[ทดลองอ่าน] หมู่บ้านหมาหอน / ฮิซาดะ ทัตซึกิ

ฮิซาดะ ทัตซึกิ เขียน

ฉัตรขวัญ อดิศัย เเปล

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

*ติดตามวันวางจำหน่ายได้ทางเพจ “เเพรวสำนักพิมพ์”เร็วๆนี้*

————————————————————

ปฐมบท

 

ท้องฟ้าสีครามแผ่กว้างที่เจิดจ้าจนแสบลึกในดวงตา

มองลงไปเห็นทะเลสาบสีฟ้าสดท่ามกลางวงล้อมของทิวเขาสีเขียวเข้ม

คลื่นสีเงินที่สะท้อนแสงตะวันดูประดุจฝูงนกหัวโต

เสียงร้องของนกป่าดังสะท้อนมาจากไกล ๆ นกอะไรก็ไม่รู้ ร้องเสียงแหลมเนิ่นนาน เพ่งดูแต่ก็หาไม่เจอ

ยอดคลื่นละม้ายนกหัวโตรวมฝูงบนผิวน้ำเกิดความปั่นป่วนชั่วแวบ ประหนึ่งตอบรับเสียงใบไม้เสียดสีกันของต้นไม้ซึ่งเรียงเป็นทิวแถวอยู่ห่างไกล กลิ่นเขียว ๆ ลอยมาตามสายลมพัด

ครู่นั้นฉันเคลิ้มมองภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปตามทะเลสาบเขื่อน มองทะลุไปใต้ผิวน้ำสีน้ำเงินออกดำอยู่เงียบ ๆ

ฉันกระซิบว่า อยู่ใต้ผิวน้ำนั่นอย่างไรล่ะ

เสียงหอนเศร้าของสุนัขดังแว่วมาแต่ไกล…

 

“ทะเลสาบเขื่อนในชิคุโฮ”

 

 

ที่นี่…แถบชิคุโฮซึ่งอยู่ตอนเหนือของจังหวัดฟุคุโอกะแห่งนี้ มีข่าวลืออย่างหนึ่ง

นั่นคือ มีหมู่บ้านจมอยู่ใต้ทะเลสาบเขื่อนในชิคุโฮ

กระทั่งในปัจจุบัน ชาวบ้านที่ตายไปก็ยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น แล้วบางครั้งก็ออกมาร่อนเร่บนผืนพิภพ

มีคนเล่าด้วยว่า พวกเขากรูกันออกมาจากแถวอุโมงค์เก่าใกล้เขื่อน

มีคนเคยเจอกลุ่มชาวบ้านในชุดกิโมโนโบราณไล่กวด

เพราะอะไรคนเหล่านั้นจึงหลงวนเวียนอยู่ในโลกนี้ล่ะ

มีตำนานเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้คนเล่าลือกันนั้น ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับความจริงด้วย

“เพราะฆ่าชาวบ้านทุกคนที่ต่อต้านการก่อสร้างเขื่อน แล้วทำให้หมู่บ้านจมอยู่ใต้น้ำน่ะสิ”

แต่การก่อสร้างเขื่อนกับเหตุหมู่บ้านจมลงใต้น้ำเกิดขึ้นในยุคโชวะ[1]

เหตุการณ์แบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว

เดิมที เท่าที่ดูจากเอกสารที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่พบว่ามีข้อผิดพลาดอะไรในการก่อสร้างเขื่อน

คนส่วนใหญ่คิดว่า เหตุผลดังกล่าวคงเป็นเรื่องอำกันเล่นหรือไม่ก็ตำนานประจำเมือง

…ทว่าเมื่อวันก่อน คู่รักคู่หนึ่งพูดเกี่ยวกับทะเลสาบเขื่อนว่า

“ตอนเดินผ่านอุโมงค์เก่าใกล้ทะเลสาบเขื่อน เราเจอกลุ่มคนที่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้และเกือบโดนพวกเขาทำร้าย”

อุโมงค์ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดผีสิงมาตั้งแต่สมัยก่อน

กล่าวกันว่าเมื่อเดินเลยอุโมงค์ไป จะเจอกับสถานที่ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าอุโมงค์

“โรงพยาบาลร้างที่ขาดทุนจนต้องเลิกกิจการ เพราะหมอมีข่าวฉาว”

“บ้านซึ่งคนในบ้านถูกสังหารโหดยกครัว ทั้งพ่อ แม่ ลูกชายหนึ่งคน และลูกสาวหนึ่งคน”

“เสาโทริอิผุพังกับหอสักการะต้องคำสาปที่เกือบพังทลาย”

“บ้านสีขาวที่มีกรง เอาไว้กักขังทารกกับแม่”

เป็นเรื่องที่เล่าขานกันให้เห็นบ่อยครั้งทางอินเทอร์เน็ตหรือนิตยสาร ไม่มีมนุษย์คนใดเคยค้นพบสิ่งเหล่านั้นจริง ๆ จะบอกว่าเป็นสถานที่โด่งดังที่พวกคลั่งไคล้สถานที่ผีสิงชอบไปเยือนก็ไม่ใช่การกล่าวเกินจริง

คู่รักคู่นั้นแค่เข้าไปแถวอุโมงค์เพื่อทดสอบความกล้า พอได้ยินว่าเป็นสถานที่ผีสิงอันขึ้นชื่อลือชา ทั้งคู่ก็แค่ชวนกันไปดู

แม้ไปเยือนพร้อมถือไฟฉายไปด้วยและรู้สึกกลัวในช่วงแรก แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ระหว่างหยอกเย้ากันว่าผิดหวังเนอะ พวกเขาเจอสิ่งประหลาดหลังเดินผ่านอุโมงค์มาได้ไม่นาน

จู่ ๆ ก็เจอป้าย

ป้ายนั้นล้มอยู่บนพื้น สงสัยจะเพราะฐานป้ายผุ

ทั้งคู่มองป้าย นึกสงสัยว่าอาจเป็นข้อความที่บอกไว้ว่าที่ตรงนั้นเป็นที่ดินส่วนบุคคลหรืออยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพื้นที่ใด

ข้อความสีขาวเขียนอยู่บนป้ายสีแดงซีดเซียว ทั้งยังตัวหนังสือเลือนจนอ่านไม่ออก

ป้ายนั้นต้องการบอกอะไรกันแน่ ถึงจะอยากรู้ แต่ก็คิดว่าสมควรแก่เวลาที่จะออกจากที่นี่แล้ว ขณะทั้งสองปรึกษากันอยู่นั้นเองก็ได้ยินเสียงคำรามดังจากอีกฟากของเส้นทาง

พวกเขาหันไฟฉายไปทางนั้น ตั้งท่าระวังโดยไม่รู้ตัวเพราะนึกว่าสุนัขจรจัดส่งเสียงขู่

แต่บริเวณนั้นปราศจากสิ่งใด หากแต่เสียงคำรามยังดังต่อไป

แม้กลับไปทั้งแบบนี้ แต่ควรหันหลังให้เสียงที่ได้ยินนั่นจะดีหรือ ระหว่างที่ลังเล ปรากฏว่าไฟฉายดับพรึ่บ

ในชั่ววินาทีนั้นความมืดสนิทก็มาเยือนทันที

เพิ่งเคยเจอความมืดจนน่าหวาดหวั่นแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต

ทั้งคู่ร้องเสียงหลง กดสวิตช์ไฟฉายระรัว แต่แสงสว่างก็ไม่กลับคืนมา

จังหวะนั้นก็เห็นบางอย่างทอแสงลาง ๆ ท่ามกลางความมืด

ผู้คนเดินยั้วเยี้ยเปล่งแสงสีซีดจาง

มีทุกเพศทุกวัย ทว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่แลดูโบราณ

มองไม่ออกว่ายุคโชวะหรือเก่ากว่านั้น

ทุกคนเดินคืบใกล้เข้ามาด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน

มือที่ยื่นมาข้างหน้าพยายามจับตัวทั้งสองคน

ทั้งสองคนจึงขยับเท้าวิ่งหนีทันที แต่ดันหกล้ม

เพราะเหยียบบางอย่าง สิ่งนั้นให้สัมผัสอ่อนนุ่ม แต่เหมือนมีแกนแข็งข้างใน ทั้งคู่ต่างสงสัยว่าใต้เท้ามีอะไร ทว่าไม่กล้าพอจะเอื้อมมือไปสัมผัส

ตอนนั้นเองแสงสว่างจ้าก็ส่องเข้าตา

แสงจากสมาร์ทโฟนที่แฟนสาวเป็นคนเปิดนั่นเอง

ฝ่ายผู้ชายจึงหยิบสมาร์ทโฟนออกมาเปิดไฟฉายบ้าง

ทันใดนั้นร่างของผู้คนและเสียงคำรามก็อันตรธาน

ทั้งคู่จึงหนีรอดจากที่นั่นมาได้เพราะโชคช่วย

 

“ตั้งแต่นั้นมา ผมรู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ…แล้วก็ฝันเพ้อเจ้อว่าจมน้ำตายด้วยครับ”

เขาบอกพลางยกมือลูบไล้ร่างกายตัวเอง จากนั้นฝ่ายหญิงสาวก็พูดอย่างกังวลบ้าง

“ฉันก็ฝันคล้ายกันบ่อย ๆ ค่ะ แล้วที่คอก็มีรอยนูนประหลาด ๆ ปรากฎขึ้นมาด้วย”

เธอเงยให้ดู บริเวณใต้คางมีเส้นสีแดงคล้ำนูนขึ้นมาจริงดังว่า

คล้ายทั้งอักษรจีนเวลาเขียนหวัด ๆ หรือไม่ก็อักษรภาพ

“มันไม่ยอมหายไปสักทีค่ะ”

คู่รักขมวดคิ้วพลางบอกว่าเดี๋ยวจะไปเข้าพิธีชำระล้าง[2]

หมู่บ้านแห่งนั้นยังจมอยู่ใต้ทะเลสาบเขื่อน

ผู้คนในหมู่บ้านก็ยังระเหเร่ร่อนอยู่แม้ในตอนนี้อย่างนั้นหรือ

 

 

 

*คัดลอกมาจากส่วนหนึ่งใน เรื่องเล่าและสิ่งลึกลับในชิคุโฮ เขียนโดยฮิซาดะ ทัตซึกิ ตีพิมพ์โดยทาเคะโฉะโบ

 

 

 

 

 

บทที่ 1 เด็กชาย

(คานาเดะ)

 

 

…เรียวทาโระคุง ได้ยินว่าหนูฝันเห็นเรื่องน่ากลัวเหรอ”

ฉันถามเด็กชายอายุห้าปีที่อยู่ตรงหน้า พยายามเลือกใช้คำพูดให้เข้าใจง่ายที่สุด

แต่อาจพลาดไปหน่อยก็ได้ ขนาดฉันเองยังรู้สึกตัวว่าน้ำเสียงแข็งไปนิด น่าจะเปล่งเสียงให้นุ่มนวลสมเป็นผู้หญิงมากกว่านี้ เพื่อนร่วมงานเคยเตือนฉันว่า “สีหน้ายังอ่อนโยนไม่พอ” “บางทีก็ทำหน้าเหมือนปฏิเสธคนอื่น” ฉันจึงมักระวังตัวเป็นปกติ

ราวกับเป็นการยืนยันถึงเรื่องนั้น เขาไม่ยอมสบตาฉัน กลับเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ไม่พูดไม่จาสักคำ

คงเป็นเพราะบรรยากาศในห้องไร้ชีวิตชีวาที่ล้อมรอบด้วยผนังกับเพดานสีขาวด้วย ไม่แปลกที่เด็กอายุห้าปีจะเกิดอาการเกร็ง

ฉันเตรียมตุ๊กตายัดนุ่น ของเล่น และของตกแต่งผนังเพื่อคลายความกดดันให้พวกเด็ก ๆ เอาไว้แล้ว แต่ท่าทางจะไม่ได้ผลเท่าใดนัก

ที่นี่คือห้องพบแพทย์ของแผนกกุมารเวช โรงพยาบาลคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิคุโฮ

ซึ่งเป็นที่ทำงานของฉัน…โมริตะ คานาเดะ

ฉันทำงานเป็นแพทย์ฝึกหัดในฝ่ายจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ปีนี้อายุยี่สิบห้าปีแล้ว ทว่าเส้นทางสู่การเป็นแพทย์ยังอีกยาวไกล เพราะยังไม่ได้รับอนุญาตให้รับผิดชอบผู้ป่วยเต็มตัว

ที่จริงแพทย์ผู้รับผิดชอบเด็กชายเรียวทาโระคือหมออุจิดะ แพทย์ที่เป็นผู้บังคับบัญชาของฉัน “สิ่งจำเป็นสำหรับคุณหมอโมริตะคือการได้ลงมือปฏิบัติจริง ฉะนั้นเริ่มจากสั่งสมประสบการณ์ก่อนเลยนะ” ฉันได้รับมอบหมายผู้ป่วยคนนี้มาด้วยเหตุผลนั้น

ประสบการณ์อย่างนั้นหรือ…เราจะไหวหรือเปล่าหนอ

ฉันถอนหายใจเบา ๆ อยู่ในใจ

จากนั้นปรับอารมณ์ หันไปมองผู้ป่วยและคุณยูโกะ แม่ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ลูกชายตลอดเวลา

ได้ฟังมาว่าเธอคลอดเด็กชายคนนี้ตอนอายุสามสิบกว่าปี เธอไม่ถึงกับปกป้องลูกจนเกินเหตุ เป็นเพียงการตามใจลูกในระดับหนึ่ง ฉันเคยเห็นเธอดุเขาด้วยเสียงเข้มนิดหน่อย แต่ก็อยู่ในขอบเขตของการอบรมสั่งสอนโดยทั่วไป ไม่มีปัญหาที่ให้ติดใจสงสัยเป็นพิเศษ

คุณยูโกะเริ่มพูดเหมือนจะตอบแทนลูก

“ลูกไม่ยอมเล่าให้ฉันฟังเหมือนกันค่ะ”

ฉันหันไปจับจ้องเรียวทาโระอีกครั้ง

เขาเพิ่งอายุห้าปี กระนั้นก็พูดจารู้เรื่องดี เพียงแต่เวลาเข้าประเด็นนั้นทีไรจะหุบปากเงียบสนิท ตอนนี้ก็เหมือนกัน เขามักเล่าความฝันและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองยังไม่จบก็จะเงียบไปเสียดื้อ ๆ แต่ที่แน่ ๆ คือต้องมีเหตุผลที่เขาเป็นเช่นนี้ เพราะบางครั้งความเงียบก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นความรู้สึกของเจ้าตัวได้อย่างชัดเจน

ฉันรอให้เรียวทาโระอ้าปากพูดเอง พลางสังเกตท่าทีของเขา

ทว่าคุณยูโกะกลับพูดแทรกขึ้นมา

“แต่เขาฝันร้ายแล้วละเมอทุกคืนเลยค่ะ ทำหน้าทรมาน…แล้วก็เศร้ามาก”

เรียวทาโระทอดสายตามองต่ำอย่างเงียบเชียบ ด้วยความที่เขาไวต่อสิ่งกระตุ้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าเขาไม่กล้าเล่าออกมาเวลาอยู่ต่อหน้าบุคคลที่สาม ถึงแม้คนคนนั้นจะเป็นแม่ของเขาเองก็ตาม

อาจจะต้องแยกแม่ไปอีกห้องหนึ่งก่อน

ขณะที่ฉันคิดว่าจะชักจูงอย่างไร นางพยาบาลชื่อเอมิก็เข้ามาเรียกคุณยูโกะจากด้านหลัง

“ขอถามรายละเอียดจากคุณแม่ในอีกห้องหนึ่งได้ไหมคะ”

“…ได้ค่ะ เรียวจัง หม่าม้าไปห้องโน้นเดี๋ยวนะ ลูกเล่าเรื่องความฝันให้คุณหมอฟังอย่างละเอียดนะ…เข้าใจไหม”

เอมิพาคุณยูโกะออกไปจากห้อง

ตอนนี้จึงเหลือแค่ฉันกับเรียวทาโระในห้องตรวจ นอกจากเสียงที่ดังมาจากข้างนอกแล้วก็ไม่ได้ยินอะไรอื่นอีก

“มีเรื่องที่ไม่อยากให้หม่าม้าได้ยินเหรอ”

เรียวทาโระตอบเสียงเบา

“ก็มัน…”

“หือ?”

“บอกว่าห้ามพูด”

“…ใครบอกเหรอ”

เรียวทาโระอาศัยอยู่กับพ่อแม่ รวมทั้งหมดสามคน อาจเป็นแม่…พ่อ หรือไม่ก็คนนอกครอบครัว

“หม่าม้า”

คุณยูโกะเนี่ยนะ ท่าทีให้ความร่วมมือจนถึงเมื่อครู่ของเธอเป็นแค่การแสดงอย่างนั้นหรือ

“หม่าม้าเหรอ ตอนนี้หม่าม้าออกจากห้องไปแล้วนะ”

ฉันจงใจเบนสายตาไปฝั่งทางเดินด้านนอกประตู เพื่อสื่อว่าแม่ของเขาไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ฉะนั้นเล่าให้ฉันฟังตามตรงได้เลย

“…หม่าม้า…ตรงโน้น”

“หม่าม้า ตรงโน้น งั้นเหรอ”

ระหว่างตั้งใจเงี่ยหูฟังคำพูดของเด็กชายที่นั่งก้มหน้า ฉันพินิจพิเคราะห์สีหน้ากับอากัปกิริยาของเขา คำว่า “ตรงโน้น” หมายถึงอะไรกันแน่ ต้องอ่านความหมายให้ออก

“เป็นความลับน่ะ ไม่งั้นหม่าม้าจะเศร้า”

เขาเงยหน้า เหลือบไปมองที่ไหนสักแห่งในห้อง ไม่ได้มองฉัน ในเวลาเดียวกันนั้นฉันรู้สึกถึงความผิดปกติจากทางด้านหลังของตัวเอง เป็นการรับรู้ทางกายสัมผัสที่น่ารังเกียจ ซึ่งฉันเป็นเช่นนี้บ่อยครั้งมาตั้งแต่ยังเด็ก

อ้อ อีกแล้วหรือนี่

ฉันไม่กล้าหันไปมองข้างหลัง

แววตาติดจะเกรงใจของเรียวทาโระเขม้นมองจุดเดียว

ด้านหลังฉัน

 

ฉันเรียกคุณยูโกะกลับมา แจ้งว่าตรวจเสร็จแล้ว ไม่ค่อยมีความคืบหน้า แต่ก็บอกให้เธอเข้าใจว่าเรื่องนี้ต้องใช้เวลาและกระบวนการรักษาอย่างระมัดระวัง

เราออกจากห้องตรวจพร้อมกัน ฉันไปส่งสองแม่ลูกถึงหน้าลิฟต์ เอมิกดปุ่มให้ลิฟต์เลื่อนลงมา

“ขอบคุณนะคะ”

คุณยูโกะค้อมศีรษะให้เบา ๆ ความอ่อนล้าเล็กน้อยปราฏให้เห็นบนใบหน้าของเธอ

ไม่นานนักประตูลิฟต์ก็เปิด

คุณยูโกะบอกให้เรียวทาโระเข้าไปใน “กรงขัง” นั้น

ในลิฟต์ติดกระจกเงาสำหรับผู้ป่วยที่ใช้เก้าอี้รถเข็น เผื่อในกรณีหมุนเปลี่ยนทิศทางไม่ได้ขณะอยู่ในนั้นก็จะมองเห็นข้างหลังได้เวลาออกจากลิฟต์

แต่คงมีคนจำนวนมากใช้กระจกนั้นส่องดูเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเอง

ฉันก็มักเช็กภาพตัวเองที่สะท้อนบนกระจกเงาโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน

เสื้อกาวน์ที่ใส่เป็นประจำ ผมดำยาวถึงไหล่ ใบหน้าดูอิดโรยนิดหน่อยทำให้รู้สึกกังวล ฉันสูงกว่าเอมิที่ยืนอยู่ข้างกาย…ไม่สิ ฉันสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่แล้ว…ความที่ผอมเกินไป เลยพะวงว่าฉันมีภาพลักษณ์อย่างไรบ้างในสายตาคนอื่น

“ขอบคุณที่ช่วยดูแลหลายเรื่องเลยนะคะ”

ฉันได้สติเมื่อได้ยินเสียงของคุณยูโกะ จากนั้นค้อมศีรษะให้เธอ

“เอ้า เรียวจังก็บอกลาคุณหมอด้วยสิจ๊ะ”

พอโดนแม่คะยั้นคะยอ เรียวทาโระก็ย่างเท้ามาหนึ่งก้าวแล้วโบกมือ ฉันโบกมือกลับ คิดในใจว่าเวลาสื่อสารกันรู้เรื่องก็ราบรื่นได้ขนาดนี้เชียวหรือ

ทว่าสายตาของเขาไม่ได้จับอยู่ที่ฉัน แต่ก็ไม่ได้มองไปทางเอมิที่อยู่ข้างฉันด้วย

ความรู้สึกเดิมจู่โจมจากข้างหลังของฉันอีกแล้ว “ความรู้สึกนั้น” น่ารังเกียจเหมือนมีมืออุ่นชื้นจำนวนมหาศาลลูบไล้ร่างกาย

สิ่งที่ไม่อยากเห็น สิ่งที่ไม่อยู่ในโลกนี้ ต้องอยู่ตรงนั้นแน่ ๆ

ไม่ต้องหันไปดูหรอก

แต่คราวนี้ฉันรู้สึกว่า ถึงอย่างไรก็ต้องดูให้แน่ใจ

ฉันหันตามสายตาของเรียวทาโระอย่างหวาด ๆ

มองข้ามไหล่ พลันได้เห็นใบหน้าของผู้หญิง

ภาพนั้นดับวูบประหนึ่งภาพความทรงจำที่ย้อนแวบกลับเข้ามาในสมอง แต่ฉันไม่มีทางลืมว่าหญิงคนนั้นมีผมดำยาวและผิวขาวซีดไร้สีเลือด เธอโบกมือด้วยแววตาว่างเปล่า คนที่เธอโบกมือให้คงเป็นเรียวทาโระ

อ้อ เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย

แม้รู้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์ หัวใจบีบแน่นจนเจ็บ

ฉันปิดบังความหวาดหวั่น หันกลับไปทางพวกเรียวทาโระ

จังหวะนั้นเกือบจะหยุดหายใจขึ้นมาอีกรอบ

หญิงหน้าซีดที่เพิ่งเห็นเมื่อกี้ยืนอยู่ข้างตัวฉันซึ่งสะท้อนบนกระจกเงาที่ติดอยู่ในลิฟต์

เธอใส่เสื้อนอกเนื้อบางกับกระโปรง แน่นอนว่าไม่มีผู้หญิงแบบนี้อยู่ข้างตัวฉันในความเป็นจริง เธอมีตัวตนเฉพาะในกระจก ไม่ใช่คนที่อยู่ในโลกนี้แต่อย่างใด

ขณะฉันยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ ประตูลิฟต์ปิดลง พวกเรียวทาโระกับหญิงในกระจกหายไปจากทัศนวิสัย

ฉันยืนตัวเกร็งไม่กระดุกกระดิก

ตอนนั้นเองที่สัมผัสถึงกลิ่นอายบางอย่างจากด้านหลัง ฉันหันไปมองโดยอัตโนมัติ

แต่แค่มีคนเดินผ่านเฉย ๆ ฉันโล่งอก

“คุณหมอโมริตะ เป็นอะไรไปคะ ฉันเรียกตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”

เอมิชะโงกมามองหน้าฉันด้วยความเป็นห่วงจากด้านข้าง

“เอ๊ะ อ๊ะ อือ”

หลังจากตอบแบบคลุมเครือ ปากฉันขยับเองตามอำเภอใจ

“ฉันขอยกเลิกดูแลเด็กคนนั้นดีไหมนะ”

เอมิอุทานด้วยความตกใจ เพราะที่ผ่านมาฉันไม่เคยพูดจาเอาแต่ใจแบบนี้กระมัง

แต่ฉันคิดจากใจจริงว่าไม่อยากเห็นสิ่งนั้นอีกแล้ว

อยู่โรงพยาบาลนี้ไม่ค่อยเห็นแท้ ๆ

ระหว่างที่รู้สึกเหนื่อยหน่าย สมาร์ทโฟนในกระเป๋าเสื้อกาวน์ก็ดังขึ้น

ฉันหยิบมาดูหน้าจอ

ตัวอักษรคำว่า “พี่ชาย ยูมะ” ปรากฎบนนั้น

 

 

 

 

 

บทที่ 2 เหตุประหลาด

(คาเอเดะ)

 

 

ติดต่อมาบอกแค่ว่า พี่มีธุระด้วย รีบกลับบ้านซะ…รายละเอียดก็ไม่ยอมเล่า

ฉันขับรถคู่ใจท่ามกลางแสงแดดของปลายฤดูใบไม้ร่วง ที่บ้านซื้อรถคันนี้ให้เพื่อฉลองที่ฉันได้งานทำ ขณะกำพวงมาลัย ฉันนึกถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์กับยูมะ พี่ชายของฉัน

ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่า นิสัยถือตัวเองเป็นใหญ่ของพี่ชักจะคล้ายพ่อขึ้นทุกวันแล้ว

ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นสินะ

ฉันหงุดหงิดที่ต้องกลับบ้านที่ฉันเกิดอย่างเร่งด่วน ทว่าฟังจากน้ำเสียงของพี่ชาย ฉันจะมัวหงุดหงิดก็ไม่ได้ ถึงยังไม่รู้รายละเอียด แต่ดูเหมือนจะเกิดปัญหากับอากินะ คนรักของเขาที่คบหาดูใจอยู่แน่ ๆ

เนื่องจากทำงานเป็นแพทย์ฝึกหัด ตอนนี้ฉันเลยออกจากบ้านมาอยู่หอพักของโรงพยาบาล หากจะกลับบ้านในวันหยุดอันล้ำค่าเช่นวันนี้ ต้องใช้เวลาเดินทางนานทีเดียว

แต่ฉันก็เป็นห่วงอากินะจังเหมือนกัน

อากินะอายุยี่สิบสาม อ่อนกว่าฉันสองปี เป็นหญิงสาวหัวสมัยใหม่ที่น่ารัก แต่งตัวเก๋ไก๋ มีเสน่ห์ และเรียกได้ว่าเป็นคนอ้อนเก่งโดยธรรมชาติ

เมื่อลองนึกดูแล้ว เวลายูมะพูดถึงอากินะ เขาชอบเอาฉันไปเปรียบเทียบอยู่บ่อย ๆ

“คานาเดะ เธอหัดแต่งตัวน่ารักเหมือนอากินะบ้างสิ ขืนเอาแต่ใส่กางเกง ผู้ชายก็ไม่เข้ามาจีบกันพอดี…เออ แต่เธอคงไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้นหรอกมั้ง”

จริงอยู่ว่าฉันชอบใส่กางเกง แต่พี่ชายก็ไม่มีสิทธิ์บ่น แต่ละคนมีแฟชั่นที่เหมาะและไม่เหมาะต่างกัน เขาไม่รู้หรอกว่าต่อให้อยากใส่แค่ไหนก็มีสไตล์เสื้อผ้าที่ใส่ไม่ได้ ผู้หญิงที่มีรูปลักษณ์กับนิสัยแบบอากินะจะใส่เสื้อผ้าน่ารักก็ไม่มีปัญหา และคนรอบข้างก็ไม่น่าจะมองว่าไม่เหมาะสม แถมนั่นยังถือเป็นอาวุธของเธอด้วยซ้ำ

…ถ้าฉันเป็นผู้หญิงแบบนั้น คงใช้ชีวิตในโลกได้สบายกว่านี้

ขณะนึกอิจฉานิดหน่อย ถนนเปลี่ยนเป็นทางขึ้นเขาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ต้องข้ามภูเขากับแม่น้ำจำนวนหนึ่งก่อนจึงจะไปถึงย่านอันเป็นที่ตั้งของบ้านฉัน

เห็นเขื่อนอินุนาคิอยู่ระหว่างภูเขา

ไฟหมุนของป้ายไฟฟ้าที่อยู่ตรงไหล่ทางไม่ได้หมุน สงสัยจะไม่ได้จ่ายไฟเข้าเครื่อง

ฉันขับรถผ่านทะเลสาบเขื่อน ข้ามสะพานเหล็กสีแดงที่พาดข้ามแม่น้ำอินุนาคิ หลังจากเห็นตู้โทรศัพท์หลังคาสีแดงตรงตีนสะพาน รถก็แล่นไปตามถนนที่เลี้ยวลดคดเคี้ยว จนกระทั่งเห็นย่านที่อยู่อาศัยใกล้เข้ามา พอเริ่มเห็นเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงสำหรับพาดสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่อยู่เหนือพื้นดิน ขับตรงไปข้างหน้าอีกนิดก็จะถึงบ้านเกิดของฉัน

บ้านหลังนั้นใหญ่โตและมีประตูรั้วโอ่อ่า ตระกูลของเรามีชื่อเสียงในละแวกนี้ในฐานะเจ้าของที่ดินที่สืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น

ฉันขับรถไปจอดหน้าบ้านแล้วลงจากรถ

บรรยากาศน่าเกรงขามอันเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลเก่าแก่ลอยล่อง ไม่ใช่สิ คงมีเหตุผลนอกเหนือจากนั้นอยู่ด้วย

ฉันสูดหายใจลึกชั่วครู่ ก่อนจะเลื่อนเปิดประตูรั้ว ย่ำก้อนหินที่มีไว้สำหรับเหยียบโดยเฉพาะหลายก้อนไปจนถึงประตูบ้าน แล้วเงยมองบ้านของตัวเอง บ้านไม้สองชั้นเก่าคร่ำคร่าคืออวตารของต้นกำเนิดแห่งความเก่าแก่และทรงเกียรติ

“กลับมาแล้วค่ะ”

ฉันส่งเสียงทักทายขณะเปิดประตูบ้าน เห็นแม่…อายาโนะ อยู่อีกฟากของระเบียงทางเดิน

เธอยกมือจับประตูบานเลื่อนอย่างประหม่า

ด้านในของประตูบานเลื่อนบานนั้นคือห้องพระที่มีหิ้งพระหรูหรา พื้นที่เหนือร่องบานเลื่อนด้านบนมีภาพถ่ายหัวหน้าตระกูลโมริตะแต่ละรุ่นกับเหล่าภรรยาติดอยู่เรียงราย

ฉันเกลียดห้องพระห้องนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว เพราะบรรยากาศไม่ชวนให้คิดถึงครอบครัวที่ล่วงลับไป กลับรู้สึกเหมือนพวกภาพถ่ายของผู้เสียชีวิตถลึงตามองลงมาอย่างวางอำนาจมากกว่า

โดยเฉพาโมริตะ เก็นจิโระ หัวหน้าตระกูลสองรุ่นก่อน ที่มีศักดิ์เป็นปู่ทวดของฉัน ท่านมีความน่าเกรงขามมากจนรู้สึกเหมือนกำลังข่มขวัญฉันอยู่เสมอ

ไม่ว่าจะศีรษะที่โกนเกลี้ยงเกลาหรือแววตาทะนงตัวเบื้องหลังแว่นตา ดูอย่างไรก็สัมผัสได้เพียงความไม่น่าเข้าใกล้

วันนี้เราก็ไม่เข้าห้องนั้นเหมือนเดิมดีกว่า

ฉันตัดสินใจแล้วถอดรองเท้า เดินไปตามทางเดินปูไม้กระดานสีดำซึ่งขัดจนขึ้นเงา

“กลับมาแล้วเหรอ”

แม่ทักทายเสียงแผ่วตอนเดินสวนกัน แต่ฉันชำเลืองแวบเดียวแล้วเดินผ่าน แม่ไม่พูดไม่จานอกจากนั้น แค่เข้าห้องพระแล้วปิดประตูบานเลื่อน

ทำตัวแบบนั้นอยู่เรื่อย  ทำไมไม่ใช้ชีวิตอย่างมั่นใจในตัวเองให้มากกว่านี้นะ

แม่เป็นคนตัวเล็กเลยยิ่งดูต่ำต้อย ฉันอดกังวลที่แม่เป็นแบบนั้นไม่ได้

พอเหลือบไปอีกทางก็เห็นแผ่นหลังของยูมะผู้เป็นพี่ชายนั่งอยู่ตรงเฉลียง

คนรอบข้างมองว่าเขาเป็นคุณชายในตระกูลดัง ตัวสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา แต่ที่จริงเขาเป็นนีท[3]ที่ไม่มีงานทำ อาศัยอยู่ในเรือนแยกในบริเวณเดียวกันของบ้าน ให้พ่อแม่เลี้ยงดู คนบางส่วนนินทาลับหลังว่าเขาไม่เอาถ่านและเป็นภาระ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะมันคือความคิดเห็นของปุถุชน

ฉันพูดกับพี่ชายด้วยเสียงห้วนนิดหน่อย

“ว่าไงล่ะ เกิดอะไรขึ้น สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”

“…ตั้งแต่กลับมาเมื่อเช้า อากินะก็แปลกไป”

พี่ชายปรับทุกข์พร้อมถอนหายใจ เขาไม่น่าจะพึ่งตื่น แต่กลับสวมชุดวอร์มทั้งท่อนบนและท่อนล่าง แค่ดูเผิน ๆ ก็รู้แล้วว่าเขาอ่อนล้าเต็มที

ฉันถอดเสื้อโค้ทออกพับให้เรียบร้อย ถามสถานการณ์ต่อ

“อะไรแปลก แปลกยังไง”

“ก็เพราะไม่รู้ถึงได้ถามเธออยู่นี่ไงเล่า!”

ฉันสานต่อบทสนทนาเพื่อปลอบให้เขาเลิกบันดาลโทสะ

“หมายความว่าไงน่ะ…ที่พี่บอกว่าอาจเป็นเรื่องทางจิตใจก็ได้”

“…ก็คงงั้นมั้ง”

ก็คงงั้นมั้ง…หรือ ฉันมีข้อมูลจากความคิดเห็นของยูมะอย่างเดียว ถ้าไม่ได้เห็นอากินะด้วยตาตัวเองก็ยังไม่เข้าใจอยู่หลายเรื่อง แต่ข้อมูลจากบุคคลที่สามซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดก็จำเป็นเหมือนกัน

“บอกว่ากลับมาเมื่อเช้า แล้วเมื่อคืนไปไหนมา”

“…โมงค์”

“เอ๊ะ ?”

“อุโมงค์อินุนาคิ”

อินุนาคิ (หมาหอน) เป็นชื่อพื้นที่ที่ยังหลงเหลืออยู่รอบเขื่อน แต่ฉันไม่เคยได้ยินอุโมงค์ชื่อนั้นมาก่อน

“อุโมงค์อินุนาคิงั้นเหรอ”

ชั่วพริบตามที่ฉันทวนถาม มีคนร้องตกใจมาจากด้านหลัง

ฉันหันกลับไปมอง น้องชายที่ชื่อโคตะวิ่งมาด้วยความตื่นเต้น น้องชายอายุห่างกันคนนี้คงหลบอยู่ตรงบันไดใกล้ ๆ แล้วเงี่ยหูฟังบทสนทนาของผู้ใหญ่

ไม่ได้เจอกันนาน แต่เขายิงคำถามรัวเร็วอย่างซุกซนไม่เปลี่ยนแปลง

“พี่ยูไปอุโมงค์อินุนาคิมาเหรอ ดีจังน้า! ที่จริงตอนนี้ผมก็กำลังสำรวจเหมือนกัน เพื่อการค้นคว้าอิสระที่ทำต่อเนื่องมาจากฤดูร้อนน่ะ หมู่บ้านล่ะ มีหมู่บ้านหรือเปล่า”

การค้นคว้าอิสระหรือ หมู่บ้านหรือ มันอย่างไรกันแน่

“เอ๊ะ โคตะ เอ่อ เธอรู้จักอุโมงค์อินุนาคิด้วยเหรอ หมู่บ้านที่ว่าคืออะไรน่ะ”

พอฉันถาม โคตะก็ตอบอย่างเยาะเย้ยนิด ๆ

“แน่อยู่แล้วสิ! เอ๊ะ พี่ไม่รู้จักงั้นเหรอ”

ฉันส่ายศีรษะ เขาเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงภูมิใจ

“จุดผีสิงที่โด่งดังสุด ๆ ไงล่ะ!”

จุดผีสิง อ้อ เป็นธรรมดาที่จะไม่รู้จัก ฉันไม่อยากไปเยือนสถานที่ผีสิง แล้วก็ไม่อยากได้ยินเกี่ยวกับมันด้วย เป็นหัวข้อประเภทที่ฉันตัดทิ้ง ไม่อยากข้องแวะ

แต่เด็กคนนี้ชอบเรื่องลี้ลับทำนองนั้นเป็นที่สุดเลยนี่นะ

ฉันหันกลับไปหายูมะ พลางนึกถึงหนังสือเทือกนั้นที่เรียงรายอยู่บนชั้นหนังสือในห้องของโคตะ

“จุดผีสิง…เหรอ นี่ ไปทำอะไรในที่แบบนั้นน่ะ”

“ก็อากินะเธอ…”

พี่ชายทำหน้ากระอักกระอ่วน ไม่สบตาฉัน

โคตะล้อเลียนอย่างผิดกาลเทศะ

“โดนสาปน่ะสิ! เรื่องนั้นดังระเบิดไปทั่วประเทศเลยนะ!”

ชั่วพริบตาที่ฉันจะปรามเขา ประตูบานเลื่อนที่เชื่อมกับห้องพระก็เปิดออก

“ของพรรค์นั้นมีจริงที่ไหนกัน!”

พ่อ…อากิระ ยืนจังก้า จ้องโคตะเขม็งด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

ผมของเขาหวีเรียบแปล้ สวมสูทสามชิ้นที่ตัดเย็บอย่างปราณีต ประกอบกับที่เป็นคนตัวสูง ภาพลักษณ์จองหองจึงนำมาก่อนความมีสง่าราศีในฐานะผู้นำตระกูล

พ่อต่างจากแม่ มักทำตัวหยิ่งยะโสตลอดเวลา แม่เดินตามหลังพ่อห่างกันสามก้าวอยู่เสมอเพื่อไม่ให้เหยียบเงาของเขา

ห้องพระหรือ

พ่อคงพนมมือหน้าหิ้งบูชาท่ามกลางแวดล้อมของรูปถ่าย ผู้นำรุ่นก่อน ๆ  เป็นประจำ

“โคตะ อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง ไปทางโน้นไป”

พ่อจับไหล่โคตะขณะพูดเกลี้ยกล่อม ไม่สิ ใกล้เคียงกับการบีบบังคับมากกว่า

“…ขอโทษครับ”

โคตะทำไหล่ตกแล้วเดินไปทางบันได คงจะกลับห้องของตัวเองที่อยู่บนชั้นสอง

หลังมองตามลูกคนสุดท้อง พ่อก็หันกลับมาดุว่าพี่ชายด้วยน้ำเสียงข่มกลั้น

“เฮ้ยยูมะ เลิกดึงโคตะเข้าไปพัวพันกับเรื่องไร้สาระสักที ฉันไม่อยากให้เด็กคนนั้นเป็นเหมือนแก!”

ยูมะลุกขึ้นเงียบ ๆ ออกไปที่สวน แล้วเดินไปทางเรือนแยก

หนีสินะ

เมื่อหลายปีก่อน พี่ชายสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายไม่ติด พ่อเลยตำหนิเขาว่า “โรงเรียนแค่ระดับนั้น ทำไมถึงเข้าไม่ได้ แกมันพวกไม่เอาไหนที่ทำให้ชื่อเสียงของโมริตะต้องด่างพร้อย น่าขายหน้านัก ฉันเลี้ยงแกมาผิดจริง ๆ” ก่อนหน้านั้น พ่อคาดหวังในตัวพี่ชายและทุ่มเทความรักให้เขา แต่แล้วพ่อกลับหมดหวังเพราะความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ชีวิตของพี่ชายก็เลยตกต่ำลงฮวบฮาบ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาตั้งใจตอบโต้พ่อด้วย จากนั้นเขาก็ออกนอกลู่นอกทาง เริ่มคบหากับพวกคนไม่ค่อยดี เหมือนประชดพ่อ

นับแต่นั้นทั้งคู่ก็เป็นอริกันมาเรื่อย ๆ มองได้อย่างเดียวว่าที่พี่ไม่หางานทำก็เป็นเพราะอยากต่อต้าน เขาหลีกเลี่ยงการปะทะกับพ่อตรง ๆ และสนองตอบด้วยการทำพฤติกรรมบิดเบี้ยวครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้ยูมะรู้สึกว่าเขามีปมด้อย เวลาเห็นเขาหงุดหงิดกับตัวเองจนไม่รู้ควรทำประการใด คนที่เฝ้าดูเหตุการณ์อย่างฉันก็พลอยขมขื่นไปด้วย

ฉะนั้นที่พ่อโพล่งเมื่อครู่ว่า ‘ฉันไม่อยากให้เด็กคนนั้นเป็นเหมือนแก’ จึงเป็นถ้อยคำที่ไม่ควรพูดกับยูมะมากที่สุดแล้ว

“นี่ ก็เพราะพ่อพูดแบบนั้นนั่นแหละ”

ฉันเตือนพ่อทั้งที่เข้าใจดีว่าเปล่าประโยชน์

“คานาเดะ แกเงียบเลย”

บทสนทนาเดิม ๆไม่เคยเปลี่ยน ฉันพูดอะไรก็ไร้ความหมาย

“เฮ้ ฉันจะออกไปข้างนอกนะ”

พ่อบอกแม่ที่มายืนอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

“ค่ะ”

แม่ถือกระเป๋าของพ่อรออยู่แล้ว

ฉันสบตากับแม่ แต่เธอเบนสายตาหนีทันที

พ่อก้าวยาว ๆ ไปหน้าบ้านพร้อมเสียงฝีเท้าดังก้อง แม่วิ่งเหยาะ ๆ ไล่ตามหลังเขาไป

แม่นี่…จริง ๆ เลยนะ…

ฉันจับจ้องแผ่นหลังที่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของทั้งคู่ด้วยความอ่อนใจ

“ไม่รู้ว่าคล้ายใคร…”

ได้ยินเสียงพ่อบ่นลอยมาจากหน้าบ้าน แม่ยื่นกระเป๋าให้เขาโดยไม่ปริปาก

“ไอ้นั่นมันสืบสายเลือดชั้นต่ำมาจากเธอจริง ๆ นั่นละ”

น้ำเสียงเย็นชาที่ได้ยินจนคุ้นหู แต่ ‘ไอ้นั่น’ หมายถึงใครกันแน่ ยูมะหรือฉัน ไม่น่าใช่โคตะอยู่แล้ว

“ไปดีมาดีนะคะ…”

แม่ค้อมศีรษะลงต่ำให้พ่อที่ก้าวออกจากบ้านไป

ฉันเบือนหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว

…สายเลือดชั้นต่ำ ทำไมพ่อพูดแบบนั้นนะ

จริงอยู่ ครอบครัวของแม่ไม่ใช่ตระกูลที่มีชื่อเสียง พ่ออยากบอกว่าไม่ใช่สายเลือดของตระกูลที่น่านับถือเมื่อเทียบกับตระกูลโมริตะหรือ แต่พ่อก็แต่งงานกับแม่ทั้งที่รู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้วนี่นา

เสียงเครื่องยนต์จากรถของพ่อห่างจากประตูรั้วไป

ฉันหันกลับไปมองหน้าบ้าน เห็นแม่มองฝ่าความมืดสลัวมาทางฉัน ทว่าก็ก้มหน้าลงทันควัน

แม่

ได้รับรู้อีกครั้งว่าความสัมพันธ์ฉันท์ครอบครัวไม่มีอยู่ในบ้านหลังนี้

ฉันเดินกลับไปหน้าบ้านอีกครั้ง มุ่งหน้าสู่เรือนแยกที่ยูมะล่วงหน้าไป

 

เรือนแยกอยู่ด้านหลังเรือนใหญ่

เดิมมีไว้ให้คนรับใช้อยู่อาศัย แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป คนนอกครอบครัวก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในบริเวณบ้านแล้ว หลังจากพวกคนรับใช้หายไปหมด ก็มีการปรับปรุงซ่อมแซมเรือนแยกหลายครั้ง จนมีโครงสร้างใกล้เคียงกับบ้านไม้ทั่วไป

จากรั้วด้านหน้าจะมองไม่เห็นเรือนแยก ซึ่งเข้าทางยูมะกับพ่อ

มันคือฐานที่มั่นให้ยูมะหนีจากพันธนาการของพ่อและทำอะไรได้ดังใจต้องการ ส่วนพ่อมองว่ามันเป็นบ้านแยกคล้ายห้องขังสำหรับซ่อนลูกชายคนโตที่ไม่ได้เรื่องได้ราว

ไม่ว่าจะทางใดก็กล่าวได้ว่าได้ประโยชน์กันทั้งคู่

ฉันก้าวตามทางเดินไปเรือนแยกหลังจากไม่ได้เดินทางนี้มานานแล้ว ไล่ตามยูมะได้ทันในระหว่างทางนั้น แต่พอพี่ชายเห็นฉัน เขาเริ่มก้าวยาว ๆ ทันที

“นี่ เดี๋ยวสิ! ตกลงว่าไง ฉันควรทำยังไงกันแน่ แล้วอยู่ที่ไหนเหรอ”

ขณะจ้ำตามหลังพี่ ฉันร้องถามว่าจะให้ฉันทำอย่างไรกับอากินะ

เมื่อไปถึงเรือนแยก ยูมะเรียกฉันไปตรงทางเข้าแล้วเอ่ย

“เอาเป็นว่าช่วยดูให้ก่อนเถอะ”

“เอ๊ะ! อากินะจังอยู่ที่นี่เหรอ”

ในช่วงหนึ่งถึงสองปีมานี้ ทั้งคู่ใช้ชีวิตกึ่งอยู่กินด้วยกันในเรือนแยก แต่ฉันนึกว่าตอนนี้อากินะกลับบ้านของเธอเสียอีก ในเมื่อเกิดปัญหาร้ายแรง ปกติควรให้เธอไปอยู่กับพ่อแม่ตัวเองมากกว่า

จังหวะนั้นได้ยินเสียงร้องเพลงของหญิงสาวดังมาจากในห้อง

เสียงของอากินะ

“ปล่อยทารกไหลตามสายน้ำ อย่าได้เหลียวแลเอย หนาวสิหนา ร้อนสิหนา…”

ฟังจากท่วงทำนองน่าจะเป็นเพลงวาราเบะ[4] แต่ฉันไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน

ยูมะถอนหายใจอยู่ข้างฉัน ฉันยิงคำถามใส่เขาตรง ๆ

“นี่อะไรน่ะ”

“ตลอดเลย ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว…”

เขาอึกอักแล้วก้มหน้า

 

ยูมะพาฉันขึ้นเรือนแยก เดินไปถึงหน้าห้องของยูมะ

เขาเปิดประตู อากินะนั่งอยู่ในห้องนั้น มีข้าวของสารพัดวางระเกะระกะแน่นขนัด เธอสวมชุดนอน ประกอบด้วยเสื้อแขนสามส่วนกับกางเกงขาสั้น

ระหว่างร้องเพลง เธอขยับมือขวาอย่างกระตือรือร้นอยู่บนโต๊ะ ท่าทางคล้ายกำลังวาดบางอย่างบนกระดาษวาดเขียน เธอจดจ่อกับสิ่งที่ทำโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างใด ๆ แต่ดูไม่ออกว่าสายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่ไหน

เห็นแล้วนึกถึงพวกเด็กออทิสติก

“เมื่อใดต้นข้าวไม่เจริญงอกงาม จงเอาฝาปิดไว้เถิด เมื่อใดสุนัขสู่สตรี จงเอาฝาปิดไว้เถิด

ปล่อยทารกไหลตามสายน้ำ อย่าได้เหลียวแลเอย…”

อากินะยังร้องเพลงต่อไป ฉันไม่เข้าใจความหมายของเนื้อเพลงนั้น แต่ขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ท่วงทำนองอ่อนโยนแท้ ๆ

ฉันก้าวช้า ๆ เข้าไปในห้องพลางสังเกตอาการของอากินะ

เดินผ่านระหว่างขาตั้งกล้องสามขา อุปกรณ์ให้แสง ฉากหลังสำหรับถ่ายภาพ เสื้อผ้าหลากสีสัน อุปกรณ์แต่งหน้า และกีตาร์ จนกระทั่งเข้าไปใกล้ ๆ เธอ

“อากินะจังใช่ไหม”

พอฉันเรียก อีกฝ่ายหันมาทางนี้เหมือนได้สติ

“…คานาเดะจังเหรอ”

ร่างกายเพรียวบางเต็มไปด้วยปลาสเตอร์ยา เทปพันแผล และผ้าก๊อซที่แปะไว้ลวก ๆ

ภาพนี้ซ้อนทับกับภาพของพวกเด็ก ๆ ที่ถูกทารุณกรรม

อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือยูมะ ไม่หรอก ไม่น่าใช่ ถึงจะเคยมีปากเสียงกับอากินะ แต่เขาก็ไม่ได้มีนิสัยชอบลงไม้ลงมือ แปลว่าประสบอุบัติเหตุหรือ…แต่เหมือนจะมีแค่บาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจเป็นฝีมือคนอื่น…ฉันจินตนาการไปในกรณีเลวร้ายที่สุดก่อน แต่เป็นเช่นนั้นไม่ได้สิ ฉันไม่ควรทึกทักเอาเอง ก่อนอื่นต้องตรวจดูก่อน

“นี่แผลอะไรเหรอ ขอดูหน่อยสิ”

ฉันนั่งอิงแอบข้างอากินะ ทว่าเธอหันหลังอย่างหวาดกลัว กอดเข่าคล้ายซ่อนมันไว้ ท่าทีปฏิเสธฉันโดยสมบูรณ์

ไม่อยากให้เห็นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า

มีความเป็นไปได้สูงว่ามีบุคคลที่สามใช้ความรุนแรงกับเธอ จนเธอได้รับบาดแผลทางจิตใจอย่างหนัก

“สุขภาพไม่ดีเหรอ”

ฉันพยายามใช้โทนเสียงนุ่มนวลเท่าที่ทำได้

“สุขภาพเหรอ สุขภาพไม่เป็นไรเลย…อากินะแข็งแรงสุด ๆ !”

เธอเปล่งเสียงเริงร่าโดยยังไม่ยอมหันมา แต่จับความรู้สึกได้ว่าเป็นความร่าเริงจอมปลอม เรียกว่าฝืนทำร่าเริงก็คงได้ ปฏิกิริยาตอบสนองตรงกันข้ามกับสภาพของเธอในขณะนี้โดยสิ้นเชิง

ฉันพูดเสียงแผ่วถามยูมะที่ดูอยู่เงียบ ๆ

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”

“เอ่อ…ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”

นัำเสียงฟังดูงงงวย แต่เขาต้องกำลังปิดบังอะไรอยู่แน่ ๆ

พลันนั้นเธออ้าปากพูด

“อากินะเห็นด้วยละ”

สายตาของเธอลอยล่องในอากาศ ไม่ได้มองฉันหรือยูมะ อันดับแรกต้องฟังทุกอย่างที่เธออยากพูดก่อน ฉันเร่งเร้าให้เธอพูดต่อ

“เห็นอะไรเหรอ”

เธอหันขวับมาตอบฉัน

“สุนัข”

“สุนัข…งั้นเหรอ”

แววตาของอากินะกลับไปร่อนเร่ในอากาศอีกครั้ง

“หากสุนัข-หันไปทางทิศตะวันตก-หาง-ก็-อยู่ทิศตะวันออก-แต่-หากสุนัข-มีสีขาว-หางก็สีขาว”

เธอพูดด้วยท่วงทำนองแปลกประหลาด

หากสุนัข-หันไปทางทิศตะวันตก-หาง-ก็-อยู่ทิศตะวันออก-แต่-หากสุนัข-มีสีขาว-หางก็สีขาว อย่างนั้นหรือ

“…-ด้วยอะเนอะ”

อากินะยิ้ม รอยยิ้มไร้เดียงสาราวกับเด็กไม่ประสีประสา

ยูมะไม่ปริปาก แค่ยืนนิ่งอยู่กับที่

“เอ๊ะ นี่…”

อากินะลุกพรวด ทำหน้าเหมือนนึกบางอย่างออก

“…ฉี่”

เธอบอกว่าปวดปัสสาวะแล้วออกจากห้องไป ฉันทำได้แค่มองตามหลังเธอ

ฉันถอนหายใจ หันมองกลับเข้ามาในห้องที่เงียบแล้ว

เมื่อดูให้ดี มุมหนึ่งของห้องจัดไว้เป็นสตูดิโอขนาดเล็ก คงตกแต่งกันเอง มีอุปกรณ์ถ่ายภาพ อุปกรณ์แต่งหน้า และเครื่องแต่งตัวเป็นจำนวนมาก

ก่อนหน้านี้เคยได้ยินว่าอากินะเผยแพร่คลิปวิดีโอทางอินเทอร์เน็ต ยูมะทำหน้าที่เป็นตากล้องควบหน้าที่ตัดต่อ ได้รับความนิยมพอสมควร

ฉันยังไม่ได้ดูครบทุกคลิป แต่ทำกันจริงจังเลยนะเนี่ย

ระหว่างที่ฉันประทับใจ ยูมะหย่อนตัวลงนั่งข้างฉันโดยไม่พูดไม่จา ท่าทางเหมือนรอฟังความคิดเห็นของฉัน

ก่อนหน้านี้อากินะไม่เคยแสดงสัญญาณของโรคออทิสติกแม้แต่น้อย  แสดงว่า

เผยแพร่คลิปวิดีโอพร้อมมีบาดแผลด้วย ชื่อโรคจำนวนหนึ่งผุดขึ้นในสมอง

“อาจจะเป็นอาการป่วยทางวัฒนธรรม[5] หรือไม่ก็อาการจิตเภทชั่วคราว นี่ รีบพาไปโรงพยาบาลจะดีกว่านะ แล้วมีอะไรที่ทำให้เธอเครียดอย่างรุนแรงหรืออะไรทำนองนั้นหรือเปล่…”

“ฉันไม่ได้ถามถึงเรื่องพรรค์นั้น!”

ยูมะโมโห ฉันได้แต่อึ้ง

“เอ๊ะ…”

เขาพยายามข่มกลั้นอารมณ์แล้วเปิดประเด็น

“ก็นี่ไง…เธอน่ะ มองเห็นบางอย่างมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ”

ฉันตั้งตัวไม่ติด เขาไม่ได้ขอความเห็นจากฉันในฐานะจิตแพทย์หรอกหรือ

“ฉันจำได้นะ เธอชอบพูดเรื่องแปลก ๆ ตั้งแต่เด็กแล้ว…ใช่ไหมล่ะ”

อ้อ พี่พูดถึงสิ่งที่ฉัน “มองเห็น”…ในอีกรูปแบบนั่นเอง

“พอทีเถอะ!”

โทสะที่พลุ่งพล่านทำเอาฉันลืมตัวตะโกนออกไป

ฉันไม่รู้ว่าตั้งใจตะโกนใส่ยูมะ สิ่งที่ฉัน “มองเห็น” หรือว่าตัวฉันเองกันแน่

เกิดความเงียบขึ้นชั่วแวบ

ใจเย็นสิ เราต้องควบคุมจิตใจ

ฉันพยายามปลอบให้คลื่นคลั่งในจิตใจสงบลงอย่างสุดความสามารถ ฉันมาที่นี่เพราะอะไร เพราะเป็นห่วงอากินะ แล้วมาทำอะไร มาทำสิ่งที่จิตแพทย์ปลายแถวอย่างฉันทำได้อย่างไรล่ะ

ความคิดกระจ่างขึ้นเรื่อย ๆ

จะว่าไป เมื่อกี้เธอวาดภาพบางอย่างอยู่ตรงนี้ด้วยนี่นา

ในเชิงจิตเวชมักให้ผู้ป่วยวาดรูปให้ดู ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนฟื้นฟู ขณะเดียวกันก็ใช้ดูสิ่งที่สะท้อนอยู่ในจิตใจของบุคคลนั้นได้

ฉันมองลงไปที่โต๊ะเพื่อเช็กรูปวาดนั้น

มีกระดาษวาดเขียนหนึ่งแผ่น วาดบางอย่างไว้ด้วยสีเทียนสีดำเพียงสีเดียว

มีรูปคนก้างปลาหลายคนล้มอยู่ ละม้ายภาพพิกโตแกรม[6]  นอกนั้นมีรูปคล้ายสุนัข วาดมั่วซั่ว ไม่เป็นระเบียบ

เหนือสิ่งเหล่านั้น มีเส้นสีดำหมุนเป็นวงประหนึ่งจะกลืนกินทั้งหมดนั้น

น้ำหรือ จมน้ำใช่ไหมนะ น้ำท่วมหรือ

ฉันเห็นว่าเป็นภาพที่ทั้งคนกับสุนัขลอยไปกับน้ำท่วมสีดำและกำลังจมน้ำ

“เออนี่ นี่มันอะไรน่ะ”

“น่ากลัวใช่ไหมล่ะ…น่าขยะแขยงยังไงไม่รู้”

ฉันไม่ได้ต้องการคำตอบเช่นนี้จากยูมะ แต่เท่านี้ฉันก็เข้าใจแล้วว่าอากินะไม่ได้เล่าความหมายของภาพให้เขาฟัง

ทำไมเธอวาดรูปแบบนี้

ฉันพยายามอ่านความหมายโดยอาศัยประสบการณ์ในฐานะจิตแพทย์ เช่น ขนาดของคนที่เธอวาด อัตราส่วนของขนาดเมื่อเทียบกับสุนัขเป็นอย่างไร รวมทั้งแรงกดของสีเทียน…ขณะตั้งสมาธิมองกระดาษ จู่ ๆ มีคนทุบกระจก

ฉันเงยหน้าด้วยความตกใจ เห็นใบหน้าของโคตะในอีกฟากของกระจก เขาดูร้อนรน

“โคตะ! บอกแล้วไงว่าห้ามมาที่นี่!”

ยูมะเปิดกระจกแล้วตวาด ทว่าโคตะร้องบอกโดยไม่สนใจ

“อากินะจังน่ะ!”

“หา อากินะทำไม”

“ฉี่อยู่!”

ฉันกับยูมะหันมามองหน้ากัน จริงอยู่ว่าเมื่อครู่เธอไปเข้าห้องน้ำ

“ฉันรู้อยู่แล้ว ทำไม นายไปแอบดูในห้องน้ำเรอะ”

โคตะเดือดจัดกับท่าทีของพี่ชายที่พูดเยาะหยัน

“หา! ไม่ใช่สักหน่อย! เมื่อกี้ผมอยู่ในห้อง แล้วได้ยินเสียงอากินะจังร้องเพลงจากข้างนอก พอมองลงไปก็เห็นอากินะจังฉี่พร้อมกับร้องเพลง เธอมองผมแล้วยิ้ม แต่เสร็จแล้วก็เดินออกไปนอกบ้าน…”

ฉันหันขวับดูนาฬิกา มาคิดดูก็นานเกินไปแล้วสำหรับการปัสสาวะ

ฉันกับพี่ชายมองหน้ากันอีกรอบ

“แย่แล้ว!”

ยูมะพุ่งออกไปข้างนอก ฉันกับโคตะไล่ตามไปติด ๆ

“พวกเธอช่วยหาทางโน้นที! ฉันจะไปทิศตรงข้าม!”

นิ้วของเขาชี้ทางขวา พวกฉันวิ่งไปทางย่านที่อยู่อาศัยตามที่เขาสั่ง

ทว่าวิ่งมาตั้งไกลแล้วแต่ก็ไม่เจอสักที ลองเดินร้องเรียกชื่อแล้วก็ยังหาเธอไม่พบ ถามคนที่เดินผ่านไปมา ทุกคนก็ส่ายหน้าอย่างเดียว

“ยังเหลือแถวเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงละมั้ง…โคตะ ไปกันเถอะ”

 

“อากินะจัง! อากินะจัง!!”

ฉันกับน้องชายมุ่งหน้าไปทางเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงพลางตะโกนเรียกกันไปด้วย

เสาส่งไฟฟ้าแรงสูงมีสายส่งไฟฟ้าแรงสูงพาด มันจึงตั้งอยู่ห่างจากย่านที่อยู่อาศัย

ตรงนี้อยู่ใกล้ถนนที่ผู้คนละแวกนี้ใช้งานในชีวิตประจำวัน ตกเย็นจึงเห็นชาวบ้านมาเดินเล่น มีความเป็นไปได้ว่าอากินะจะอยู่แถวนี้

“อากินะจา-ง! อากินะจัง!”

ฉันเดินผ่านอาคารมาถึงแถว ๆ เสาส่งไฟฟ้าแรงสูง

“อะ… อ้าว พี่นี่นา”

โคตะพึมพำ เห็นแผ่นหลังของยูมะนั่งยอง ๆ ใต้เสาส่งไฟฟ้าแรงสูง แต่ท่าทางเขาดูแปลก ๆ

อ๊ะ…เอ๊ะ หรือว่า

ชั่ววินาทีนั้น ฉันไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

มีคนนอนอยู่บนพื้นตรงหน้ายูมะ

น้องชายทำท่าจะวิ่งไปหา ฉันรีบกอดเขาไว้ จะให้เข้าไปไม่ได้ จะให้เห็นไม่ได้

 

 

 

 

 

บทที่ 3 งานศพ

(คานาเดะ)

 

 

ผู้คนมากมายมาเยือนสถานที่จัดงานศพเพียงแห่งเดียวในย่านนี้

คนที่พวกเขามาอำลาคือนิชิดะ อากินะ เจ้าภาพคือนิชิดะ คุนิโอะ พ่อของเธอ

นี่คืองานศพของอากินะ

ภาพผู้คนในชุดร่วมพิธีศพดูราวกับคลื่นสีดำ มีเสียงกระซิบกระซาบกันคล้ายระลอกคลื่น

“ได้ยินว่าโดดลงมาแน่ะ” “เหมือนจะมีเหตุผลที่บอกคนอื่นไม่ได้” “คงเป็นความผิดของเจ้าทึ่มบ้านโมริตะนั่นละ” “อ้อ เห็นว่าใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ไม่ทำงานทำการนี่นะ” สิ่งที่ลอยมาให้ได้ยินเป็นครั้งคราวมีแต่ข่าวลือที่ไร้ความเกรงใจทั้งนั้น

แม่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างฉันดุจขอขมาทุกคนในที่แห่งนี้ ฉันประคองร่างเธอไว้พลางเหม่อมองไปรอบ ๆ

ไม่รู้ทำไมอากินะจังเลือกความตาย

คิดได้หลายเหตุผล เพราะความคิดชั่วแล่นที่เกิดขึ้นกะทันหันในสภาพขาดสติ หรือไม่ก็เพราะความทุกข์ทรมานจากบาดแผลเหล่านั้น แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่ฉันคาดการณ์ พี่ชายที่เป็นคนรักของเธอก็ไม่เข้าใจสาเหตุเหมือนกัน ตั้งแต่เกิดเหตุใต้เสาส่งไฟฟ้าแรงสูงในวันนั้น เขาซูบซีดไปถนัดตา ข้าวปลาไม่กิน ไม่หลับไม่นอน ฝีเท้าตอนเดินมาร่วมงานศพก็ไม่มั่นคง เกือบล้มหลายครั้ง

จะว่าไป พี่อยู่ไหนน่ะ

จังหวะที่ฉันหันไปมองทางเข้าสถานที่จัดงานศพ เสียงตวาดก็ดังกึกก้องขึ้นมา

“เฮ้ย!”

สุดปลายสายตาของฉัน เห็นยูมะ…กับนิชิดะ คุนิโอะ พ่อของอากินะ มีเรื่องกันอยู่

ยูมะผู้ถูกผลักกระเด็นล้มไปด้านหลังโดยไม่ขัดขืน คุนิโอะขึ้นไปนั่งคร่อม กระชากคอเสื้อเขา แล้วเขย่าขึ้นลงแรง ๆ

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่! หา…แกอยู่กับลูกฉันไม่ใช่เรอะ”

ยูมะตอบไม่ได้ เขาหลุบตา ทนรับกำลังของอีกฝ่าย

“ว่าไงเล่า อยู่ด้วยกันไม่ใช่เรอะ มันเกิดอะไรขึ้น หา เฮ้ย”

เสียงเจือโทสะที่สะกดกลั้นไม่อยู่ต้อนพี่ชายของฉันให้จนมุม โดยที่เขาไม่อาจทำประการใดได้

“คุณคะ!”

มามิโกะ แม่ของอากินะวิ่งเข้าไป เธอเข้าไปเกาะสามีแล้วแกะเขาออกจากยูมะ โดยไม่สนใจว่าชายกระโปรงของตัวเองจะยับยู่ยี่ ทั้งคู่เลยพากันล้มหงายหลังไป

“พอได้แล้ว! พอเถอะ…คุณคะ…”

คุนิโอะลุกขึ้นยืน ไม่แยแสต่อเสียงเบาหวิวของมามิโกะ

สายตาคู่นั้นพุ่งไปยังโต๊ะลงทะเบียน

อากิระ พ่อของฉันมาถึงตรงนั้นช้ากว่าคนอื่น

“เฮ้ย แกคิดจะรับผิดชอบยังไง! เพราะคบกับลูกชายโง่เง่าของแก! อากินะ…อากินะถึงได้! กลายเป็นแบบนี้! เฮ้ย แกจะรับผิดชอบยังไง! ว่ามาเซ่! เฮ้!”

คุนิโอะคว้าตัวพ่อของฉันพร้อมร้องตะโกน

“คุนิโอะ พอแล้ว! เฮ้! บอกให้พอไงเล่า!”

ผู้ที่เข้ามาแทรกคือคัตสึจิ ปู่ของอากินะ เขาปรามคุนิโอะที่เป็นลูกชาย

ขณะจับตัวคุนิโอะที่ยังอาละวาดร้องว่าปล่อยเซ่ ปล่อยเซ่ คัตสึจิค้อมศีรษะลงต่ำให้พ่อของฉัน

“คุณโมริตะ ผมขอโทษด้วยนะครับ…”

“พ่อ! ทำไมต้องก้มหัวให้มันด้วยเล่า! อากินะ…ตายเพราะลูกชายของแก! ลูกชายของโมริตะเป็นคนฆ่าอากินะ!”

หลายคนเข้ามาล้อมคุนิโอะแล้วพาเขาออกไปจากตรงนั้น ระหว่างนั้นเขายังคงพ่นวาจาโกรธแค้นใส่ยูมะ อากิระ และผู้คนในตระกูลโมริตะ

มามิโกะทรุดลงตรงนั้นแล้วสะอื้นไห้ โซสึเกะ น้องชายวัยเยาว์ของอากินะตะเบ็งเสียงร้องไห้อยู่ข้างเธอว่า แม่ฮะ แม่ฮะ

ยูมะยังนั่งหมดแรงอยู่บนพื้น

ผู้มาร่วมพิธีล้อมวงอยู่ห่าง ๆ มองภาพน่าเวทนา

ฉันกับแม่หลุบตาลงเพราะทนไม่ไหว

ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้

ขณะฉันโอบไหล่แม่ สังเกตว่าเธอมองไปทางโต๊ะลงทะเบียน ฉันมองตาม พ่อกำลูกประคำในมือ หลังมือมีเส้นเลือดปูดโปน เชือกห้อยลูกประคำสั่นระริก

พ่อ

ตอนนี้พ่อรู้สึกอย่างไรกันแน่

ฉันเบือนสายตาหนีเพราะรู้สึกว่าไม่ควรมองสีหน้าของเขา จังหวะนั้นเองเห็นคนหน้าคุ้น ๆ ยืนอยู่ถัดจากพ่อไปเล็กน้อย

ชายชรายืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาเห็นเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นหรือเปล่า

คุณหมอยามาโนเบะ

คุณหมอยามานาโบะเป็นแพทย์ที่ปรึกษาเฉพาะทางในย่านนี้ เขาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของโรงพยาบาลคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิคุโฮ

ทั้งยังเป็นแพทย์ที่สนิทชิดเชื้อกับตระกูลโมริตะมาตั้งแต่เก่าก่อน จากที่เขาเล่า เขาเคยรู้จักกับเก็นจิโระที่เป็นผู้นำตระกูลสองรุ่นก่อนด้วย มีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตระกูลของเราถึงเพียงนั้นเลยทีเดียว

เหตุที่ฉันได้ไปเป็นแพทย์ฝึกหัดในโรงพยาบาลแห่งนั้นก็เพราะเขาช่วยแนะนำให้

แต่ทำไมคุณหมอยามาโนเบะมาที่นี่

แม้อากินะที่ตายไปจะเป็นแฟนของยูมะ แต่เจ้าภาพก็ไม่ได้ขอให้ยามาโนเบะมาร่วมพิธีนี่นา

ระหว่างฉันเอียงคอด้วยความฉงน คุณหมอยามาโนเบะเดินเข้าไปเรียกพ่อ พวกเขาสนทนาบางอย่างกันพลางถอยออกไปจากตรงนั้น

เพราะอะไรก็ไม่ทราบได้ ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีชอบกลกับท่าทีของพวกเขา

“…คานาเดะขอโทษนะ แม่ไม่เป็นไรแล้ว ต้องไปจุดธูปเคารพศพ”

แม่เร่งฉันด้วยเสียงเบาหวิว ฉันจึงออกจากตรงนั้นด้วยความรู้สึกค้างคาใจ

 

งานศพจากนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่น โลงศพของอากินะถูกขนไปที่เมรุ

นอกจากญาติ ๆ และเพื่อนฝูงที่สนิทกับเธอ ก็มีพวกฉันที่เป็นคนตระกูลโมริตะเข้าร่วมพิธีด้วย

เหตุผลหนึ่งที่ฉันมาร่วมด้วยเพราะเกรงว่าถ้ายูมะมาคนเดียวอาจเกิดเรื่อง ส่วนอีกเหตุผลคือตัวฉันเองก็อยากบอกลาอากินะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน

ทีแรกญาติ ๆ ของอากินะถกเถียงกันในเรื่องนั้น แต่จะบอกว่าเพราะได้คัตสึจิช่วยไกล่เกลี่ยก็ว่าได้ พวกเราเลยได้มาร่วมพิธีจนถึงเมรุเผาศพ

พิธีวางโลงศพหน้าเตาฌาปนกิจเริ่มต้นขึ้นในขณะพระสวด

“อากินะจัง…”

“น่าขมขื่นเหลือเกิน…”

ทุกคนเอ่ยคำอำลาตาม ๆ กันพลางยกมือแตะแก้มของเธอผ่านหน้าต่างบานเล็กของโลงศพ

ฉันเจ็บปวดใจเมื่อเห็นญาติ ๆ ของเธอร้องไห้สะอึกสะอื้น ในขณะที่อากินะที่อยู่ในภาพตั้งหน้าศพกลับยังแย้มยิ้มสดใส

พิธีสิ้นสุดลง หน้าต่างบานเล็กบนโลงศพปิดแล้ว

เริ่มการฌาปนกิจ

อากินะจังไม่อยู่ตรงนี้ ไม่อยู่ในสถานที่จัดงานศพด้วย หลังจากตายไปแล้ว เธอก็ไม่อยู่ที่ไหนเลย

ฉันตามหาอากินะที่ตายไปผ่านความคิดในจิตใต้สำนึก จากนั้นก็ได้สติ ไม่ได้นะ ฉันจะทำแบบนี้ไม่ได้

มือของเจ้าหน้าที่ที่เมรุกดปุ่มจุดไฟเผา ซึ่งเกิดเสียงดังยิ่งกว่าที่คิด

ถ้าฉันตายไป ร่างจะถูกเผาด้วยเปลวไฟที่ลุกโหมแบบนี้เหมือนกันไหม

ภาพผุดขึ้นในสมอง

ศพของฉันนอนอยู่ในโลงแคบและมืด หลังมีเสียงสวิตช์ดังแกร๊ก เปลวเพลิงก็ห่อหุ้มร่างทุกทิศทางในชั่วอึดใจ

เริ่มไหม้จากของถวายกับชุดผ้าสีขาวที่สวมใส่ ตามด้วยเส้นผมและผิวหนังชั้นนอกสุด ความร้อนทำให้ร่างกายพองขยายจากภายใน อวัยวะภายในระเบิดกระเด็นไปรอบบริเวณ คนที่จับจ้องภาพนั้นอยู่ใกล้ ๆ ก็คือตัวฉันเอง…

“…เดะ…นาเดะ…คานาเดะ!”

เสียงแม่เรียกฉันกลับจากโลกแห่งมโนภาพ

ฉันจินตนาการอะไรอยู่กันแน่

“ต้องไปที่ห้องนั่งรอแล้ว”

โคตะเพียงรอเฉย ๆ เพราะไม่มีอะไรทำอยู่ข้างฉันกับแม่ ยูมะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว

“อื้ม ขอโทษนะ”

ฉันมุ่งหน้าไปห้องนั่งรอพร้อมกับทั้งสองคน เปลวเพลิงดังกัมปนาทเบื้องหลัง

 

ในห้องนั่งรอมีเก้าอี้วางอยู่ราวยี่สิบตัว พระนั่งอยู่ตรงที่นั่งสำหรับผู้มีสถานภาพสูงสุดในที่แห่งนี้ ญาติกับเพื่อน ๆ ของอากิโนะนั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย

ชั่ววินาทีที่เข้าไป สายตาทุกคู่พุ่งมาทางพวกเรา เป็นการท้วงติงทางแววตาว่ายังกล้าโผล่มาอีกหรือ พวกเรานั่งห่างออกมาหน่อยเพื่อหลบสายตา

พ่อกับยูมะล่ะ

ยูมะนั่งบนพื้นมุมห้อง แต่พ่อไม่อยู่

พวกเรานั่งรถสองคันมาที่นี่ ไม่ได้ขึ้นรถเมล์

พ่อแม่ โคตะ และยูมะนั่งแท็กซี่มาพร้อมกันสี่คน ส่วนฉันขับรถของตัวเองมา

ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าพ่อที่เมื่อครู่ยังอยู่บนเมรุ ตอนนี้กลับหายไปไหน

“ขอโทษนะ เดี๋ยวหนูมา…”

ฉันบอกแม่แล้วออกจากห้องนั่งรอ

เดินไปตามทางเดินได้เล็กน้อยก็เห็นคัตสึจิอยู่ตรงม้านั่ง

หลังของเขางองุ้ม ก้มศีรษะวางหน้าผากบนมือสองข้างที่ยกขึ้นกุมกันไว้ เขาดูโศกเศร้าเป็นอย่างมากจากการสูญเสียหลานสาว

ฉันนึกคำพูดจะเอ่ยกับเขาไม่ออก จึงตั้งใจจะเดินผ่านไป ตอนนั้นเองที่เขาเรียกฉันไว้

“…เอ่อ คุณคานาเดะ…สินะครับ น้องสาวของยูมะ”

“ค่ะ สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้…ฉันไม่รู้ควรพูดยังไงดี…”

ฉันทำได้เพียงค้อมศีรษะ

“ขอโทษนะครับ ช่วยอยู่คุยกับผมสักครู่เถอะ”

คัตสึจิตบที่ว่างทางขวามือของเขาเบา ๆ ฉันจึงเข้าไปนั่งข้างเขา

“หลานผม…อากินะน่ะ เคยเป็นเด็กดีที่มีจิตใจอ่อนโยน”

คัตสึจิเขม้นมองไปเบื้องหน้า ไม่ได้มองฉัน ฉันเลียนแบบเขา เพ่งมองกำแพงสีเขียวอ่อนที่อยู่เบื้องหน้า

“ผลการเรียนที่โรงเรียนอยู่ในระดับปานกลาง แต่จะว่ายังไงดีล่ะ เธอเคยเป็นเด็กที่พยายามเต็มที่ในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจแล้วน่ะครับ”

ใจฉันเหมือนถูกบีบ เพราะเขาใช้คำพูดในรูปอดีตอย่างเปิดเผย ทว่าฉันทำได้เพียงเออออไปกับเขา

“ครอบครัวผมเป็นตระกูลธรรมดา ๆ ใช่ไหมล่ะครับ ส่วนตระกูลของยูมะคุง…และของคุณมีชื่อเสียงที่สุดในละแวกนี้ อากินะกังวลมาตลอดกับฐานะทางสังคมที่แตกต่างกัน”

เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เธอคิดแบบนั้นหรือ ฉันเผลอหันไปมองคัตสึจิ

เขาแย้มยิ้มบาง ยังคงทอดสายตามองกำแพง

“อากินะก็เลยพยายามแทบเป็นแทบตาย เพื่อให้เป็นคนรักที่คู่ควรและเหมาะสมกับตระกูลของยูมะคุง”

เธอเลยทำคลิปวิดีโอทางอินเทอร์เน็ตอย่างนั้นหรือ

ในยุคสมัยนี้ วิดีโอบล็อกเกอร์เป็นอาชีพที่เด็ก ๆ ใฝ่ฝันเป็นอันดับต้น ๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธออาจคิดจะอัพโหลดคลิปวิดีโอไปเรื่อย ๆ จนโด่งดังเปรี้ยงปร้าง เพื่อหารายได้ให้ได้มากไม่แพ้ตระกูลของฉัน

“ผมไม่ค่อยรู้รายละเอียดหรอกครับว่าเธอทำอะไรบ้าง แต่ที่แน่ ๆ ก็คืออากินะพยายามมาตลอด…”

คัตสึจิเงียบไป

น้ำตาไหลรินจากดวงตาทั้งสองข้าง

เขาร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ยกมือเช็ดน้ำตาที่หลั่งล้น

ฉันมองกำแพงต่อไปเรื่อย ๆ ไม่กระดุกกระดิกจากตรงนั้น

 

 

 

 

 

บทที่ 4 หารือลับ

(อากิระ)

 

 

“อากิระคุง เรื่องคราวนี้น่ะ”

ณ  บริเวณด้านหน้าของเมรุเผาศพ ยามาโนเบะที่นั่งข้างกันคุยกับผม

ผมไม่ค่อยถูกโรคกับเขา

แพทย์คนนี้เข้าออกบ้านของเราตั้งแต่ผมยังเด็ก หัวหน้าตระกูลสองรุ่นก่อนก็เคยคบค้าสมาคมกับเขา เรียกได้ว่าเขาเป็นเหมือนญาติที่ไม่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด

“ร่างกายของอากินะจังน่ะ”

ยามาโนเบะกล่าวต่ออย่างสุขุม

“ในปอดมีน้ำเยอะเลย…เธอจมน้ำตาย”

ทั้งที่ตกลงมาจากเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง แต่กลับจมน้ำตาย ไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้ ทว่า…

“โชคดีจริง ๆ ที่ขอให้คุณหมอยามาโนเบะเป็นคนชันสูตรศพ”

“ถ้าเป็นหมอคนอื่นคงโวยวายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว”

เขาพูดลำเลิกบุญคุณ คล้ายอยากบอกว่าอากิระคุงโชคดีนะเนี่ย ผมยิ้มเจื่อนในใจ

อุตส่าห์มาถึงเมรุเพื่อพูดเรื่องแบบนี้น่ะหรือ เหอะ ไอ้จิ้งจอกเฒ่า ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว แค่คนเอาขนมโยคังให้หนึ่งก้อน แกก็ใช้ประโยชน์จากการเป็นหมอทุกอย่าง ไม่ว่าจะการชันสูตรศพหรืออะไรก็ตาม แล้วก็ปิดบังความจริงมาตลอดแท้ ๆ

ขนมโยคังหนึ่งก้อนเป็นรหัสลับ หมายถึงธนบัตรหนึ่งปึกหรือเงินจำนวนล้านเยน

ผมดูนาฬิกาข้อมือ พิธีฌาปนกิจใกล้สิ้นสุดลงแล้ว ได้เวลาที่พวกญาติ ๆ จะเดินจากห้องนั่งรอมาที่นี่ ผมอยากจบบทสนทนาไว้แค่นี้ ถ้ามีคนมาเห็นเราสองคนอยู่ด้วยกันที่นี่ไปมากกว่านี้จะเกิดปัญหาได้ คนเซนส์ดีอาจจับสังเกตบางอย่างขึ้นมาได้

ถ้าต้องมาโดนสงสัยทั้งที่ไม่ได้ทำเรื่องน่าละอายใจ…ไม่สิ ใช่ว่าไร้เรื่องให้ละอายใจเสียทีเดียว

พอเห็นผมขยับจะลุก ยามาโนเบะก็พูดต่อด้วยเสียงเบา

“เมื่อก่อน…”

ผมลุกขึ้นยืน มองหน้าเขา

“ฉันเคยเห็นการตายในลักษณะเดียวกันนี้มาหลายครั้งแล้ว”

ผมรู้อยู่แล้ว ได้ฟังเกี่ยวกับการจมน้ำตายที่เป็นไปไม่ได้จากผู้นำตระกูลรุ่นก่อน…หรือก็คือพ่อของผมสมัยยังมีชีวิตอยู่

“เธอจำได้ใช่ไหมล่ะ คุณพ่อของเธอก็เหมือนกัน”

ใช่ ถูกอย่างที่เขาพูด ผมรู้อยู่แล้ว

“ผู้นำตระกูลสองรุ่นก่อน ที่เป็นรุ่นก่อนหน้าคุณพ่อของเธอก็ด้วย”

ผมกลับลงไปนั่ง สำรวจท่าทางของยามาโนเบะ

อารมณ์หวาดหวั่นผุดให้เห็นในแววตาของเขา

“คนที่รู้เรื่องสมัยนั้นมีแค่ฉันกับเธอ แค่ฉันกับอากิระคุง รายต่อไป…อาจถึงคราวของพวกเราก็ได้”

เขากังวลหรือ ไม่สิ เขากำลังขู่ผมอยู่หรือเปล่า

“อ๊ะ จะว่าไป ท้องของอากินะจังน่ะ…โอ๊ะโอ”

ยามาโนเบะหันไปข้างหลัง

เป็นดังคาด ผู้คนเดินกันเป็นกลุ่มมาจากห้องนั่งรอแล้ว ในบรรดานั้นมีภรรยา พวกลูกชาย และลูกสาวของตระกูลโมริตะของผมอยู่ด้วย

“ลูกสาวคนโตเป็นคนเซนส์ดี ระวังด้วยล่ะ”

ยามาโนะกระซิบริมหูผมแล้วรีบผละไป คานาเดะ ลูกสาวของผม เดินมานั่งแทนที่เขา

“อ๊ะ คุณหมอยามาโนเบะมาที่นี่ด้วยเหรอคะ”

“ชินกับโรงพยาบาลหรือยังล่ะ”

“ค่ะ ต้องขอบคุณคุณหมอ”

บทสนทนาสัพเพเหระดำเนินต่อไป ในขณะที่ผมสบถในใจอีกครั้งว่า ไอ้จิ้งจอกเฒ่าเอ๊ย

 

 

 

 

 

 

บทที่ 5 หูแว่ว

(คานาเดะ)

 

 

“เอาละ คานาเดะคุง งั้นไว้เจอกันใหม่ ถ้ามีปัญหาติดขัดก็มาปรึกษาฉันได้ทุกเรื่องเลยนะ”

หมอยามาโนเบะบอกกับฉันอย่างอ่อนโยน

“ขอบคุณค่ะ”

“งั้นฉันขอตัวก่อน”

ชั่วพริบตาที่เดินสวนกัน ฉันเกิดความรู้สึกคล้ายรูขุมขนทั่วร่างขยาย

 

…ไอ้นักฆ่าสุนัข…

 

เสียงของหมอยามาโนเบะดังสะท้อนในหัว

ปากของอีกฝ่ายไม่ขยับสักนิด ไม่รู้สึกเหมือนได้ยินผ่านหูด้วย คิดได้เพียงว่าคำพูดนั้นส่งเข้ามาในสมองของฉันโดยตรง

ฉันตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินถ้อยคำแฝงเจตนาร้ายหรือไม่ก็การดูถูกเหยียดหยามอย่างชัดแจ้งนั้น ไม่กล้าหันไปมองด้วยซ้ำ

“เป็นอะไรไปเหรอพี่”

โคตะดึงแขนฉัน ฉันตอบเขาว่าไม่มีอะไรหรอก เอาละ เราไปกันเถอะ เป็นการปลุกขวัญตัวเอง แล้วเริ่มเดินไปกับเขา

แต่ทำไมหมอยามาโนเบะมาที่นี่ล่ะ

ได้ยินว่าเขารับผิดชอบชันสูตรศพของอากินะ ในเมื่อเป็นงานศพของคนที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตระกูลของเรา เขาจะมาร่วมพิธีก็ไม่แปลก แต่จำเป็นต้องมาถึงเมรุด้วยหรือ

…ไอ้นักฆ่าสุนัข…

ถ้อยคำเมื่อครู่ย้อนกลับมา ฉันขนลุกชัน

นักฆ่าสุนัข หมายความว่าอย่างไรกัน

ขณะก้าวไปตามทางเดิน ฉันลองครุ่นคิดในใจ ทว่านึกอะไรไม่ออก

หลงเหลือเพียงความวิตกอันยากจะอธิบายเป็นคำพูด

 

เริ่มพิธีเก็บกระดูกหน้าเตาฌาปนกิจ

คนของตระกูลโมริตะเฝ้าดูภาพนั้นห่างออกมาเล็กน้อย

ฉันนึกถึงคำพูดของคัตสึจิที่ว่าอากินะพยายามทำตัวให้คู่ควรกับตระกูลของยูมะคุง

ถ้าอากินะจังแต่งงานกับยูมะ พวกเราคงได้ไปร่วมเก็บกระดูกด้วย

ฉันเห็นกระดูกชิ้นโตผ่านช่องว่างระหว่างญาติ ๆ ของอากินะ หากให้วิเคราะห์จากรูปร่าง คงเป็นกะโหลกศีรษะ เคยได้ยินว่ากระดูกของคนหนุ่มสาวจะหลงเหลือรูปร่างชัดเจนกว่า

“นั่นอากินะจังเหรอ”

โคตะโพล่งถามขึ้นมาจนฉันอายสายตาคนรอบข้าง

“มานี่เถอะ”

ฉันโอบไหล่น้องชาย ชั่วแวบนั้นโคตะร้องตกใจว่า “พี่ยูเหรอน่ะ!”

ตอนหันไปมอง ยูมะกำลังออกไปข้างนอก เพราะคำถามไร้เดียงสาของยูตะที่ว่า “นั่นอากินะจังเหรอ” ตอกย้ำเขาเรื่องความตายของคนรักหรือเปล่า ไม่ว่าเขาจะเต็มใจรับรู้หรือไม่ก็ตาม หรือว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่นกันแน่ ไม่ว่าจะทางใด สีหน้าของเขาก็บ่งบอกว่าทนไม่ไหวแล้ว

“พี่ยู!”

ฉันจับตัวโคตะที่ทำท่าจะไล่ตามเขาไป

ยูมะ

ฉันทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังของพี่ชาย

 

 

 

 

 

 

บทที่ 6 สมุดบันทึก

(ยูมะ)

 

 

กลิ่นธูปลอยฟุ้งออกจากเสื้อเชิ้ต

คงติดมาจากสถานที่จัดงานศพและเมรุ

ได้กลิ่นกี่ครั้งก็เกลียดมันเหมือนเดิม

ห้องพระที่เรือนใหญ่มีควันธูปลอยทุกเช้าเย็น แต่กลิ่นนี้เป็นกลิ่นในพิธีศพของอากินะ…

ผมหนีกลับมาเรือนแยกที่บ้านเพราะไม่อยากอยู่ที่เมรุ พออยู่ที่นั่นนาน ๆ ความเป็นจริงก็ตอกย้ำไม่ว่าผมจะอยากนึกถึงมันหรือไม่

ผมมองไปทั่วห้อง ที่นี่คือฐานที่มั่นของผมกับอากินะ สภาพไม่ต่างจากที่ผ่านมาจนถึงเมื่อวาน

ห้องนี้คับแคบเพราะเต็มไปด้วยอุปกรณ์ถ่ายภาพ เครื่องแต่งตัว อุปกรณ์แต่งหน้า ข้าวของที่ใช้ในการถ่ายคลิปวิดีโอ และเครื่องดนตรี แต่ทำไมผมรู้สึกว่าตอนนี้มันกว้างเหลือเกิน

พอมองไปข้าง ๆ เห็นเสื้อผ้าคุ้นตาในกระเป๋าของยายนั่น

เป็นชุดสีเหลืองแต่งผ้าเนื้อโปร่งบางเหนือหน้าอกที่เธอสวมในวันนั้น มันขาดเป็นแห่ง ๆ และเปื้อนเลือด

ผมยื่นมือไปหยิบอย่างเบามือ ซุกหน้ากับเนื้อผ้าอ่อนนุ่ม

สูดหายใจลึก กลิ่นหอมจากตัวยายนั่นยังหลงเหลือปนกับกลิ่นหอมของน้ำยาซักผ้า เป็นกลิ่นที่ปกติผมจะได้ดมใกล้ยิ่งกว่าใครในโลกนี้

ทว่ามันไม่ใช่กลิ่นที่ได้จากตัวยายนั่นตรง ๆ อีกต่อไปแล้ว

เพราะกายเนื้อของเธอนั้น…ทำไมเธอหายไปจากฉัน

ผมเก็บชุดกลับที่เดิมเพราะทนรับไม่ไหว ตอนนั้นเองที่เห็นของคุ้นตาในกระเป๋า

เหมือนจะเป็นสมุดบันทึกเล่มเล็ก ผมหยิบขึ้นมาดู

บนปกเขียนว่าสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก

ชื่อที่อยู่ด้านล่างของปกสมุดคือนิชิดะ อากินะ

ชื่อของยายนั่น

วันที่ที่เขียนไว้เป็นวันที่ของเดือนก่อน วันที่ 14 ตุลาคม ปีเฮเซที่ 30 (ค.ศ.2018)

ไม่จริงน่า ยายนั่น เพราะอะไรกัน อากินะ…

ผมแสบในโพรงจมูก หายใจไม่ออก

ทัศนวิสัยพร่าเลือน รู้สึกตัวว่าน้ำตาร้อนผ่าวไหลอาบแก้ม

 

 

 

 

 

บทที่ 7 ตำนาน

(คานาเดะ)

 

 

หลังออกจากเมรุ ฉันมุ่งหน้าสู่บ้านที่ฉันเกิด

เวลาเพิ่งบ่ายกว่า ฉันตั้งใจจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับโรงพยาบาล

ไม่สิ เหตุผลไม่ได้มีแค่นั้น

อยากถามโคตะ น้องชายของฉัน เรื่องการค้นคว้าอิสระเกี่ยวกับหมู่บ้านอินุนาคิด้วย

…ไอ้นักฆ่าสุนัข…

คำว่า “สุนัข” ที่ฉันได้ยินเป็นเสียงของหมอยามาโนเบะ

แล้วยังเรื่องที่อากินะปลิดชีวิตตัวเองหลังกลับมาจากอุโมงค์อินุนาคิอีก มีคำว่า “สุนัข (อินุ)” เหมือนกันทั้งคู่

อาจจะเกี่ยวพันกันหรือเปล่า ไม่สิ ฉันอาจจะแค่อยากคุยกับโคตะ เพื่อปฏิเสธความเกี่ยวพันระหว่างสองเรื่องนั้นและขจัดข้อสงสัยของฉันเองก็ได้

อีกอย่างคือ อยากบอกเขาให้ช่วยคอยดูท่าทีของยูมะเวลาที่ฉันไม่อยู่ด้วย

พ่อพึ่งพาไม่ได้ ส่วนแม่ก็เอายูมะไม่อยู่

มีแค่น้องชายอายุห่างกันที่ยูมะแสดงความอ่อนโยนสมเป็นพี่ชาย หากยูมะทำเรื่องสิ้นคิดเพราะจะตามอากินะไป โคตะอาจห้ามเขาไว้ได้ ฉันคิดว่าน้องชายที่หัวดีตั้งแต่เด็กคนนี้น่าจะเข้าใจ

อย่างไรก็ตาม ที่แน่ ๆ คือฉันต้องบอกให้เขารู้ไว้

ฉันถอดรองเท้าตรงโถงหน้าบ้าน เรียกชื่อน้องชายที่น่าจะกลับมาพร้อมพ่อกับแม่แล้ว

“โคตะ นี่ โคตะ”

ไม่มีเสียงขานตอบ แปลว่าคงอยู่ห้องของเขาที่ชั้นสอง

พอก้าวขึ้นบันไดหลายขั้น เห็นชุดร่วมพิธีศพขนาดเล็กหล่นอยู่ตามพื้น

“ถอดทิ้งไว้แบบนี้อีกแล้ว…นี่ การค้นคว้าอิสระที่เธอเคยเล่าน่ะ จำได้ว่าเธอค้นคว้าเรื่องหมู่บ้านต้องสาป…”

ฉันเปิดประตู เป็นจังหวะเดียวกับโคตะที่นั่งตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะเก็บบางสิ่งใส่กล่องในมือ กล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีขนาดพอใส่ขวดยาแก้หวัดได้

“โคตะ”

น้องชายเขย่ากล่องใบนั้นขึ้นลง ได้ยินเสียงของแข็งกระทบกันดังกุกกัก

“ผมรู้แล้ว จะเลิกค้นคว้าอิสระแล้วละ”

ฉันยังไม่ทันพูดอะไรแท้ ๆ ทำไมเขาคิดแบบนั้นก็ไม่รู้

“เอ๋ เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

“ก็ถ้าอากินะจังไปอุโมงค์อินุนาคิมา มันก็…”

ฉันชะงักที่น้องชายพูดอ้ำอึ้งด้วยน้ำเสียงหดหู่ อ้อ เด็กคนนี้กำลังเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ครั้งนี้ในแบบของเขาอยู่สินะ

“อืม…นั่นสิเนอะ…”

ฉันกวาดตามองในห้องขณะคิดหาคำพูดจะบอกน้องชายตัวน้อย

หนังสือเกี่ยวกับตำนานประจำเมืองและเรื่องลี้ลับวางกองบนชั้นหนังสือ โต๊ะ และพื้น ฉันเห็นภาพนี้เป็นประจำ

เด็กคนนี้ชอบเรื่องแนวนี้จริง ๆ นะนี่…อื๋อ…

ทั้งที่มีหนังสือมากมายขนาดนี้วางเกลื่อนกลาด แต่บนโต๊ะที่ตั้งกลางห้องกลับว่างเปล่า

ไม่สิ ผิดแล้ว มีผ้าผืนใหญ่คลุมอยู่ต่างหาก

พื้นผิวของผ้ามีบางส่วนตะปุ่มตะป่ำ บางส่วนยื่นนูนอย่างเห็นได้ชัด ข้างใต้น่าจะมีบางอย่าง

โคตะลุกขึ้น ไม่รู้สังเกตเห็นสายตาของฉันหรือเปล่า เขากำค้อนในมือ

ระหว่างที่ฉันงุนงง เขาพลันเงื้อมันขึ้น

เป้าหมายคือโต๊ะที่มีผ้าคลุมอยู่

“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิ!”

มือของโคตะชะงักค้าง ฉันมองโต๊ะอีกครั้ง ใต้ผ้ามีอะไรอยู่จริง ๆ ด้วย

“…นี่อะไรเหรอ”

“การค้นคว้าอิสระน่ะสิ”

ฉันเปิดผ้าที่คลุมอยู่ ถึงโคตะทัดทานว่าอย่าดูนะ! แต่ก็สายเกินไปแล้ว

ใต้ผ้ามีโมเดลจำลอง…หรือไดโอรามา[7]ขนาดครึ่งเสื่อทาตามิ

ภูมิทัศน์ทำด้วยกระดาษอัด มีกระดาษวาดเขียนและสิ่งปลูกสร้างที่ทำจากกระดาษลังวางเป็นจุด ๆ

งานหยาบ แต่ถ้าเทียบกับอายุของเขาแล้วก็ถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอก

“นี่มัน…?”

“อุโมงค์อินุนาคิน่ะสิ! นี่ไง เห็นไหมว่าตรงนี้มีอุโมงค์”

ข้างกล่องสี่เหลี่ยมที่ทำจากกระดาษวาดเขียนซึ่งวางอยู่กลางไดโอรามามีวัตถุทรงครึ่งกระบอกที่ทาเป็นสีดำ อุโมงค์จริง ๆ ด้วย

“เอ๊ะ โคตะเป็นคนทำมันขึ้นมาเหรอ”

“อือ…”

“โอ้โห ยอดเลยนี่นา! อุตส่าห์ทำขึ้นมาทั้งที ไม่เห็นต้องทำลายมันเลย”

ไม่ว่ามันคืออะไร เขาก็ประดิษฐ์มันขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ฉันนั่งลง มองไดโอรามาอีกครั้ง

เมื่อสังเกตให้ดีพบว่า ทั้งความไม่สม่ำเสมอของพื้นดินและสิ่งปลูกสร้างที่วางอยู่ล้วนสมจริงไม่น้อย สีที่ทาน่าจะเป็นสีน้ำหรือไม่ก็สีโปสเตอร์ จินตนาการได้จากร่องรอยว่าเขาประดิษฐ์ผลงานชิ้นนี้ด้วยความพิถีพิถัน

“ก็…ถ้าทำของแบบนี้ เราอาจจะโดนสาปเข้าจริง ๆ ก็ได้นี่นา”

ฉันรู้ซึ้งเลยว่าเขาไม่ได้หมายถึงเฉพาะตัวเขาเอง เขาหวาดกลัวเมื่อจินตนาการว่า “คำสาป” จะแพร่มาถึงคนในครอบครัวด้วย

ไม่ว่าคำสาปจะมีจริงหรือไม่ ฉันก็ดีใจที่ได้รับรู้ความรู้สึกนั้นของเขาและสัมผัสได้ว่าน้องชายที่อายุห่างกันคนนี้โตขึ้นแค่ไหน

“อืม…เรื่องนั้นพี่ก็ไม่รู้ อ๊ะ แต่ว่านะ! พี่ชายของเราก็ไม่เป็นอะไรไม่ใช่เหรอ”

ฉันจงใจบอกเขาด้วยน้ำเสียงสดใส

“…นั่นสิเนอะ”

โคตะวางค้อนลง ฉันถามเรื่องที่สงสัย

“ว่าแต่หมู่บ้านอินุนาคิที่ว่านี่อยู่ที่ไหนน่ะ”

เขาตอบอย่างเอือมระอา

“ก็เพราะไม่รู้ถึงได้เป็นตำนานประจำเมืองไงล่ะ”

“งั้นเหรอ…”

หลังได้รับคำตอบที่เยือกเย็น ฉันนึกไม่ออกว่าควรพูดอะไรต่อ

โคตะนั่งลงบ้าง เริ่มอธิบายพลางมองไดโอรามา

“หมู่บ้านนั้นถูกลบออกจากแผนที่ด้วย แต่น่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งบนสันเขา”

เขาชี้บริเวณหนึ่งในเทือกเขา

“หมู่บ้านที่ถูกลบออกจากแผนที่…”

ระหว่างฉันทบทวนคำพูดนั้น โคตะหยิบโมเดลอุโมงค์ขึ้นมา

“นี่คืออุโมงค์อินุนาคิ! ที่พวกพี่ยูไปมาวันก่อนไงละ!”

ฉันพยักหน้าให้เขา ดูจากตำแหน่งในไดโอรามา มันคือสถานที่ที่ไม่มีใครผ่านในยามปกติ

โคตะหยิบกล่องใบจ้อยที่เขาเขย่าอยู่เมื่อกี้จากบนโต๊ะ เสร็จแล้ววางตรงเชิงสะพานที่ทาสีแดงในไดโอรามา มีธงที่เขียนว่า “ตู้โทรศัพท์ต้องสาป” ปักอยู่ กล่องใบน้อยคือโมเดลจำลองตู้โทรศัพท์นั่นเอง

“นี่คือตู้โทรศัพท์ต้องสาป ส่วนสะพานสีแดงนี้…”

จังหวะที่เขาอธิบายค้างอยู่ก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มสนทนากันจากนอกหน้าต่าง

“เอ่อ…คุณยูมะ คือว่า…คุณจะไปจริง ๆ เหรอครับ”

“แน่อยู่แล้วสิ!”

ยูมะคุยกับใครบางคนในสวน โคตะรีบวิ่งไปที่หน้าต่างทันที

“ผมว่าอย่าดีกว่านะครับ…”

“เฮ้ย คุณยูมะบอกแล้วนี่ว่าจะไป! รีบจัดการให้เถอะน่า!”

ท่าทางจะเป็นยูมะกับพวกรุ่นน้อง ฉันไม่ได้ยินว่าพวกเขาจะไปไหน

โคตะพุ่งตัวออกจากห้อง

“เดี๋ยวสิ! โคตะ!”

ชั่วพริบตาที่ฉันไล่ตามไปถึงประตู ความรู้สึกน่ารังเกียจจู่โจมมาจากข้างหลัง

เหมือนมีมืออุ่นชื้นเป็นเมือก ๆ มาสัมผัสผิวหนังฉันอีกแล้ว

ขณะเดียวกัน ภาพคนก็ผุดขึ้นเลือนรางในหัว

ชายหนุ่มสวมหมวกส่องสัตว์

ฉันหันกลับไปมอง ทว่าตรงนั้นไม่มีใครเลย

เพราะอะไรไม่รู้ ฉันรู้สึกเหมือนโดนดูดเข้าไปในไดโอรามาที่อยู่บนโต๊ะ

“พี่จะไปหมู่บ้านอินุนาคิอีกเหรอ”

ได้ยินเสียงไร้เดียงสาของโคตะซึ่งเดินออกไปที่สวน

“โคตะ…นายไปทางโน้นเถอะ”

แม้ทำตัวใจจืดใจดำ แต่เสียงของพี่ชายก็อ่อนโยนลง ยูมะจะไปอุโมงค์เจ้าปัญหาจริง ๆ หรือ ต้องหยุดเขาให้ได้

ฉันละสายตาจากไดโอรามาแล้วออกไปนอกตัวบ้าน โคตะ ยูมะ แล้วก็พวกรุ่นน้องของยูมะจับกลุ่มกันอยู่

“นี่ จะไปอุโมงค์จริง ๆ เหรอ”

“ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย! หุบปากเถอะน่า!”

ขนาดฉันที่เป็นน้องสาวยังหว่านล้อมเขาไม่ได้

“ยังไงก็แล้วแต่! อย่าทำเรื่องอันตรายนะ”

ยูมะหันหลังให้เงียบ ๆ โบกมือคล้ายไล่ฉัน

 

[1] ช่วงปีค.ศ.1926 -1989

[2] พิธีกรรมในศาสนาชินโต เพื่อขจัดบาป มลทิน หรือความหายนะจากจิตใจและร่างกาย รวมทั้งเป็นการไล่ผีด้วย

[3] NEETs คือคนที่ไม่ทำงาน ไม่เรียน หรือฝึกฝนทักษะอะไรเป็นพิเศษ เพียงใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น

[4] เพลงที่เด็กร้องในการละเล่นหรือชีวิตประจำวัน ร้องสืบทอดต่อ ๆ กันมา

[5] Culture-bound Syndrome เป็นโรคที่รวมกันระหว่างโรคทางจิตและโรคทางกาย เกิดจากการการบีบคั้นทางสังคมหรือการมีปฏิสัมสัมพันธ์กับผู้อื่น บางครั้งเรียกว่าการแพร่ระบาดของพฤติกรรม

[6] Pictogram คือตัวหนังสือภาพ เป็นภาพสัญลักษณ์แสดงความหมายบางอย่างแทนตัวหนังสือ

[7] Diorama แบบจำลองสามมิติ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า