[ทดลองอ่าน] ปิ๊ปปี้ออกทะเล

PIPPI GOES ON BOARD

ปิ๊ปปี้ออกทะเล

 

แอสตริด ลินด์เกรน เขียน

ดร.บุญส่ง ชเลธร แปล

อิงกริด วาง นีมาน วาดภาพประกอบ

 

 

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

 

1

ปิ๊ปปี้ยังอยู่ที่วิลล่า วิลเลคูลล่า

 

ถ้าบังเอิญมีใครเดินทางมาเที่ยวเมืองเล็กๆ แห่งนี้แล้วหลงทางไกลออกไปจนถึงชานเมืองด้านหนึ่ง เขาจะได้เห็นวิลล่า วิลเลคูลล่า ไม่ใช่ว่าบ้านหลังเก่าที่พร้อมจะพังพาบลงมากับสวนรกรอบ ๆ ที่ไม่มีใครเหลียวแลจะมีอะไรมากมายน่าสนใจ แต่บางทีคนต่างถิ่นก็จะหยุดมอง และสงสัยว่าใครกันอาศัยอยู่ ผิดกับคนทุกคนในเมืองเล็กแห่งนี้ที่รู้กันทั้งนั้น แถมยังรู้ด้วยว่าทำไมมีม้ายืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน ซึ่งของอย่างนี้คนต่างถิ่นย่อมไม่รู้ และไม่สามารถรู้ได้ โดยเฉพาะเมื่อเขามั่นใจว่านาฬิกาของตนเดินตรงแล้ว ก็จะงงมากขึ้นไปอีกว่า มืดออกอย่างนี้ ทำไมยังมีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเดินเล่นอยู่ในสวน โดยไม่มีทีท่าว่าจะเข้านอนเลย เขาคงจะคิดว่า

“สงสัยจริงว่าทำไมแม่ของเด็กคนนี้ถึงไม่ดูแลให้ลูกเข้านอนเสียที ดึกอย่างนี้ เด็กที่ไหนก็คงหลับกันไปหมดแล้ว”

คนต่างถิ่นจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเด็กหญิงคนนี้ไม่มีแม่ พ่อก็ไม่มี ในบ้านหลังนี้ไม่มีใครอื่นอีก เธออาศัยอยู่ตามลำพังในวิลล่า วิลเลคูลล่าแห่งนี้ แต่…ถ้าจะพูดกันให้ถูกต้องแล้วก็ไม่เชิงตามลำพังนัก เพราะยังมีม้าอยู่ที่ระเบียง และมีลิงชื่อ “นายนิลส์สัน” แต่เรื่องอย่างนี้คนต่างถิ่นจะไปนึกถึงได้อย่างไร และถ้าเกิดเด็กคนนี้เดินมาที่รั้ว — ซึ่งเธอทำอย่างนั้นแน่เพราะนิสัยที่ชอบคุยกับผู้คน — เขาก็จะได้เห็นเธอเต็มตา และคงอดคิดไม่ได้ว่า

“นี่เป็นเด็กหน้าตกกระมากที่สุด และผมแดงที่สุดที่เคยเห็นมา”

จากนั้นบางทีคงจะคิดต่อ

“อันที่จริงก็ดีออก ถึงหน้าจะตกกระและผมแดงออกอย่างนี้ แต่ก็ดูสดชื่นและมีชีวิตชีวามาก”

บางทีเขาอาจอยากรู้จักชื่อของเด็กหญิงผมแดงที่เดินเล่นอยู่เพียงลำพังตอนกลางคืน และถ้าเธอยังยืนอยู่ที่รั้ว เขาก็คงถามว่า

“เธอชื่ออะไร”

“ฉันชื่อปิ๊ปปี้ลอตต้า วิคทัวเลีย รูลล์การ์ดินา ครูสมินตา เอียฟราอิมดอตเตอร์ ถุงเท้ายาว ลูกสาวของกัปตันเอียฟราอิม ถุงเท้ายาว แต่ก่อนเป็นผู้เหี้ยมหาญแห่งท้องทะเลกว้าง ปัจจุบันเป็นราชาชาวเกาะ แต่เรียกฉันว่าปิ๊ปปี้ก็พอ”

     

งั้นหรือ — ปิ๊ปปี้ ถุงเท้ายาว และที่บอกว่าพ่อเป็นราชาชาวเกาะนั้น ก็คงเป็นแค่ความเชื่อส่วนตัวของเธอ ด้วยว่าครั้งหนึ่งที่ออกทะเลกับพ่อแล้วเผชิญกับพายุใหญ่ พ่อถูกซัดตกทะเลหายไป และด้วยว่าพ่อเป็นคนอ้วนมาก เธอจึงไม่เชื่อว่าจะจมน้ำได้ มีแต่ลอยไปติดฝั่งที่เกาะใดเกาะหนึ่ง แล้วได้กลายเป็นราชาของผู้คนบนเกาะนั้นไป

ถ้าคนต่างถิ่นมีเวลามากพอ ไม่จำต้องรีบจับรถไฟกลับในคืนนั้น ได้หยุดพูดคุยมากขึ้นอีกหน่อย ก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่าเธออยู่ตามลำพังในบ้านหลังนั้นกับม้าและลิงอย่างละตัว และถ้าเป็นคนขี้สงสารก็คงอดคิดไม่ได้ว่า

“เด็กน่าเวทนาคนนี้อยู่กินยังไง”

แต่นั่นเป็นสิ่งที่ไม่น่ากังวลเลยจริง ๆ

“ฉันรวยอย่างกับเสกเงินได้เองเลยละ” ปิ๊ปปี้ชอบพูดอย่างนี้ แล้วก็เป็นความจริง พ่อเธอทิ้งเหรียญทองคำไว้ให้เต็มกระเป๋าใบใหญ่ จึงเชื่อมั่นได้ว่าไม่อดอยากแน่ เธอเอาตัวรอดได้สบายๆ โดยไม่ต้องมีทั้งพ่อและแม่ และแน่นอนว่าไม่มีใครมาคอยบอกให้เธอเข้านอนตอนกลางคืนด้วย แต่เรื่องนี้ปิ๊ปปี้มีทางออกให้ตัวเองอย่างดี เธอบอกตัวเอง แต่จะไม่บอกก่อนสี่ทุ่ม เพราะเธอไม่เชื่อว่าเด็ก ๆ จำเป็นต้องเข้านอนตั้งแต่หนึ่งทุ่ม ด้วยว่านั่นเป็นเวลาที่น่าเล่นสนุกที่สุด คนต่างถิ่นจึงไม่จำเป็นต้องแปลกใจว่าทำไมถึงเห็นเธอเดินเล่นอยู่ในสวนทั้งที่ตะวันลับฟ้าไปนานแล้ว และอากาศก็เริ่มเย็น ทอมมี่กับอินนิก้าคงหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงไปแล้วด้วยเช่นกัน ทอมมี่กับอันนิก้าคือใครอย่างนั้นหรือ ว้าว นั่นเป็นเรื่องที่คนต่างถิ่นไม่มีทางรู้ได้เลย! พวกเธอเป็นเพื่อนเล่นของปิ๊ปปี้ที่อยู่ในบ้านหลังข้าง ๆ น่ะ รู้ไหม! น่าเสียดายที่คนต่างถิ่นไม่ผ่านมาเร็วกว่านี้ ไม่งั้นจะได้เห็นเด็กที่น่ารักและสะอาดสะอ้านมากสองคน การได้เจอเด็กทั้งสองอยู่กับปิ๊ปปี้เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เพราะพวกเธอวิ่งมาหาปิ๊ปปี้ทุกวันและอยู่เล่นด้วยตลอดเวลา เว้นแต่ยามนอน ยามกิน กับยามไปโรงเรียนเท่านั้น เวลาดึกอย่างนี้ก็คงหลับไปแล้วทั้งสองคน เพราะทอมมี่กับอันนิก้ามีพ่อกับแม่ และพ่อแม่ที่ไหนๆ ก็เชื่อว่าการเข้านอนตั้งแต่หนึ่งทุ่มเป็นสิ่งที่ดีสำหรับลูก ๆ

 

นี้คือสภาพภายใน

วิลล่า วิลเลคูลล่า

ถ้าคนต่างถิ่นยืนต่ออีกหน่อยเพราะมีเวลามากจริง ๆ ก็จะได้เห็นว่าหลังจากบอกราตรีสวัสดิ์และเดินไปจากรั้วแล้ว เด็กตัวคนเดียวอย่างปิ๊ปปี้จะไปไหนเมื่อเธอไม่คิดที่จะเข้านอนเร็ว ๆ นี้จริงๆ เขาสามารถแอบดูอยู่ตรงข้างเสารั้วได้ แล้วนึกดูสิ ถ้าปิ๊ปปี้เกิดอยากทำอย่างที่มักทำเป็นบางหนในตอนกลางคืนที่เกิดนึกสนุก เช่น อยากขี่ม้าเล่นขึ้นมา เธอก็จะขึ้นไปบนระเบียงบ้าน แล้วแบกม้าทั้งตัวลงมาด้วยสองแขนทรงพลัง คนต่างถิ่นเป็นได้ขยี้ตากันใหญ่และสงสัยว่าอาจฝันไป

         “เด็กอะไรกัน” เขาคงถามตัวเอง “ฉันเชื่อแล้วว่าเธอแบกม้าได้! เธอคือเด็กที่ประหลาดที่สุดที่เคยเห็นมาเลย!”

เขาพูดถูกแล้ว ปิ๊ปปี้เป็นเด็กประหลาดที่สุดที่เคยมีมา อย่างน้อยก็ประหลาดที่สุดในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ บางทีในเมืองอื่นๆ อาจมีเด็กประหลาดอย่างนี้บ้างก็ได้ แต่สำหรับที่นี่ไม่มีใครเหมือนปิ๊ปปี้ ถุงเท้ายาว และที่เชื่อได้แน่คือ ไม่ว่าที่นี่หรือที่ไหนๆในโลก ไม่มีใครแข็งแรงเท่าปิ๊ปปี้แน่นอน

 

2

ปิ๊ปปี้เที่ยวร้านค้า

 

ทอมมี่และอันนิก้ามาหาปิ๊ปปี้ในวันอันสดใสวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ ตะวันฉายแสงเรืองรอง นกเจื้อยแจ้ว และน้ำเอ่อเต็มร่องน้ำ ทอมมี่พกน้ำตาลหลายก้อนมาเผื่อม้าของปิ๊ปปี้ด้วย เด็กทั้งสองจะหยุดตรงระเบียง ลูบตัวม้าเล่นหน่อยหนึ่งก่อนเข้าไปหาปิ๊ปปี้ที่ยังหลับอยู่ ปิ๊ปปี้นอนโดยวางเท้าบนหมอนหนุนหัว ส่วนหัวในผ้าห่มหันไปทางปลายเท้า เธอนอนในลักษณะนี้เสมอ อันนิก้าหยิกเข้าที่หัวแม่เท้าและเรียก

“ตื่นได้แล้ว!”

ลิงน้อยที่ชื่อ “นายนิลส์สัน” ตื่นแล้วและกระโดดขึ้นไปนั่งบนโคมไฟที่แขวนอยู่บนเพดาน ในที่สุดร่างใต้ผ้าห่มก็ขยับตัว แล้วหัวที่เต็มไปด้วยเส้นผมสีแดงก็โผล่ออกมา ปิ๊ปปี้ตาลืมพร้อมกับยิ้มกว้าง

“ว้าว พวกเธอนี่เองที่หยิกฉัน! ฉันฝันไปว่าพ่อที่เป็นราชาชาวเกาะกำลังดูว่าฉันมีหูดที่เท้ารึเปล่า”

เธอลุกขึ้นนั่งตรงขอบเตียง ดึงถุงเท้าขึ้นสวม ข้างหนึ่งสีน้ำตาล อีกข้างสีดำ

         

“หูดไม่มีแน่ ตราบใดที่ใส่ถุงเท้า” เธอพูดพลางสวมเท้าลงไปในรองเท้าสีดำคู่ใหญ่ที่ยาวกว่าเท้าจริงเกือบเท่าตัว

“ปิ๊ปปี้” ทอมมี่เรียก “วันนี้เราจะทำอะไรกันดี โรงเรียนของฉันกับอันนิก้าปิดน่ะ!”

“ขอคิดดูก่อน” ปิ๊ปปี้เอ่ย “จะเต้นรำรอบต้นคริสต์มาสก็ไม่ได้ เพราะฉันโยนทิ้งไปตั้งสามเดือนแล้ว หรือจะเล่นเต้นรำบนน้ำแข็งกันตลอดเช้าดี จะขุดหาทองก็สนุก แต่ทำไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าทองอยู่ตรงไหน รู้แต่ว่าส่วนใหญ่อยู่ที่อะแลสกา จะไปก็ไม่ไหวเพราะคนขุดทองไปกันเต็มไปหมด ไม่ได้ ต้องหาอย่างอื่นทำ”

“ใช่ หาอะไรที่สนุก ๆ ทำ” อันนิก้าบอก

ปิ๊ปปี้ถักเปียแข็ง ๆ สองข้างชี้ตั้งออกไปด้านข้างพลางคิด

“แล้วถ้าเราเข้าไปเดินเล่นตามร้านค้าในเมืองล่ะ”

“แต่เราไม่มีเงิน” ทอมมี่บอก

“ฉันมี” ปิ๊ปปี้พูด และเพื่อพิสูจน์ เธอเดินไปเปิดกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเหรียญทองคำ ล้วงเอามาหนึ่งกำมือใส่ลงไปในกระเป๋าใบใหญ่ตรงพุงด้านหน้าของเสื้อที่สวมอยู่

“ถ้าตอนนี้ฉันได้ใส่หมวก เราก็ออกเดินทางกันได้เลย” เธอว่า แต่มองหาไม่เห็นหมวก ปิ๊ปปี้หาตรงลังใส่ฟืนเป็นจุดแรก — ไม่มี ดูในกล่องขนมปังตรงตู้กับข้าวก็มีแต่สายรัดถุงเท้า นาฬิกาปลุกที่เสียไปแล้วเรือนหนึ่ง และเศษขนมปังแข็ง เธอเดินไปดูตรงชั้นวางหมวก — ไม่เจออีกเหมือนกัน มีแต่กระทะ ไขควง กับเนยแข็งอีกชิ้น

“ทุกอย่างอยู่ไม่เป็นที่เป็นทางเลย หาอะไรก็ไม่เจอ” เธอบ่นด้วยความหงุดหงิด “แต่ฉันเจอเนยแข็งที่หามาตั้งนานแล้ว โชคดีจริงๆ เฮ้…หมวก” เธอตะโกน “อยากไปเที่ยวร้านค้ารึเปล่า ถ้าไม่โผล่มาตอนนี้จะสายเกินไปแล้วนะ!”

ไม่มีหมวกใบไหนโผล่มา

“ฮึ เซ่ออย่างนี้ก็โทษตัวเองแล้วกัน อย่ามาบ่นให้ได้ยินตอนฉันกลับมาล่ะ” ปิ๊ปปี้พูดเสียงแข็ง

ไม่ช้าเด็กๆ ที่ร่าเริงก็เดินกันมาตามทางที่มุ่งเข้าเมือง ทั้งทอมมี่ อันนิก้า และปิ๊ปปี้ที่มีนายนิลส์สันเกาะอยู่บนไหล่ แดดทอแสงจ้า เบื้องบนเป็นสีฟ้ากระจ่าง ส่วนข้างทางมีร่องลึกที่เต็มเปี่ยมด้วยน้ำ

“ฉันชอบร่องน้ำ” ปิ๊ปปี้ว่าแล้วโดดลงไปโดยไม่ต้องคิด น้ำสูงถึงเข่า และพอกระโดดย่ำเล่นแรงๆ น้ำก็กระเซ็นมาโดนทอมมี่กับอันนิก้า

“ฉันเล่นเป็นเรือ” ว่าแล้วก็ไถตัวไปข้างหน้า แต่กลับสะดุดพอดี หัวจมลงไปในน้ำ

“พูดให้ถูกต้องคือเรือดำน้ำ” เธอพูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้านเมื่อโผล่จมูกขึ้นมาอีกครั้ง

“นี่ ปิ๊ปปี้ เปียกหมดแล้ว” อันนิก้ากังวล

“แล้วมันผิดตรงไหน” เธอโต้ “ใครบอกกันว่าเด็กจำเป็นต้องตัวแห้ง มีแต่คนบอกว่าจะสดชื่นขึ้นซะอีกถ้าโดนน้ำเย็นราดหัว มีแต่ประเทศนี้มั้งที่ไม่อยากให้เด็กเล่นในร่องน้ำ ที่อเมริกานะ เด็กลงไปอยู่ในร่องน้ำเต็มไปหมดจนไม่มีที่ให้น้ำอยู่ เล่นกันทั้งปี พอหน้าหนาวก็แข็งกันอยู่ตรงนั้น โผล่แต่หัวออกมาจากน้ำแข็ง บรรดาแม่ๆ ต้องเดินมาป้อนลูกชิ้นกับซุปผลไม้ให้กิน เพราะไม่มีใครกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านได้ แต่ทุกคนแข็งแรงอย่างกับเม็ดถั่ว มั่นใจได้เลย!”

เมืองเล็กดูสวยในแสงตะวันของฤดูใบไม้ผลิ ถนนสายน้อย ๆ ปูลาดด้วยหินก้อนลัดเลี้ยวไปตามตัวบ้าน และตรงสนามด้านหน้าของบ้านเกือบทุกหลังจะมีไม้ดอกบานสะพรั่ง ในเมืองเต็มไปด้วยร้านค้า ยิ่งในวันอย่างนี้ผู้คนก็ยิ่งมาก วิ่งเข้าวิ่งออกจนเสียงกระดิ่งที่แขวนตรงประตูร้านค้าดังไม่ขาดระยะ พวกผู้หญิงมีตะกร้าคล้องแขนเพื่อจับจ่ายกาแฟ น้ำตาล น้ำยาล้างพื้น และเนย เด็ก ๆ ออกมาหาซื้อลูกอมคาราเมลและหมากฝรั่งในห่อเล็ก ๆ เด็กส่วนใหญ่ที่ไม่มีเงินทำได้เพียงยืนดูของที่จัดวางไว้ล่อตาตรงกระจกหน้าร้าน

ตอนที่ตะวันสาดแสงสดใสที่สุดนั้น ร่างเล็ก ๆ ของเด็กสามคนก็ปรากฏขึ้นตรงถนนใหญ่ พวกเธอคือทอมมี่ อันนิก้า และปิ๊ปปี้ที่ชุ่มโชกไปทั้งตัวนั่นเอง ปิ๊ปปี้เดินตามสบายโดยมีน้ำหยดมาตลอดทาง

 

“สุขอะไรอย่างนี้” อันนิก้าพูด “ร้านค้าตั้งเยอะแยะ และเราก็มีกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเหรียญทองคำ”

ทอมมี่เองก็แสนจะมีความสุขเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขากระโดดจนตัวลอย

“ใช่ ถ้าเราจะเริ่มกันเลยน่ะ” ปิ๊ปปี้พูด “อย่างแรกสุดฉันอยากซื้อเปียโนสักหลังก่อน”

“แต่…ปิ๊ปปี้” ทอมมี่พูด “เธอเล่นเปียโนไม่เป็นนี่”

“ใครจะไปรู้ ฉันยังไม่เคยลองเสียหน่อย” ปิ๊ปปี้บอก “ฉันไม่เคยมีเปียโนให้ลองเล่น และขอบอกอะไรเธอสักอย่างนะ ทอมมี่ การเล่นเปียโนโดยไม่มีเปียโนนี่คงต้องใช้เวลาฝึกหนักมากกว่าจะเล่นเป็น”

แต่ไม่มีร้านเปียโนตั้งอยู่ตรงไหนเลย มีเพียงร้านขายน้ำหอมที่เผอิญเดินผ่าน ตรงกระจกหน้าร้านมีกระป๋องยาใบใหญ่ เป็นครีมทาแก้ตกกระ ข้าง ๆ มีป้ายกระดาษเขียนว่า เธอกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับกระที่ใบหน้าใช่ไหม

“เขาเขียนว่าอะไร” ปิ๊ปปี้ถาม

เธออ่านได้ไม่มากเพราะไม่ยอมไปโรงเรียนเช่นเด็กคนอื่นๆ

“เขาเขียนว่า ‘เธอกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับกระที่ใบหน้าใช่ไหม’ ” อันนิก้าตอบ

“เออแน่ะ” ปิ๊ปปี้คิดหน่อยหนึ่ง “คำถามคลาสสิกอย่างนี้ต้องการคำตอบคลาสสิกด้วยเหมือนกัน มาเราเข้าไปข้างในกันเถอะ!”

เธอผลักประตูเข้าไป โดยมีทอมมี่กับอันนิก้าตามมาติด หลังเคาน์เตอร์มีคนขายเป็นหญิงสูงวัยคนหนึ่งยืนอยู่ ปิ๊ปปี้ตรงเข้าไปหาเธอ

“ไม่” ปิ๊ปปี้พูดอย่างหนักแน่น

“หนูต้องการอะไร” หญิงสูงวัยถาม

“ไม่” ปิ๊ปปี้ย้ำ

“ฉันไม่เข้าใจว่าหนูหมายถึงอะไร” หญิงสูงวัยพูด

“ไม่ ฉันไม่มีปัญหาเกี่ยวกับกระที่หน้าฉัน” ปิ๊ปปี้ตอบ

ตอนนั้นเองหญิงสูงวัยถึงได้เข้าใจ แต่เมื่อมองปิ๊ปปี้อย่างพินิจ เธอก็ถึงกับหลุดปากออกมาว่า

“แต่ แม่หนูน้อย หน้าเธอตกกระเต็มไปหมด!”

“ใช่” ปิ๊ปปี้รับ “แต่ไม่มีปัญหาเลย ฉันชอบมาก! สวัสดี!”

ว่าแล้วก็เดินออกไป พอถึงประตูเธอหันมาตะโกน

“แต่ถ้าเธอเกิดบังเอิญมีครีมที่ทาแล้วทำให้มีกระมากขึ้นละก็ ส่งไปให้ฉันสักเจ็ดแปดกระป๋องนะ”

ข้างร้านขายน้ำหอมเป็นร้านขายเสื้อผ้าสตรี

“เรายังไม่ได้ซื้ออะไรกันเลย” ปิ๊ปปี้บอก “ต้องเริ่มกันจริง ๆ ซะที”

เด็ก ๆ เดินเข้าไป นำด้วยปิ๊ปปี้ ตามด้วยทอมมี่กับอันนิก้า สิ่งแรกที่ได้เห็นคือหุ่นสวยมากตัวหนึ่ง อยู่ในชุดผ้าไหมสีฟ้า ปิ๊ปปี้เดินเข้าไปจับมือเขย่าอย่างยินดี

“สวัสดี สวัสดี” ปิ๊ปปี้ว่า “ฉันคิดว่าเธอต้องเป็นเจ้าของร้านแน่ ดีใจจริงที่ได้เจอ” ว่าแล้วเขย่ามืออีกครั้งอย่างแรง

แล้วอุบัติเหตุก็เกิดขึ้น แขนของหุ่นหลุดออกจากตัว ทอมมี่สูดลมหายใจดังเฮือกด้วยความตกใจ ขณะที่อันนิก้าทำท่าจะร้องไห้ ส่วนปิ๊ปปี้ยืนอยู่โดยมีแขนปลอมยาวสีขาวของหุ่นในมือ คนขายวิ่งออกมาและต่อว่า

“ใจเย็น ๆ ลงสักสองสามร้อยกรัมนะ” ปิ๊ปปี้บอกเมื่อฟังอยู่ได้ครู่หนึ่ง “ฉันนึกว่านี่เป็นร้านแบบบริการตัวเอง และฉันนึกอยากซื้อแขนท่อนนี้พอดี”

คนขายโกรธยิ่งขึ้น และบอกว่าหุ่นตัวนี้ไม่ได้มีไว้ขาย ที่สำคัญคือไม่ขายแค่แขนข้างเดียว ปิ๊ปปี้ต้องจ่ายค่าหุ่นทั้งตัวเพราะทำของเสีย

“แปลกจริง” ปิ๊ปปี้ร้อง “โชคดีที่ทุกร้านไม่เป็นแบบนี้ไปหมด นึกดูสิ ถ้าคราวหน้าฉันเกิดอยากกินอาหารแล้วเดินไปขอซื้อขาหมูชิ้นหนึ่ง แต่ถูกคนขายบังคับให้ซื้อหมูทั้งตัวเข้าจะเป็นยังไง”

ระหว่างพูดเธอก็ล้วงหยิบเหรียญทองคำสองสามอันขึ้นมาจากกระเป๋า ผายมืออย่างงามตอนวางเหรียญที่เคาน์เตอร์ คนขายถึงกับพูดไม่ออกด้วยความอึ้ง

“ราคาของคุณนายหุ่นมากกว่านี้มั้ย” ปิ๊ปปี้สงสัย

“ไม่ ไม่หรอก ราคาไม่ถึงค่าเงินนี้” คนขายตอบพลางก้มหัวให้อย่างสุภาพ

“เก็บเงินที่เกินมาไว้ซื้ออะไรอร่อย ๆ ให้เด็กที่บ้านกินแล้วกัน” ปิ๊ปปี้ว่าแล้วเดินกลับไปที่ประตู คนขายวิ่งตามพลางคำนับแล้วคำนับอีก และสงสัยว่าจะให้ส่งหุ่นไปที่ไหน

“ฉันอยากได้แค่แขนเท่านั้น ฉันจะถือไปด้วย” เธอว่า “ที่เหลือเอาไปแบ่งให้คนที่ไม่มีแล้วกัน!”

“เธอจะเอาแขนไปทำอะไร” ทอมมี่สงสัยเมื่อออกมาที่ถนน

“นี่น่ะเหรอ” ปิ๊ปปี้พูด “จะทำอะไร คนเราไม่ใช่ว่ามีฟันปลอม ผมปลอม หรือบางทีก็จมูกปลอมหรอกเหรอ แล้วฉันจะมีแขนปลอมสักอันไม่ได้หรือไง นอกจากนี้จะบอกให้ว่ามันเข้าท่ามากที่มีสามแขน ฉันจำได้ว่าตอนออกทะเลกับพ่อไปถึงเมืองแห่งหนึ่ง ที่นั่นทุกคนมีสามแขนกันหมด พิลึกใช่ไหมล่ะ ลองนึกดูเวลานั่งกินอาหาร มือหนึ่งถือส้อม อีกมือถือมีด แล้วเกิดอยากแคะจมูกหรือเกาหูขึ้นมา ไม่เลวเลยที่จะใช้มือที่สาม ฉันจะบอกให้ว่าประหยัดเวลาไปได้มาก”

ปิ๊ปปี้ทำท่าคิดอย่างจริงจัง

“อ๊า ฉันโกหกอีกแล้ว” เธอว่า “ไม่รู้เป็นไปได้ยังไง อยู่ ๆ เรื่องโกหกตั้งเยอะแยะก็ผุดขึ้นมาในหัวอย่างห้ามไม่อยู่ ความจริงคนในเมืองนั้นไม่ได้มีสามแขนหรอก เขามีกันแค่สองแขน”

เธอเงียบไปครู่หนึ่งและใช้ความคิด

“แต่มีคนตั้งแยะที่มีแขนเดียว” เธอต่อ “ใช่ พูดความจริงแล้วมีกระทั่งคนไม่มีแขน เวลากินต้องนอนลงแทะกับจาน เกาหูตัวเองก็ไม่ได้ ต้องให้แม่ช่วย”

ปิ๊ปปี้ส่ายหัวอย่างเศร้า ๆ

“ความจริงแล้วฉันไม่เคยเห็นแขนที่ไหนน้อยเท่าที่เมืองนั้นเลย แต่ฉันชอบทำตัวให้เด่นและดังอยู่เรื่อย ไปกุว่ามีแขนมากกว่าที่มีกันจริง ๆ”

ปิ๊ปปี้เดินต่ออย่างสบายใจ มีแขนปลอมแกว่งสะพายอยู่บนไหล่ เธอหยุดหน้าร้านขายลูกกวาด มีเด็กยืนทำท่าเคลิบเคลิ้มกันเป็นแถวอยู่ตรงหน้ากระจกที่วางโชว์ขนมหวานและลูกกวาดเต็มไปหมด กระป๋องใบใหญ่มีลูกกวาดสีแดง สีฟ้า และสีเขียว คุกกี้ช็อกโกแลตก็เรียงเป็นแถวยาว หมากฝรั่งตั้งเป็นกอง แถมยังมีอมยิ้มน่ากิน ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เด็กเล็กๆ จะพากันถอนหายใจเพราะแต่ละคนไม่มีเงิน ไม่มีแม้แต่เหรียญอันเล็กๆ

“ปิ๊ปปี้ เข้าร้านนี้กันเถอะ” ทอมมี่ดึงเสื้อและพูดอย่างตื่นเต้น

“เราจะเข้าไป” ปิ๊ปปี้บอกแน่วแน่ “เอาเลย!”

ทุกคนเข้าไปในร้าน

“ขอซื้อลูกกวาดสิบแปดกิโล” ปิ๊ปปี้บอกพร้อมกับโบกเหรียญทองคำหนึ่งเหรียญให้ดู คนขายอ้าปากค้าง ไม่ชินกับการที่มีคนซื้อทีละมากๆ

“หนูหมายถึงสิบแปดอันใช่มั้ย” เธอว่า

“ฉันหมายถึง ฉันอยากได้สิบแปดกิโล” ปิ๊ปปี้ย้ำและวางเหรียญทองคำลง นั่นแหละคนขายถึงรีบตวงลูกกวาดใส่ถุง ทอมมี่และอันนิก้ายืนอยู่ข้าง ๆ ชี้ว่าชนิดไหนอร่อย สีแดงน่ากิน ลองได้อมสักครู่ก็จะได้รสมหัศจรรย์ในปาก สีเขียวมีรสหวานอมเปรี้ยว สองสามอย่างนั้นก็ไม่เลว เยลลี่ผลไม้กับลูกอมชะเอมเทศรูปเรือก็อร่อยไม่เบา

        

“เอาอย่างละสามกิโล” อันนิก้าเสนอ และทุกคนก็เห็นด้วย

“เจ็ดสิบสองห่อแล้ว ฉันว่าวันนี้คงเอาช็อกโกแลตอีกแค่หนึ่งร้อยสามอันก็พอ” ปิ๊ปปี้พูด “อีกอย่างคือ ฉันอยากได้รถเข็นเล็กๆ สักคันไว้ขนขนมทั้งหมดนี้”

คนขายบอกว่าสามารถหาซื้อได้ในร้านขายของเล่นข้าง ๆ

ตอนนี้ข้างนอกร้านเต็มไปเด็ก ๆ ที่มองด้วยผ่านกระจกเข้ามา ทุกคนเกือบจะเป็นลมเพราะความตื่นเต้นที่เห็นการซื้อลูกกวาดของปิ๊ปปี้ เธอวิ่งไปยังร้านขายของเล่น ได้รถเข็นมาแล้วก็เอาของทั้งหมดใส่รถ เธอมองไปรอบ ๆ แล้วตะโกน “มีเด็กคนไหนไหมที่ไม่กินลูกกวาด ขอความกรุณาก้าวออกมาหน่อย!”

ไม่มีใครก้าวออกมา

“ประหลาดมาก” ปิ๊ปปี้ว่า “แล้วมีเด็กคนไหนมั้ยที่กินลูกกวาด”

มีเด็กก้าวออกมายี่สิบสามคน รวมทั้งทอมมี่และอันนิก้าด้วย

“ทอมมี่เปิดถุงเลย” ปิ๊ปปี้บอก

ทอมมี่ทำตาม แล้วการกินลูกกวาดอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็เริ่มขึ้น ทุกคนกอบใส่ปากเต็มกำมือ ทั้งสีแดงน่ากิน สีเขียวอมเปรี้ยวอมหวาน เยลลี่ผลไม้ ลูกอมชะเอมเทศรูปเรือ สลับกับช็อกโกแลตแท่ง ที่สามารถเหน็บกินตรงมุมปากได้เสมอ รสเข้ากันได้ดี

       

ขณะที่ปิ๊ปปี้กอบลูกกวาดเต็มสองมือแจกอยู่นั้นก็มีเด็กหน้าใหม่ ๆ วิ่งเข้ามาสมทบจากทุกทิศ

“ฉันว่าจะซื้อเพิ่มอีกสิบแปดกิโล” เธอว่า “ไม่อย่างนั้นมีเหลือไม่ถึงพรุ่งนี้แน่”

ปิ๊ปปี้ซื้ออีกสิบแปดกิโล แต่ถึงอย่างนั้นก็เหลือไปถึงพรุ่งนี้อีกไม่มาก

“ทีนี้เราไปต่อร้านอื่นกันเถอะ” เธอบอกแล้วเดินเข้าไปในร้านขายของเล่น โดยมีเด็กๆ ทุกคนเดินตามหลัง ในนั้นเต็มไปด้วยของน่ารักๆ  ทั้งรถไฟ รถยนต์ที่เปิดตัวถังได้ ตุ๊กตาตัวเล็กๆ ในชุดสวย จานช้อนเล่นขายของ ปืนแก๊ป ตุ๊กตาอาหาร สุนัขและช้างที่ทำด้วยผ้า หุ่นกระบอกชักด้วยด้ายเส้นเล็ก ๆ และภาพสวย ๆ ที่เด็กชอบสะสมกัน

“จะซื้ออะไร” คนขายถาม

“ซื้อทุกอย่าง อย่างละนิดละหน่อย” ปิ๊ปปี้บอกและมองอย่างชั่งใจไปตามชั้นวางของ “ที่เราขาดมากหน่อยคือหุ่นกระบอก” เธอพูดต่อ “แล้วก็ปืนแก๊ป ฉันหวังว่าที่นี่คงมีนะ”

เธอล้วงเหรียญทองคำออกมาเต็มกำมือ จากนั้นเด็ก ๆ ก็ชี้ของที่ตัวเองอยากได้มากที่สุด อันนิก้าเลือกตุ๊กตาน่ารัก มีผมหยิกสีทองใส่ชุดไหมสีชมพู และร้อง “แม่” ได้ด้วยเวลากดลงไปที่ท้อง ทอมมี่เอาปืนลมกับเครื่องจักรไอน้ำขนาดเล็ก เด็กคนอื่น ๆ ชี้ของที่อยากได้กันทุกคน และเมื่อได้ครบแล้ว ปรากฏว่าในร้านเหลือของอีกไม่มากเลย มีรูปภาพสะสมแผ่นเล็ก ๆ อยู่หน่อยหนึ่ง กับตัวต่ออีกสองสามอัน ปิ๊ปปี้ไม่ได้ซื้ออะไรให้ตัวเองสักอย่างเดียว ในขณะที่นายนิลส์สันได้กระจกมาบานหนึ่ง

ก่อนออกจากร้าน ปิ๊ปปี้ซื้อนกหวีดแถมให้อีกคนละอัน ดังนั้นพอออกมาที่ท้องถนน เด็กทุกคนต่างเป่านกหวีดกันเสียงดัง โดยมีปิ๊ปปี้แกว่งแขวนหุ่นในมือให้จังหวะ

เด็กชายคนหนึ่งบ่นว่านกหวีดของเขาเป่าไม่ออก ปิ๊ปปี้จึงเอามาดู

“แหม ไม่น่าแปลกใจหรอกในเมื่อมีหมากฝรั่งอุดรูอยู่อย่างนี้! เธอเอาหมากฝรั่งมาจากไหน เท่าที่จำได้ ฉันไม่ได้ซื้อหมากฝรั่งเลยนี่นา”

“ฉันมีในปากตั้งแต่วันศุกร์แล้ว” เด็กชายว่า

“แล้วเธอไม่กลัวว่าขากรรไกรจะติดกันเลยเหรอ ฉันนึกว่าพวกนักเคี้ยวหมายฝรั่งจะเป็นแบบนี้กันหมดเสียอีก”

เธอยื่นนกหวีดคืนให้เด็กชาย และเขาก็เป่ามันอย่างมีความสุขเช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ

ถนนคึกคักเต็มไปด้วยชีวิตชีวา จนตำรวจต้องเข้ามาดูเพราะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

“ส่งเสียงอึกทึกอะไรกัน” ตำรวจตะโกนถาม

         

“นี่คือขบวนพาเหรดของกองทหาร” ปิ๊ปปี้บอก “แต่ฉันไม่แน่ใจนักหรอกว่าทุกคนจะเข้าใจอย่างนั้น ฉันคิดว่าคนส่วนหนึ่งคงนึกว่าเรากำลังเล่นเป็นฟ้าร้องกันมากกว่า”

“หยุดเดี๋ยวนี้” ตำรวจตะโกนพร้อมกับยกมือปิดหูทั้งสองข้าง ปิ๊ปปี้ตบหลังเบา ๆ อย่างให้กำลังใจด้วยแขนปลอม

“เธอน่าจะดีใจที่เราไม่ได้ซื้อแตรมานะ”

ไม่ช้าเสียงนกหวีดก็เงียบลงทีละอัน ท้ายที่สุดแล้วมีแต่เสียงนกหวีดของทอมมี่ที่ดังขึ้นเบาๆ เป็นครั้งคราว ตำรวจพูดอย่างหนักแน่นว่าห้ามชุมนุมบนท้องถนน และทุกคนต้องกลับบ้าน ซึ่งไม่มีเด็กคนไหนขัดข้อง พวกเขาต่างอยากกลับไปลองเล่นรถไฟหรือรถยนต์ที่ได้มา บางคนก็อยากจัดที่นอนให้ตุ๊กตาตัวใหม่ ดังนั้นจึงแยกย้ายกันไปอย่างดีใจและเป็นสุข ถึงขนาดที่ว่าไม่มีใครสนใจกินอาหารเย็นกันเลยในวันนั้น

ปิ๊ปปี้ ทอมมี่ และอันนิก้ากลับบ้านด้วยเช่นกัน ปิ๊ปปี้ลากรถเข็นตามหลัง และมองดูป้ายร้านค้าทุกอันที่เดินผ่าน เธอพยายามสะกดคำเท่าที่ทำได้

“ร้-า-น-ข-า-ย-ย-า แน่ะ ไม่ใช่ที่นี่เหรอที่คนมาซื้อยากัน” เธอสงสัย

“ใช่ ที่นี่แหละคือที่ที่คนมาซื้อยา” อันนิก้าตอบ

“อุ๊ย ฉันต้องรีบเข้าไปซื้อหน่อยแล้ว” ปิ๊ปปี้บอก

“แต่เธอไม่ได้ป่วยนี่” ทอมมี่สงสัย

“ถึงตอนนี้ยังไม่ป่วย ฉันก็ไม่อยากเสี่ยง” ปิ๊ปปี้บอก “ทุกปีมีคนตั้งเยอะที่ตายเพราะซื้อยาไม่ทัน และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดกับฉันด้วย”

คนขายกำลังคลึงเม็ดยาอยู่ในร้าน เขาคิดจะทำอีกหน่อยก็ปิดร้านเพราะเย็นมากแล้ว ตอนนั้นเป็นเวลาเดียวกับที่เด็กทั้งสามตรงเข้าไป

“ฉันอยากซื้อยาสี่ลิตร” ปิ๊ปปี้บอก

“ยาอะไร” คนขายพูดอย่างรำคาญ

“ยาดี ๆ ที่แก้โรคได้” ปิ๊ปปี้บอก

“โรคอะไรล่ะ” คนขายหงุดหงิด

“เอายาแก้ไอ แก้รองเท้ากัด แก้เจ็บท้อง กับที่ใช้เวลาเป็นหัดเยอรมัน กับเวลาเผื่อเอาเม็ดถั่วใส่เข้าไปในรูจมูก อะไรทำนองนี้ และถ้าให้ดีขอแบบที่ใช้ขัดโต๊ะเก้าอี้ให้เป็นเงาได้ด้วย ยาดีจริงต้องเป็นอย่างนี้”

คนขายบอกว่าไม่มียาที่ไหนดีถึงขนาดนั้น เขายืนยันว่ามีแต่ยาแต่ละอย่างใช้กับโรคต่างชนิด และเมื่อปิ๊ปปี้เอ่ยชื่อโรคอื่นขึ้นมาอีกสิบอย่างที่เธอต้องการรักษา คนขายก็หยิบขวดยาออกมาตั้งเป็นแถวยาวตรงเคาน์เตอร์ มีส่วนหนึ่งติดฉลาก “ใช้ภายนอก” ซึ่งหมายถึงเป็นยาที่ใช้เฉพาะทาภายนอกร่างกาย ปิ๊ปปี้จ่ายเงิน หยิบขวดยา กล่าวขอบคุณ และจากมา

ทอมมี่กับอันนิก้าเดินตามมาติด ๆ คนขายเหลือบมองนาฬิกาและเห็นว่าได้เวลาปิดร้าน เขาจึงปิดประตูตามหลังเด็ก ๆ พลางคิดอย่างสบายใจว่าจะได้กลับไปกินอาหารเย็นที่บ้านเสียที

ปิ๊ปปี้วางขวดยาทั้งหมดลงที่หน้าร้าน

“โอ๊ย โอ๊ย เกือบลืมสิ่งสำคัญที่สุดไปแน่ะ” เธอว่า

แต่เพราะว่าประตูร้านปิดแล้ว เธอจึงใช้นิ้วชี้กดกริ่งเรียกตรงประตู กดแรงและนานจนทอมมี่กับอันนิก้าที่อยู่หน้าร้านยังได้ยิน ครู่ต่อมาช่องเล็ก ๆ ตรงประตูก็แง้มออก นั่นเป็นช่องที่คนทั่วไปสามารถมาขอซื้อยาได้ถ้าเกิดบังเอิญป่วยในตอนกลางคืน คนขายยื่นใบหน้าแดงก่ำออกมามอง

“เอาอะไรอีก” เขาพูดโกรธ ๆ ใส่ปิ๊ปปี้

“จ้ะ ขอโทษที คนขายใจดี” ปิ๊ปปี้ตอบ “ฉันเกิดนึกอะไรได้อย่างหนึ่ง คนขายยาที่รู้เรื่องโรคดี ช่วยบอกซิว่า ถ้าเกิดปวดท้องขึ้นมา ทำอย่างไหนดีกว่ากันระหว่างกินขนมพุดดิ้งกับนอนคว่ำแช่ท้องในน้ำเย็น”

คนขายหน้าแดงก่ำมากขึ้น

“ไปให้พ้น” เขาแผดเสียง “ไปซะเดี๋ยวนี้ ไม่งั้น…!”

ว่าแล้วก็กระแทกช่องประตูปิดลง

“พระช่วย อารมณ์รุนแรงอะไรปานนั้น” ปิ๊ปปี้บ่น “ใครเห็นก็คงนึกว่าฉันไปทำอะไรเขาเข้า”

เธอกดกริ่งประตูอีกครั้ง ซึ่งใช้เวลาไม่กี่วินาทีเองก่อนที่คนขายยาจะโผล่มาให้เห็นอีกตรงช่องประตู คราวนี้หน้าเขาแดงกว่าเดิมหลายเท่า

“บางทีขนมพุดดิ้งคงจะย่อยยากสักหน่อย” ปิ๊ปปี้พูดอย่างไตร่ตรองและมองอย่างเป็นมิตร คนขายไม่ตอบนอกจากกระแทกช่องประตูปิดเสียงดัง

“เอาเถอะ” ปิ๊ปปี้ยักไหล่ “อย่างนั้นฉันเลือกกินขนมพุดดิ้งแล้วกัน ถ้ามีอะไรผิดพลาด เขาต้องโทษตัวเองแล้ว”

เธอนั่งลงอย่างสบายใจตรงบันไดหน้าร้าน เอาขวดยามาเรียงกัน

“คิดดูสิ ตัวโตซะเปล่า กลับไม่รู้เรื่อง” เธอบอก “ดูซิว่าฉันมีอะไร แปดขวด จะดีกว่าถ้าเข้าไปอยู่รวมกันในขวดเดียว นี่โชคดีนะที่ฉันพอจะมีหัวคิดอยู่บ้าง”

พูดแล้วก็เปิดจุกขวดทั้งหมดออก เทกรอกรวมๆ กันไปในขวดเดียว จากนั้นก็เขย่าอย่างแรง เสร็จแล้วยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ อันนิก้าถึงกับเป็นกังวล เพราะรู้ว่ายาส่วนหนึ่งใช้สำหรับทาภายนอกเท่านั้น

“แต่ปิ๊ปปี้” เธอว่า “รู้ได้ยังไงว่ายาพวกนี้จะไม่เป็นพิษ”

“รู้สิ” ปิ๊ปปี้พูดอย่างมีความสุข “จะรู้ชัดที่สุดก็ต้องพรุ่งนี้แหละ ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ก็แสดงว่าไม่มีพิษ เด็ก ๆ ดื่มได้”

 

ทอมมี่กับอันนิก้าหยุดคิด ครู่หนึ่งทอมมี่จึงเอ่ยขึ้นมาอย่างเศร้า ๆ ด้วยความไม่แน่ใจ

“ใช่ แต่ถ้าเป็นพิษล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น”

“พวกเธอก็เอายาที่เหลือในขวดนี้ไปขัดโต๊ะเก้าอี้ในห้องอาหารไง” ปิ๊ปปี้บอก “ไม่ว่าจะเป็นพิษหรือไม่ก็ตาม จะได้ไม่เสียของ”

เธอหยิบขวดยาขึ้นมาใส่รถเข็น ในนั้นมีแขนปลอมหนึ่งอัน เครื่องจักรไอน้ำและปืนลมของทอมมี่ ตุ๊กตาของอันนิก้า กับถุงใส่ลูกกวาดสีแดงชิ้นเล็ก ๆ อีกห้าอัน นั่นเป็นสิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหมดจากลูกกวาดสิบแปดกิโล นายนิลส์สันลงไปนั่งอยู่ด้วยเพราะเหนื่อย

“อย่างน้อยที่สุด ฉันจะบอกอะไรให้พวกเธอรู้ นี่เป็นยาที่ดีมาก รู้สึกเลยว่าสบายขึ้นและสดชื่นขึ้น สบายตลอดหัวจนถึงหาง” บอกพร้อมกับส่ายก้น จากนั้นก็ลากรถเข็นเดินเซไปเซมากลับวิลล่า วิลเลคูลล่า โดยมีทอมมี่กับอันนิก้าเดินตามไปข้าง ๆ พวกเขารู้สึกปวดท้องอยู่หน่อย ๆ

 

ติดตามต่อได้ในนิยายฉบับเต็ม

วางจำหน่ายเร็วๆ นี้

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า