงให้เขาดู

“พอหั่นอาหารเสร็จก็วางคืนบนจาน จากนั้นก็เปลี่ยนส้อมจากมือซ้ายมาถือด้วยมือขวา…” เราคุยกันอย่างสนุกสนานในหัวข้อตั้งแต่วิธีกินอาหารฝรั่ง ประสบการณ์ชีวิต ไปจนถึงเรื่องฟุตบอลโลก เกษมเป็นคู่สนทนาที่ใช้ได้ทีเดียว หนึ่งชั่วโมงบนโต๊ะอาหารผ่านไปอย่างมีรสชาติ

หลังจากซุปบอร์ชขนานแท้ของรัสเซียที่มีรสเปรี้ยวจากน้ำสต๊อกหัวบีตรูตดองที่กัปตันคนเก่งแนะนำแล้ว เราก็มาถึงอาหารจานหลัก ชิกเก้นอาลาเคียฟ ซึ่งเป็นสูตรดั้งเดิมจากเมืองเคียฟ รัฐยูเครน

“โอ้โห…อะไรนี่” เกษมเอามีดเขี่ยชิ้นหน้าอกไก่ห่อเนยสดชุบขนมปังป่นทอด “คนรัสเซียเขากินกันเยอะขนาดนี้เชียวหรือ เขาหุงข้าวแปลกดีนะครับ”

ไก่ทอดแบบเคียฟเสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวปิลาฟ ซึ่งหุงปรุงกับข้าวโพด ลูกเกด เม็ดถั่วลันเตา แครอต แต่ไม่แต่งสีด้วยหญ้าฝรั่นเหมือนอาหารแขก รสชาติออกไปทางจืด เกษมดูจะมีความสุขกับการกินมาก ไวน์ทำให้เขาหน้าแดง ตอนนี้ผมเปลี่ยนเป็นไวน์แดงลองกัลลี ที่มีชื่อจากหุบเขายาร์รา เขตวิกตอเรีย รสของน้ำหวานจากองุ่นคาแบร์เนต์ โซวีนยองมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

“พี่เคยไปรัสเซียไหมครับ…ต้องเคยอยู่แล้ว ผมไม่น่าถามโง่ๆ เลย” เขารินไวน์ให้ผมอีก ดูท่าเขาจะแย่งหน้าที่ของบริกรไปทำเองหมด คงไม่รู้จักระบบบริการของร้านอาหารเกรดเอ ผมเล่าประสบการณ์สมัยไปติดต่อค้าขายที่รัสเซียสิบห้าปีที่แล้ว เขารับฟังอย่างชื่นชม นัยน์ตาหรี่ปรือ อย่างนี้แหละ คนไม่เคยกินไวน์ แม้แอลกอฮอล์จะอยู่ราวสิบเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็ทำให้เมาได้ง่ายกว่าพวกบรั่นดีเสียอีก

“บางทีผมก็คิดเสียดายชีวิตโสดเหมือนกันนะพี่ ความฝันในชีวิตผมคืออยากบินไปรัสเซียสักครั้ง มันเป็นเมืองมหัศจรรย์ในความรู้สึกผมจริงๆ ผมอยากเห็นจัตุรัสแดง พระราชวังเครมลิน อยากสัมผัสปุยหิมะนุ่มและอุณหภูมิลบยี่สิบองศา” นัยน์ตาเขาเต็มด้วยความฝัน

ผมอยากสานความฝันของเขาด้วยการมอบความหวังเล็กๆ ให้

“เกษม แม้เราจะรู้จักกันโดยบังเอิญ แต่พี่ก็รู้สึกประทับใจในตัวเธอ เธอเป็นคนดี และแคล่วคล่องใช้ได้เชียวแหละ แน่ใจเหรอว่าตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการในบริษัทเล็กๆ นั่นเหมาะกับความสามารถของเธอแล้ว”

“อะไรนะครับ” ดูเขาจะหายเมาเป็นปลิดทิ้ง “หมายความว่า…” เขายืดตัวนั่งตรง กัปตันที่ยืนดูแลไม่ห่างหูผึ่ง ความอิจฉาคงพุ่งปรี๊ดขึ้นหัวกะโหลก

“ก็หมายความว่าพี่อยากให้เธอมาช่วยงานที่บริษัทของพี่น่ะสิ เอ้า…นี่นามบัตร พรุ่งนี้โทร. ไป ทางบริษัทกำลังอยากได้พนักงานฝ่ายขายที่คอยช่วยดูแลพี่เวลาบินไปติดต่องานต่างประเทศพอดี เธอคงไม่รังเกียจกระมัง”

“ผะ…ผม…” เขาพูดไม่ออก กลืนก้อนที่คอหอย

“รู้สึกว่าทางบริษัทของเรากำลังหาลู่ทางขยายตลาดเข้าไปในรัสเซียพอดีเลย”

เกษมทำท่าเหมือนโดนผีหลอก เขารับนามบัตรด้วยมือสั่นเทา

หลังจากอาหารหลักเสร็จสิ้น ทางร้านก็เสิร์ฟเค้กวันเกิดเป็นการเซอร์ไพรส์เล็กๆ ก็น่ารักดี ชายหนุ่มตื่นเต้นและมีความสุขมาก ดูจะสุขกว่าผมผู้เป็นเจ้าของวันเกิดเสียอีก

“ขอให้พี่มีความสุขมากๆ ครับ และขอให้รวยมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก” รวย รวยเหรอ คำนี้ทำให้ผมสะท้าน

ใครบ้างเล่าไม่อยากรวย แต่จะมีสักกี่คนที่จะมีโอกาสได้มาถึงจุดนี้ ก็เพราะเกษมอยากรวย เขาจึงแสดงความดีใจอย่างปิดไม่อยู่ เมื่อจะได้ตำแหน่งใหม่ที่ดีกว่า ผมเหนื่อยหน่ายเมื่อคิดถึงมัน

ผมทำมาแล้วทุกอย่าง ทำจนท้อ บางคนบอกให้วิ่งเข้าหาโอกาส อย่ารอให้โอกาสวิ่งเข้าหาเรา ผมไม่เพียงแค่วิ่ง กระโจนเข้าใส่เลยแหละ แต่ความรวยก็เอาแต่วิ่งหนีไป ไม่เช่นนั้นแล้วผมคงไม่ต้องใส่เสื้อผ้าที่สวยนอกเน่าในแบบนี้

ผมสลัดความคิดไม่เป็นมงคลออกจากหัว

“ขอบใจ…ไอ้น้องชาย เอ้า…ช่วยกินเค้กให้หมดนะ ของเขาอร่อยใช้ได้เชียว”

“ไม่ไหวหรอกครับพี่…เอ่อ…ผมคงไม่กล้าเรียกท่านว่าพี่แล้วละครับ เพราะพรุ่งนี้ท่านก็จะเป็นเจ้านายของผมแล้ว”

“เฮ้ย…เรื่องวันพรุ่งนี้ก็เก็บไว้พรุ่งนี้สิ ขืนเรียกท่านละก็ โกรธกันตาย มาช่วยกินเค้กเร็ว”

ผมสั่งวิสกี้มาต่ออีกกลม เราหน้าแดงทั้งคู่

“เค้กก้อนเบ้อเริ่ม” เขาชะโงกหน้ามาใกล้ กระซิบเบาๆ กับผมเหมือนมีความลับ กลิ่นแอลกอฮอล์โชย เดี๋ยวก็พับ “ถ้าเค้กเหลือ ผมเอาไปฝากลูกๆ ได้ไหมครับพี่”

“ได้สิ” ผมลิ้นไก่สั้นพอกัน “จริงสินะ เธอน่าจะเอาอะไรติดไม้ติดมือไปฝากลูกเมียบ้าง”

ผมเรียกบริกรมา สั่งบีฟสโตรกานอฟสำหรับเมียของเขา และบลูเบอร์รีชีสพายให้ลูกทั้งสอง แถมด้วยเค้กขนาดหกปอนด์ เขาพยายามทัดทาน

“ห้ามขัดขืน นี่เป็นคำสั่ง” เขารับคำด้วยความเกรงใจ

ระหว่างที่รออาหารใส่กล่องอยู่นั้น ผมก็เริ่มดำเนินการตามแผนที่ใช้ประจำ ผมบ่นปวดฉี่เพราะดื่มมากไป วันนี้ผมกินไม่ยั้ง ที่จริงวันไหนๆ ผมก็กินไม่ยั้งอยู่แล้ว ถ้าเพียงมีโอกาส

“พี่ขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนนะ จะเอาอะไรเพิ่มฝากลูกก็สั่งได้เลย”

“ไม่หรอกครับพี่ แค่นี้ก็เยอะจะแย่แล้ว” เขาตอบท่าทางเกรงใจสุดขีด

ไอ้หนุ่มผู้น่าสงสารเอ๋ย วันนี้ถือว่าเป็นโชคร้ายของเอ็งแล้วกัน

ผมผลุบเข้าห้องน้ำชาย ซึ่ง – แน่นอน – มันต้องอยู่ในซอกเล็กที่มีฉากกั้นกันอุจาด ขณะล้างมือก็ให้นึกสงสารเด็กหน้าซื่อคนนั้นเหมือนกัน คงลำบากกันทั้งครอบครัวที่ต้องหาเงินมาจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ อีกทีก็นึกขำกัปตันหน้าโง่ ตอนแรกผมก็เสียวอยู่ว่ากัปตันจะรู้จักผม เพราะมีหลายร้านที่เคยโดนกลยุทธ์กินฟรีของผมจนถูกขึ้นบัญชีดำไว้แล้ว แต่อย่างว่าร้านเปิดใหม่ยังขาดประสบการณ์ เลยมัวแต่คอยจ้องเจ้าหนุ่มนั่นเอาเป็นเอาตาย คงกลัวจะแอบขโมยช้อนเงินหรือมีดกลับบ้านกระมัง

ผมผลุบออกจากห้องน้ำอย่างผู้ชำนาญ เพื่อจะออกทางหลังร้านโดยมิให้เจ้าหนุ่มนั่นรู้ตัว

ทันใดผมก็ต้องสะดุ้งโหยง กัปตันคนเก่งของร้านยืนรอผมอยู่หน้าห้องน้ำด้วยทีท่ากระวนกระวายใจ ในมือมีถุงใส่อาหารกล่องที่สั่งถุงเบ้อเริ่ม

“เฮ้อ…เห็นท่านไม่เป็นอะไรก็ค่อยสบายใจ อาหารที่สั่งกลับได้แล้วครับ”

ผมรีบทำสีหน้าเรียบสนิท “อ๋อ…อาหารนี่เป็นของสหายร่วมโต๊ะคนนั้น เดี๋ยวเอาไปให้เขาและเช็กเลย”

“เพื่อนของท่านออกไปแล้วครับ ท่าทางลุกลี้ลุกลน ผมยังกลัวเลยว่าเขาจะต้มตุ๋นอะไรท่านหรือเปล่า เขาฝากโน้ตไว้ให้ท่านด้วยครับ” กัปตันยื่นกระดาษแผ่นเล็กพับครึ่งให้

“เปล่านี่ เขาไม่ได้ทำอะไร” ผมเหงื่อแตก ในกระเป๋ามีสี่สิบบาท ค่าอาหารมื้อนี้คงเหยียบหมื่น ทำไมเหยื่อของผมไม่นั่งรออาหารสำหรับลูกและเมียที่ผมอ่อยไว้ให้

ผมคลี่กระดาษอ่าน มีข้อความสั้นๆ ว่า

“ผมไปก่อนนะพี่ เราก็หัวอกเดียวกัน”

“ผมเคยรู้จักไอ้หมอนี่ครับ เรียนท่านตรงๆ เลย มันเป็นพวกต้มตุ๋นอยู่ประจำแถวนี้ ชอบหลอกกินของฟรี เป็นพวกเจ้าถิ่นอะไรทำนองนี้ เคยตีสนิทผสมโรงเข้ามากับแขกของทางร้านหลายรายแล้ว ผมจะเรียนท่านแต่แรกก็ไม่กล้า”

กัปตันคนเก่งยังพล่ามไม่หยุด แต่ผมไม่ได้ยินแล้ว

เพราะผมกำลังจะเป็นลม

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า