หัวเว่ย จากห้องเช่าในเซินเจิ้นสู่ธุรกิจระดับโลก
ขณะก่อตั้งธุรกิจหัวเว่ยในปี ค.ศ. 1987 ‘เหรินเจิ้งเฟย’ ผู้ก่อตั้งและ CEO ของหัวเว่ย เริ่มต้นนั้นเขาไม่มีทั้งเงินทุนและภูมิหลังใดๆ ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด บริษัทของเขาก็ไม่น่ามีคุณสมบัติในการเติบโตเป็นบริษัทข้ามชาติ แต่หัวเว่ยกลับใช้เวลาสั้น ๆ เพียง 20 ปีเอาชนะลูเซนท์ นอร์เทลอัลคาเทล โนเกีย ซีเมนส์เน็ตเวิร์คส์ อีริคสัน และโมโตโรลา ซึ่งล้วนเป็นคู่แข่งระดับสุดยอดของสหรัฐอเมริกาและยุโรป กลายเป็นพลังขุมใหม่ของตลาดโทรคมนาคมสากล และเป็นตัวอย่างอันดีของธุรกิจจีนและโลก
เหรินเจิ้งเฟยและหัวเว่ยเติบโตเป็นใหญ่ได้ด้วย 4 คติพจน์ประจำใจของเขาต่อไปนี้
ความล้มเหลว คือสมบัติล้ำค่า
ถ้าจะกล่าวว่าเหรินเจิ้งเฟยมียาวิเศษอะไรที่สามารถทำให้หัวเว่ยผงาดขึ้นในเวทีสากลได้ นั่นก็คือการวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง ก็เพราะสิ่งนี้นี่แหละที่ทำให้ชาวหัวเว่ยรู้ว่าตนเองยังขาดอะไร จากนั้นก็รวมกำลังกันใช้มาตรการแก้ไขจึงจะเติบใหญ่ขึ้นทุกวัน โครงสร้างขององค์กรจึงแข็งแกร่งและองค์กรที่แข็งแรงก็มาจากการวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง…
แต่การวิจารณ์ตนเองหมายถึงการยอมรับข้อเสีย ส่วนการสร้างนวัตกรรมหมายถึงความเสี่ยง ดังนั้นจึงมีพนักงานมากมายที่กลัวจะผิดพลาด จึงใช้วิธี “เอาตัวรอดไว้ก่อน” เหรินเจิ้งเฟยจึงประกาศว่า
[su_quote]“ใครก็ตามที่ไม่เคยทำผิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว เท่ากับงานไม่มีความก้าวหน้าควรให้พ้นจากตำแหน่งไหม เขาบอกว่าเขาไม่ได้ทำผิดนี่นา ไม่ได้ทำผิดจะเป็นเจ้าหน้าที่ได้หรือ บางคนไม่เคยทำผิดเลยเพราะเขาไม่เคยทำอะไรนั่นเอง…”[/su_quote]
ดังนั้นในการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญ เหรินเจิ้งเฟยจะพิจารณาจากเจ้าหน้าที่ที่เคยทำผิดพลาดแต่กลับตัวได้ ความล้มเหลวคือสมบัติที่ล้ำค่า เพราะบทเรียนจากประสบการณ์เหล่านี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ขณะเดียวกันก็ยังใช้เป็นตัวอย่างให้เพื่อนพนักงานคนอื่นได้รู้ว่าอย่าไปนอกลู่นอกทางเช่นนั้น หลักการนี้สะท้อนถึงกุศลเจตนาของเหรินเจิ้งเฟยได้อย่างชัดเจนมาก นั่นคือไม่ส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ทำผิด แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ต้องเกรงกลัวที่จะทำผิด ขณะเดียวกันต้องกล้าที่จะแก้ไขความผิดพลาด และได้บทเรียนจากความผิดพลาดนั้น
ผู้ชี้เป็นชี้ตายธุรกิจคือ ลูกค้า
[su_quote]“การทำให้ลูกค้าประสบความสำเร็จคือความสำเร็จของเรา”[/su_quote]
คนที่เคยทำงานข้างกายเหรินเจิ้งเฟยต่างรู้ว่าแม้เขาจะเป็นคนใช้ชีวิตราบเรียบสมถะที่สุด อาทิ ในห้องทำงาน เขาใช้ชุดน้ำชาเก่าเก็บตั้งแต่สมัยอยู่ในกองทัพ เตียงสนามของกองทัพ…แต่เมื่อใดที่เป็นการลงทุนด้านการพัฒนาเพื่อให้ลูกค้ากับหัวเว่ยเติบโตร่วมกัน เขาจะไม่คำนึงถึงต้นทุนและไม่เคยลังเลแม้แต่น้อย
เหรินเจิ้งเฟยทุ่มทุนหนึ่งร้อยล้านหยวนสร้างอาคารสำนักงานแห่งหนึ่งที่ถนนเคอฟานิคมวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเซินเจิ้น และตั้งชื่อเองว่า “อาคารศูนย์บริการลูกค้าหัวเว่ย” ขณะเดียวกันก็ตั้งศูนย์บริการลูกค้าอีกสามสิบสองแห่งในหัวเมือง เขตปกครองตนเองในสามสิบสองมณฑลทั่วประเทศ กับสภาพการดำเนินงานอย่างสับสนอลหม่านของเครือข่ายโทรคมนาคมทั่วประเทศ หัวเว่ยนำเสนออย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าอุปกรณ์ของบริษัทใดก็ตามมีปัญหา ขอเพียงลูกค้าต้องการ ศูนย์บริการทุกแห่งจะรีบแก้ไขให้ทันที
“โลกนี้มีแต่ลูกค้าเท่านั้นที่ให้เงินหัวเว่ย ถ้าเราไม่บริการลูกค้าแล้วจะไปบริการใคร ในเมื่อผู้ชี้เป็นชี้ตายธุรกิจคือลูกค้า ลูกค้าจึงเป็นเหตุผลหนึ่งเดียวที่เราจะมีชีวิตรอด!” จากคำพูดนี้จะเห็นได้ถึงยุทธศาสตร์การตลาดระยะยาวที่หัวเว่ยยึดมั่นเสมอมา
ทำสิ่งที่ตนเชี่ยวชาญ
[su_quote]“เราคว้าหัววัวไม่ได้ แต่จงกำหางไว้ให้แน่น”[/su_quote]
แม้จะเสียเปรียบอย่างชัดเจนด้านเทคโนโลยีระดับหัวใจ แต่หัวเว่ยยังคงพบหนทางอื่นที่จะพัฒนาตนเอง นั่นคือชิปหรือวงจรรวม ซึ่งแม้จะมิใช่เทคโนโลยีระดับหัวใจ แต่เนื่องจากหัวเว่ยมีนักวิจัยมากมายที่ต้นทุนต่ำและเชี่ยวชาญในการต่อยอดหรือพัฒนาเชิงลึก จึงทำให้มีความได้เปรียบด้านเทคโนโลยี จากนั้นจึงใช้ความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีนี้ขยายผลจนกลายเป็นความได้เปรียบด้านต้นทุน
ขณะเหรินเจิ้งเฟยไปดูงานที่สหรัฐอเมริกาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1992 เขาก็ได้ตระหนักถึงขอบเขตการพัฒนาที่คนจีนเชี่ยวชาญที่สุด : เช่น เวลานั้นราคาชิปที่จำเป็นต้องใช้สำหรับตู้สาขาโทรศัพท์ที่ควบคุมด้วยโปรแกรมสำหรับการสลับสัญญาณล้านหมายเลขราคาชิ้นละสองร้อยดอลลาร์ ถ้าสั่งซื้อปริมาณมาก ราคาแต่ละชิ้นจะถูกลงสามถึงห้าดอลลาร์ ถ้านำชิปที่คิดค้นออกแบบเองนำไปผลิตในซิลิคอนแวลลีย์ของสหรัฐฯ เกาหลี หรือไต้หวัน ต้นทุนชิปต่อชิ้นจะอยู่ในราวสิบดอลลาร์ ถ้าผลิตในปริมาณมากอาจลดได้อีก 0.5 – 1 ดอลลาร์ต่อชิ้น ถูกกว่าร่วมยี่สิบเท่าตัว!
ตู้สาขาโทรศัพท์ขนาดล้านหมายเลขประกอบด้วยแผ่นชิปใหญ่เล็กหลายร้อยชิ้น ชิปสำคัญบางตัวถ้าลดลงได้ 30 – 100 ดอลลาร์ย่อมจะลดต้นทุนการผลิตตู้สาขาโทรศัพท์ของหัวเว่ยลงได้มากทีเดียว จึงเห็นได้ชัดว่าถ้าสามารถเจาะเทคโนโลยีการผลิตแผ่นชิปและใช้ความได้เปรียบด้านแรงงานของจีน หัวเว่ยก็จะได้เปรียบด้านต้นทุนในการแข่งขันและมีโอกาสผงาดขึ้นได้
ด้วยเหตุนี้ปี ค.ศ.1992 หัวเว่ยจึงตั้งทีมงานเฉพาะกิจ “ศูนย์การออกแบบวงจรรวม”รับผิดชอบการผลิตชิป และบากบั่นพยายามอยู่ถึง4ปี ในเดือนกรกฎาคม ปี 1996 พวกเขาก็ประสบความสำเร็จในการผลิตชิปสำหรับตู้สาขาโทรศัพท์ที่ควบคุมด้วยโปรแกรมระดับล้านหมายเลข หลังสะสมประสบการณ์เหล่านี้ หัวเว่ยจึงประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในการผลิตชิปสำหรับการส่งสัญญาณนำแสงบรอดแบนด์ มัลติมีเดีย GSM CDMA และ 3G กลายเป็นยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตแผ่นชิปของจีน
ในปี ค.ศ. 1998 หัวเว่ยทำยอดขายทะลุแปดพันเก้าร้อยล้านหยวนเพียงแผ่นชิปรายการเดียวก็ทำให้หัวเว่ยประหยัดรายจ่ายได้มหาศาล จากการนี้จึงเห็นได้ว่าการวิจัยแผ่นชิปเชิงลึกคือประเด็นสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับบริษัทข้ามชาติอื่นๆ
เทคโนโลยีต้องล้ำหน้าเพียงครึ่งก้าว
[su_quote]“ต่อให้เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำยุคเพียงใด หากมันไม่สามารถสร้างมูลค่าทางการค้า สำหรับธุรกิจแล้วไม่เพียงไร้ความหมาย หากยังเป็นการสิ้นเปลืองต้นทุนมหาศาลด้วย”[/su_quote]
หลังฟองสบู่ไอทีแตกในปี ค.ศ. 2000 ผู้ประกอบการที่บาดเจ็บสาหัสไปตาม ๆ กันจึงเลิกแสวงหาเทคโนโลยีใหม่อย่างหลับหูหลับตา ธุรกิจสื่อสารทั้งวงการพากันคิดจะใช้โครงข่ายไอพี (Internet Protrocol) ให้เป็นประโยชน์เพื่อลดการลงทุน แต่นอร์เทลกลับทุ่มทุนมหาศาลกับเทคโนโลยีเอ็นจีเอ็น8 ขณะเดียวกันก็ความรู้สึกช้าจนพลาดโอกาสการเปลี่ยนผ่านครั้งแรก ปี ค.ศ. 2004 ขณะที่ระบบ 3G กำลังร้อนแรงทั่วโลก บริษัทอุปกรณ์โทรคมนาคม เช่น อีริคสัน อัลคาเทล หัวเว่ย และจงซิงพากันอัพเกรดหรือขยายเวอร์ชั่น 2G เป็น 3G แต่นอร์เทลกลับทำผิดพลาดด้วยการขายเทคโนโลยี 3G ให้อัลคาเทล จากนั้นนำเงินทุนทั้งหมดไปทุ่มให้กับการวิจัยพัฒนาแอลทีอี9 (LTE) ซึ่งก้าวหน้าที่สุดในขณะนั้น ดูจากเวลานั้นแล้วนอร์เทลคือผู้โต้คลื่นของเทคโนโลยียุคใหม่ แต่น่าเสียดายที่การเปลี่ยนผ่านหลายครั้งล้วนเป็นด้านเทคโนโลยีเป็นหลักโดยละเลยความต้องการของลูกค้า
หลังเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี ค.ศ. 2008 นอร์เทลที่จมปลักอยู่กับการขาดทุนดิ้นรนอยู่แปดปี สุดท้ายก็ล่มสลายโดยแยกส่วนขายให้กับไมโครซอฟท์ แอปเปิลกูเกิล และอีริคสัน หายไปจากตลาดด้วยความจำยอม
ธุรกิจขนาดใหญ่เหล่านี้ล้วนเคยสร้างคุณูปการให้กับความก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติ เคยเจิดจ้าไปทั่วโลก แล้วก็ล้มครืน เหรินเจิ้งเฟยเคยขบคิดและสรุปเป็นบทเรียนว่า “ธุรกิจที่พิการเหล่านี้ มิใช่เพราะเทคโนโลยีไม่ก้าวหน้า หากเป็นเทคโนโลยี
ที่ล้ำยุคจนผู้คนยากจะรู้จักและยอมรับ จึงทำให้ไม่มีใครมาซื้อผลิตภัณฑ์ ขายไม่ออก แต่กลับสิ้นเปลืองแรงงาน วัตถุ เงิน และสูญเสียกำลังการแข่งขัน”
“แต่ธุรกิจจะไม่มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไม่ได้ ทัศนะของหัวเว่ยคือ ในแง่นวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ หัวเว่ยต้องรักษาความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี แต่ต้องล้ำหน้าคู่แข่งเพียงครึ่งก้าว ถ้าล้ำหน้าสามก้าวก็จะกลายเป็น ‘วีรชน’ ”
เรียบเรียงจากหนังสือ
เขียนโดย หยางเช่าหลง
แปลโดย ชาญ ธนประกอบ
สำนักพิมพ์ Amarin How – To
ราคา 315 บาท
บทความอื่นๆ
รู้จักเหรินเจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง หัวเว่ย HUAWEI
5 กลยุทธ์การทำธุรกิจแบบ หัวเว่ย HUAWEI
จากศูนย์สู่ ZARA อามันซิโอ ออร์เตกา จากลูกจ้างการรถไฟสู่อาณาจักรแฟชั่นหมื่นล้าน
6 องค์ประกอบของการสร้างแบรนด์ให้ปัง! ในยุค 4.0
Pingback: 5 กลยุทธ์การทำธุรกิจแบบ หัวเว่ย HUAWEI ทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จ
Pingback: 3 ข้อคิดในการทำงาน เพื่อการเข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของงาน โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
Pingback: 10 เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับ อีลอน มัสก์ อัจฉริยะหรือคนบ้า?
Pingback: ความคิดที่ขวางทางเจริญก้าวหน้า ทำให้ยังไม่ ประสบความสำเร็จ
Pingback: 4 พฤติกรรม ยิ่งทำยิ่ง สมองล้า : เมื่อสมองหายล้าชีวิตก็หายเหนื่อย