[ทดลองอ่าน] โค่นล้ม / สตีเวน คิง

โค่นล้ม

The Institute 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

————————————————————

ข้อมูลจากศูนย์เพื่อเด็กหายและถูกฉวยผลประโยชน์แห่งชาติระบุว่า
ในสหรัฐอเมริกามีการแจ้งเด็กหายกว่า 800,000 คนต่อปี
ส่วนใหญ่พบตัว
หลายพันคนหาไม่พบ

————————————————————

 

1

 

ครึ่งชั่วโมงหลังเลยกำหนดเวลาที่เที่ยวบินสายการบินเดลตาของทิม เจมีสัน จะต้องเหินฟ้าออกจากแทมปาไปหาแสงสีและตึกสูงของนิวยอร์ก มันยังจอดนิ่งอยู่หน้าประตู เมื่อเจ้าหน้าที่ของเดลตาและหญิงผมบลอนด์ซึ่งมีป้ายฝ่ายรักษาความปลอดภัยคล้องคอเข้ามาในห้องโดยสาร ก็มีเสียงบ่นพึมล่วงหน้าดังจากมาผู้โดยสารที่อัดแน่นโถงที่นั่งชั้นประหยัด

“โปรดฟังทางนี้ครับ!” เจ้าหน้าที่ของเดลตาส่งเสียงเรียก

“จะออกช้าแค่ไหนล่ะ” มีคนถาม “ไม่ต้องฉอเลาะกลบเกลื่อน”

“เครื่องดีเลย์ไม่นานครับ กัปตันขอแจ้งให้ผู้โดยสารวางใจว่าเที่ยวบินจะเดินทางถึงที่หมายใกล้เคียงกำหนดเดิม แต่เรามีเจ้าหน้าที่รัฐบาลจำเป็นต้องขึ้นเครื่องด้วย จึงต้องขอให้ผู้โดยสารบางท่านสละที่นั่งครับ”

เสียงฮึ่มฮั่มดังขึ้นพร้อมเพรียงกัน ทิมเห็นหลายคนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเผื่อเกิดเรื่อง สถานการณ์แบบนี้เคยเกิดเรื่องกันมาแล้ว

“เดลตาแอร์ไลน์สได้รับมอบหมายให้เสนอตั๋วฟรีไปนิวยอร์กในเที่ยวบินถัดไป ซึ่งก็คือพรุ่งนี้เช้าเวลา 6:45 น…”

เสียงฮึ่มฮั่มดังอีกรอบ มีคนพูดว่า “มายิงฉันสิ”

เจ้าหน้าที่ยังคงพูดต่อไปไม่สั่นคลอน “ท่านจะได้รับบัตรกำนัลที่พักสำหรับคืนนี้ พร้อมเงินสี่ร้อยดอลลาร์ ถือเป็นข้อเสนอที่ดีนะครับ มีใครสนใจบ้างไหม”

ไม่มีใครเอาด้วย เจ้าหน้าที่ผมบลอนด์ไม่พูดอะไร เพียงกวาดมองห้องโดยสารชั้นประหยัดด้วยสายตาเท่าทันทว่าเย็นชาชอบกล

“แปดร้อย” ชายผู้เป็นเจ้าหน้าที่เดลตาเอ่ย “พร้อมบัตรกำนัลที่พักกับตั๋วอภินันทนาการ”

“พูดจาอย่างกับพิธีกรเกมโชว์” ชายคนที่อยู่แถวหน้าทิมแค่นเสียง

ยังไม่มีใครรับข้อเสนอ

“พันสี่ล่ะครับ”

ยังไม่มีใครรับ ทิมรู้สึกว่าสนุกดี แต่ก็ไม่ได้แปลกใจมาก เพราะนอกจากเที่ยวบินตอนหกโมงสี่สิบห้านั้นหมายความว่าจะต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าแล้ว ผู้โดยสารร่วมชั้นประหยัดของเขาส่วนมากเป็นกลุ่มครอบครัวที่เดินทางกลับบ้านหลังจากตระเวนเที่ยวฟลอริดามาหลายที่ คู่รักที่ตะลอนเที่ยวชายหาดจนผิวเกรียมไหม้ กับพวกผู้ชายหน้าแดงร่างตุ้ยนุ้ยท่าทางหงุดหงิดที่คงมีธุระในเมืองบิ๊กแอ๊ปเปิ้ล[1]มูลค่าสูงกว่าพันสี่ร้อยเหรียญมากนัก

ใครคนหนึ่งจากเบาะหลังตะโกนว่า “เอามัสแตงเปิดประทุนกับทริปอารูบาสำหรับสองคนมาแลกสิ เรายกให้สองที่นั่งเลย!” คำพูดนี้เรียกเสียงฮาครืน แต่ไม่ใช่เสียงฮาที่เป็นมิตรนัก

เจ้าหน้าประจำประตูเครื่องมองหญิงผมบลอนด์ที่มีป้ายห้อย แต่ถ้าเขาคาดหวังความช่วยเหลือจากเธอก็ถือว่าชวดสนิท เธอยังกวาดตามองนิ่งๆ ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวนอกจากดวงตา เขาถอนหายใจแล้วเอ่ย “พันหก”

ทิม เจมีสัน ตัดสินใจทันทีว่าเขาอยากลงจากไอ้เครื่องบ้านี่แล้วโบกรถขึ้นเหนือ แม้ความคิดนี้จะไม่เคยแวบผ่านหัวมาก่อน แต่รู้ตัวอีกทีเขาก็นึกภาพตัวเองกำลังทำแบบนั้น แถมยังเป็นภาพชัดเจนแจ่มแจ้งด้วย นั่นไงตัวเขา ยืนโบกรถอยู่บนไหล่ทางไฮเวย์ 301 ตรงไหนสักแห่งกลางเฮอร์นันโดเคาน์ตี อากาศร้อน แมลงเลิฟบั๊กบินว่อน มีป้ายบิลบอร์ดโฆษณาทนายความคดีอุบัติเหตุลื่นล้ม เพลง “เทคอิทออนเดอะรัน” แผดเสียงจากลำโพงบูมบ็อกซ์ซึ่งวางอยู่บนบันไดอิฐบล็อกของรถบรรทุกใกล้ๆที่มีชายถอดเสื้อกำลังล้างรถ แถมด้วยลุงจอห์นชาวไร่ที่จอดแวะรับเขาขึ้นรถปิกอั๊พมีราวกั้นด้านข้าง บรรทุกเมลอนที่กระบะท้าย และมีแม่เหล็กรูปพระเยซูบนแผงหน้าปัดรถ ส่วนที่ดีที่สุดไม่ใช่ตรงที่เขามีเงินอุ่นๆอยู่ในกระเป๋า ส่วนที่ดีที่สุดคือเขาได้ยืนอยู่ตรงนั้นตามลำพัง ห่างไกลจากห้องโดยสารแน่นเป็นปลากระป๋องที่กลิ่นน้ำหอม กลิ่นเหงื่อ และกลิ่นสเปรย์ฉีดผมตีกันยุ่ง

แต่ส่วนที่ดีที่สุดลำดับสองคือ จะได้รีดภาษีคืนจากรัฐบาลสักหน่อย

เขายืนตัวตรงเต็มความสูง (ห้าฟุตสิบนิ้วเศษนิดหน่อย) ดันแว่นบนสันจมูกแล้วยกมือขึ้น “ขอสองพันครับ พร้อมค่าตั๋วคืนเป็นเงินสด แล้วผมจะยกที่นั่งให้”

 

2

 

สรุปว่าบัตรกำนัลที่ได้มาเป็นของโรงแรมจิ้งหรีดใกล้กับปลายรันเวย์ที่ใช้งานหนักสุดของสนามบินนานาชาติแทมปา ทิมหลับไปเพราะเสียงเครื่องบินและตื่นขึ้นมาเพราะเสียงขึ้นบินที่ถี่กว่าเดิม แล้วจึงลงมากระเดือกไข่ต้มสุกจนแข็งกับแพนเค้กเหนียวหนืดสองชิ้นจากอาหารเช้าบุฟเฟต์ที่แถมมา แม้จะไม่ใช่อาหารเลิศเลอ แต่ทิมก็กินอิ่มแปล้แล้วกลับเข้าห้องรอให้ถึงเก้าโมงเช้าตอนธนาคารเปิด

เขาขึ้นเงินลาภลอยโดยไม่มีปัญหา เพราะธนาคารรู้อยู่แล้วว่าเขาจะมาจึงเตรียมอนุมัติเช็คล่วงหน้าไว้ให้ เขาไม่นึกอยากนั่งเล่นนอนเล่นที่โรงแรมจิ้งหรีดนี้เพื่อรอเคลียร์เช็คอยู่แล้ว เขารับเงินสองพันเป็นแบงค์ห้าสิบกับยี่สิบ พับใส่กระเป๋าหน้าด้านซ้ายแล้วรับเป้เดินทางคืนจากพนักงานรักษาความปลอดภัยของธนาคาร ก่อนเรียกอูเบอร์ให้พาไปเอลเลนตัน เมื่อถึงแล้วก็จ่ายค่ารถ เดินเอื่อยไปยังป้ายถนน 301-N ที่ใกล้ที่สุดแล้วยื่นนิ้วโป้งออกไป สิบห้านาทีให้หลังก็มีชายชราสวมหมวกแจกฟรีจากเคส บริษัทผลิตเครื่องจักรสำหรับการเกษตรจอดรับเขาขึ้นรถ ไม่มีเมลอนอยู่ท้ายรถปิกอั๊พ ไม่มีราวกั้นด้านข้าง แต่ก็ดูคล้ายภาพความคิดของเขาเมื่อคืนก่อนพอสมควร

“จะไปไหนรึหนุ่ม” ชายชราถาม

“เอ่อ” ทิมพูด “สุดท้ายแล้วน่าจะนิวยอร์กครับ”

ชายชราถุยน้ำยาสูบออกทางหน้าต่าง “เดี๋ยวนี้คนสติดีที่ไหนเขาอยากไปที่นั่นกัน” เขาออกเสียงเป็น ฝติธี

“ไม่รู้สิครับ” ทิมบอก ทั้งที่จริงแล้วรู้ อดีตเพื่อนตำรวจเคยบอกเขาว่าที่บิ๊กแอ๊ปเปิ้ลมีงานรักษาความปลอดภัยส่วนตัวให้ทำมากมาย รวมทั้งพวกบริษัทที่ให้คุณค่าประสบการณ์ทำงานมากกว่าเหตุบรรลัยจักรรูบ โกลด์เบิร์ก[2]ที่ทำอาชีพตำรวจฟลอริดาของเขามีอันเป็นไป “ผมกะว่าจะไปถึงจอร์เจียคืนนี้ อาจชอบที่นั่นมากกว่าก็ได้ครับ”

“ค่อยยังชั่ว” ชายแก่บอก “จอร์เจียไม่เลวนะ ยิ่งถ้าคุณชอบลูกพีชด้วยละก็ ฉันกินแล้วขี้แตกเละเทะเลย ขอเปิดเพลงหน่อย ไม่ถือนะ”

“เอาเลยครับ”

“ต้องเตือนกันก่อน เพราะฉันเปิดดัง หูไม่ค่อยดีน่ะ”

“มีคนรับขึ้นรถมาก็ดีใจแล้วครับ”

บนรถเป็นเสียงเวย์ลอน เจนนิงส์ ไม่ใช่รีโอ สปีดวากอน แต่ทิมไม่ติดอะไรอยู่แล้ว เวย์ลอนจบแล้วตามด้วยชูเตอร์ เจนนิงส์ และมาร์ตี สจวร์ต ชายสองคนในรถกระบะดอดจ์แรมเปื้อนริ้วโคลนฟังเพลงและมองถนนทางหลวงเบื้องหน้า คืบหน้ามาได้เจ็ดสิบไมล์ ชายชราเบนรถจอดข้างทาง แตะปีกหมวกเคสของเขาแล้วอวยพรขอให้ทิมมีวันดีๆ

ทิมไม่ได้ไปถึงจอร์เจียในคืนนั้น – เขานอนโรงแรมจิ้งหรีดที่อยู่ติดกับซุ้มขายน้ำส้มริมทางอีกหนึ่งคืน แต่วันต่อไปก็ไปถึง ในเมืองบรันสวิก (สตูว์รสชาติเยี่ยมชนิดหนึ่งเกิดขึ้นที่นี่) เขาใช้เวลาสองสัปดาห์ทำงานในโรงงานรีไซเคิล อยู่ไปวันๆ โดยไม่คิดหน้าคิดหลังเหมือนตอนที่เขาตัดสินใจสละที่นั่งบนเที่ยวบินเดลตาขาออกจากแทมปานั่นแหละ เขาไม่ได้ต้องการเงิน สำหรับทิมแล้วดูเหมือนเขาจะต้องการเวลามากกว่า เขากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและการเปลี่ยนผ่านไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แถมที่นี่ยังมีรางโยนโบว์ลิ่งติดกับร้านเดนนีอีกต่างหาก จะหาอะไรลงตัวสองเด้งอย่างนี้นั้นยากนะ

 

3

 

ด้วยค่าแรงจากโรงงานรีไซเคิลบวกกับเงินส้มหล่นที่ได้จากสายการบิน ทิมยืนอยู่บนทางแยกสู่บรันสวิกบนถนนไอ-95 เหนือด้วยความรู้สึกร่ำรวยอู้ฟู่สำหรับคนหลักลอยคนหนึ่ง เขายืนอยู่ตรงนั้นมาชั่วโมงกว่าท่ามกลางแดดเผาและกำลังคิดจะถอดใจกลับไปจิบชาหวานๆในแก้วเย็นเจี๊ยบที่ร้านเดนนี ก็พอดีกับที่วอลโว่สเตชั่นวากอนเบนมาจอดข้างทาง ท้ายรถบรรทุกกล่องกระดาษเต็มแปล้ สาวใหญ่หลังพวงมาลัยลดกระจกไฟฟ้าที่นั่งข้างคนขับแล้วหรี่ตามองเขาผ่านแว่นหนา “ถึงกล้ามคุณจะไม่ใหญ่บึ้ก แต่ก็ดูแน่นดี” เธอบอก “ไม่ใช่โจรข่มขืนหรือว่าโรคจิตใช่ไหม”

“ไม่ใช่ครับ” ทิมบอกพลางคิดว่า แล้วจะให้ตอบว่าไงรึ

“คุณก็คงต้องพูดอย่างนั้นอยู่แล้วนี่เนอะ จะไปไกลถึงเซาท์แคโรไลนาเลยหรือเปล่า ดูจากเป้แล้วน่าจะใช่”

รถคันหนึ่งเบนอ้อมวอลโว่ของเธอไปแล้วเร่งความเร็วเข้าทางแยกพร้อมกับบีบแตร เธอไม่ใส่ใจ เพียงแต่จ้องมองทิมนิ่งๆ

“ครับ จะไปถึงนิวยอร์กเลย”

“ฉันจะไปส่งคุณที่เซาท์แคโรไลนา – ไม่ไกลถึงรัฐสากกะเบือนั่น แต่ก็คืบไปได้หน่อย – ถ้าคุณช่วยอะไรฉันสักนิด ยื่นหมูยื่นแมวไง นึกออกใช่เปล่า”

“คนคันก็ผลัดกันเกา” ทิมบอกพลางยิ้มกว้าง

“ไม่ต้องมาเกาอะไรกันทั้งนั้น ขึ้นรถมา”

ทิมขึ้นรถ เธอชื่อมาร์จอรี เคลเลอร์แมน ทำงานอยู่ห้องสมุดบรันสวิก และเป็นคนของสมาคมห้องสมุดตะวันออกเฉียงใต้อะไรทำนองนั้น ซึ่งเธอบอกว่าไม่มีเงินเลยเพราะ “ทรัมป์กับพรรคพวกตัดงบทิ้งหมด พวกนั้นเข้าใจวัฒนธรรมพอๆกับลาเข้าใจพีชคณิต”

ขึ้นเหนือไปหกสิบห้าไมล์และยังคงอยู่ในรัฐจอร์เจียร์ เธอจอดรถที่ห้องสมุดเก่าโทรมเล็กๆในเมืองพูเลอร์ ทิมขนลังหนังสือลงแล้วลากเข้าไปข้างใน เขาลากลังอีกสิบกว่าลังลงจากรถวอลโว่ ฟังจากที่มาร์จอรี เคลเลอร์แมน บอก หนังสือพวกนี้จะเป็นของห้องสมุดประชาชนเยอแมสซี ซึ่งอยู่ห่างจากเขตแดนรัฐเซาท์แคโรไลนาไปทางเหนือสี่สิบไมล์ แต่กลายเป็นว่าหลังจากผ่านเมืองฮาร์ดีวิลล์มาไม่นาน กระบวนการของพวกเขาก็เป็นอันชะงัก เมื่อรถยนต์และรถบรรทุกติดนิ่งสนิททั้งสองเลนและสะสมต่อท้ายอย่างรวดเร็ว

“โอย เกลียดรถติดชะมัด” มาร์จอรีว่า “เซาท์แคโรไลนาเป็นแบบนี้ประจำ ก็พวกเล่นขี้ตืดไม่ยอมขยายถนน ทางข้างหน้าพังด้วยนะ แล้วมีอยู่แค่สองเลนใครจะไปวิ่งได้ ฉันคงติดแหง็กอยู่นี่ครึ่งวันแหละ งานที่เหลือไม่ต้องทำต่อก็ได้นะมิสเตอร์เจมีสัน ถ้าฉันเป็นคุณ จะลงจากรถตรงนี้แล้วเดินย้อนไปแยกเข้าเมืองฮาร์ดีวิลล์ แล้วค่อยลุ้นเอาใหม่ตรงไฮเวย์ 17”

“แล้วลังพวกนี้ล่ะครับ”

“โอย เดี๋ยวฉันหาคนแรงดีๆช่วยขนลงได้” เธอบอกแล้วยิ้มให้ “บอกตามตรงนะ เห็นคุณยืนตากแดดร้อนๆอยู่ตรงนั้น เลยนึกอยากลองใช้ชีวิตเสี่ยงเล่นๆดูหน่อยเท่านั้นเอง”

“เอ่อ ถ้าคุณแน่ใจนะครับ” รถราเบียดเสียดทำให้เขารู้สึกอึดอัดกลัวที่แคบ เหมือนที่เขารู้สึกตอนติดแหง็กอยู่บนตอนหลังของเครื่องบินเดลตาชั้นประหยัด “แต่ถ้าคุณไม่แน่ใจ ผมอยู่ก่อนได้นะครับ อันที่จริงก็ไม่ได้มีนัดเร่งด่วนหรืออะไร”

“ฉันแน่ใจ” เธอบอก “ดีใจที่ได้พบคุณนะคะ มิสเตอร์เจมีสัน”

“เช่นกับครับ มิสเคลเลอร์แมน”

“คุณเดือดร้อนเรื่องเงินไหม ถ้าติดขัดอะไรฉันช่วยสักสิบดอลลาร์ได้นะ”

เขาซาบซึ้งและตกใจกับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สามัญธรรมดาจากคนธรรมดาที่ไม่ได้มีเหลือกินเหลือใช้เหล่านี้ แถมนี่ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย อเมริกานับว่ายังน่าอยู่ แม้ว่าคนบางคน (รวมทั้งตัวเขาด้วยในบางที) จะไม่เห็นด้วย “ไม่ครับ ผมไม่เดือดร้อน ขอบคุณที่เสนอมานะครับ”

เขาจับมือเธอ ลงจากรถแล้วเดินย้อนไปตามไหล่ทางถนนไอ-95 มุ่งหน้าทางแยกฮาร์ดีวิลล์ เมื่อโบกรถบนถนนยูเอส 17 ไม่ได้ทันใจ เขาก็เดินเรื่อยเปื่อยไปสองไมล์จนถึงบริเวณที่บรรจบกับถนนสเตตโรด 92 จุดนี้มีป้ายชี้บอกทางไปเมืองดูเพรย์ ตอนนั้นบ่ายคล้อยแล้ว ทิมคิดว่าควรจะหาโรงแรมนอนค้างในคืนนั้นก่อน ดูทรงแล้วก็คงเป็นโรงแรมจิ้งหรีดอีกตามเคย แต่ว่าทางเลือกอื่นอย่างเช่นนอนข้างนอกให้ยุงหามหรือว่านอนตามโรงนานั้นไม่น่าพิสมัยยิ่งกว่า เขาเลยมุ่งหน้าไปดูเพรย์

เหตุการณ์ยิ่งใหญ่เกิดจากจุดพลิกผันเล็กๆเช่นนี้แล

 

4

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมาเขานั่งอยู่บนก้อนหินริมถนนสองเลนระหว่างรอขบวนรถไฟขนส่งที่ยาวเหมือนไม่สิ้นสุดข้ามถนนไป รถไฟขบวนนั้นมุ่งหน้าไปทางเมืองดูเพรย์ด้วยความเร็วมหาศาลสามสิบไมล์ต่อชั่วโมง พร้อมด้วยตู้สินค้า รางพ่วงบรรทุกยานยนต์ (ส่วนมากขนซากมากกว่ารถใหม่) ตู้บรรทุกน้ำมัน รถรางแบน และตู้บรรทุกข้างต่ำที่ขนวัตถุอันตรายสุดจะเดาซึ่งหากเกิดเหตุตกรางขึ้นมาคงไหม้ป่าสนหรือไม่ก็ทำชาวเมืองดูเพรย์เดือดร้อนด้วยสารพิษหรือแม้กระทั่งอัคคีภัยรุนแรง ในที่สุดก็ถึงคราวตู้ปิดท้ายขบวนสีส้มแล่นมา บนนั้นมีชายสวมชุดเอี๊ยมนั่งเก้าอี้สนาม กำลังอ่านหนังสือปกอ่อนและสูบบุหรี่ เขาเงยหน้าขึ้นจากหนังสือแล้วโบกมือทักทิม ซึ่งทิมก็ยกมือทักตอบ

ตัวเมืองอยู่ห่างไปอีกสองไมล์ ตั้งอยู่ตรงทางแยกถนนเอสอาร์ 92 (ปัจจุบันเรียกถนนเมนสตรีท) ตัดกับถนนอื่นอีกสองสาย ดูเพรย์ส่วนใหญ่คล้ายจะรอดพ้นเงื้อมมือร้านค้าปลีกสาขาต่างๆที่ครอบครองเมืองใหญ่กว่านี้ ที่นี่มีเวสเทิร์นออโตหนึ่งสาขา แต่ก็ปิดไปแล้ว หน้าต่างร้านมัวซัว ทิมสังเกตเห็นร้านชำ ร้านขายยา ร้านเบ็ดเตล็ดที่ดูเหมือนมีสินค้าอย่างละนิดอย่างละหน่อยทุกประเภท กับร้านเสริมสวยอีกสองร้าน ยังมีโรงหนังซึ่งขึ้นข้อความ ขายหรือเช่า บนซุ้มทางเข้าหน้าโรง กับร้านอะไหล่ยนต์ที่ตั้งตนหรูหราว่าเป็น ดูเพรย์ยานยนต์ซิ่ง กับร้านอาหารชื่อครัวคุณเบฟ มีโบสถ์สามแห่ง แห่งแรกของนิกายเมทอดิสต์ อีกสองแห่งไม่ปรากฏสังกัด แต่ล้วนแตกแขนงมาจากรากความคิดจงมาหาพระเยซูด้วยกันทั้งสิ้น รถยนต์กับรถบรรทุกเพื่อการเกษตรไม่เกินยี่สิบห้าคันจอดกระจัดกระจายตามช่องจอดแนวเฉียงซึ่งขนาบไปกับย่านการค้า ทางเดินเท้าเกือบจะร้างโล่ง

เลยขึ้นไปสามช่วงตึกหลังโบสถ์อีกแห่งหนึ่ง เขามองเห็นโรงแรมดูเพรย์ เลยจากนั้นไปตรงจุดที่เมนสตรีทน่าจะวกกลับไปทางเอสอาร์ 92 มีทางข้ามรถไฟอีกจุดหนึ่งกับโกดังและหลังคาสังกะสีแถบหนึ่งซึ่งสะท้อนแสงแดดแวววาว หลังสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นก็มีป่าสนล้อมไว้อีก โดยรวมแล้วทิมมองว่าเมืองนี้เหมือนหลุดออกมาจากเพลงคันทรี พวกเพลงย้อนคำนึงถึงอดีตที่ขับร้องโดยอลัน แจ็กสัน หรือจอร์จ สเตรท ป้ายโรงแรมเก่าสนิมเขรอะ เห็นก็รู้ว่าใกล้ปิดรอมร่อเหมือนกันกับโรงหนังนั่น แต่ยามบ่ายเคลื่อนคล้อยไปทุกทีและที่นั่นก็เหมือนเป็นที่เดียวในเมืองที่พอจะซุกหัวนอนได้ ทิมเลยมุ่งหน้าไปที่โรงแรมแห่งนั้น

ไปได้ครึ่งทาง หลังจากผ่านสำนักงานบริหารเมืองดูเพรย์ เขาก็พบอาคารอิฐซึ่งมีเถาไอวี่เลื้อยไต่ด้านข้าง บนสนามหญ้าตัดเรียบร้อยมีป้ายบอกว่าสถานที่นี้คือสำนักงานนายอำเภอแฟร์ลีเคาน์ตี ทิมคิดว่าเคาน์ตีนี้คงจนกรอบถ้าดูจากการที่มันตั้งอยู่ในเมืองนี้

รถลาดตระเวนสองคันจอดอยู่ด้านหน้า คันหนึ่งเป็นรถเก๋งใหม่เอี่ยม ส่วนอีกคันเป็นโฟร์รันเนอร์เก่าเปื้อนโคลนซึ่งมีไฟฉุกเฉินตั้งอยู่ที่แผงด้านหน้า ทิมมองไปยังทางเข้า – ด้วยสายตาเกือบจะเลื่อนลอยจากคนจรคนหนึ่งที่มีเงินในกระเป๋าเป็นฟ่อน – เดินต่อสองสามก้าว แล้วเหลียวกลับไปมองป้ายประกาศที่ติดอยู่ข้างประตูบานคู่ให้ชัดๆอีกที โดยเจาะจงมองป้ายหนึ่งเป็นพิเศษ เขานึกว่าตัวเองตาฝาด แต่ก็อยากดูให้แน่ใจ

ไม่น่าเป็นไปได้ในยุคนี้สมัยนี้ เขาคิด ไม่มีทาง

แต่ก็เป็นไปแล้ว ข้างโปสเตอร์ที่เขียนว่า ถ้าคุณคิดว่ากัญชาในเซาท์แคโรไลนาเป็นเรื่องถูกกฎหมาย คิดใหม่เสียเถิด คือป้ายประกาศที่เขียนสั้นๆว่า ต้องการยามวิกาล สมัครด้านใน

โอ้โห เขาคิด อย่างกับย้อนเวลาหาอดีต

เขาหมุนตัวไปทางป้ายโรงแรมสนิมกรังแล้วก็หยุดอีกครั้งพลางนึกถึงป้ายรับคนช่วยงาน แล้วตอนนั้นเองประตูสถานีตำรวจก็เปิดออก ก่อนที่ตำรวจร่างโย่งจะก้าวออกมาพลางสวมหมวกลงบนศีรษะผมแดง แสงแดดบ่ายแก่สะท้อนวาบบนเหรียญตรา เขาพินิจมองรองเท้าคนงานของทิมกับกางเกงยีนฝุ่นจับและเสื้อเชิ้ตผ้าแชมเบรย์สีน้ำเงิน ดวงตาจับอยู่ที่เป้เดินทางที่คล้องบนไหล่ทิมพักหนึ่งก่อนจะกวาดขึ้นมองหน้า “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”

แรงกระตุ้นอย่างเดียวกับที่ทำให้เขาลุกขึ้นยืนบนเครื่องบินครอบงำฉับพลัน “อาจจะไม่มี แต่ก็ไม่แน่ครับ”

 

5

 

ตำรวจผมแดงผู้นั้นคือเจ้าหน้าที่แท็กการ์ต ฟาราเดย์ เขาพาทิมเข้าไปด้านในซึ่งมีกลิ่นอันคุ้นเคยของสารฟอกขาวและก้อนแอมโมเนียจากพื้นที่คุมขังสี่ห้องทางด้านหลังลอยคลุ้งเข้ามาในสำนักงาน หลังจากแนะนำทิมแก่เวโรนิกา กิบสัน เจ้าหน้าที่วัยกลางคนซึ่งทำหน้าที่รับแจ้งความบ่ายนี้ ฟาราเดย์ก็ขอดูใบขับขี่ของทิมพร้อมกับเอกสารแสดงตนอีกอย่างน้อยหนึ่งอย่าง เอกสารที่ทิมแสดงนอกจากใบขับขี่ก็คือบัตรเจ้าหน้าที่ตำรวจซาราโซตา โดยไม่พยายามจะปิดบังว่าบัตรนั้นหมดอายุไปตั้งแต่เก้าเดือนที่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นท่าทางของเหล่าเจ้าหน้าที่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อพวกเขาเห็นมัน

“คุณไม่ใช่คนแฟร์ลีเคาน์ตีนี่นา” รอนนี กิบสัน เอ่ย

“ไม่ใช่ครับ” ทิมรับ “ไม่ใช่แน่นอน แต่ก็อาจจะใช่ถ้าผมได้งานยามวิกาล

“เงินเดือนไม่เยอะนะ” ฟาราเดย์บอก “แต่ยังไงก็ไม่ได้ขึ้นกับผมหรอก นายอำเภอแอชเวิร์ธเป็นคนจ้างแล้วก็เลิกจ้าง”

รอนนี กิบสัน ว่า “ยามวิกาลคนล่าสุดของเราเกษียณแล้วย้ายไปอยู่จอร์เจีย เอ็ด วิตล็อก น่ะค่ะ แกเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เหมือนลู เกห์ริก[3]ไง แกนิสัยดีนะ น่าเสียดาย แต่ไปอยู่โน่นก็มีญาติคอยดูแล”

“คนดีๆมักมีอันเป็นไปแบบนี้แหละ” แท็ก ฟาราเดย์ เอ่ย “เอาเอกสารให้เขาสิ รอนนี” จากนั้นก็พูดกับทิม “ที่นี่เราเป็นหน่วยเล็กๆนะครับ มิสเตอร์เจมีสัน มีเจ้าหน้าที่เจ็ดคนกับลูกจ้างชั่วคราวสองคน เท่าที่ผู้จ่ายภาษีของเราจะไหว ตอนนี้นายอำเภอจอห์นออกไปลาดตระเวน ถ้าห้าโมงหรือว่าห้าโมงครึ่งอย่างช้าสุดยังไม่กลับ ก็แสดงว่าเขากลับไปกินอาหารเย็นที่บ้านแล้ว ไม่เข้ามาจนกว่าจะพรุ่งนี้”

“ยังไงคืนนี้ผมก็ค้างที่นี่อยู่แล้วครับ ถ้าเกิดว่าโรงแรมเปิดนะ”

“แหม ฉันว่านอร์เบิร์ตคงจะพอมีห้องว่างอยู่หรอกค่ะ” รอนนี กิบสัน พูด เธอเหลือบไปสบตากับเจ้าหน้าที่ผมแดงแล้วทั้งคู่ก็หัวเราะ

“สงสัยว่าโรงแรมนั้นคงไม่ใช่ที่พักสี่ดาว”

“เรื่องนั้นขอไม่ออกความเห็นแล้วกัน” กิบสันเอ่ย “แต่ถ้าฉันเป็นคุณ จะสำรวจผ้าปูเตียงหาแมลงจิ๋วสีแดงๆก่อนจะเอนหลังค่ะ ทำไมคุณถึงออกจากกรมตำรวจซาราโซตาคะ มิสเตอร์เจมีสัน ฉันว่าคุณอายุน้อยเกินกว่าจะเกษียณนะ”

“ประเด็นนั้นผมขอคุยกับหัวหน้าคุณแล้วกันครับ เดาว่าเขาคงเป็นคนสัมภาษณ์ผม”

เจ้าหน้าที่สองคนสบตากัน คราวนี้นานกว่าคราวก่อน จากนั้นแท็ก ฟาราเดย์ ก็พูดว่า “จัดการเรื่องต่อแล้วก็เอาใบสมัครให้เขาเถอะ รอนนี ยินดีที่ได้รู้จักครับ ยินดีต้อนรับสู่ดูเพรย์ ปฏิบัติชอบแล้วเราจะได้ชอบพอกัน” พูดจบเขาก็เดินจากไปโดยทิ้งปริศนาให้ตีความเอาเองว่าปฏิบัติชอบนั้นหมายความว่าอย่างไร ทิมมองผ่านหน้าต่างติดเหล็กดัด เห็นรถโฟร์รันเนอร์ถอยจากช่องจอดและแล่นออกไปยังถนนหลักสายสั้นๆของดูเพรย์

ใบสมัครหนีบอยู่บนกระดาน ทิมนั่งลงบนเก้าอี้หนึ่งจากสามตัวซึ่งตั้งชิดผนังฝั่งซ้าย โดยมีเป้เดินทางวางอยู่ระหว่างเท้าและเริ่มกรอกข้อมูล

ยามวิกาล เขาคิด จะบ้าตาย

 

6

 

ทิมพบว่านายอำเภอแอชเวิร์ธหรือนายอำเภอจอห์นตามที่ชาวเมืองส่วนใหญ่และลูกน้องเขาเรียกกันนั้น เป็นคนอ้วนลงพุงอุ้ยอ้าย แก้มอูมย้อย และผมหงอกเยอะ มีคราบเปื้อนซอสมะเขือเทศบนเสื้อเครื่องแบบ เขาเหน็บปืนกล็อกที่สะโพกและสวมแหวนทับทิมบนนิ้วก้อย สำเนียงเหน่อชัดเจน นิสัยเฮฮาพาทีเหมือนเพื่อนซี้กันมานาน แต่ดวงตาที่ฝังลึกอยู่ในเบ้าอวบไขมันนั้นเฉียบคมและช่างสงสัย เขาอาจจะเป็นตัวละครพิมพ์นิยมที่เห็นบ่อยๆในหนังภาคใต้ เหมือนอย่างเรื่องวอล์กกิ้งทอลล์ ถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นคนดำ กับอีกอย่างคือประกาศนียบัตรจบการศึกษาจากสถาบันเอฟบีไอแห่งชาติที่ควอนติโกซึ่งใส่กรอบแขวนไว้บนผนังข้างภาพถ่ายอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งไม่ใช่ของที่จะได้มาจากการส่งฝากล่องซีเรียลไปชิงโชคแน่นอน

“เอาละ” นายอำเภอจอห์นเอ่ยพลางเอนกายพิงเก้าอี้ทำงาน “ผมมีเวลาไม่มาก มาร์เซลลาไม่ชอบให้ไปกินมื้อค่ำช้า เว้นแต่ว่ามีเหตุด่วนเหตุร้ายอะไรพวกนั้น แหงล่ะ”

“เข้าใจครับ”

“งั้นขอแต่เนื้อเลย คุณออกจากกรมตำรวจซาราโซตาทำไม แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่ เซาท์แค’ไลนาไม่ใช่ทางผ่านยอดนิยม ดูเพรย์ยิ่งแล้วใหญ่”

แอชเวิร์ธคงยังไม่โทร.หาทางซาราโซตาคืนนี้ แต่พรุ่งนี้เช้าต้องโทร.แน่ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะเสริมแต่งเรื่องราวให้สวยหรู และทิมก็ไม่ได้อยากทำอย่างนั้นด้วย ถ้าเขาไม่ได้งานยามวิกาล ก็คงจะค้างดูเพรย์คืนนี้แล้วเดินทางต่อพรุ่งนี้เช้า กลับไปเดินทางงึกๆงักๆต่อสู่นิวยอร์ก การเดินทางที่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเป็นช่องว่างที่จำเป็นต้องมีไว้คั่นกลางระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันหนึ่งเมื่อปีกลายที่ห้างซาราโซตา’สเวสต์ฟีลด์มอลล์ กับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ ต่อให้ไม่มีเรื่องนั้น ความซื่อสัตย์ก็เป็นแนวทางที่ดีที่สุดอยู่ดี เพราะแค่การโกหกอย่างเดียว – โดยเฉพาะในสมัยที่ทุกคนเข้าถึงข้อมูลเกือบทุกอย่างได้ด้วยคีย์บอร์ดกับสัญญาณอินเทอร์เน็ต – ก็มักกลับมาหลอกหลอนคนพูดปดอยู่แล้ว

“เขาให้ผมเลือกระหว่างออกเองหรือถูกไล่ออก ผมเลือกออกเองครับ ไม่มีใครชอบใจหรอก อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งละ – ผมรักงานของผม ผมรักกัลฟ์โคสต์ – แต่มันก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว แบบนั้นทำให้ผมได้เงินก้อนเล็กๆ ไม่ใช่บำเหน็จเต็ม แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ผมแบ่งเงินก้อนนั้นกับอดีตภรรยา”

“สาเหตุล่ะ ขอสั้นๆนะผมจะได้ไปกินมื้อค่ำตอนยังอุ่นๆ”

“ไม่นานหรอกครับ หลังเข้าเวรในวันหนึ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ผมแวะเวสต์ฟีลด์มอลล์เพื่อจะหาซื้อรองเท้าสักคู่เพราะต้องไปงานแต่งงาน ผมยังสวมชุดยูนิฟอร์มอยู่เลย โอเคนะครับ”

“อืม”

“ผมกำลังออกจากร้านชูดีโป จังหวะนั้นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาบอกว่ามีวัยรุ่นถือปืนโบกอยู่ตรงโรงหนัง ผมจึงรีบไปที่นั่นโดยด่วน”

“คุณชักอาวุธออกมาหรือเปล่า”

“เปล่าครับ ตอนนั้นยัง เด็กที่มีปืนอายุน่าจะสักสิบสี่ปี ผมมั่นใจว่าเขาคงเมาเหล้าหรือไม่ก็เมายา มีเด็กอีกคนนอนอยู่บนพื้นและเขากำลังเตะเด็กคนนั้น แถมชี้ปืนขู่ด้วย”

“ฟังเหมือนเหตุการณ์ที่คลีฟแลนด์ ตำรวจยิงเด็กผิวสี คนที่โบกปืนอัดลม”

“ผมคิดแบบนั้นเหมือนกันตอนเข้าไปในเหตุการณ์ แต่ตำรวจที่ยิงทามีร์ ไรซ์ สาบานว่าเขาคิดว่าเด็กคนนั้นโบกปืนจริง ส่วนผมค่อนข้างมั่นใจว่ากระบอกที่ผมเห็นไม่ใช่ของจริง แต่ก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อย ซึ่งคุณคงรู้ว่าทำไม”

นายอำเภอจอห์น แอชเวิร์ธ คล้ายจะลืมมื้อค่ำไปแล้ว “เพราะผู้ก่อเหตุเล็งปืนใส่เด็กคนที่นอนบนพื้น การเล็งปืนปลอมใส่คนมันไม่มีประโยชน์ เว้นแต่ว่า – ผมเดานะ – เด็กที่นอนบนพื้นไม่รู้ไงล่ะ”

“ผู้ก่อเหตุบอกภายหลังว่าเขาส่ายปืนใส่เด็กคนนั้น ไม่ได้เล็ง บอกว่า ‘นั่นมันของฉันไอ้ห่าลาก แกห้ามเอาของของฉันไป’ ตรงนั้นผมไม่เห็นนะ สำหรับผมเขาดูเหมือนกำลังเล็งปืน ผมตะโกนบอกให้ทิ้งอาวุธและยกมือขึ้น แต่เขาคงไม่ได้ยินหรือไม่ก็ไม่สนใจ ยังเตะอัดเด็กคนนั้นแล้วก็เล็งปืนใส่ หรือส่ายปืนตามที่เขาว่าน่ะครับ แต่จะอย่างไหนก็ตามแต่ ผมชักปืนพกออกมา” เขาหยุด “ถ้าบอกไปแล้วช่วยอะไรได้ ผมจะบอกว่าเด็กสองคนนั้นเป็นคนขาวครับ”

“ไม่ได้หรอก ไม่ใช่กับฉัน เด็กมันตีกัน คนหนึ่งนอนเจ็บอยู่บนพื้น อีกคนมีปืนที่อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ แล้วคุณยิงเขาหรือเปล่า อย่าบอกนะว่ายิง”

“ไม่มีใครถูกยิงครับ แต่…คุณคงเดาได้ใช่ไหมครับว่ามีคนมามุงดูคนตีกันเยอะมาก แต่ก็มักจะวงแตกตอนมีการใช้อาวุธ”

“ใช่ ถ้าพวกนั้นสติดีก็จะวิ่งกันป่าราบ”

“ตามนั้นครับ เว้นแต่สองสามคนที่ยังปักหลักอยู่”

“พวกชอบใช้โทรศัพท์ถ่ายคลิป”

ทิมพยักหน้า “สี่หรือห้าคนที่อยากเป็นสปีลเบิร์กส์ เอาเป็นว่าผมเล็งปืนไปที่เพดานแล้วยิงเพื่อหมายจะขู่ ซึ่งอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิด แต่ในขณะนั้นมันดูเหมือนถูก และเป็นทางเลือกเดียวที่มี บริเวณนั้นของห้างมีโคมไฟติดเพดานอยู่ กระสุนยิงไปถูกไฟเพดานตกลงมากลางกระหม่อมฝรั่งมุงคนหนึ่ง เด็กที่ถือปืนวางปืนลง และทันทีที่ปืนแตะพื้นผมก็มั่นใจแล้วว่ามันไม่ใช่ปืนจริงเพราะมันกระเด้ง สรุปว่ามันเป็นปืนฉีดน้ำพลาสติกที่หน้าตาเหมือนปืนออโตเมติก .45 เด็กบนพื้นที่ถูกเตะมีแผลฟกช้ำกับแผลแตกนิดหน่อย ไม่ถึงกับต้องเย็บ แต่คนมุงดูเหตุการณ์คนนั้นสลบแน่นิ่งไปสามชั่วโมง ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทางทนายเขาระบุว่าเขามีอาการความจำเสื่อมและปวดหัวแสนสาหัส”

“ฟ้องกรมเลยสิ”

“ครับ คดีคงดำเนินต่อไปอีกสักพัก แต่ลงท้ายเขาก็ต้องได้อะไรบ้าง”

นายอำเภอจอห์นครุ่นคิด “ถ้าเขาเจ๋ออยู่แถวนั้นเพื่อถ่ายคลิปเหตุทะเลาะวิวาท ก็คงไม่ได้อะไรมากนักต่อให้อาการปวดหัวจะหนักแค่ไหน เดาว่ากรมคงเอาผิดคุณฐานใช้อาวุธโดยประมาท”

ถูกต้อง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงดี ทิมคิด ถ้าเรื่องที่จะเล่ามันจบแค่นี้ แต่ก็ไม่ใช่ นายอำเภอจอห์นอาจจะดูเหมือนบอส ฮ็อกก์ ในเรื่อง เดอะดูคส์ออฟฮาซซาร์ด ในเวอร์ชั่นแอฟริกัน-อเมริกัน แต่เขาไม่โง่ เขาเข้าใจสถานการณ์ของทิมเป็นอย่างดี – เหมือนที่ตำรวจส่วนใหญ่คงเข้าใจ – แต่เขาก็ยังไม่ปักใจ คงรอฟังเรื่องราวส่วนที่เหลือจากปากทิมต่อ

“ก่อนที่ผมจะเข้าไปในร้านรองเท้า ผมเข้าร้านบีชคอมเบอร์สและดื่มไปสองแก้ว ตำรวจรับแจ้งเหตุที่เข้ามาคุมตัวเด็กไว้ได้กลิ่นเหล้าจากผมและขอตรวจ ผมเป่าได้จุดหก ไม่เกินเกณฑ์กฎหมาย แต่ก็ไม่ส่งผลดีถ้าดูจากการที่ผมเพิ่งจะยิงปืนพกจนทำให้คนเข้าโรงพยาบาล”

“คุณดื่มเป็นปกติอยู่แล้วหรือเปล่า มิสเตอร์เจมีสัน”

“ค่อนข้างหนักในช่วงราวๆหกเดือนหลังจากที่ผมหย่า แต่นั่นก็ผ่านมาสองปีแล้ว ไม่ใช่ตอนนี้ครับ” ก็ต้องอย่างนั้นแหละ จะให้พูดว่ายังไงล่ะ เขาคิด

“อือฮึ อือฮึ เอาละ ไหนขอทวนหน่อยว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่า” นายอำเภอชูนิ้วชี้อวบอ้วนขึ้นมา “คุณเลิกงานแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าถ้าคุณไม่ได้สวมเครื่องแบบ ผู้หญิงคนนั้นคงไม่วิ่งเข้ามาหาคุณตั้งแต่ทีแรก”

“ใช่ครับ แต่ผมคงได้ยินเสียงเอะอะแล้วก็ไปที่เกิดเหตุอยู่ดี ตำรวจไม่เคยมีเวลาเลิกงานจริงๆหรอก คุณก็รู้”

“อือฮึ อือฮึ แต่คุณจะพกปืนด้วยเหรอ”

“ไม่ครับ คงล็อกเก็บไว้ในรถ”

แอชเวิร์ธชูนิ้วที่สองขึ้นมาตอนนั้น แล้วก็ชูนิ้วที่สามตาม “เด็กคนนั้นมีปืนที่น่าจะเป็นปืนปลอม แต่อาจจะเป็นปืนจริงก็ได้ คุณไม่แน่ใจว่าแบบไหนกันแน่”

“ครับ”

เขาชูนิ้วที่สี่ “ปืนนัดที่คุณยิงขู่ไปถูกดวงไฟ ไม่ใช่แค่ทำให้มันตกลงมา แต่ยังตกลงมาใส่หัวคนผู้บริสุทธิ์ในเหตุการณ์ ถ้าหากคุณจะเรียกไอ้กร๊วกที่ใช้มือถือถ่ายคลิปว่าคนผู้บริสุทธิ์ในเหตุการณ์ได้น่ะนะ”

ทิมพยักหน้า

นิ้วหัวแม่โป้งของนายอำเภอชูขึ้นมา “และก่อนจะเกิดเหตุทะเลาะวิวาท คุณเพิ่งดื่มแอลกอฮอล์มาสองแก้ว”

“ครับ ขณะอยู่ในเครื่องแบบ”

“ไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีเลย ไม่ใช่…เขาเรียกว่าอะไรนะ…วิจารณญาณที่ดี  แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องบอกว่าคุณซวยหลุดโลกจริงๆ” นายอำเภอจอห์นเคาะนิ้วกับขอบโต๊ะ นิ้วก้อยที่สวมแหวนทับทิมคั่นจังหวะเคาะด้วยเสียงกริ๊กเบาๆ “ผมว่าเรื่องของคุณมันอุกอาจเกินกว่าจะไม่ใช่ความจริงนะ แต่ยังไงคงต้องโทร.หาที่ทำงานเก่าเพื่อตรวจสอบด้วยตัวเองก่อนละ อย่างน้อยๆก็จะได้ฟังซ้ำแล้วอึ้งทึ่งอีกรอบ”

ทิมยิ้ม “ผมขึ้นตรงกับเบอร์นาเด็ตต์ ดีพิโน เธอเป็นหัวหน้ากรมตำรวจซาราโซตาครับ คุณกลับบ้านไปกินมื้อค่ำเถอะ เดี๋ยวภรรยาจะโกรธเอา”

“อือฮึ อือฮึ เรื่องมาร์ซีเดี๋ยวผมจัดการเอง” นายอำเภอโน้มตัวขึ้นเหนือพุง ดวงตาเขาวาววับกว่าที่เคย “มิสเตอร์เจมีสัน ถ้าผมขอวัดปริมาณแอลกอฮอล์ทางลมหายใจคุณตอนนี้ คุณจะยอมเป่าไหม”

“ลองดูได้เลยครับ”

“คงไม่ต้องหรอกนะ คงไม่จำเป็น” เขาเอนตัวกลับ เก้าอี้ทำงานส่งเสียงกรีดร้องระคายหูยาวๆอีกรอบ “ทำไมคุณถึงอยากได้งานยามวิกาลในเมืองเส็งเคร็งเมืองเล็กๆแบบนี้ ค่าจ้างก็แค่สัปดาห์ละร้อยดอลลาร์เอง และต่อให้ช่วงวันอาทิตย์ถึงพฤหัสฯจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่คืนวันศุกร์กับวันเสาร์ก็มีเหตุรุนแรงอยู่เหมือนกันนะ คลับเปลื้องผ้าที่เพนลีย์ปิดไปแล้วเมื่อปีกลาย แต่ก็ยังมีโรงเหล้าร้านเมาอยู่ย่านกลางเมือง”

“ปู่ผมเคยเป็นยามวิกาลที่ฮิบบิง มินนิโซตาครับ เมืองเกิดของบ๊อบ ดีแลน มั้งครับ แกเป็นยามหลังออกจากตำรวจรัฐ แกทำให้ผมอยากเป็นตำรวจเหมือนแกตอนที่ผมยังเด็ก ผมเห็นเหรียญตราแล้วก็คิดว่า…” ทิมยักไหล่ ตอนนั้นเขาคิดอะไรนะ คงคิดเหมือนกับตอนที่เขาเข้าโรงงานรีไซเคิลละมั้ง คิดไปก็เท่านั้นแหละ เขาเข้าใจว่าตัวเองคง…ตกที่นั่งลำบาก…อย่างน้อยก็ทางจิตใจ

“เดินตามรอยเท้าปู่ อือฮึ” นายอำเภอจอห์นตบมือทั้งสองข้างบนพุงหลามแล้วจ้องมองทิม – ด้วยดวงตาสงสัยแวววาวที่ฝังลึกอยู่ในเบ้าอ้วนๆ “ดูจากที่คุณขอลาออกเอง คงตกลงกันมาแล้วสินะ แล้วนี่ก็มาหาอะไรทำระหว่างว่างงาน เพราะคุณยังหนุ่มเกินกว่าจะวางมือ จริงมั้ย”

“วางมือจากการเป็นตำรวจน่ะใช่ครับ มันจบแล้ว เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าเขาหางานรักษาความปลอดภัยให้ผมที่นิวยอร์กได้ และผมก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศด้วย แต่ผมอาจไม่ต้องไปถึงนิวยอร์กเพื่อทำงานนั้นก็ได้” เขาคิดว่าที่เขาอยากเปลี่ยนจริงๆคือเปลี่ยนหัวใจตัวเองมากกว่า งานยามวิกาลอาจไม่ช่วยให้บรรลุสิ่งนั้น แต่ไม่แน่มันอาจจะช่วยก็ได้

“คุณบอกว่าคุณหย่าเหรอ”

“ครับ”

“มีลูกมั้ย”

“ไม่มีครับ เธออยากมี แต่ผมไม่อยาก รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อม”

นายอำเภอจอห์นก้มมองใบสมัครของทิม “ในนี้เขียนว่าคุณอายุสี่สิบสอง ส่วนมาก – ซึ่งอาจไม่ทั้งหมด – ถ้าไม่พร้อมตอนนี้…”

เขาเงียบไปตามวิสัยของตำรวจเพื่อให้ทิมเติมคำในช่องว่างเอง แต่ทิมไม่

“สุดท้ายแล้วคุณก็คงไปนิวยอร์กแหละนะ มิสเตอร์เจมีสัน แต่ตอนนี้คุณขอเอ้อระเหยไปก่อน ที่พูดนี่จริงไหม”

ทิมใคร่ครวญแล้วยอมรับว่าจริง

“ถ้าผมรับคุณเข้าทำงาน ผมจะรู้ได้ยังไงว่าคุณจะไม่ปุบปับอยากไปจากที่นี่หลังจากนี้สักสองสัปดาห์หรือเดือนหนึ่ง ดูเพรย์ไม่ใช่สถานที่น่าสนใจที่สุดในโลกหรือแม้แต่ในเซาท์แค’ไลนาด้วยซ้ำ ที่ผมจะถามก็คือ ผมจะเอาแน่เอานอนกับคุณได้ยังไง”

“ผมจะอยู่แถวนี้ไปก่อน ให้คุณรู้สึกว่าผมกำลังทำงานที่ว่าอยู่ตลอด ถ้าคุณลงความเห็นว่าผมไม่เหมาะ คุณก็เขี่ยผมทิ้งได้เลย แต่ถ้าผมอยากไปต่อเมื่อไหร่ จะบอกคุณแต่เนิ่นๆ รับรองครับ”

“งานนี้ได้เงินไม่พอกินหรอกนะ”

ทิมยักไหล่ “ผมจะหางานอื่นทำด้วยถ้าจำเป็นครับ คุณจะบอกเหรอว่าผมเป็นคนคนเดียวแถวนี้ที่ต้องทำงานสองอย่างเพื่อเลี้ยงปากท้องน่ะ แล้วผมก็ไม่ได้มีเงินเก็บมากมายให้ไปเริ่มใหม่ด้วย”

นายอำเภอจอห์นนั่งคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นยืน เขาลุกขึ้นด้วยความคล่องแคล่วน่าตกใจสำหรับคนร่างใหญ่ขนาดนั้น “คุณมาใหม่พรุ่งนี้เช้าแล้วกัน เดี๋ยวค่อยดูกันว่าเราจะเอายังไงต่อดี สักสิบโมงก็ได้”

จะได้มีเวลาพอให้คุยกับกรมตำรวจซาราโซตา ทิมคิด เพื่อดูว่าเรื่องที่ฉันเล่ามันจริงไหม แล้วก็จะได้ตรวจสอบด้วยว่าประวัติฉันมีอะไรด่างพร้อยอีกหรือเปล่า

เขายืดตัวตรงแล้วยื่นมือออกมา น้ำหนักมือของนายอำเภอจอห์นหนักแน่น “คืนนี้จะพักที่ไหนหรือ มิสเตอร์เจมีสัน”

“โรงแรมตรงนั้นครับ ถ้าเขามีห้องว่าง”

“โอ๊ย นอร์เบิร์ตมีห้องว่างเยอะแยะอยู่แล้ว” นายอำเภอพูด “ผมไม่รู้ว่าเขาจะตื๊อขายสมุนไพรบางอย่างให้คุณหรือเปล่านะ คุณยังดูมีเค้าตำรวจอยู่ จากสายตาผมนะ ถ้าคุณไม่มีปัญหาเรื่องย่อยอาหารทอดละก็ ร้านเบฟตรงถนนเส้นนี้เปิดถึงทุ่มหนึ่ง ส่วนตัวผมชอบตับผัดหอมใหญ่นะ”

“ขอบคุณครับ ขอบคุณที่คุยกับผมด้วย”

“ไม่เป็นไร ที่คุยกันสนุกดี แล้วตอนเช็คอินที่ดูเพรย์ บอกนอร์เบิร์ตด้วยว่านายอำเภอให้จัดห้องดีๆให้”

“ผมจะบอกครับ”

“แต่ถึงยังไงก่อนขึ้นเตียงก็ดูแมลงให้ดีแล้วกัน”

ทิมยิ้ม “มีคนแนะนำมาแล้วครับ”

 

7

 

มื้อค่ำที่ร้านครัวคุณเบฟเป็นสเต๊กไก่ทอด ถั่วแขก ตามด้วยพายลูกพีช ไม่เลวนัก ส่วนห้องที่เขาได้พักในโรงแรมดูเพรย์นั้นคนละเรื่อง ห้องนี้ทำให้ห้องที่ทิมเคยอยู่สมัยเดินทางท่องเหนือดูเหมือนพระราชวังไปเลย เครื่องปรับอากาศตรงหน้าต่างเขย่ากึงกังวุ่นวาย แต่ไม่เย็นนัก ฝักบัวสนิมกรังมีน้ำหยดซึ่งดูเหมือนจะไม่ยอมหยุด (สุดท้ายเขาต้องเอาผ้าเช็ดตัวมารองไว้เพื่อซับเสียงหยดติ๋งเป็นจังหวะ) แผ่นบังแสงโคมไฟข้างเตียงไหม้โหว่สองรู ภาพตกแต่งซึ่งมีภาพเดียวในห้องแขวนเอียงกะเท่เร่ ภาพขัดตาของเรือใบลำหนึ่งที่ขับเคลื่อนโดยกล่มลูกเรือชายผิวดำฉีกยิ้มกว้างท่าทางเหมือนฆาตกร ทิมจัดให้มันตรง แต่มันก็ห้อยตกลงมาอีกทันที

มีเก้าอี้สนามอยู่ด้านนอก ที่นั่งแอ่น ขาสนิมเขรอะเช่นเดียวกับฝักบัวอาบน้ำพังๆอันนั้น แต่ก็รับน้ำหนักเขาได้ เขานั่งเหยียดขาบนเก้าอี้ ตบแมลง และมองดูดวงอาทิตย์แผดแสงสีส้มร้อนแรงผ่านแมกไม้ การมองดวงอาทิตย์ทำให้เขามีความสุขและเหงาเศร้าไปพร้อมกัน รถไฟบรรทุกสินค้าซึ่งคล้ายจะยาวไม่รู้จบอีกขบวนหนึ่งปรากฏขึ้นตอนราวๆสองทุ่มสิบห้า แล่นตัดทางหลวงผ่านบรรดาโกดังสินค้าย่านชานเมือง

“สายจอร์เจียร์เซาเทิร์นมาช้าตลอด”

ทิมมองไปรอบๆและเห็นเจ้าของพ่วงตำแหน่งพนักงานกะเย็นคนหนึ่งคนเดียวของที่พักหรูแห่งนี้ เขาตัวผอมแห้ง เสื้อกั๊กลายลูกน้ำหลวมโพรกบนตัวท่อนบน เขาสวมกางเกงสีกากีขาเต่อ เผยให้เห็นถุงเท้าสีขาวกับผ้าใบคอนเวิร์สเก่าๆ ใบหน้าเสี้ยมล้อมกรอบด้วยผมทรงย้อนยุคแบบวงสี่เต่าทอง

“อ้อครับ” ทิมเอ่ย

“แต่ก็ช่างเถอะ” นอร์เบิร์ตว่าพลางยักไหล่ “รถไฟเที่ยวค่ำวิ่งตรงยาวตลอด เที่ยวเที่ยงคืนเกือบทุกขบวนก็วิ่งยาว ยกเว้นต้องส่งน้ำมันดีเซลหรือพวกของสด ผัก ผลไม้ ให้ร้านชำแถวโน้น” เขาเกี่ยวนิ้วชี้สาธิตให้เห็นภาพ “ขบวนหนึ่งไปแอตแลนตา เบอร์มิงแฮม ฮันส์วิลล์ อะไรเทือกนั้น อีกขบวนมาจากแจ็กสันวิลล์ไปชาร์ลส์ตัน วิลมิงตัน นิวพอร์ตนิวส์ อะไรเทือกนั้น รถไฟเที่ยวกลางวันสิจอดตลอด ลองคิดถึงงานโกดังดูละกัน เขาขาดแรงงานคนสองคนตลอดแหละ แต่ต้องอึดถึกมากนะ ฉันไม่ไหวหรอก”

ทิมมองเขา นอร์เบิร์ตเดินลากรองเท้าผ้าใบและฉีกยิ้มอวดฟันที่ทิมคิดว่าน่าจะกลับบ้านเก่าไปแล้ว แต่มันยังอยู่ แม้ดูแล้วว่าอีกไม่นานก็คงกลับไปจริงๆ

“รถคุณอยู่ไหนเหรอ”

ทิมได้แต่มองเขาอย่างนั้น

“คุณเป็นตำรวจหรือเปล่า”

“ตอนนี้ผมเป็นแค่ชายคนหนึ่งที่มองดวงอาทิตย์ตกผ่านต้นไม้” ทิมบอก “และอีกสักเดี๋ยวก็จะมองดูอยู่คนเดียว”

“อะ ไม่พูดละ ไม่พูดละ” นอร์เบิร์ตว่าแล้วเดินจากไปได้เล็กน้อย ก่อนจะหยุดและเหลียวหลังมามองประเมินทิมปราดหนึ่ง

ในที่สุดขบวนรถไฟก็ผ่านไป ไฟแดงกั้นถนนดับลง ราวกั้นกระดกขึ้น รถสองสามคันที่หยุดรอติดเครื่องและเคลื่อนออกไป ทิมมองดวงอาทิตย์เปลี่ยนจากสีส้มกลายเป็นแดงระหว่างที่มันตกลงดิน – ฟ้าแดงยามราตรี กะลาสีครื้นเครง คุณปู่ยามวิกาลของเขาคงบอกแบบนี้ เขามองดูเงาต้นสนทอดยาวบนถนนเอสอาร์ 92 บรรจบรวมกัน  เขาค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองคงไม่ได้งานยามวิกาล ซึ่งอาจดีที่สุดแล้ว ดูเพรย์ดูเหมือนห่างไกลจากทุกสิ่ง ที่นี่ไม่ใช่แค่เป็นทางผ่าน แต่แทบจะไม่มีทางให้ผ่านเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีโกดังสี่หลังนั้น เมืองนี้ก็อาจจะไม่มีอยู่แต่แรกก็ได้ แล้วที่จริงเมืองนี้อยู่ไปเพื่ออะไรกัน เพื่อเก็บทีวีจากท่าเรือทางเหนืออย่างวิลมิงตันหรือนอร์โฟล์ก ก่อนที่สุดท้ายจะส่งขึ้นเรือต่อไปแอตแลนตาหรือมาเรียตตาน่ะหรือ หรือเอาไว้เก็บกล่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ขึ้นเรือมาจากแอตแลนตาเพื่อสุดท้ายก็จะได้ขนขึ้นเรืออีกครั้งแล้วส่งไปวิลมิงตันหรือนอร์โฟล์กหรือไม่ก็แจ็กสันวิลล์ เพื่อเก็บปุ๋ยหรือสารเคมีอันตรายเพราะพื้นที่แถบนี้ของสหรัฐอเมริกาไม่มีกฎหมายหวงห้าม เรื่องนี้เกิดขึ้นวนซ้ำไปเรื่อยๆ และอะไรที่เกิดซ้ำไปเรื่อยๆนั้นไม่มีจุดหมาย คนโง่ที่ไหนก็รู้ทั้งนั้น

เขาเข้าไปข้างใน ล็อกประตู (บ้ามาก กลอนบอบบางสุดๆ ถีบปังเดียวก็พัง) ถอดกางเกงใน แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงแอ่นๆ แต่ไม่มีแมลง (อย่างน้อยก็เท่าที่เขาสำรวจได้) เขารองมือหนุนศีรษะและจ้องมองภาพชายผิวดำยิ้มกว้างแล่นเรือรบโบราณหรืออะไรก็ตามที่เราจะเรียกเรือพรรค์อย่างนั้น พวกเขาจะไปไหนหรือ พวกเขาใช่โจรสลัดหรือเปล่า พวกเขาดูเหมือนโจรสลัดในสายตาทิม แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นอะไร สุดท้ายพวกเขาก็ต้องลงและขึ้นที่ท่าต่อไป บางทีทุกอย่างอาจเป็นแบบนี้ คนทุกคนก็เช่นกัน เมื่อไม่นานมานี้เขาก็เลือกลงจากเที่ยวบินเดลตาที่มุ่งหน้าไปนิวยอร์ก หลังจากนั้นเขาก็ใส่กระป๋องและขวดลงเครื่องจำแนก วันนี้เขายกหนังสือขึ้นรถให้บรรณารักษ์สาวใจดีในที่หนึ่งและยกลงอีกที่ เขามาที่นี่เพียงเพราะถนนไอ-95 มีรถยนต์และรถบรรทุกขึ้นมาเบียดกันแน่นขณะรอให้รถขนซากมาลากเอารถที่โชคร้ายประสบอุบัติเหตุออกไป บางทีก่อนหน้านั้นรถพยาบาลอาจนำตัวคนขับขึ้นรถและไปส่งลงที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดด้วย

แต่ยามวิกาลไม่ต้องยกอะไรขึ้นลง ทิมคิด เขาแค่เดินไปแล้วก็เคาะประตู ปู่คงบอกว่านั่นคือแง่มุมที่สวยงาม

เขาผล็อยหลับไปและตื่นอีกครั้งตอนเที่ยงคืนเมื่อรถไฟขนส่งอีกขบวนห้อตะบึงผ่านไป เขาเข้าห้องน้ำและก่อนจะกลับขึ้นเตียงก็ปลดรูปภาพเอียงๆนั่นออกและพิงลูกเรือผิวดำยิ้มแฉ่งหันหน้าเข้าฝาผนัง

รูปนี้ทำเขาใจคอไม่ค่อยดี

 

8

 

ตอนเสียงโทรศัพท์ในห้องดังขึ้นเช้าวันต่อมา ทิมอาบน้ำแล้วและกลับไปนั่งเก้าอี้สนามเพื่อมองเงาที่เคยพาดผ่านถนนตอนอาทิตย์ลับฟ้าส่องฉายไปอีกทิศหนึ่ง นายอำเภอจอห์นนั่นเอง เขาไม่ยอมเสียเวลาเลย

“คิดว่าหัวหน้าคุณคงไม่ทำงานเช้าขนาดนี้หรอก ผมเลยดูประวัติคุณทางออนไลน์แทน มิสเตอร์เจมีสัน ดูเหมือนคุณจะไม่ได้กรอกข้อมูลอย่างสองอย่างลงในใบสมัครนะ ไม่ได้เอ่ยถึงตอนที่เราคุยกันด้วย คุณได้รางวัลเชิดชูเกียรติพิทักษ์ชีวิตพลเรือนในปี 2017 และซิวตำแหน่งเจ้าหน้าที่ปฏิญาณตนดีเด่นแห่งกรมตำรวจซาราโซตาปี 2018 ด้วย ลืมแล้วหรือไง”

“เปล่าครับ” ทิมบอก “ผมสมัครงานนี้ฉุกละหุก ถ้ามีเวลาคิดมากกว่านี้ก็คงระบุเรื่องพวกนั้นลงไปแล้ว”

“เล่าเรื่องจระเข้ให้ฟังหน่อยสิ ผมโตมาแถวริมบึงลิตเติ้ลพีดีนะ ชอบฟังเรื่องไอ้เข้มันๆ”

“เรื่องนี้ไม่มันหรอกครับ เพราะมันไม่ใช่ไอ้เข้ใหญ่โตอะไร แล้วผมก็ไม่ได้ช่วยชีวิตเด็กคนนั้นด้วย แต่เรื่องนี้ก็มีมุมสนุกๆอยู่เหมือนกัน”

“ไหนเล่ามาซิ”

“มีสายเข้ามาจากไฮแลนด์ซึ่งเป็นสนามกอล์ฟเอกชนแห่งหนึ่ง ผมเป็นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ที่สุด เด็กคนนั้นอยู่บนต้นไม้ใกล้เขตอุปสรรคน้ำแห่งหนึ่งของสนาม เด็กอายุน่าจะราวๆสิบเอ็ดหรือสิบสอง กำลังตะโกนสุดเสียง ส่วนไอ้เข้อยู่ข้างล่าง”

“เหมือนเรื่องเจ้าหนูน้อยแซมโบเลย” นายอำเภอจอห์นพูด “เพียงแต่ว่าเท่าที่ผมจำได้ ในเรื่องเป็นเสือไม่ใช่ไอ้เข้ และถ้าที่เกิดเหตุเป็นสนามกอล์ฟเอกชน เด็กบนต้นไม้ต้องไม่ใช่คนดำแน่”

“ไม่ใช่ครับ และไอ้เข้นั่นหลับอยู่ ไม่ได้ตื่น” ทิมบอก “ตัวแค่ห้าฟุต อย่างมากก็หก ผมยืมไม้กอล์ฟเหล็ก 5 จากพ่อเด็กแล้วก็ฟาดไปสองที เขานี่แหละที่มอบตำแหน่งให้ผม”

“ฟาดไอ้เข้เนอะ ไม่ใช่พ่อเด็ก”

ทิมหัวเราะ “ครับ ไอ้เข้กลับลงน้ำไป ส่วนเด็กก็ปีนลงมา แค่นั้นเอง” เขาหยุด “เว้นแต่ว่าผมได้ออกข่าวเย็นนั้น ทำท่าหวดไม้กอล์ฟ ผู้ประกาศข่าวเล่นมุกว่าผม ‘ไดร์ฟ’ จระเข้เตลิดไป มุกก๊วนกอล์ฟน่ะครับ”

“อือฮึ อือฮึ แล้วเรื่องเจ้าหน้าที่แห่งปีล่ะ”

“เอ่อ” ทิมเอ่ย “ผมไปทำงานตรงเวลาตลอด ไม่เคยลาป่วย แล้วเขาต้องมอบตำแหน่งนั้นให้ใครสักคนอยู่แล้ว”

ที่ปลายสายเงียบไปหลายอึดใจ แล้วนายอำเภอจอห์นก็เอ่ยว่า “ผมไม่รู้ว่าที่คุณพูดแบบนั้นเขาเรียกถ่อมตัวหรือลดตัวนะ แต่จะเรียกอย่างไรผมไม่สนนักหรอก ผมรู้ว่าสำหรับคนที่เพิ่งเจอกัน ยังไงก็ต้องทำความรู้จักกันให้มากขึ้นอยู่แล้ว แต่ผมเป็นคนที่คิดยังไงก็พูดอย่างนั้น ปากตรงกับใจน่ะ หลายๆคนบอกมา ภรรยาผมคนหนึ่งละ”

ทิมมองถนน มองรางรถไฟ มองเงาที่กำลังหดสั้นไป เหลือบมองหอตั้งถังน้ำของเมืองที่ยืนทะมึนเหมือนหุ่นยนต์ผู้บุกรุกในภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายวิทยาศาสตร์ วันนี้คงร้อนตามเคย เขาคาด เขายังคาดเรื่องอื่นด้วย เขาจะได้งานหรือไม่ได้งานก็ตรงจังหวะนี้แหละ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้ ซึ่งคำถามก็คือเขาอยากได้งานนี้จริงๆ หรือเป็นแค่ความคิดเพ้อเจ้อจากเรื่องเล่าของครอบครัวเกี่ยวกับคุณปู่ทอม

“มิสเตอร์เจมีสัน ยังอยู่หรือเปล่า”

“ผมคว้ารางวัลมาได้ครับ เจ้าหน้าที่คนอื่นอีกหลายคนก็สมควรได้รับรางวัลเหมือนกัน ผมทำงานกับเจ้าหน้าที่เก่งๆ หลายคนเลย แต่ใช่ครับ ผมคว้ารางวัลมาได้ ผมไม่ได้เอารางวัลทั้งหมดมาด้วยตอนออกจากซาราโซตา – ตั้งใจว่าจะให้คนส่งรางวัลทั้งหมดมาถ้าได้งานเป็นหลักแหล่งที่นิวยอร์ก – แต่ผมเอาจดหมายสดุดีมาด้วย อยู่ในเป้เดินทาง ถ้าคุณอยากดูผมจะเอาให้ดูครับ”

“ผมอยากดู” นายอำเภอจอห์นบอก “แต่ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อคุณนะ ผมแค่อยากดูน่ะ คุณมีคุณสมบัติดีเลิศเกินตำแหน่งยามวิกาลไปหลายขุม แต่ถ้าคุณอยากได้งานนี้จริงๆ ก็เริ่มงานตอนห้าทุ่มคืนนี้แล้วกัน ทำงานห้าทุ่มถึงหกโมงเช้า เงื่อนไขตามนี้”

“ผมอยากทำครับ” ทิมบอก

“ตามนั้น”

“แค่นี้เหรอครับ”

“ผมเป็นคนเชื่อสัญชาตญาณตัวเองด้วย แล้วนี่ก็กำลังจ้างยามวิกาล ไม่ใช่ยามบริษัทบริงส์ ดังนั้นคือใช่ แค่นี้แหละ ไม่ต้องมาตั้งแต่สี่ทุ่มล่ะ นอนต่อไปก่อนแล้วแวะมาสักเที่ยงๆ เจ้าหน้าที่กัลลิกสันจะสรุปงานให้ฟัง ใช้เวลาไม่นานหรอก ไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์สร้างจรวด สำนวนเขาเปรียบไว้ ถึงคุณน่าจะได้เห็นจรวดแล่นเต็มเมนสตรีทตอนคืนวันเสาร์หลังบาร์ปิดก็เถอะ”

“ได้ครับ แล้วก็ขอบคุณครับ”

“ค่อยมาดูว่าคุณขอบคุณจริงจังแค่ไหนหลังจากจบงานสัปดาห์แรก อีกอย่าง คุณไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของเคาน์ตี คุณไม่มีสิทธิพกอาวุธ ถ้าเจอเหตุการณ์ที่เกินมือหรือพิจารณาแล้วว่าอันตราย ให้วิทยุกลับมาที่หน่วย ตรงนี้เราเข้าใจตรงกันนะ”

“ครับ”

“เข้าใจก็ดีแล้ว มิสเตอร์เจมีสัน ถ้าผมเจอว่าคุณถือปืน คุณถือกระเป๋าเก็บของกลับบ้านได้เลย”

“เข้าใจครับ”

“งั้นพักผ่อนซะ เดี๋ยวคุณต้องกลายเป็นสิ่งมีชีวิตกลางคืนแล้ว”

เหมือนเคานต์แดรกคิวลา ทิมคิด เขาวางสาย แขวนป้ายห้ามรบกวนไว้ที่ประตูก่อนดึงม่านบางๆหม่นๆปิดหน้าต่าง ตั้งค่าโทรศัพท์ และกลับไปนอน

 

9

 

เจ้าหน้าที่เวนดี กัลลิกสัน พนักงานชั่วคราวอีกคนหนึ่งของสำนักงานนายอำเภออายุน้อยกว่ารอนนี กิบสัน สิบปีและเป็นคนสวยมีเสน่ห์ แม้ผมบลอนด์ของเธอจะขมวดเป็นมวยตึงเปรี๊ยะน่าเจ็บหนังหัว ทิมไม่คิดจะจีบเธอเลย ดูก็รู้ว่าเกราะกันจีบของเธอตั้งสูงและเปิดเครื่องทำงานเต็มที่ เขาแอบสงสัยว่าเธอมีคนที่หมายใจอยากให้ทำงานยามวิกาลอยู่แล้วหรือเปล่า อาจจะเป็นพี่ชายน้องชายหรือว่าแฟน

เธอส่งแผนที่หยาบๆของย่านธุรกิจเมืองดูเพรย์ วิทยุคาดเข็มขัด และนาฬิกาจับเวลาซึ่งคาดกับเข็มขัดได้เช่นกัน ไม่มีถ่านนะ เจ้าหน้าที่กัลลิกสันอธิบาย เขาต้องไขลานเองตอนเริ่มกะทุกครั้ง

“ผมเดาว่าคงเป็นสิ่งประดิษฐ์ล้ำสมัยตอนปี 1946” ทิมว่า “อันที่จริงมันเก๋ออกนะครับ ย้อนยุคดี”

เธอไม่ยิ้ม “คุณกดปุ่มนาฬิกาตรงร้านโฟรมีจำหน่ายเครื่องยนต์เล็กและบริการ แล้วก็กดอีกครั้งตรงโกดังรถไฟสุดถนนเมนฝั่งตะวันตก เที่ยวหนึ่งตกหนึ่งจุดหกไมล์ สมัยเอ็ด วิตล็อก กะหนึ่งวนสี่เที่ยว”

รวมกันแล้วเกือบสิบสามไมล์ “ผมคงไม่ต้องเข้าคอร์สลดน้ำหนัก”

เธอยังไม่ยิ้ม “รอนนี กิบสัน กับฉันจะเป็นคนจัดตาราง คุณได้หยุดสองคืนต่อสัปดาห์ อาจจะเป็นทุกวันจันทร์กับอังคาร เมืองเราค่อนข้างเงียบหลังจากสุดสัปดาห์ค่ะ แต่บางทีเราก็ต้องสลับวันคุณบ้าง ถ้าคุณยังอยู่นะ”

ทิมประสานมือไว้บนตักและจ้องเธอพร้อมกับอมยิ้ม “คุณมีปัญหาอะไรกับผมหรือเปล่าครับ เจ้าหน้าที่กัลลิกสัน ถ้ามีก็พูดออกมาหรือจะเก็บไว้ก็ตามใจ”

ใบหน้าเธอมีเค้าชาวนอร์ดิก จึงไม่อาจปิดบังสีแดงเรื่อที่ปรากฏบนแก้ม ซึ่งยิ่งทำให้เธอดูสวยผุดผาด แต่เขาคิดว่าเธอคงไม่ชอบใจเรื่องนั้นอยู่ดี

“ฉันก็ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า ต้องดูกันไป เราเป็นทีมที่ดีค่ะ ทีมเล็กแต่ดี เรากลมเกลียวกันมาก คุณเป็นใครก็ไม่รู้ที่เดินดุ่มๆอยู่บนถนนแล้วก็เข้ามาทำงาน คนเมืองนี้เขาขำงานยามวิกาลกันจะแย่ เอ็ดรับมือคำพูดหยอกเย้าทั้งหลายได้ดีมาก แต่งานนี้เป็นงานสำคัญนะ โดยเฉพาะในเมืองที่กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมีน้อยอย่างเรา”

“กันไว้ดีกว่าแก้” ทิมบอก “ปู่ผมเคยพูดไว้ เขาเป็นยามวิกาลครับ เจ้าหน้าที่กัลลิกสัน เพราะอย่างนั้นผมถึงมาสมัครงานนี้”

เธอคงใจอ่อนลงหน่อยหนึ่ง “นาฬิกาจับเวลานั่น ฉันยอมรับนะคะว่ามันโบราณ แต่ก็บอกได้แค่ว่าทำใจให้ชินซะเถอะ ยามวิกาลเป็นงานอนาล็อกในยุคดิจิทัล อย่างน้อยก็ในดูเพรย์ละ”

 

10

 

ไม่นานทิมก็เข้าใจว่าเธอหมายความว่าอย่างไร โดยรวมแล้วเขาดูเหมือนตำรวจยุคปี 1954 เพียงแต่ว่าไม่มีปืนหรือแม้แต่กระบอง เขาไม่มีอำนาจจับกุม ห้างร้านในเมืองขนาดใหญ่สองสามแห่งติดตั้งอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย แต่พวกร้านเล็กๆไม่มีเทคโนโลยีแบบนั้น สถานที่อย่างห้างพาณิชย์ดูเพรย์และร้านขายยาโอเบิร์กนั้น เขาจะตรวจดูว่าไฟรักษาความปลอดภัยสีเขียวทำงานและไม่มีสัญญาณผู้บุกรุก ส่วนร้านเล็กกว่านั้นเขาจะบิดลูกบิดและผลักบานประตู มองลอดกระจกและเคาะประตูสามครั้งตามธรรมเนียม บางทีก็มีสัญญาณตอบรับ – เป็นคนโบกมือหรือขานตอบสองสามคำ – แต่ส่วนมากจะไม่มีซึ่งก็ไม่เป็นไร เขาจะขีดชอล์กไว้แล้วไปต่อ เขาทำตามขั้นตอนเดิมตอนขากลับโดยคราวนี้ลบสัญลักษณ์ออกระหว่างทาง กระบวนการนี้ทำให้เขานึกถึงมุกตลกไอริชเก่าแก่ที่ว่า พ่อหนุ่มไอริช ถ้าคุณไปถึงก่อนก็ช่วยขีดชอล์กไว้หน้าประตู แต่ถ้าฉันถึงก่อนฉันจะลบมันออกนะ การเขียนสัญลักษณ์พวกนี้เหมือนไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ แค่ทำกันเป็นธรรมเนียม ซึ่งอาจจะสืบทอดต่อกันมายาวนานในหมู่ยามวิกาลจนถึงรุ่นฟื้นฟูในปัจจุบัน

ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ชั่วคราวคนหนึ่ง ทิมถึงหาที่พักดีพอใช้ได้ จอร์จ เบอร์เก็ตต์ บอกทิมว่าแม่เขามีอพาร์ตเมนต์ตกแต่งครบห้องเล็กๆอยู่เหนือโรงรถที่บ้าน และยินดีปล่อยเช่าให้เขาในราคาถูกถ้าสนใจ “มีแค่สองห้อง แต่ดีเลยนะครับ น้องชายผมอยู่ที่นั่นมาสองปีก่อนจะย้ายลงไปฟลอริดา พอดีได้งานสวนสนุกยูนิเวอร์แซลที่ออร์แลนโดน่ะ รายได้ดีเชียว”

“ดีจังครับ”

“ช่าย แต่ค่าครองชีพที่ฟลอริดานี่…หูย ทะลุเพดาน เตือนไว้ก่อนนะครับ ทิม คุณห้ามเล่นดนตรีเสียงดังตอนดึก แม่ผมไม่ชอบเสียงดนตรี ขนาดฟลอยด์เล่นแบนโจได้ขั้นเทพมากแม่ยังไม่ชอบเลย สองคนนั้นเคยทะเลาะกันบ้านแทบแตก”

“จอร์จ กลางคืนผมไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก”

เจ้าหน้าที่เบอร์เก็ตต์ดูคึกคักเมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาอายุยี่สิบกลางๆ ท่าทางแจ่มใสอารมณ์ดี ไม่ได้เป็นคนฉลาดล้ำเลิศอะไรนัก “จริงด้วยแฮะ ลืมไปเลย สรุปก็คือห้องมีแอร์แคร์ริเออร์ตัวเล็กๆ ไม่ได้ดีเลิศ แต่ก็ช่วยให้นอนหลับเย็นสบาย – อย่างน้อยก็สำหรับฟลอยด์ละนะ คุณสนมะ”

ทิมสนใจ และถึงแม้ว่าเครื่องปรับอากาศจะไม่ได้ช่วยให้เย็นขนาดนั้น แต่เตียงก็นอนนุ่ม ห้องนั่งเล่นอบอุ่นสบาย ฝักบัวไม่มีน้ำหยด ห้องครัวไม่มีอะไรนอกจากไมโครเวฟกับเตาไฟฟ้า แต่ส่วนมากเขากินที่ครัวคุณเบฟอยู่แล้ว เพราะงั้นจึงไม่เป็นปัญหา แถมค่าเช่าก็ถูกแสนถูก คือเจ็ดสิบเหรียญต่อสัปดาห์เอง จอร์จบรรยายภาพแม่ตัวเองไว้ว่าเหมือนนางยักษ์ แต่ความจริงแล้วมิสซิสเบอร์เก็ตต์เป็นคุณป้าใจดีที่สำเนียงเหน่อแบบชาวใต้หนักมากจนเขาเข้าใจสิ่งที่เธอพูดเพียงครึ่งเดียว บางทีเธอก็มีขนมปังข้าวโพดหรือเค้กชิ้นหนึ่งห่อกระดาษไขทิ้งไว้หน้าประตูห้องเขาด้วย เหมือนมีเอลฟ์ประจำบ้านคอยช่วยดูแลเลย

นอร์เบิร์ต ฮอลลิสเตอร์ เจ้าของโรงแรมหน้าเหมือนหนูคนนั้นพูดถูกเรื่องโกดังและคลังเก็บสินค้าดูเพรย์ คือพวกเขาขาดคนงานตลอดชาติและจ้างคนอยู่เสมอ ทิมเดาว่าสถานที่เหล่านี้ที่ต้องใช้แรงงานหนักและค่าตอบแทนต่อชั่วโมงก็ต่ำสุดเท่าที่กฎหมายอนุญาต (เซาท์แคโรไลนากำหนดไว้ที่เจ็ดจุดสองห้าดอลลาร์ต่อชั่วโมง) ย่อมมีอัตราการเข้าออกจากงานสูงเป็นธรรมดา เขาไปพบหัวหน้าคนงานชื่อ วัล จาร์เร็ตต์ ผู้ยินดีมอบงานให้เขาทำสามชั่วโมงต่อวัน เริ่มตั้งแต่แปดโมงเช้า ซึ่งทำให้ทิมมีเวลาอาบน้ำแต่งตัวและกินอาหารหลังจากออกเวรยามวิกาล ดังนั้นนอกจากงานที่ต้องทำในตอนกลางคืนแล้ว เขาก็ได้พบว่าตัวเองทำงานยกขึ้นและยกลงอีกครั้ง

วิถีโลก เขาบอกตัวเอง วิถีโลก ตอนนี้เป็นแบบนี้ไปก่อน

 

11

 

เมื่อทิม เจมีสัน ใช้เวลาในเมืองเล็กๆทางตอนใต้นานขึ้น เขาก็เริ่มทำกิจวัตรได้อย่างราบรื่นลงตัว เขาไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ดูเพรย์ไปตลอดชีวิต แต่ก็เห็นภาพตัวเองยังวนเวียนอยู่แถวนี้ในวันคริสต์มาส (อาจจะประดับต้นคริสต์มาสปลอมต้นเล็กๆไว้ในอพาร์ตเมนต์เล็กๆเหนือโรงรถด้วย) หรือไม่แน่อาจอยู่จนถึงฤดูร้อนปีหน้าเลย เมืองนี้ไม่มีศูนย์กลางทางวัฒนธรรม และเขาก็เข้าใจว่าทำไมเด็กๆถึงดิ้นรนอยากหนีให้พ้นความน่าเบื่อจืดชืดของที่นี่เหลือเกิน แต่ทิมคิดว่ามันคือสิ่งเลอค่า เขาแน่ใจว่าสักวันมันต้องเปลี่ยนไป แต่ตอนนี้เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว

ตื่นหกโมงเย็น กินมื้อค่ำที่ร้านเบฟ บางครั้งก็กินคนเดียวบางครั้งก็กินกับเจ้าหน้าที่สักคนหนึ่ง ลาดตระเวนทำหน้าที่ยามวิกาลหลังจากนั้นเจ็ดชั่วโมง กินมื้อเช้าที่ร้านเบฟ ขับรถยกที่โกดังและคลังเก็บสินค้าดูเพรย์จนถึงสิบเอ็ดโมงเช้า กินแซนด์วิชกับโค้กหรือชาดำเย็นเป็นมื้อเที่ยงใต้ร่มโกดังรถไฟ กลับบ้านมิสซิสเบอร์เก็ตต์ นอนถึงหกโมงเย็น ในวันหยุดบางทีเขาก็นอนสิบสองชั่วโมงรวด เขาอ่านหนังสือสยองขวัญเชิงคดีความของจอห์น กริชแชม และมหาศึกชิงบัลลังก์ครบชุด เขาเป็นแฟนตัวยงของทีเรียน แลนนิสเตอร์ ทิมรู้ว่ามีละครโทรทัศน์สร้างจากหนังสือของมาร์ติน แต่รู้สึกว่าไม่ต้องดูหรอก เพราะจินตนาการของเขามีมังกรมากมายพอแล้ว

ในฐานะตำรวจเขาชินกับภาคกลางคืนของซาราโซตาซึ่งแตกต่างจากภาคกลางวันที่เป็นเมืองท่องเที่ยวสายลมแสงแดดราวกับมิสเตอร์ไฮด์ที่แตกต่างจากดอกเตอร์เจคิลล์ ภาคกลางคืนมักน่าชังแถมบางครั้งก็อันตราย และถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่เคยต้องใช้ศัพท์สแลงแสลงใจของตำรวจ – อย่างคำว่าฆ่าตัดตอน –– กับพวกที่พี้ยาจนตายหรือว่าโสเภณีถูกซ้อม แต่สิบปีในกรมก็ทำเขาเข็ดขยาด บางครั้งความรู้สึกเหล่านั้นติดตัวกลับมาที่บ้าน (ใช้คำว่าบ่อยครั้งดีกว่า เขาบอกตัวเองแบบนี้เวลาที่อยากจะซื่อสัตย์กับตัวเอง) และความรู้สึกพวกนั้นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งที่กัดกินชีวิตแต่งงาน เขาเดาว่าความรู้สึกเหล่านั้นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาไม่เปิดใจอยากมีลูก สังคมมันโหดร้ายเกินไป เรื่องราวหลายอย่างพลิกผันเลวร้ายได้มากเกินไป จระเข้ที่สนามกอล์ฟนั่นเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปเลย

ตอนที่ตัดสินใจทำงานยามวิกาล เขาคงไม่เชื่อว่าย่านชุมชนเมืองที่มีประชากรห้าพันสี่ร้อยคน (ส่วนมากอยู่กันตามชนบทห่างไกล) เช่นนี้จะมีภาคกลางคืนด้วยเหมือนกัน แต่ดูเพรย์ก็มีสิ่งนั้นและทิมรู้สึกว่าเขาชอบมัน อันที่จริงผู้คนที่เขาพบเจอภาคกลางคืนคือสิ่งที่ดีที่สุดในงานของเขาเลยเชียว

มีมิสซิสกูลส์บี คนที่โบกมือทักทายเขาเกือบทุกคืนเมื่อเขาเริ่มลาดตระเวนเที่ยวแรก เธอจะนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกหน้าชานบ้าน ขยับโยกมันเบาๆพลางดื่มน้ำจากถ้วยซึ่งอาจจะเป็นวิสกี้ น้ำอัดลม หรือชาคาโมมายล์ก็สุดแท้แต่ บางครั้งเธอยังอยู่ที่เดิมตอนเขาย้อนกลับมาอีกครั้ง แฟรงก์ พอตเตอร์ เจ้าหน้าที่ที่กินมื้อเย็นด้วยกันบางครั้งที่ร้านเบฟเล่าให้ทิมฟังว่า มิสซิสจีสูญเสียสามีไปเมื่อปีกลาย รถพ่วงคันใหญ่ของเวนเดลล์ กูลส์บี ไถลลงข้างทางหลวงวิสคอนซินระหว่างเกิดพายุหิมะ

“เธออายุยังไม่ถึงห้าสิบเลย แต่เวนกับแอดดีก็แต่งงานกันมานานมากแล้วเหมือนกัน” แฟรงก์บอก “แต่งกันตั้งแต่ทั้งสองคนยังเลือกตั้งหรือซื้อเหล้าไม่ได้เลย เหมือนในเพลงของชัค เบอร์รี น่ะ ที่พูดถึงวัยรุ่นแต่งงานกัน ประเภทรักกันง่ายมักอยู่กันไม่ยืด แต่สองคนนี้อยู่ยืดแฮะ”

ทิมยังได้รู้จักกับกำพร้าแอนนี หญิงไร้บ้านที่นอนบนฟูกอัดลมในซอยระหว่างสำนักงานนายอำเภอกับห้างพาณิชย์ดูเพรย์ เธอยังมีเต็นท์เล็กๆตั้งอยู่ในสนามหลังโกดังรถไฟ ซึ่งถ้าวันไหนฝนตกเธอก็ไปนอนในนั้น

“ชื่อจริงเธอคือแอนนี เลอดูซ์” บิล วิกโลว์ ตอบเมื่อทิมถาม บิลอายุเยอะที่สุดในบรรดาเจ้าหน้าที่ดูเพรย์ เขาเป็นเจ้าหน้าที่ชั่วคราวผู้ดูเหมือนจะรู้จักทุกคนในเมือง “เธอนอนซอยนั้นมาหลายปีแล้ว ชอบอยู่ที่นั่นมากกว่าเต็นท์นะ”

“แล้วเวลาหนาวทำยังไงครับ” ทิมถาม

“ขึ้นไปเยอแมสซี ส่วนใหญ่รอนนี กิบสัน เป็นคนพาไปน่ะ เขาเป็นญาติกันหรือยังไงนี่แหละ มีทวดของทวดคนเดียวกันมั้ง มีที่พักคนไร้บ้านอยู่ที่นั่น แอนนีบอกว่าเธอไม่ไปอยู่หรอกถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะบ้านพักนั่นมีแต่พวกคนบ้า ผมบอกเธอ โอ้โห กล้าพูดนะแม่คนดี”

ทิมเข้าไปตรวจดูซอยที่เก็บตัวของเธอในคืนหนึ่ง และไปแวะเยี่ยมเต็นท์อีกวันหลังเลิกงานที่โกดัง ส่วนใหญ่ไปเพราะอยากรู้อยากเห็นมากกว่า บนพื้นดินหน้าเต็นท์มีธงสามผืนปักอยู่บนเสาไม้ไผ่ ธงดาวกับแถบสี่เหลี่ยมแนวนอน ธงดาวกับแถบสี่เหลี่ยมแนวตั้ง และธงอีกแบบที่ทิมไม่รู้จัก

“ธงชาติของเกียนา” เธอบอกเมื่อเขาถาม “เจอมาจากถังขยะหลังร้านโซนีย์น่ะ สวยมะ”

เธอนั่งบนเก้าอี้เอนซึ่งคลุมด้วยพลาสติกใสและกำลังถักผ้าพันคอที่ดูยาวขนาดพันคอยักษ์ของจอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน ได้ เธอเป็นมิตรพอสมควร ไม่แสดงท่าอย่างที่เพื่อนตำรวจซาราโซตาของทิมเรียกว่า “อาการวิตกจริตของคนไร้บ้าน” แต่เธอเป็นแฟนรายการพูดคุยยามดึกของวิทยุช่องดับเบิ้ลยูเอ็มดีเค และบางทีเธอชอบพูดเลยเถิดไปถึงเรื่องแปลกๆอย่างจานบิน การถูกสิงร่าง หรือว่าคุกปีศาจ

คืนหนึ่งตอนที่เขาเจอเธอเอนหลังอยู่บนฟูกอัดลมในซอยและกำลังฟังวิทยุเครื่องเล็กๆนั้น เขาถามว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ตรงนี้ในเมื่อมีเต็นท์น่าอยู่จะตาย กำพร้าแอนนีซึ่งอายุน่าจะหกสิบหรืออาจจะแปดสิบมองทิมราวกับว่าเขาเป็นคนบ้า “อยู่ตรงนี้ใกล้ตำรวจดีออก คุณรู้มั้ยว่ามีอะไรอยู่หลังโกดังกับคลังสินค้า มิสเตอร์เจ”

“ป่ามั้งครับ”

“ป่ากับบึง ไม้ล้ม ปลักโคลน แล้วก็กับดักยาวหลายไมล์ไปจนถึงจอร์เจีย มีตัวอะไรต่อมิอะไรตรงนั้นด้วย แล้วก็พวกคนชั่ว ตอนฟ้ารั่วและฉันต้องอยู่ในเต็นท์ ฉันบอกตัวเองว่าคงไม่มีอะไรฝ่าพายุฝนออกมาหรอก แต่ก็ยังหลับไม่สนิทอยู่ดี ฉันพกมีดไว้ใกล้มือนะ แต่ก็คงสู้กับหนูน้ำคุ้มคลั่งที่กระโจนขึ้นมาไม่ไหวหรอก”

แอนนีผอมจนหนังติดกระดูก ทิมชอบเอาของกินเล็กๆน้อยๆจากร้านเบฟไปฝากเธอก่อนตอกบัตรเข้างานยกของขึ้นยกของลงกะสั้นๆที่คลังสินค้า บางทีก็เป็นถั่วต้มสักถุงหรือไม่ก็ขนมปังกรอบร้านแม็ค บางครั้งก็เป็นคุกกี้สอดไส้หรือทาร์ตเชอร์รี เขาเคยให้ผักดองวิกเกิลส์หนึ่งกระปุกซึ่งเธอรับมากอดไว้แนบอกผอมแห้งและหัวเราะอย่างร่าเริง

“วิกกีส์! ฉันไม่ได้กินวิกกีส์มาตั้งแต่เฮกเตอร์เป็นนักเรียนแล้ว! ทำไมคุณถึงดีกับฉันขนาดนี้นะมิสเตอร์เจ”

“ไม่รู้สิครับ” ทิมบอก “สงสัยผมชอบคุณมั้ง แอนนี ขอชิมสักชิ้นได้ไหม”

เธอยื่นกระปุกออกมา “ได้สิ ยังไงคุณก็ต้องเปิดให้อยู่แล้ว มือฉันเป็นโรคข้อเจ็บมาก” เธอยื่นมือออกมาให้ดูนิ้วหงิกงอจนดูคล้ายเศษไม้เกยฝั่ง “ฉันยังใช้เข็มถักได้นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้ได้อีกนานแค่ไหน”

เขาเปิดกระปุก เบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นน้ำส้มฉุนกึกแล้วหยิบผักดองออกมาหนึ่งแท่ง มีน้ำไหลหยดลงมาซึ่งอาจจะเป็นฟอร์มาลีนก็ได้ เขารู้มาอย่างนั้น

“เอาคืนมา เอาคืนมา!”

เขาส่งกระปุกให้เธอและกินผักดอง “โอ้โห แอนนี ปากผมคงเหี่ยวไม่หายเลยเนี่ย”

เธอหัวเราะอวดฟันที่เหลือไม่กี่ซี่ “อร่อยสุดถ้ากินกับขนมปังทาเนยแล้วก็น้ำอาร์ซีเย็นๆ หรือเบียร์ก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ฉันไม่ดื่มแล้ว”

“คุณถักอะไรอยู่เหรอครับ ผ้าพันคอรึ”

“พระผู้เป็นเจ้ามิได้มาในอาภรณ์ของพระองค์เอง” แอนนีพูด “ไปเถอะมิสเตอร์เจ ไปทำงานได้แล้ว ระวังพวกผู้ชายในรถสีดำด้วย จอร์จ ออลแมน ในวิทยุพูดถึงคนพวกนี้ตลอด คุณรู้ใช่มั้ยว่าพวกเขามาจากไหน” เธอเหล่มองเขาแบบคนรู้กัน เธออาจจะล้อเล่น หรือไม่ใช่ สำหรับกำพร้าแอนนีนั้นบอกได้ยาก

คอร์เบ็ตต์ เดนตัน เป็นพลเมืองภาคกลางคืนอีกคนหนึ่งของดูเพรย์ เขาเป็นช่างตัดผมประจำเมือง คนพื้นที่เรียกเขาว่ามือกลอง เนื่องจากวีรกรรมสมัยวัยรุ่นที่เหมือนจะไม่มีใครรู้แน่ชัด นอกจากว่าวีรกรรมนั้นทำให้เขาถูกพักการเรียนหนึ่งเดือนจากโรงเรียนมัธยมประจำเมือง เขาคงแสบมากในวัยว้าวุ่น แต่ช่วงเวลานั้นผ่านมานานมากแล้ว ตอนนี้มือกลองอายุห้าสิบปลายหรือไม่ก็หกสิบต้น ตัวอ้วน หัวล้าน และเป็นโรคนอนไม่หลับ เวลานอนไม่หลับเขาจะออกมานั่งบนบันไดหน้าร้านและมองดูถนนสายหลักของดูเพรย์ที่แสนว่างเปล่า ว่างเปล่ายกเว้นในสายตาของทิม ทั้งสองพูดคุยทักทายกันบ้างประสาคนเคยเห็นหน้าค่าตา – อย่างเรื่องดินฟ้าอากาศ เบสบอล งานขายของแบกะดินช่วงฤดูร้อนประจำปี แต่มีคืนหนึ่งที่เดนตันพูดบางอย่างซึ่งทำให้ทิมเปิดสัญญาณระแวงในใจ

“รู้อะไรไหม เจมีสัน ชีวิตที่เราคิดว่าเป็นของเรานั้นไม่มีอยู่จริง มันเป็นแค่ละครเงา ตัวผมคงดีใจมากถ้าหากแสงพวกนั้นดับไปซะ ในความมืดเงาจะหายไป”

ทิมนั่งลงบนบันไดใต้กล่องไฟร้านตัดผม เกลียววนไม่สิ้นสุดยังคงหมุนต่อไปแม้ตอนกลางคืน เขาถอดแว่นออกเช็ดกับเสื้อแล้วสวมกลับตามเดิม “ขออนุญาตพูดจากใจเลยได้มั้ยครับ”

มือกลองเดนตันจ่อบุหรี่กับไฟแช็กซึ่งประกายไฟลุกพรึ่บ “ตามสบายเลย ช่วงเที่ยงคืนถึงตีสี่ ทุกคนควรจะมีสิทธิพูดจากใจอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ตามความเห็นของผมนะ”

“คุณเหมือนคนเป็นโรคซึมเศร้า”

มือกลองหัวเราะ “ต้องยกให้คุณเป็นเชอร์ล็อก โฮล์มส์”

“คุณควรไปพบหมอโรเปอร์นะครับ มียาที่จะช่วยให้คุณแจ่มใสขึ้นได้ ภรรยาเก่าของผมก็กิน ถึงแม้กำจัดผมออกจากชีวิตจะช่วยให้เธอแจ่มใสมากกว่า” เขายิ้มเพื่อบอกว่าเขาเล่นมุกนะ แต่มือกลองเดนตันไม่ยิ้มตอบ เพียงแต่ลุกขึ้นยืน

“ผมรู้จักยาพวกนั้นอยู่แล้ว เจมีสัน มันเหมือนยานอนหลับหรือกัญชา หรืออาจจะเหมือนยาอีที่เด็กสมัยนี้เขาเล่นกันเวลาออกเที่ยว หรือจะเรียกอะไรก็ไม่รู้แหละ ยาพวกนั้นมันทำให้เราเชื่อชั่วครู่ชั่วยามว่าทุกอย่างพวกนี้เป็นเรื่องจริง ว่าทุกอย่างมีความหมาย แต่มันไม่จริงและไม่มีความหมายเลย”

“ไม่เอาน่า” ทิมเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก”

“ในความเห็นของผม มันเป็นอย่างนั้นแน่นอน” ช่างตัดผมเอ่ยและเดินไปยังบันไดขึ้นอพาร์ตเมนต์เหนือร้านตัดผม ก้าวย่างของเขาเนิบช้าอืดอาด

ทิมมองตามไปโดยไม่เอ่ยอะไร เขาคิดว่ามือกลองเดนตันเป็นหนึ่งในพวกที่อาจจะฆ่าตัวตายในคืนฝนพรำ อาจจะฆ่าหมาที่เลี้ยงไว้ให้ตายตามไปด้วยถ้ามี เหมือนพวกฟาโรห์อียิปต์สมัยโบราณ เขาคิดว่าจะต้องคุยกับนายอำเภอจอห์นเรื่องนี้ แล้วก็นึกถึงเวนดี กัลลิกสัน ซึ่งยังไม่ใจอ่อนนัก เขาไม่อยากให้เธอหรือเจ้าหน้าที่คนไหนก็ตามคิดว่าเขากำลังสำคัญตัวเองมากไป เขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอีกแล้ว เป็นแค่ยามวิกาลประจำเมือง ทางที่ดีที่สุดก็คือต้องปล่อยไป

แต่มือกลองเดนตันยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดเขาไม่คลาย

 

12

 

ระหว่างตรวจยามในคืนหนึ่งก่อนสิ้นเดือนมิถุนายน ทิมเห็นเด็กชายสองคนเดินมุ่งหน้าทางตะวันตกไปตามถนนเมนสตรีทโดยมีเป้สะพายหลังและกล่องอาหารในมือ สองคนนี้อาจกำลังไปโรงเรียน แต่ไปตอนตีสองก็ไม่น่าใช่ สรุปว่าผู้สัญจรยามราตรีคืนนี้คือฝาแฝดบิลสัน พวกเขาโมโหพ่อกับแม่ที่ไม่ยอมพาไปงานเกษตรแฟร์ดันนิงเพราะว่าผลการเรียนในสมุดพกแย่มาก

“ส่วนใหญ่เราได้ซี แล้วก็ไม่ตกเลยสักวิชา” รอเบิร์ต บิลสัน บอก “แล้วเราก็ได้เลื่อนชั้น แย่ตรงไหนเหรอ”

“ไม่ไหวเลยอะ” รอแลนด์ บิลสัน โวยวาย “เราจะไปงานแฟร์แต่เช้าแล้วก็หางานทำ ได้ยินว่าเขาต้องการแรเงาตลอด”

ทิมคิดว่าจะบอกเด็กชายดีไหมว่าคำที่ถูกคือ แรงงาน แล้วก็คิดว่านั่นไม่ใช่ประเด็น “หนุ่มน้อย ไม่อยากดับฝันพวกเธอหรอกนะ แต่พวกเธออายุเท่าไหร่กัน สิบเอ็ดหรือเปล่า”

“สิบสอง!” ทั้งคู่ประสานเสียง

“โอเค สิบสอง พูดเบาๆหน่อย คนเขานอนกันอยู่ ไม่มีใครจ้างพวกเธอที่งานแฟร์หรอก เขาจะจับพวกเธอยัดใส่คุกของเล่นหรือกรงอะไรก็ตามที่พอหาได้แล้วก็ขังพวกเธอไว้ในนั้นจนกว่าพ่อแม่จะไปรับ ระหว่างนั้นก็จะมีคนมามุงดูพวกเธอ บางคนอาจจะโยนถั่วหรือกากหมูให้กินด้วย”

ฝาแฝดบิลสันจ้องเขาอย่างหงุดหงิด (หรืออาจจะโล่งใจ)

“เอาอย่างนี้ดีกว่า” ทิมบอก “พวกเธอกลับบ้านไปตอนนี้นะ ฉันจะเดินไปส่งเพื่อคอยดูว่าพวกเธอจะไม่เปลี่ยนใจสามัคคีกัน”

“ใจสามัคคีอะไร” รอเบิร์ตถาม

“ที่เขาว่าฝาแฝดจะใจสื่อถึงกันน่ะสิ อย่างน้อยก็ตามตำนานพื้นบ้านน่ะนะ พวกเธอออกมาทางประตูหรือหน้าต่าง”

“หน้าต่างครับ” รอแลนด์ว่า

“โอเค งั้นก็กลับไปทางเดิมนะ ถ้าโชคดี พ่อกับแม่พวกเธอจะไม่มีวันรู้ว่าพวกเธอหนีมา”

รอเบิร์ตว่า “คุณจะไม่ฟ้องพ่อกับแม่นะ”

“ไม่ฟ้องถ้าพวกเธอไม่ออกมาอีก” ทิมพูด “ไม่อย่างนั้นฉันไม่ใช่แค่ฟ้องว่าพวกเธอทำอะไร แต่จะฟ้องด้วยว่าพวกเธอกวนประสาทฉันตอนที่ฉันจับได้”

รอแลนด์ช็อก “เราไม่ได้กวนประสาทซักหน่อย!”

“ฉันจะปั้นเรื่องเอา” ทิมว่า “ฉันปั้นเรื่องเก่ง”

เขาเดินตามคู่แฝดไปและมองรอเบิร์ต บิลสัน ประสานมือเป็นบันไดช่วยให้รอแลนด์เข้าไปทางหน้าต่างที่เปิดไว้ จากนั้นทิมก็ประสานมือช่วยรอเบิร์ตบ้าง เขารอดูว่าจะมีสัญญาณไฟเตือนว่าอาจมีคนหนีออกจากบ้านสว่างขึ้นตรงไหนหรือเปล่า และเมื่อไม่มี จึงกลับไปลาดตระเวนต่อ

 

13

 

คืนวันศุกร์กับเสาร์มีคนออกมาเที่ยวเตร่มากกว่าวันอื่น อย่างน้อยก็จนถึงเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นคู่รักที่จีบกัน หลังจากนั้นก็จะเป็นช่วงบุกของสิ่งที่นายอำเภอจอห์นเรียกว่าจรวดภาคพื้นดิน ซึ่งก็คือเหล่าวัยรุ่นชายในรถบรรทุกหรือรถยนต์แต่งเครื่องที่จะซิ่งไปตามถนนสายหลักโล่งๆของดูเพรย์ด้วยความเร็วหกสิบหรือเจ็ดสิบไมล์ต่อชั่วโมง โดยระหว่างเบียดคู่คี่กันไปก็จะปลุกชาวบ้านชาวช่องด้วยเสียงแผดแสบแก้วหูจากท่อหม้อฟักลูกบวบของพวกเขา บางครั้งเจ้าหน้าที่หรือหน่วยลาดตระเวนส่วนกลางจะไล่จับมาเขียนใบสั่ง (หรือจำคุกถ้าเป่าแล้วเกิน .09) แต่ขนาดมีเจ้าหน้าที่ดูเพรย์ออกปฏิบัติงานถึงสี่คนในช่วงคืนสุดสัปดาห์ การจับกุมก็ยังมีน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่จะหนีกันทัน

ทิมไปหากำพร้าแอนนี เขาเจอเธอนั่งถักรองเท้าแตะอยู่หน้าเต็นท์ เธอจะเป็นโรคไขข้อหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่นิ้วเธอขยับไฟแลบ เขาถามว่าเธออยากได้เงินยี่สิบดอลลาร์ไหม แอนนีบอกว่ามีเงินไว้อุ่นใจกว่าอยู่แล้ว แต่ขอดูก่อนว่างานอะไร เขาบอกเธอไปแล้วเธอก็หัวเราะก๊าก

“เต็มใจมากจ้ะ มิสเตอร์เจ ขอวิกเกิลส์สองกระปุกก็พอ”

แอนนี ผู้ดูจะถือคติประจำใจว่า “เล็กๆไม่ ใหญ่ๆทำ” ทำธงผ้าสูงสามสิบฟุตกว้างเจ็ดฟุตให้เขาผืนหนึ่ง ทิมติดมันไว้กับชักรอกเหล็กที่เขาทำเองโดยเชื่อมกับท่อประปาที่ซื้อจากร้านโฟรมีจำหน่ายเครื่องยนต์เล็กและบริการ หลังจากอธิบายให้นายอำเภอจอห์นฟังว่าเขาอยากทำอะไรและได้รับอนุญาตให้ลองดู ทิมกับแท็ก ฟาราเดย์ ก็แขวนเหล็กม้วนบนเส้นลวดเหนือแยกสามแพร่งบนถนนเมนสตรีทโดยยึดเส้นลวดกับหน้าตึกร้านยาโอเบิร์กข้างหนึ่งและยึดอีกข้างไว้กับโรงหนังปิดกิจการ

ในคืนวันศุกร์และวันเสาร์ช่วงที่บาร์ปิด ทิมจะดึงเชือกเพื่อกางธงออกมาเหมือนกับม่านบังแดด ด้านหนึ่งแอนนีวาดภาพกล้องถ่ายรูปยิงแฟลชแบบโบราณเอาไว้ พร้อมกับข้อความว่า ขับช้าๆ ไอ้หน้าโง่! เราถ่ายรูปทะเบียนรถพวกแกอยู่!

พวกเขาไม่ทำอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว (ถึงแม้ทิมจะจดเลขทะเบียนอยู่บ้างถ้ามองทัน) แต่แบนเนอร์ของแอนนีเหมือนจะได้ผลจริงๆ ไม่ได้สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก แต่ชีวิตคนเรามีอะไรสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์บ้างล่ะ

ต้นเดือนกรกฎาคม นายอำเภอจอห์นเรียกให้ทิมมาหาที่ห้องทำงาน ทิมถามว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือเปล่า

“ตรงข้ามเลย” นายอำเภอจอห์นบอก “คุณทำงานดีนะ ผมว่าแผ่นป้ายนั่นมันบ้าบอมาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมคิดผิด ส่วนคุณคิดถูก ไม่มีรถซิ่งป่วนเมืองตอนดึกกวนใจผมอีกแล้ว แถมไม่มีชาวบ้านร้องเรียนว่าเราขี้เกียจไม่ยอมแก้ปัญหานี้อีกต่างหาก บอกไว้นิดว่าชาวบ้านพวกนี้ก็คนกลุ่มเดียวกับที่ลงมติให้ขึ้นเงินเดือนเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายทุกปีละนะ ที่ผมรำคาญคือเราต้องมาเสียเวลาเก็บกวาดเวลาพวกตีนผีซิ่งอัดต้นไม้หรือเสาโทรศัพท์ พวกตายก็ตายไป แต่พวกไม่ตายแล้วไม่เหมือนเดิมเพราะออกมาลั้นลาบ้าบอแค่คืนเดียวนี่สิ…บางทีผมคิดว่าพวกนี้แย่กว่าอีก แต่เดือนมิถุนาฯปีนี้ถือว่าโอเคเลย ยิ่งกว่าโอเคเสียอีก อาจเป็นเรื่องบังเอิญแค่เดือนนี้เดือนเดียวก็ได้ แต่ผมว่าไม่น่าใช่นะ ผมว่าเพราะป้ายนั่นแหละ คุณบอกแอนนีด้วยว่าเธออาจจะช่วยชีวิตใครหลายคนจากป้ายนั่น และถ้าคืนไหนอากาศหนาวจะเข้ามานอนในคุกหลังสถานีก็ได้”

“ผมจะบอกให้ครับ” ทิมบอก “ขอแค่คุณมีวิกเกิลส์ตุนไว้ เธอจะมาบ่อยเลยละ”

นายอำเภอจอห์นเอนหลังพิง เก้าอี้ครวญออดแอดยิ่งกว่าเคย “ตอนที่ผมบอกว่าคุณสมบัติของคุณดีเกินหน้าที่ยามวิกาลนั่น ผมประเมินต่ำไปเยอะมากเลยนะ ตอนคุณย้ายไปนิวยอร์กเราคงคิดถึงคุณมากแน่ๆ”

“ผมยังไม่รีบครับ” ทิมบอก

 

14

 

กิจการเดียวในเมืองที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงคือร้านสะดวกซื้อโซนีย์ที่อยู่หน้านิคมคลังสินค้า นอกจากเบียร์ น้ำอัดลม และมันฝรั่งทอดแล้ว ร้านโซนีย์ยังขายน้ำมันยี่ห้อบ้านๆอย่างโซนีย์จูซด้วย สองพี่น้องหนุ่มหล่อชาวโซมาเลีย แอบซิมิลกับยูทาล โดบีรา ผลัดเวรกันเข้ากะกลางคืนตั้งแต่เที่ยงคืนถึงแปดโมงเช้า คืนหนึ่งกลางเดือนกรกฎาคมร้อนตับแตก ขณะที่ทิมขีดชอล์กและเคาะประตูระหว่างมุ่งหน้าทิศตะวันตกไปทางสุดถนนเมน เขาได้ยินเสียงปังดังมาจากบริเวณร้านโซนีย์ ตามมาด้วยเสียงร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดหรือโกรธเกรี้ยวสักอย่าง แล้วก็เสียงกระจกแตก

ทิมออกวิ่งทันที นาฬิกาจับเวลาแกว่งกระทบหน้าขา มือควานหาพานท้ายปืนโดยสัญชาตญาณ แต่มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกต่อไป เขาเห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ที่ปั๊ม และขณะพุ่งตรงไปทางร้านสะดวกซื้อ วัยรุ่นชายสองคนก็พรวดพราดออกมา คนหนึ่งหอบบางอย่างเต็มมือซึ่งอาจจะเป็นเงินสด ทิมทรุดเข่าลงข้างหนึ่งพลางมองสองคนนั้นขึ้นรถและขับบึ่งออกไป ล้อยางส่งกลุ่มควันสีฟ้าที่เกิดจากน้ำมันและคราบมันบนพื้นยางมะตอย

เขาหยิบวิทยุสื่อสารจากเข็มขัด “สถานี นี่ทิม มีใครอยู่บ้างตอบกลับด้วย”

คนทางนั้นคือเวนดี กัลลิกสัน ซึ่งเสียงงัวเงียและฝืนคุย “ต้องการอะไรเหรอ ทิม”

“เกิดเหตุสอง.สิบเอ็ด[4]ที่ร้านโซนีย์ มีการยิงด้วยอาวุธปืน”

เธอตื่นทันที “พระเจ้า โจรปล้นเหรอ ฉันจะรีบไป-”

“ไม่ต้อง ฟังผมนะ คนร้ายสองคน เป็นชาย ผิวขาว อายุสิบกว่าหรือยี่สิบ รถเก๋งคันเล็ก อาจจะเชฟวีครูซ ระบุสีไม่ได้เพราะอยู่ใต้แสงไฟนีออนปั๊มน้ำมัน แต่เป็นรุ่นใหม่ ทะเบียนนอร์ทแคโรไลนา ขึ้นต้นด้วยดับบลิวทีบี-9 แต่ไม่เห็นสามตัวท้าย แจ้งใครก็ตามที่ลาดตระเวนอยู่กับตำรวจรัฐก่อนที่คุณจะทำอะไรอย่างอื่น!”

“นี่มัน-”

เขาตัดสาย เหน็บวิทยุสื่อสารกลับเข้าซองแล้ววิ่งปรี่ไปยังร้านโซนีย์ กระจกเคาน์เตอร์ด้านหน้าแตกยับ ส่วนลิ้นชักเก็บเงินเปิดอ้า พี่น้องโดบีราคนหนึ่งนอนตะแคงจมกองเลือดที่เอ่อนองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาหายใจหอบ แต่ละเฮือกที่สูดลมจบท้ายด้วยเสียงหวีดเบาๆ ทิมคุกเข่าลงข้างเขา “ต้องพลิกคุณนอนหงายนะครับ มิสเตอร์โดบีรา”

“อย่านะ…เจ็บ”

ทิมรู้ดีว่าต้องเจ็บแน่ แต่เขาต้องดูแผล กระสุนปืนยิงเข้ามาด้านบนขวาของเสื้อกันเปื้อนร้านโซนีย์สีฟ้าที่โดบีราใส่ ตอนนี้มันกลายเป็นสีม่วงชุ่มเลือด เลือดยังคงไหลออกจากปาก เปียกไปถึงเคราแพะ เมื่อเขาไอก็พ่นละอองเลือดหยดเล็กๆใส่หน้ากับแว่นของทิม

ทิมหยิบวิทยุสื่อสารอีกครั้งและโล่งใจที่กัลลิกสันยังประจำที่อยู่ตรงนั้น “ต้องการรถพยาบาล เวนดี ด่วนที่สุดจากดันนิง พี่น้องโดบีราคนหนึ่งถูกยิง ดูเหมือนกระสุนจะตัดเข้าปอด”

เธอรับทราบและเริ่มถามคำถาม ทิมตัดสายอีกครั้งและวางวิทยุสื่อสารลงบนพื้น ก่อนจะถอดเสื้อยืดที่สวมอยู่ เอากดอุดรูบนหน้าอกโดบีรา “ถือไว้แป๊บหนึ่งได้ไหม มิสเตอร์โดบีรา”

“หายใจ…ไม่ออก”

“ผมเข้าใจ ถือไว้ก่อนนะ มันช่วยได้”

โดบีรากดเสื้อยืดที่ม้วนเป็นก้อนเข้ากับอก ทิมคิดว่าเขาคงถือไว้ไม่ได้นาน และก็คงคาดหวังไม่ได้ว่ารถพยาบาลจะมาภายในยี่สิบนาทีเป็นอย่างต่ำ แม้ว่าแค่นั้นก็นับเป็นปาฏิหาริย์แล้ว

ร้านสะดวกซื้อในปั๊มมีขนมขบเคี้ยวสารพัด แต่มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลจำกัดจำเขี่ย ยังดีมีวาสลีน ทิมหยิบวาสลีนกระปุกหนึ่งกับผ้าอ้อมฮักกีส์หนึ่งห่อจากช่องถัดไป เขาฉีกห่อพลางวิ่งกลับไปหาชายที่นอนบนพื้น ทิมหยิบเสื้อยืดที่ตอนนี้เปียกชุ่มเลือดออกและค่อยถอดๆผ้ากันเปื้อนสีฟ้าที่ชุ่มเลือดพอกัน ก่อนลงมือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่โดบีราสวมอยู่ข้างใน

“อย่า อย่า อย่า” โดบีราคราง “เจ็บ อย่าจับนะ ขอร้อง”

“ต้องทำ” ทิมได้ยินเสียงเครื่องยนต์แล่นเข้ามา ไฟกะพริบสีฟ้าเริ่มส่องวูบวาบลงบนเศษกระจกแตก เขาไม่ได้หันไปมอง “อดทนไว้นะ มิสเตอร์โดบีรา”

เขาควักก้อนวาสลีนจากกระปุกมาโปะลงบนแผล โดบีราร้องโหยหวนเจ็บปวดแล้วมองทิมตาโต “หายใจ…ดีขึ้นนิดหนึ่ง”

“อุดไว้ก่อนชั่วคราว แต่ถ้าคุณหายใจสะดวกขึ้น แสดงว่าปอดไม่ได้เสียหาย” อย่างน้อยก็ไม่หมด ทิมคิด

นายอำเภอจอห์นเข้ามาข้างในและคุกเข่าลงข้างทิม เขาสวมเสื้อชุดนอนขนาดใหญ่เท่าใบเรือหลักทับกางเกงเครื่องแบบ ผมเผ้ากระเซิง

“คุณมาถึงเร็วมาก” ทิมบอก

“ผมตื่นอยู่พอดี นอนไม่หลับน่ะ ทำแซนด์วิชกินอยู่ตอนเวนดีโทร.มา คุณคือยูทาลหรือแอบซิมิลนะครับ”

“แอบซิมิลครับ” เขายังหายใจฟืดฟาด แต่เสียงพูดชัดเจนขึ้น ทิมหยิบผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ยังพับอยู่ขึ้นมากดเข้ากับแผล “โอ๊ย เจ็บ”

“กระสุนตัดผ่านหรือฝังใน” นายอำเภอจอห์นถาม

“ไม่ทราบครับ ผมไม่อยากพลิกตัวเขามาดูอีก เขาอาการค่อนข้างคงที่แล้ว เรารอรถพยาบาลดีกว่า”

วิทยุสื่อสารของทิมดังโครกคราก นายอำเภอจอห์นบรรจงคีบมันขึ้นมาจากกองกระจกแตก เวนดีนั่นเอง “ทิม? บิล วิกโลว์ เจอชายสองคนนั้นบนถนนดีพเมโดว์และเปิดสัญญาณจับกุม”

“นี่จอห์นนะ เวนดี บอกบิลให้ระวังตัวด้วย พวกนั้นมีอาวุธ”

“มีหรือเปล่าไม่รู้ แต่โดนจับแล้วค่ะ” ก่อนหน้านี้เธออาจง่วง แต่ตอนนี้เวนดีตื่นเต็มที่และพูดจาดูภูมิใจ “พวกเขาพยายามทิ้งรถหนี คนหนึ่งแขนหัก อีกคนถูกใส่กุญแจมือคล้องไว้กับกันชนหน้ารถบิล ตำรวจรัฐกำลังมาค่ะ บอกทิมด้วยค่ะว่าเขาพูดถูกเรื่องครูซ โดบีราเป็นยังไงบ้างคะ”

“เขาไม่เป็นไรหรอก” นายอำเภอจอห์นว่า ทิมไม่แน่ใจนัก แต่เขาเข้าใจว่านายอำเภอกำลังพูดกับคนเจ็บเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่กัลลิกสัน

“ผมให้เงินในเก๊ะมันไปแล้ว” โดบีราเอ่ย “มันบอกให้เราเอาเงินให้” ถึงขนาดนั้นเขายังพูดเหมือนเสียดาย เสียดายมาก

“ทำถูกแล้วครับ” ทิมบอก

“แต่คนที่ถือปืนก็ยังยิงผม ส่วนอีกคนทุบเคาน์เตอร์ แล้วเอา…” เขาไอต่อ

“ชู่ว์ อย่าเพิ่งเลย” นายอำเภอจอห์นว่า

“เอาล็อตเตอรี่ไป” แอบซิมิล โดบีราพูด “ล็อตเตอรี่แบบที่เราขูดเลขน่ะครับ น่าจะตามกลับมาได้ ถ้ายังไม่ซื้อ ก็ยังถือเป็นสมบัติของ…” เขาไอเสียงอ่อน “ของรัฐเซาท์แคโรไลนา”

นายอำเภอจอห์นบอก “หยุดพูดก่อนเถอะ มิสเตอร์โดบีรา เลิกห่วงเรื่องหวยขูดอะไรนั่นก่อนแล้วออมแรงไว้”

มิสเตอร์โดบีราหลับตา

 

15

 

วันต่อมาระหว่างที่ทิมกินมื้อกลางวันบนลานระเบียงโกดังรถไฟ นายอำเภอจอห์นก็ขับรถส่วนตัวเข้ามาจอด เขาเดินขึ้นบันไดและมองเก้าอี้ห้อยยานอีกตัวที่ว่างอยู่ “มันจะรับน้ำหนักผมไหวมั้ยน่ะ”

“มีทางเดียวที่จะพิสูจน์ได้ครับ” ทิมบอก

นายอำเภอจอห์นค่อยๆหย่อนตัวนั่ง “โรงพยาบาลบอกว่าโดบีราอาการปลอดภัย ยูทาล – น้องชายเขาน่ะ – บอกว่าเคยเห็นไอ้สวะสองตัวนั่นมาครั้งสองครั้งแล้ว”

“มาดูลาดเลา” ทิมว่า

“ไม่ผิด ผมให้แท็ก ฟาราเดย์ ไปสอบปากคำสองพี่น้องแล้ว แท็กเป็นมือดีที่สุดของผม ซึ่งผมคงไม่ต้องบอกคุณหรอก”

“กิบสันกับเบอร์เก็ตต์ก็ไม่เลวนี่ครับ”

นายอำเภอจอห์นถอนหายใจ “ก็จริง แต่สองคนนั้นคงลงมือหรือตัดสินใจไม่เร็วเท่าคุณเมื่อคืนหรอก ส่วนยัยเวนดีคงได้แต่ยืนจ้องตาแตกถ้าเกิดว่าไม่เป็นลมล้มตึงไปซะก่อน”

“เธอทำหน้าที่รับแจ้งความได้ดีนะครับ” ทิมบอก “ช่วยได้เยอะมาก อันนี้ความเห็นของผม”

“อือฮึ-อือฮึ งานเสมียนถือว่าชั้นหนึ่ง – ปีที่แล้วจัดเอกสารให้เราใหม่หมด แถมใส่ข้อมูลลงแฟลชไดร์ฟให้ด้วย – แต่งานสนามเธอแทบไร้ประโยชน์ แต่เธอชอบเป็นส่วนหนึ่งของทีมนะ แล้วคุณอยากมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมเราไหม ทิม”

“ผมนึกว่าคุณไม่มีเงินจ้างตำรวจเพิ่มแล้วเสียอีก พวกคุณเคยได้ขึ้นเงินเดือนกันบ้างไหมครับ”

“ก็ไม่ได้ขึ้นอย่างที่หวังไว้หรอก แต่บิล วิกโลว์ จะเกษียณตอนสิ้นปีนี้ ผมคิดว่าคุณกับเขาอาจสลับหน้าที่กันได้ ให้เขาเดินเคาะประตู ส่วนคุณกลับมาสวมเครื่องแบบพกอาวุธ ผมถามบิลแล้ว เขาบอกว่างานยามวิกาลก็เหมาะกับเขาดี อย่างน้อยก็ชั่วระยะหนึ่ง”

“ผมขอคิดดูก่อนนะครับ”

“ได้อยู่แล้ว” นายอำเภอจอห์นลุกขึ้นยืน “อีกตั้งห้าเดือนกว่าจะสิ้นปี แต่เราจะยินดีมากถ้าได้คุณมาร่วมงาน”

“นับรวมเจ้าหน้าที่กัลลิกสันด้วยหรือเปล่าครับ”

นายอำเภอจอห์นยิ้มกว้าง “เอาชนะใจเวนดีน่ะยาก แต่เมื่อคืนคุณทำแต้มไปไกลแล้ว”

“จริงเหรอครับ แล้วถ้าผมชวนเธอไปกินมื้อค่ำ คุณคิดว่าเธอจะว่ายังไง”

“ผมว่าเธอคงตกลงนะ ถ้าร้านที่คุณคิดพาเธอไปไม่ใช่ร้านเบฟ สาวสวยระดับเธออย่างน้อยๆก็ต้องราวด์อัพในดันนิง หรือไม่ก็ร้านอาหารเม็กซิกันในฮาร์ดีวิลล์”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ”

“ไม่มีปัญหา เอาเรื่องงานไปคิดด้วยก็แล้วกัน”

“ได้ครับ”

เขาคิดจริงๆ และก็ยังคงคิดอยู่ตอนที่เรื่องเลวร้ายนรกแตกเกิดขึ้นในคืนอันร้อนระอุของฤดูร้อนหลังจากนั้น

 

 

 

เด็กฉลาด

 

 

1

 

ยามเช้าอากาศสดใสที่มินนีแอโพลิสในเดือนเมษายนปีนั้น – ตอนที่ทิม เจมีสัน มาเพิ่งมาถึงดูเพรย์ได้ไม่กี่เดือน – เฮอร์เบิร์ตและไอลีน เอลลิส ก็ได้รับเชิญให้เข้ามาในห้องทำงานของจิม กรีเออร์ ครูแนะแนวหนึ่งในสามคนของโรงเรียนบรอเดอริกเพื่อเด็กความสามารถพิเศษ

“ลูคไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหมคะ” ไอลีนถามเมื่อพวกเขานั่งลง “ถ้ามี เขาก็ไม่ได้บอกอะไรเลยค่ะ”

“ไม่ใช่เลยครับ” กรีเออร์พูด เขาอายุสามสิบกว่า ผมสีน้ำตาลเริ่มบาง ใบหน้าเคร่งขรึม เขาสวมเสื้อกีฬาเปิดคอกับกางเกงยีนรีดเรียบ “คือว่า คุณคงรู้หลักการทำงานของที่นี่อยู่แล้วใช่ไหมครับ ว่าสิ่งต่างๆจะต้องดำเนินการไปในทิศทางไหนเมื่อดูจากความสามารถทางปัญญาของนักเรียนเรา เราแบ่งเกรดพวกเขา แต่ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ตามเกรด เพราะว่าทำไม่ได้ เรามีเด็กสิบขวบผู้มีภาวะออทิสติกอ่อนๆซึ่งทำเลขระดับเด็กมัธยมได้ แต่อ่านหนังสือได้แค่เด็กเกรดสาม เรามีเด็กที่แตกฉานสี่ภาษาแต่คูณเศษส่วนไม่เป็น เราสอนพวกเขาทุกวิชา และเราให้พวกเขากินนอนที่นี่เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ – เราจำเป็น เพราะว่าเด็กเหล่านี้มาจากทั่วภูมิภาคของสหรัฐอเมริกาและมีสิบกว่าคนมาจากต่างประเทศ- แต่เราให้ความสนใจที่พรสวรรค์พิเศษของพวกเขามากกว่า ไม่ว่าพรสวรรค์เหล่านั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ดังนั้นระบบทั่วไปที่เด็กเรียนอนุบาลเลื่อนชั้นไปเรื่อยๆถึงเกรดสิบสองจึงค่อนข้างไร้ประโยชน์สำหรับเรา”

“เราเข้าใจครับ” เฮิร์บบอก “และเราก็รู้ว่าลูคเป็นเด็กฉลาด เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้เรียนที่นี่” สิ่งที่เขาไม่ได้เอ่ย (ซึ่งกรีเออร์รู้อยู่แก่ใจ) ก็คือพวกเขาไม่มีปัญญาจ่ายค่าเทอมแพงระยับของโรงเรียนอยู่แล้ว เฮิร์บเป็นหัวหน้าคนงานที่โรงงานผลิตกล่อง ส่วนไอลีนเป็นครูสอนไวยากรณ์ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ลูคเป็นเด็กนักเรียนไปกลับเพียงไม่กี่คนของบรอดและเป็นนักเรียนทุนซึ่งมีน้อยกว่านั้นมาก

“ฉลาดเหรอ ก็ไม่ถูกเสียทีเดียวนะครับ”

กรีเออร์เหลือบลงมองแฟ้มที่เปิดไว้บนโต๊ะทำงานเนี้ยบกริบอีกฝั่ง แล้วไอลีนก็มองเห็นภาพล่วงหน้าทันทีว่า โรงเรียนคงกำลังขอให้พวกเขาเอาลูกลาออกไป หรือไม่ก็กำลังจะยกเลิกทุน – ซึ่งพวกเขาก็จำเป็นต้องเอาลูกออกอยู่ดี เพราะค่าเทอมต่อปีที่บรอดนั้นเลขกลมๆคือสี่หมื่นดอลลาร์ พอๆกับฮาร์วาร์ด กรีเออร์กำลังจะบอกว่าที่ผ่านมาคือความผิดพลาด บอกว่าลูคไม่ได้หัวดีอย่างที่ทุกคนเชื่อกัน เขาเป็นแค่เด็กธรรมดาที่อ่านหนังสือแตกฉานกว่าเด็กรุ่นเดียวกันและดูเหมือนจะจำทุกอย่างได้หมด ไอลีนเคยอ่านเจอว่าความทรงจำที่แม่นยำเช่นนั้นอาจไม่ใช่เรื่องผิดแปลกสำหรับเด็กอายุน้อย เด็กทั่วไปราวสิบถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์มีความสามารถในการจำทุกอย่างได้เกือบหมด ประเด็นคือพรสวรรค์นั้นมักหายไปเมื่อเด็กกลายเป็นวัยรุ่น และลูคก็ใกล้ถึงวัยนั้นเต็มที

กรีเออร์ยิ้ม “ผมขอพูดตามตรงเลยนะครับ เราภาคภูมิใจในการสอนเด็กพิเศษของเรามาก แต่ที่บรอเดอริกไม่เคยมีเด็กอย่างลูคมาก่อน มิสเตอร์ฟลินต์ อาจารย์เกียรติคุณท่านหนึ่งของเราซึ่งปีนี้ก็อายุแปดสิบกว่าแล้วครับ ลงมาติวประวัติศาสตร์ลูคด้วยตัวเองในเรื่องคาบสมุทรบอลข่าน ซึ่งเป็นหัวข้อที่ซับซ้อน แต่ก็เป็นประเด็นร้อนแรงของสถานการณ์ภูมิศาสตร์การเมืองปัจจุบัน อันนี้ตามที่ฟลินต์บอกน่ะนะครับ จบสัปดาห์แรกฟลินต์มาหาผม บอกว่าความรู้สึกในการสอนลูกชายพวกคุณคงเหมือนความรู้สึกของผู้อาวุโสยิวที่ถูกพระเยซูสอนกลับไม่พอ ยังถูกด่ากลับอีกด้วย บอกว่าสิ่งที่เข้าไปในปากไม่ทำให้คนสกปรกหรอก แต่สิ่งที่ออกมาจากปากนั่นแหละ ที่ทำให้คนสกปรก”

“ผมไม่เข้าใจครับ” เฮิร์บบอก

“บิลลี ฟลินต์ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน นั่นแหละประเด็น”

กรีเออร์โน้มตัวมาข้างหน้า

“ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยเถอะครับ ลูคศึกษาเรื่องสุดหินในระดับที่บัณฑิตศึกษายังต้องใช้เวลาเรียนสองเทอมได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ และสรุปประเด็นมากมายซึ่งฟลินต์ตั้งใจว่าจะสรุปให้ฟังหลังจากอธิบายความด้านพื้นฐานประวัติศาสตร์เรียบร้อยแล้ว โดยลูคได้โต้แย้งบทสรุปบางข้อไว้อย่างน่าเชื่อถือมากๆ ว่าพวกเขา ‘สืบทอดภูมิปัญญามา ไม่ใช่คิดด้วยตัวเอง’ แม้ฟลินต์จะตบท้ายให้ด้วยว่าลูคแย้งอย่างสุภาพอย่างยิ่ง เกือบจะขอโทษขอโพยกันเลยทีเดียว”

“ผมไม่รู้จะตอบยังไงดีครับ” เฮิร์บบอก “ลูคไม่ค่อยพูดเรื่องงานที่โรงเรียนเท่าไหร่ เขาบอกว่าเราคงไม่เข้าใจ”

“ซึ่งก็จริงแหละค่ะ” ไอลีนว่า “ฉันเคยเข้าใจทฤษฎีบททวินามอะไรทำนองนั้นนะคะ แต่นั่นก็นานมาแล้ว”

เฮิร์บพูด “เวลาลูคกลับบ้าน เขาก็เหมือนเด็กทั่วๆไป พอทำการบ้าน ทำงานธุระส่วนตัวเสร็จก็เปิดเครื่องเอ็กซ์บ็อกซ์หรือเล่นบาสฯหน้าบ้านกับเพื่อนชื่อรอล์ฟ เขายังดูสปองจ์บ๊อบสแควร์แพนส์อยู่เลยครับ” เขาครุ่นคิดแล้วเอ่ยต่อ “ถึงส่วนใหญ่จะมีหนังสือวางบนตักด้วยก็เถอะ”

ใช่แล้ว ไอลีนคิด หลังๆมานี้เป็นเรื่อง หลักสังคมวิทยา ส่วนก่อนหน้านั้นเป็น วิลเลียม เจมส์ ก่อนหน้านั้นเป็นคัมภีร์ผู้ติดสุรา ก่อนหน้านั้นไปอีกเป็นรวมผลงานคอร์แม็ก แม็กคาร์ธี เขาอ่านเหมือนวัวไล่ทุ่งเล็มหญ้าที่คอยย้ายไปหากอหญ้าเขียวที่สุด สามีเธอเลือกจะไม่ใส่ใจเรื่องนั้นเพราะกลัวความแปลกของมัน เธอเองก็กลัว ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอไม่รู้ว่ามีครูมาติวลูคเรื่องประวัติศาสตร์คาบสมุทรบอลข่าน เขาไม่ได้บอกเธอเพราะเธอไม่ได้ถาม

“ที่เราเจอนั้นมหัศจรรย์มาก” กรีเออร์บอก “อันที่จริง เราถือว่ากว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของนักเรียนบรอดนั้นมหัศจรรย์อยู่แล้ว แต่พวกเขาก็มีขีดจำกัด ลูคไม่เหมือนใครเลยเพราะลูคมีความครอบจักรวาล เขาไม่ได้เก่งแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เก่งทุกอย่าง ผมว่าเขาคงไม่เคยเล่นเบสบอลอาชีพหรือว่าบาสเกตบอล-”

“ถ้าเขามาทางผม คงตัวเตี้ยเกินกว่าจะเล่นอาชีพนะครับ” เฮิร์บยิ้ม “เว้นแต่ว่าเขาจะเป็นสปัด เว็บบ์[5] คนต่อไป”

“จุ๊ๆ” ไอลีนว่า

“แต่เขาเล่นสนุกเต็มที่เลยนะครับ” กรีเออร์ว่าต่อ “เขาชอบเล่นมาก ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องเสียเวลาเลย อยู่ในสนามกีฬาก็ไม่ได้เก้ๆกังๆ เข้ากับเพื่อนได้ดี ไม่ได้เป็นคนเก็บตัวหรือว่ามีความบกพร่องทางอารมณ์อะไร ลูคเป็นเด็กอเมริกันมาดเท่ธรรมดาๆที่สวมเสื้อยืดวงร็อกใส่หมวกกลับด้าน เขาอาจจะไม่ได้เท่ขนาดนั้นถ้าอยู่ในโรงเรียนปกติ – เพราะบทเรียนล้าหลังแต่ละวันคงทำเขาเป็นบ้า – แต่ผมคิดว่าต่อให้เขาอยู่โรงเรียนแบบนั้นเขาก็คงโอเคอยู่ดี คงจะศึกษานอกตำราของเขาไป” กรีเออร์รีบพูดต่อ “คุณคงไม่ได้อยากให้เขาลองแบบนั้นหรอกนะครับ”

“ไม่นะคะ เรายินดีมากที่เขาเรียนที่นี่” ไอลีนบอก “มากเลยค่ะ และเราก็รู้ว่าเขาเป็นเด็กดี เรารักเขาสุดหัวใจ”

“เขาก็รักพวกคุณเหมือนกัน ผมเคยคุยกับลูคหลายครั้ง เขาแสดงออกชัดเจนมาก หาเด็กฉลาดเป็นเลิศสักคนว่ายากมากแล้ว หาเด็กที่จิตใจมั่นคงหนักแน่น – คนที่มองโลกภายนอกเหมือนกับโลกภายในหัวของตัวเองนั้น – ยิ่งยากกว่า”

“ถ้าไม่มีอะไรผิดแปลก แล้วทำไมเราถึงต้องมาที่นี่ล่ะครับ” เฮิร์บถาม “ไม่ใช่ว่าผมข้องใจที่คุณชื่นชมลูกชายผมหรอกนะครับ อย่าเข้าใจผิด จะว่าไปผมยังเล่นฮอร์ส[6]ชนะเขาอยู่เลย ถึงเขาจะตวัดมือชู้ตเก่งก็เถอะ”

กรีเออร์เอนหลังพิง รอยยิ้มเลือนหายไปแล้ว “คุณมาที่นี่เพราะเราไม่มีอะไรจะสอนลูคแล้วครับ และเขาก็รู้ดี เขาแสดงความสนใจว่าต้องการจะทำโครงงานมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างเป็นเรื่องเฉพาะทาง เขาอยากศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ในเคมบริดจ์ และภาษาอังกฤษที่อีเมอร์สัน คนละฟากแม่น้ำในเมืองบอสตัน”

“อะไรนะคะ” ไอลีนถาม “พร้อมกันเลยเหรอ”

“ครับ”

“แล้วสอบเอสเอที[7]ล่ะ” ไอลีนคิดคำพูดได้แค่นั้น

“เขาจะสอบเดือนหน้า เดือนพฤษภาคมครับ ที่โรงเรียนมัธยมนอร์ทคอมมิวนิตี คงทำคะแนนถล่มทลาย”

ฉันต้องห่ออาหารกลางวันไว้ให้ลูกกิน เธอคิด เธอได้ยินมาว่าอาหารที่โรงอาหารนอร์ทคอมม์รสชาติแย่มาก

หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งเฮิร์บก็เอ่ยว่า “มิสเตอร์กรีเออร์ ลูกเราอายุสิบสองเองนะครับ เอาจริงๆแล้วเพิ่งสิบสองเมื่อเดือนที่แล้ว เขาอาจจะรู้ลึกเรื่องเซอร์เบีย แต่อีกสามปีหนวดก็คงยังไม่ขึ้นเลย คุณ…เรื่องนี้…”

“ผมเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไง เราคงไม่มาคุยกันหรอกถ้าเพื่อนครูแนะแนวกับครูหมวดอื่นทั้งหมดไม่เชื่อมั่นว่าเขามีความพร้อมทั้งด้านความรู้ สังคม และอารมณ์ที่จะเข้าเรียน และก็ใช่ครับ ทั้งสองมหาวิทยาลัยเลย”

ไอลีนเอ่ย “ฉันไม่ยอมส่งลูกสิบสองขวบไปครึ่งค่อนประเทศเพื่อให้ไปอยู่กับเด็กมหาวิทยาลัยที่โตจนออกไปดื่มเหล้าเข้าคลับได้แล้วหรอกค่ะ ถ้ามีญาติให้พักด้วยกันได้ก็ว่าไปอย่าง แต่…”

กรีเออร์พยักหน้าเห็นพ้องกับเธอ “ผมเข้าใจครับ เข้าใจเป็นอย่างดี แล้วลูคก็รู้ดีว่าตัวเขาเองยังไม่พร้อมจะอยู่ตามลำพังหรอก ต่อให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีคนดูแลก็ตาม เรื่องนั้นเขาเข้าใจแจ่มชัดเลย แต่เขาก็ยังหงุดหงิดและไม่มีความสุขกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้เพราะเขากระหายอยากเรียน พูดตรงๆคือโหยหิวเลยดีกว่า ผมไม่รู้ว่ามีเครื่องกลวิจิตรพิสดารอะไรอยู่ในหัวเขาหรอกนะครับ – พวกเราไม่มีใครรู้ บางทีผู้เฒ่าฟลินต์อาจสรุปได้ใกล้เคียงที่สุดตอนเขาพูดถึงพระเยซูสอนผู้อาวุโส – แต่พอผมพยายามจะนึกภาพตาม ผมก็นึกถึงภาพเครื่องยนต์ใหญ่เงาวับที่ทำงานเพียงสองเปอร์เซ็นต์ของความสามารถ เต็มที่ให้ห้าเปอร์เซ็นต์เลย แต่ด้วยความที่สิ่งนี้คือเครื่องยนต์มนุษย์ เขาเลย…หิวกระหาย”

“หงุดหงิดและไม่มีความสุขเหรอครับ” เฮิร์บถาม “ฮึ เราไม่เห็นเขาเป็นอย่างนั้นเลยนะ”

ฉันเห็น ไอลีนคิด ไม่ได้เห็นตลอดเวลา แต่เป็นบางที ใช่เลย เวลาที่จานสั่นหรือประตูปิดเองไงล่ะ

เธอนึกถึงเครื่องยนต์ใหญ่เงาวับที่กรีเออร์ว่า สิ่งที่ใหญ่จนจุอาคารขนาดเท่าโกดังสามหรือสี่หลังเข้าไปได้ แล้วก็กำลังผลิตอะไรบางอย่าง อะไรนะ ไม่ใช่แค่ผลิตถ้วยกระดาษหรือกดพิมพ์ถาดอะลูมิเนียมฟาสต์ฟู้ดเสียด้วย พวกเขาสมควรต้องให้ลูคมากกว่านี้ แต่พวกเขาสมควรต้องให้สิ่งนี้หรือเปล่า

“ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยมินนิโซตาล่ะคะ” เธอถาม “หรือคอนคอร์เดียที่เซนต์พอล ถ้าเขาเข้ามหาวิทยาลัยพวกนี้ก็จะได้อยู่บ้าน”

กรีเออร์ถอนหายใจ “ก็เหมือนคุณคิดจะให้เขาออกจากบรอดแล้วไปเข้าโรงเรียนมัธยมทั่วไปนั่นแหละ เรากำลังคุยเรื่องเด็กชายที่มาตรวัดไอคิวไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขาเลยนะ เขารู้ว่าตัวเองอยากไปที่ไหน รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร”

“ฉันไม่รู้ว่าเราจะทำอะไรได้” ไอลีนบอก “เขาอาจจะได้ทุนจากมหาวิทยาลัยพวกนั้นอยู่หรอก แต่เราทำงานที่นี่นี่คะ และเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร”

“เอาละ ทีนี้มาคุยเรื่องนั้นกัน” กรีเออร์บอก

 

2

 

ตอนที่เฮิร์บกับไอลีนกลับมาที่โรงเรียนบ่ายวันนั้น ลูคกำลังคุยเล่นอยู่หน้าช่องทางรับส่งนักเรียนกับเด็กอีกสี่คน เป็นชายสองหญิงสอง ทั้งหมดกำลังหัวเราะและคุยกันอย่างเมามัน ในสายตาไอลีน พวกเขาก็เหมือนเด็กทั่วไป เด็กหญิงสวมกระโปรงกับเลกกิ้ง หน้าอกเพิ่งตั้งเต้า ลูคกับรอล์ฟเพื่อนเขาสวมกางเกงทรงหลวม – แฟชั่นมาแรงสำหรับหนุ่มๆในปีนี้ – กับเสื้อยืดซึ่งของรอล์ฟเขียนว่า เบียร์คือบทที่หนึ่ง เขามีเชลโล่อยู่ในถุงผ้าปะติดและดูเหมือนกำลังเต้นรูดเสารอบๆมันพลางฝอยอะไรบางอย่างซึ่งอาจเป็นเรื่องการเต้นสปริงแดนซ์หรือทฤษฎีปีทาโกรัสก็ได้

ลูคเห็นพ่อแม่ตัวเองแล้วก็หยุดไปชนกำปั้นกับรอล์ฟ ก่อนจะคว้าเป้สะพายหลังแล้วขึ้นมานั่งบนเบาะหลังรถโฟร์รันเนอร์ของไอลีน “มาทั้งพ่อกับแม่เลยแฮะ” เขาบอก “สุดยอด ทำไมผมถึงได้รับเกียรติสูงสุดขนาดนี้ครับเนี่ย”

“ลูกอยากไปเรียนที่บอสตันจริงเหรอ” เฮิร์บถาม

ลูคไม่ได้เสียศูนย์อะไร เขาหัวเราะและชกกำปั้นเข้าหากันกลางอากาศ “ครับ! ผมไปได้ไหม!”

ไอลีนนิ่งอึ้งราวกับลูกถามว่าคืนวันศุกร์นี้ขอนอนค้างบ้านรอล์ฟได้หรือเปล่า เธอนึกถึงคำพูดที่กรีเออร์บอกเกี่ยวกับลูกชายตัวเอง เขาเรียกมันว่าครอบจักรวาล และคำนั้นคงถูกต้องที่สุดแล้ว ลูคเป็นอัจฉริยะที่หลุดรอดจากความเพี้ยนเพราะฉลาดเกินตัว เขาไม่เคยละล้าละลังที่จะกระโจนขึ้นสเกตบอร์ดและไถลไปตามทางเดินดิ่งชันพร้อมด้วยสมองอัจฉริยะหนึ่งในล้านและพุ่งทะยานไปอย่างไม่มีอะไรจะหยุดยั้งได้

“ไปกินมื้อเย็นเร็วหน่อยแล้วค่อยคุยก็แล้วกัน” เธอว่า

“ร็อกเก็ตพิซซา!” ลูคตื่นเต้น “ดีมั้ยครับ พ่อเอาไพรโลเซค[8]มาเนอะ เอามาใช่มั้ยพ่อ”

“เอ่อ วางใจได้ หลังคุยกับครูวันนี้ พ่อพกยานั่นติดตัวตลอดเวลาเลย”

 

3

 

พวกเขาสั่งเปปเปอโรนีถาดใหญ่ซึ่งลูคกินคนเดียวไปครึ่งถาดกับโค้กอีกสามแก้วจากเหยือกจัมโบ้ จนพ่อแม่เขานึกพิศวงกับระบบย่อยและกระเพาะของลูกชายเช่นเดียวกับสมองของเขา ลูคอธิบายว่าเขาได้คุยกับมิสเตอร์กรีเออร์ก่อนแล้วเพราะว่า “ผมไม่อยากให้พ่อกับแม่ตกใจ เลยให้ครูกรุยทางก่อน”

“อ่อยเหยื่อดูว่าปลาจะฮุบเบ็ดไหม” เฮิร์บว่า

“ใช่ครับ ชักธงขึ้นเสาดูทิศทางลม โยนหินถามทาง หยั่งเสียงลองเชิง-”

“พอแล้วๆ เขาอธิบายว่าเราอาจจะไปกับลูกได้ด้วยวิธีไหน”

“พ่อแม่ต้องไปนะครับ” ลูคเอ่ยจริงจัง “ผมเด็กเกินกว่าจะอยู่โดยขาดไร้ที่พึ่งทางใจและบิดรมารดาผู้เคารพรัก อีกอย่าง…” เขามองพ่อกับแม่ข้ามเศษซากพิซซา “ผมคงเรียนไม่ได้ คงคิดถึงพ่อกับแม่ใจจะขาด”

ไอลีนสั่งดวงตาตัวเองไม่ให้น้ำตาคลอ แต่ก็ทำไม่ได้ เฮิร์บส่งผ้าเช็ดปากให้ เธอเอ่ยว่า “มิสเตอร์กรีเออร์…เอ่อ…แจกแจงสถานการณ์ให้ฟัง ลูกอาจบอกว่า…เป็นไปได้ที่เราจะ…เอ่อ…”

“ย้ายถิ่นฐาน” ลูคว่า “มีใครเอาชิ้นสุดท้ายมั้ยครับ”

“ลูกเหมาเลย” เฮิร์บบอก “อย่าเพิ่งตายก่อนไปสมัครเป็นนักศึกษาอะไรนี่ก็แล้วกัน”

เมนาช อา คอลเลจ (สมาคมนักศึกษา)” ลูคพูดแล้วหัวเราะ “ครูคุยเรื่องศิษย์เก่ารวยๆกับพ่อแม่แล้วใช่ไหมครับ”

ไอลีนวางผ้าเช็ดปากลง “พระเจ้า ลูคกี้ ลูกคุยเรื่องฐานะการเงินของพ่อแม่กับครูแนะแนวเหรอ สรุปว่าเรื่องนี้ใครเป็นผู้ใหญ่กันแน่ แม่ชักจะงงไปหมดแล้วนะ”

“ใจเย็นก่อนครับ มามาซิตา ทุกอย่างมีเหตุผลของตัวเองทั้งสิ้น ถึงแวบแรกผมจะนึกถึงกองทุนเพื่อพัฒนาการศึกษา คือบรอดมีเงินทุนก้อนโตซึ่งจะจ่ายเงินค่าย้ายถิ่นฐานให้พ่อกับแม่โดยที่เราไม่ต้องเดือดร้อนเลย แต่ผู้จัดการกองทุนคงไม่ยอม ถึงมันจะดูเหมาะสมอย่างยิ่งก็เถอะ”

“งั้นเหรอ” เฮิร์บว่า

“อ้าว ก็ใช่สิครับ” ลูคเคี้ยวหยับๆอย่างเอร็ดอร่อยก่อนกลืนพิซซาลงคอแล้วกระดกโค้กตาม “ผมเป็นสินทรัพย์นี่นา เป็นหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตสูง เราลงทุนกับนิกเกิลและทำกำไรจากเงินดอลลาร์ถูกไหมครับ อเมริกามีรายได้จากตรงนี้แหละ คณะกรรมการกองทุนมองไกลขนาดนั้นอยู่แล้ว ไม่ติด แต่พวกเขาแหวกม่านประเพณีไม่ได้”

“ม่านประเพณี” พ่อเขาเอ่ย

“ครับ คล้ายๆว่าเป็นผลสืบเนื่องจากชุดความคิดโบราณคร่ำครึ กึ่งๆวัฒนธรรมชนเผ่า ถึงคงจะดูตลกพิลึกถ้านึกภาพผู้จัดการกองทุนเป็นชนเผ่า พวกเขาจะพูดว่า ‘ถ้าเราให้ทุนเด็กคนนี้ อีกหน่อยก็ต้องให้คนอื่นด้วย’ นี่แหละครับม่านประเพณี ประมาณว่าก็เขาทำมากันแบบนี้”

“ทำตามขนบ” ไอลีนว่า

“แม่เข้าใจถูกเผง ผู้จัดการกองทุนจะโยนเรื่องนี้ไปให้พวกศิษย์เก่าเศรษฐี พวกที่โกยเงินถุงเงินถังได้มากกว่าจมจากการแหวกม่านประเพณี แต่ก็ยังรักสีน้ำเงิน-ขาวของบรอเดอริกโรงเรียนเก่าอยู่ มิสเตอร์กรีเออร์จะเป็นคนชี้เป้าให้ อย่างน้อยผมก็หวังว่าเขาจะช่วยนะครับ ข้อตกลงก็คือคนเหล่านั้นจะช่วยผมก่อนตอนนี้แล้วผมค่อยช่วยโรงเรียนภายหลัง ตอนที่ผมรวยแล้วก็ดัง ความจริงผมไม่สนทั้งสองอย่างนั้นหรอก เพราะผมมันชนชั้นกลางทั้งดุ้น แต่ยังไงผมก็ต้องรวยอยู่ดี มันเป็นผลข้างเคียงน่ะครับ ได้แต่หวังว่าผมจะไม่ติดเชื้อร้ายหรือว่าถูกฆ่าตายในเหตุก่อการร้ายอะไรเสียก่อน”

“อย่าพูดจาเป็นลางสิ” ไอลีนว่าและรีบทำท่าไม้กางเขนเหนือโต๊ะอาหารที่เหลือแต่เศษซาก

“เล่นของเหรอครับแม่” ลูคแซว

“ไม่ต้องมาขำแม่หรอก เช็ดปากด้วย ซอสพิซซาเลอะเทอะไปหมดแล้ว อย่างกับเหงือกเลือดออก”

ลูคเช็ดปาก

เฮิร์บบอกว่า “จากที่มิสเตอร์กรีเออร์บอก สมาชิกที่สนใจจะออกเงินค่าย้ายถิ่นฐานและให้ทุนเรานานถึงสิบหกเดือน”

“เขาบอกหรือเปล่าครับว่าคนกลุ่มเดียวกับที่ออกเงินให้เราก่อนอาจช่วยหางานใหม่ให้พ่อกับแม่ด้วย” ดวงตาของลูคเป็นประกาย “น่าจะเป็นงานที่ดีกว่าเดิม เพราะศิษย์เก่าของโรงเรียนคนหนึ่งคือดักลาส ฟิงเคิล ซึ่งบังเอิญเป็นเจ้าของบริษัทผลิตภัณฑ์กระดาษอเมริกัน ซึ่งถือว่าใกล้เคียงจุดลงตัว จุดตัด จุดนัดพบ-”

“เอาเป็นว่ามีคนชื่อฟิงเคิล” เฮิร์บว่า “คาดว่าใจถึงพึ่งได้”

“อีกอย่าง…” ลูคหันไปหาแม่ด้วยดวงตาสดใส “ตอนนี้อาชีพครูที่บอสตันเป็นที่ต้องการของตลาดมาก ครูที่มีประสบการณ์ขนาดแม่เฉลี่ยแล้วได้เงินเดือนประมาณหกพันห้าร้อยเหรียญแน่ะ”

“ลูกรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงเหรอ” เฮิร์บถาม

ลูคยักไหล่ “เริ่มจากวิกิพีเดียก่อนครับ จากนั้นผมค่อยตามไปยังแหล่งข้อมูลใหญ่ที่อ้างอิงอยู่ในบทความของวิกิพีเดีย หลักสำคัญทั่วไปคือต้องตามข่าวสารในวงการให้ทัน ซึ่งวงการของผมก็คือโรงเรียนบรอเดอริก ผมรู้จักผู้จัดการกองทุนทุกคน พวกศิษย์เงินหนาที่ผมต้องทำความรู้จัก”

ไอลีนเอื้อมมือข้ามโต๊ะ หยิบพิซซาเสี้ยวสุดท้ายออกจากมือของลูกชายแล้ววางมันกลับที่เดิมบนถาดสังกะสีซึ่งมีเศษแป้งร่วงอยู่ “ลูคกี้ ต่อให้เราทำเรื่องนี้สำเร็จ ลูกจะไม่คิดถึงเพื่อนเลยเหรอ”

ดวงตาเขามัวหม่น “คิดถึงสิครับ โดยเฉพาะรอล์ฟ มายาด้วย ถึงเราจะชวนสาวไปเต้นสปริงแดนซ์อย่างเป็นทางการไม่ได้ แต่เธอคือคู่เดทของผมอย่างไม่เป็นทางการ เพราะงั้นก็ต้องคิดถึงสิครับ แต่ว่า

พวกเขารอฟัง ลูกชายที่ปกติเป็นคนช่างเจรจาและพูดมากเป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้ดูอึกอัก เขาอ้าปากจะพูดแล้วก็หยุด จะพูดแล้วก็หยุดอีกครั้ง “ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ผมไม่รู้ด้วยว่าผมพูดได้ไหม”

“ลองดูก่อน” เฮิร์บบอก “วันข้างหน้าเราคงมีเรื่องใหญ่ให้พูดคุยปรึกษากันอีกมาก แต่นี่คือเรื่องสำคัญที่สุดของวันนี้ เพราะงั้นลองพูดมา”

ที่หน้าร้าน ริชชี ร็อกเก็ต ออกมาทำการแสดงประจำชั่วโมงและขยับตัวเต้นเพลง แมมโบนัมเบอร์ไฟฟ์ ไอลีนมองหุ่นในชุดอวกาศสีเทากวักมือที่สวมถุงมือเรียกคนโต๊ะใกล้ๆ เด็กเล็กหลายคนเข้าไปร่วมวงเต้นตามเพลงสุดเหวี่ยงและหัวเราะร่าขณะที่พ่อแม่ถ่ายภาพแล้วก็ปรบมือ เมื่อไม่นานมานี้ – แค่ห้าปีที่แล้วนี่เอง – ลูคเคยเป็นหนึ่งในเด็กพวกนี้ ตอนนี้พวกเขากำลังคุยกันเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่ไม่น่าเชื่อ เธอไม่รู้ว่าเด็กอย่างลูคเกิดมาจากเธอกับสามีได้อย่างไร พวกเขาเป็นคนธรรมดาที่มีความอยากได้ใคร่มีและความคาดหวังธรรมดา บางครั้งเธอนึกอยากไม่ให้มันเป็นเช่นนี้ บางครั้งเธอเกลียดบทบาทที่ถูกบังคับให้เป็นจับใจ แต่เธอไม่เคยเกลียดลูคและจะไม่มีวันเกลียด เขาเป็นลูกน้อยของเธอ ลูกคนเดียวและหนึ่งเดียว

“ลูค?” เฮิร์บเอ่ย เขาพูดเสียงเบามาก “ลูกพ่อ”

“เรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้น่ะครับ” ลูคเอ่ย เขาเงยหน้าขึ้นมาและมองพ่อแม่ตรงๆ ดวงตาเขาฉายแววฉลาดล้ำอย่างที่พ่อแม่ไม่ค่อยได้เห็น เขาเก็บซ่อนความฉลาดนั้นจากพ่อแม่เพราะรู้ว่ามันทำให้พ่อกับแม่กลัวยิ่งกว่าจานสั่นกระทบกันเสียอีก “พ่อกับแม่ไม่เห็นเหรอครับ สิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้ไง ผมอยากไปมหาวิทยาลัย…ไปเรียน…และก้าวไปต่อ มหาวิทยาลัยพวกนั้นก็เหมือนบรอดนั่นแหละครับ ไม่ใช่จุดมุ่งหมาย เป็นแค่บันไดไต่เต้าไปสู่จุดหมาย”

“จุดหมายอะไรจ๊ะลูกรัก” ไอลีนถาม

ผมไม่รู้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมอยากเรียนรู้ อยากหาคำตอบ ผมมีความคิดแบบนี้ในหัว…ผมบรรลุ…แล้วก็พอใจ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ครับ บางครั้งผมรู้สึกว่าตัวเองเล็กจิ๋ว…โคตรโง่เง่า…”

“ลูกรัก ไม่จริงเลย ลูกไม่มีทางเป็นคนโง่เง่าไปได้เลย” เธอเอื้อมมือมากุมมือเขา แต่เขาชักกลับพลางส่ายหน้า ถาดพิซซาสังกะสีกระเพื่อมอยู่บนโต๊ะ เศษแป้งเต้นระริก

“คือว่ามีหุบเหวลึกอยู่ครับ บางครั้งผมก็ฝันถึงมัน มันลึกสุดหยั่ง มีแต่สิ่งที่ผมไม่รู้จัก ผมไม่รู้เลยว่าเหวนี้จะมีวันถมเต็มไหม – อันนี้พูดแบบปฏิพจน์นะครับ- แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ หุบเหวนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเล็กจ้อยและโง่เขลา แต่ก็มีสะพานข้ามฟากซึ่งผมอยากจะเดินข้ามไป ผมอยากไปยืนกลางสะพานและชูมือทั้งสองข้าง…”

ทั้งสองมองลูกชายด้วยความตะลึงและออกจะหวั่นกลัวขณะที่ลูคชูมือทั้งสองข้างขึ้นขนาบใบหน้าแหลมและขึงขังของเขา ถาดพิซซาตอนนี้ไม่ใช่แค่กระเพื่อมแต่สั่นสะเทือน เหมือนที่บางครั้งจานในตู้ที่บ้านสั่น

“…แล้วทุกอย่างในความมืดก็จะพากันลอยขึ้นมา ผมรู้

ถาดพิซซาไถลข้ามโต๊ะและหล่นกระแทกพื้น เฮิร์บกับไอลีนแทบไม่รับรู้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นรอบตัวลูคเวลาเขารู้สึกแย่ ไม่บ่อยนักแต่ก็มีบ้าง ซึ่งทั้งสองชินแล้ว

“พ่อเข้าใจ” เฮิร์บบอก

“พ่อโกหกน่ะ” ไอลีนว่า “พ่อกับแม่ไม่เข้าใจหรอก แต่ลูกควรเดินหน้าต่อและเตรียมเรื่องเอกสาร ไปสอบเอสเอที ลูกเตรียมตัวไว้และจะเปลี่ยนใจทีหลังก็ได้ แต่ถ้าลูกไม่เปลี่ยนใจ ถ้ายังยืนยันเหมือนเดิม…” เธอมองเฮิร์บซึ่งพยักหน้า “เราจะพยายามทำให้ได้”

ลูคยิ้มกว้างแล้วหยิบถาดพิซซาขึ้นมา เขามองริชชี ร็อกเก็ต “ผมเคยเต้นกับเขาแบบนั้นสมัยยังเล็กๆ”

“ใช่จ้ะ” ไอลีนเอ่ย เธอต้องใช้ผ้าเช็ดปากอีกแล้ว “ลูกเคยเต้นแบบนั้น”

“ลูกรู้ใช่ไหมว่าคนเขาพูดถึงหุบเหวกันว่ายังไง” เฮิร์บถาม

ลูคส่ายหน้า อาจเพราะนี่เป็นไม่กี่เรื่องที่เขาไม่รู้ หรือไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่อยากตัดหน้าแย่งประโยคเด็ดของพ่อ

“เมื่อเรามองมัน มันจะมองกลับมา”

“ผมเห็นด้วยครับ” ลูคบอก “ว่าแต่เรากินของหวานได้หรือเปล่า”

 

4

 

ข้อสอบเอสเอทีให้เวลาสี่ชั่วโมงรวมเขียนเรียงความ แต่ยังปรานีมีช่วงพักคั่นกลางให้ ลูคนั่งอยู่บนม้านั่งยาวในล็อบบี้ของโรงเรียนมัธยม กำลังเคี้ยวแซนด์วิชที่แม่ห่อมาให้อย่างเมามันและหวังว่าตัวเองจะมีหนังสือสักเล่ม เขาเอา เนคเค็ดลันช์ มาด้วย แต่ผู้คุมสอบคนหนึ่งยึดไป (พร้อมกับโทรศัพท์ของเขาและของทุกคน) โดยบอกลูคว่าจะคืนให้ภายหลัง เจ้าหน้าที่คนนั้นยังพลิกหน้ากระดาษหารูปโป๊หรือโพยข้อสอบหรือทั้งสองอย่างด้วย

ระหว่างกินคุกกี้สแนกคิมอลส์ เขาเพิ่งรู้ตัวว่ามีผู้เข้าสอบหลายคนยืนอยู่รอบตัว เป็นเด็กชายเด็กหญิงตัวโตในชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลาย

“น้อง” เด็กคนหนึ่งถาม “มาเสนอหน้าทำอะไรที่นี่”

“มาสอบครับ” ลูคบอก “เหมือนคุณแหละ”

พวกเขาครุ่นคิด เด็กหญิงคนหนึ่งถามว่า “เธอเป็นอัจฉริยะเหรอ เหมือนในหนังน่ะนะ”

“เปล่าครับ” ลูคเอ่ยพลางยิ้ม “แต่เมื่อคืนผมนอนฮอลิเดย์อินน์เอ็กซ์เพรสนะ[9]

พวกเขาหัวเราะ ซึ่งดีจริง เด็กชายคนหนึ่งชูฝ่ามือขึ้นแล้วลูคก็ตีมือด้วย “เธอจะเข้าที่ไหน มหา’ลัยอะไร”

“เอ็มไอที ถ้าเข้าได้นะครับ” ลูคว่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริงเลย เขาได้รับการตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยอย่างมีเงื่อนไขจากทั้งสองแห่งที่เขาเลือกแล้วโดยขึ้นอยู่กับว่าวันนี้จะทำข้อสอบได้ดีแค่ไหน ซึ่งก็คงไม่ใช่ปัญหา ถึงตอนนี้ข้อสอบยังหมูอยู่ เด็กๆที่รายล้อมเขาตอนนี้ต่างหากที่น่ากลัว ในฤดูใบไม้ร่วงเขาจะต้องเข้าเรียนกับเด็กแบบนี้ เด็กที่โตกว่ามากและตัวใหญ่กว่าสองเท่า และจะต้องจับจ้องมองเขาแน่นอน เขาเคยคุยเรื่องนี้กับมิสเตอร์กรีเออร์แล้ว บอกว่าเขาคงเหมือนตัวประหลาดในสายตาคนเหล่านี้

“ขึ้นอยู่กับเธอว่าจะถือสาหรือเปล่า”  มิสเตอร์กรีเออร์บอก “พยายามท่องเอาไว้ และถ้าเธออยากได้ที่ปรึกษา คนที่จะพูดระบายความรู้สึก อะไรก็แล้วแต่เหอะ ก็จงหาคนฟัง และเธอส่งข้อความหาฉันได้ตลอด”

เด็กสาวคนหนึ่ง – สาวสวยผมแดง – ถามว่าเขาทำข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ข้อที่เกี่ยวกับโรงแรมได้หรือเปล่า

“ที่มีแอรอนน่ะเหรอ” ลูคถาม “อื้อ ก็ได้นะ”

“เธอว่าข้อไหนถูก จำได้หรือเปล่า”

คำถามข้อนั้นคือให้คำนวนว่าชายคนหนึ่งที่ชื่อแอรอนจะต้องจ่ายค่าห้องพักเท่าไหร่สำหรับการเข้าพักเป็นเวลา x คืน ถ้าค่าเข้าพักคืนละ 99.95 เหรียญ บวกภาษี 8% บวกค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายหนึ่งครั้งอีกห้าเหรียญ ซึ่งลูคจำได้แน่นอนเพราะมันเป็นโจทย์หลอกนิดหนึ่ง คำตอบไม่ใช่ตัวเลข แต่เป็นสมการ

“ข้อบี คืองี้นะ” เขาหยิบปากกาออกมาเขียนบนถุงใส่อาหารกลางวัน : 1.08(99.95x) + 5

“เธอแน่ใจเหรอ” เธอถาม “ฉันตอบข้อ A” เธอโน้มตัวลงมาหยิบถุงของลูคไป – เขาได้กลิ่นน้ำหอมโชยมาวูบหนึ่ง กลิ่นดอกไลแลกหอมหวาน – แล้วก็เขียน : (99.95+0.08x) + 5

“สมการยอดเยี่ยมมาก” ลูคบอก “แต่คนออกข้อสอบเขาจะลากเราไปตบกลางสี่แยกก็ตรงนี้แหละ” ลูคเคาะสมการของเธอ “สมการคุณคิดราคาการเข้าพักหนึ่งคืน และไม่ได้จ่ายภาษีห้องด้วย”

เธอโอดครวญ

“ไม่เป็นไรน่า” ลูคว่า “ข้ออื่นคุณอาจถูกหมดเลยก็ได้”

“ไม่แน่นายอาจจะผิด แต่เธอนั่นแหละถูก” เด็กหนุ่มคนหนึ่งบอก เขาคือคนที่ตบมือไฮไฟว์กับลูค

เธอส่ายหน้า “เด็กนี่พูดถูกแล้ว ฉันลืมวิธีคำนวณอีภาษีเชี่ยนั่นไปเลย ซวยแล้ว”

ลูคมองเธอเดินคอตกจากไป เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินตามไปโอบเอวเธอ ลูคอิจฉาเด็กหนุ่มคนนั้น

เด็กหนุ่มอีกคนที่ตัวสูงดูดีและสวมแว่นตาโฉบเฉี่ยวนั่งลงข้างลูค “แปลกมั้ย” เขาถาม “ที่เป็นตัวนายแบบนี้น่ะ”

ลูคใคร่ครวญคำพูดที่ว่า “บางครั้งนะ” เขาบอก “แต่ส่วนใหญ่มันก็…แบบว่าชีวิตก็งี้แหละ”

ผู้คุมสอบชะโงกออกมาสั่นกระดิ่ง “ได้เวลาแล้วเด็กๆ”

ลูคยืนขึ้นด้วยความรู้สึกโล่งใจหน่อยๆ แล้วโยนถุงอาหารกลางวันลงถังขยะข้างประตูโรงยิม เขามองสาวผมแดงคนสวยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้าไปข้างใน ถังขยะเขยิบไปทางซ้ายสามนิ้ว

 

5

 

การสอบครึ่งหลังก็ง่ายเหมือนครึ่งแรก เขาคิดว่าตัวเองทำข้อสอบเรียงความพอใช้ได้ คือยังไงก็เอาให้สั้นไว้ก่อน ตอนออกจากโรงเรียนเขาเห็นสาวสวยผมแดงนั่งร้องไห้คนเดียวอยู่บนม้านั่ง ลูคสงสัยว่าเธอคงทำข้อสอบไม่ได้ ซึ่งถ้าทำไม่ได้แล้วอาการมันแย่ขนาดไหน – แย่ขั้นที่ว่าอาจไม่ได้มหา’ลัยตัวเลือกแรก หรือแย่ขั้นที่ว่าต้องติดแหง็กอยู่กับมหา’ลัยชุมชน เขาสงสัยว่าการมีสมองแบบที่ไม่เข้าใจคำตอบทั้งหมดนั้นมันเป็นอย่างไร เขาสงสัยว่าตัวเองควรเข้าไปปลอบใจเธอหรือเปล่า เขาสงสัยว่าเธอจะรับคำปลอบโยนจากเด็กที่ยังดูเป็นเด็กเมื่อวานซืนไหม เธออาจตะเพิดเขาเหมือนหมูเหมือนหมา เขาถึงขั้นสงสัยด้วยว่าทำไมถังขยะถึงย้ายที่ไปแบบนั้น – เห็นแล้วขนลุก เขานึกขึ้นได้ (ด้วยพลังรุนแรงของคนเบิกเนตร) ว่าชีวิตคนเรานั้นแท้จริงแล้วก็เหมือนการสอบเอสเอทีอันยาวนาน และแทนที่จะมีคำตอบสี่หรือห้าข้อให้เลือก เรามีเป็นสิบๆ รวมทั้งตัวเลือกกวนประสาทอย่าง ถูกเป็นบ้างข้อ อาจเป็นเช่นนั้น และอาจไม่เป็นเช่นนั้น

แม่กำลังโบกมือให้ เขาโบกมือตอบแล้ววิ่งไปที่รถ เมื่อขึ้นรถคาดเข็มขัดเรียบร้อย แม่ถามว่าทำข้อสอบเป็นยังไงบ้าง

“ฉลุยครับ” ลูคบอก เขาส่งยิ้มแป้นแล้นให้แม่ แต่ยังหยุดคิดถึงสาวผมแดงไม่ได้ ภาพเธอร้องไห้ว่าแย่แล้ว แต่ท่าทางที่เธอคอตกตอนเขาแจกแจงว่าเธอทำสมการผิดยังไง – ท่าทางที่เหมือนดอกไม้ในหน้าแล้ง – ยิ่งแย่กว่าอย่างบอกไม่ถูก

เขาบอกตัวเองว่าอย่าไปคิดถึงมันเลย แต่คนเราทำตามที่ตัวเองบอกไม่ได้หรอก ลองไม่คิดถึงหมีขั้วโลกดูสิ ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี เคยบอกไว้ ทีนี้เจ้าหมีนั่นจะโผล่เข้ามาในหัวทุกนาทีเลย

“แม่ครับ”

“ว่าไงจ๊ะ”

“แม่คิดว่าความทรงจำคือของขวัญหรือคำสาป”

เธอไม่ต้องคิดเลย ไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอกำลังนึกถึงความทรงจำอะไรอยู่ “ทั้งสองอย่างจ้ะลูกรัก”

 

6

 

ตีสองของเช้าวันหนึ่งในเดือนมิถุนายน ระหว่างที่ทิม เจมีสัน กำลังทำหน้าที่ยามวิกาลอยู่บนถนนสายหลักของดูเพรย์ รถเอสยูวีสีดำคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาบนถนนไวลเดอร์สมูตไดร์ฟซึ่งอยู่บริเวณชานเมืองด้านเหนือของมินนีแอโพลิส ชื่อถนนบ้าอะไรก็ไม่รู้ ลูคกับรอล์ฟเพื่อนของเขาเรียกถนนสายนี้ว่าไวลเดอร์สมูช[10]ไดร์ฟ ส่วนหนึ่งเพราะฟังแล้วดูบ้าขึ้นและอีกส่วนเพราะพวกเขาก็อยากนัวเนียสาวแบบเมามันอยู่เหมือนกัน

ในรถเอสยูวีมีชายหนึ่งคนและผู้หญิงสองคน ผู้ชายคือเดนนี ส่วนผู้หญิงคือมิเชลล์กับรอบิน เดนนีเป็นคนขับ เมื่อผ่านมาได้ครึ่งหนึ่งของถนนที่คดโค้งเงียบสงัด ฝ่ายชายก็ปิดไฟ เบนรถเข้าข้างทางและดับเครื่อง “แน่ใจนะว่าคนนี้ไม่ใช่ท.จ. เพราะฉันไม่ได้เอาหมวกดีบุกมา”

“ฮ่าๆ” รอบินหัวเราะแกนๆ เธอนั่งอยู่บนเบาะหลัง

“เขาก็แค่พ.จ.ทั่วไปที่คุณเคยเจอนั่นแหละ” มิเชลล์บอก “ไม่ครณามือคุณหรอก มาเริ่มกันเลยดีกว่า”

เดนนีเปิดลิ้นชักเก็บของที่อยู่ระหว่างเบาะด้านหน้าทั้งสองและหยิบโทรศัพท์มือถือหน้าตาอย่างกับลี้ภัยมาจากยุคเก้าศูนย์ คือเป็นแท่งสี่เหลี่ยมหนาเตอะมีเสาอากาศป้อมสั้น เขาส่งให้มิเชลล์ ระหว่างที่เธอกดหมายเลข เขาก็เปิดลิ้นชักเล็กด้านในสุดและหยิบถุงมือยางชนิดบาง ปืนกล็อก 37 สองกระบอก และกระปุกใส่ของเหลวซึ่งฉลากเขียนไว้ว่าเป็นน้ำยาปรับอากาศยี่ห้อเกลด เขาส่งปืนกระบอกหนึ่งให้รอบินข้างหลัง เก็บอีกกระบอกไว้เอง และส่งกระปุกของเหลวให้มิเชลล์

“โอ้มาเถอะหนา กระไรทีมใหญ่มา” เขาร้องเป็นทำนองระหว่างสวมถุงมือ “มาเร็วอย่าช้า ทีมทับทิมแดง ทีมทับทิมแดง”

“เลิกเล่นมุกเด็กม.ปลายสักทีเถอะ” มิเชลล์บอก จากนั้นก็พูดใส่โทรศัพท์ที่เธอหนีบไว้กับไหล่เพื่อจะได้สวมถุงมือ: “ไซมอนส์ ได้ยินไหม”

“ทราบแล้วเปลี่ยน” ไซมอนส์ตอบ

“จากทับทิมแดง เรามาถึงแล้ว ลงมือตัดสัญญาณได้เลย”

เธอรอฟังเจอร์รี ไซมอนส์ ที่ปลายสาย ในบ้านเอลลิสซึ่งลูคกับพ่อแม่หลับอยู่ แผงควบคุมสัญญาณกันขโมยดีวอลต์ที่ห้องโถงด้านหน้ากับในครัวดับลง มิเชลล์ได้รับสัญญาณให้เดินหน้าจึงยกนิ้วโป้งให้เพื่อนร่วมทีม “โอเค เรียบร้อย”

รอบินสะพายกระเป๋าอุปกรณ์ทำงานไว้ที่ไหล่ หน้าตามันเหมือนกระเป๋าถือใบย่อมของผู้หญิง ไฟภายในบ้านดับสนิทเมื่อพวกเขาลงจากรถเอสยูวีติดป้ายทะเบียนตำรวจลาดตระเวนรัฐมินนิโซตา พวกเขาเดินเรียงเดี่ยวอยู่ระหว่างบ้านเอลลิสและบ้านเดสทินซึ่งอยู่ติดกัน (ในนั้นรอล์ฟก็หลับอยู่ และอาจกำลังฝันว่าได้นัวเนียเมามัน) จากนั้นก็เข้าไปทางครัวโดยมีรอบินเป็นคนนำเพราะเธอมีกุญแจ

พวกเขาหยุดตรงเตาผิง รอบินล้วงกระเป๋าหยิบอุปกรณ์เก็บเสียงพกพาสองแท่งพร้อมด้วยแว่นครอบตาน้ำหนักเบาซึ่งมีสายรัดพลาสติกอีกสามชุด แว่นครอบตาทำให้ใบหน้าพวกเขาเหมือนแมลง แต่ก็ช่วยให้ห้องครัวมืดสลัวสว่างขึ้นมา เดนนีกับรอบินหมุนติดตั้งอุปกรณ์เก็บเสียง มิเชลล์นำทางผ่านห้องนั่งเล่นเข้าไปยังโถงด้านหน้าและขึ้นบันไดไป

พวกเขาเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ทว่ามั่นใจพอสมควรที่โถงชั้นบน มีพรมแนวยาวช่วยซับเสียงฝีเท้าเอาไว้ เดนนีกับรอบินหยุดอยู่หน้าห้องแรกที่ประตูปิดอยู่ มิเชลล์เดินต่อไปยังห้องที่สอง เธอหันกลับมาหาเพื่อนร่วมทีมแล้วหนีบกระปุกของเหลวไว้ใต้แขนเพื่อจะยกมือทั้งสองข้างและกางนิ้วออก: ขอสิบวินาที รอบินพยักหน้าและชูนิ้วโป้งตอบ

มิเชลล์เปิดประตูเข้าไปในห้องนอนลูค บานพับส่งเสียงออดแอดเบาๆ รูปร่างที่อยู่บนเตียง (มองไม่เห็นอะไรนอกจากผมหย่อมหนึ่ง) ขยับเล็กน้อยแล้วก็นิ่งไป เวลาตีสองเด็กคนนี้ควรหลับเป็นตายในช่วงเวลาที่เขาหลับลึกที่สุด แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ บางทีอัจฉริยะคนนี้อาจไม่หลับสนิทเหมือนเช่นทุกคืน ใครจะรู้ ที่แน่ๆ มิเชลล์ รอเบิร์ตสัน ไม่รู้คนหนึ่งละ บนผนังมีโปสเตอร์สองแผ่น ทั้งสองแผ่นมองเห็นได้ชัดราวกับกลางวันเมื่อมองผ่านแว่นครอบตา ภาพหนึ่งเป็นนักสเกตบอร์ดกำลังลอยตัวกลางอากาศ พับเข่า กางแขน งอข้อมือ อีกภาพเป็นภาพของราโมนส์ วงพังก์ที่มิเชลล์เคยฟังสมัยเรียนมัธยม เธอคิดว่าพวกเขาคงตายไปหมดแล้ว ได้ไปอยู่หาดร็อกเวย์บีชบนฟ้าแล้วละ

เธอเดินข้ามห้องพลางนับในใจไปด้วย สี่…ห้า…

ตอนนับหก สะโพกของเธอไปชนกับตู้ลิ้นชักของเด็กหนุ่มเข้า มีถ้วยรางวัลบางอย่างตั้งอยู่และมันตกลงมา เสียงไม่ดังนัก แต่เด็กหนุ่มพลิกตัวนอนหงายแล้วลืมตา “แม่?”

“ก็ได้” มิเชลล์ว่า “ตามใจเลย”

เธอเห็นแววตื่นตระหนกในดวงตาของเด็กชาย เห็นเขาอ้าปากเตรียมจะพูดอะไรต่อ เธอกลั้นหายใจแล้วพ่นของเหลวจากกระป๋องห่างจากใบหน้าของเด็กชายไปสองนิ้ว เขาสลบพับทันที พวกเขาเป็นแบบนี้เสมอและไม่เคยมีอาการเมาค้างตอนที่ตื่นขึ้นมาหกหรือแปดชั่วโมงหลังจากนี้ ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัวด้วยสารเคมี มิเชลล์คิดและนับเจ็ด…แปด…เก้า

เมื่อนับสิบ เดนนีและรอบินก็เข้าไปในห้องของเฮิร์บและไอลีน สิ่งแรกที่พวกเขาเจอก็คือปัญหา ผู้หญิงไม่ได้อยู่บนเตียง ประตูห้องน้ำเปิดอยู่ แสงรูปสี่แหลี่ยมคางหมูทอดอยู่บนพื้น แสงนั้นสว่างเกินไปสำหรับแว่นครอบตา พวกเขาจึงถอดมันโยนลงพื้น พื้นห้องนี้เป็นไม้เนื้อแข็งขัดมัน เสียงแกร๊กพร้อมกันสองครั้งจึงได้ยินชัดเจนในห้องเงียบสนิท

“เฮิร์บ?” เสียงเบา ๆ ลอยมาจากห้องน้ำ “ทำแก้วน้ำตกเหรอ”

รอบินปราดไปที่เตียงพลางหยิบปืนกล็อกออกจากขอบกางเกงตรงบั้นเอว ขณะที่เดนนีเดินไปที่ประตูห้องน้ำโดยไม่พยายามจะเก็บซ่อนเสียงฝีเท้าเลย มันสายไปแล้ว เขายืนข้างประตู ถือปืนไว้ข้างใบหน้า

หมอนที่อยู่ตรงฝั่งผู้หญิงยังคงยุบจากน้ำหนักศีรษะเธอ รอบินกดมันบนหน้าฝ่ายชายและยิงปืนอัดลงไป ปืนกล็อกส่งเสียงไอเบาๆครั้งหนึ่ง ไม่ดังไปกว่านั้น และทิ้งรอยเปื้อนเล็กๆสีน้ำตาลจากปากกระบอกปืนไว้บนหมอน

ไอลีนออกจากห้องน้ำด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เฮิร์บ คุณเป็นอะ-”

เธอเห็นเดนนี เขารวบคอเธอ เอาปืนกล็อกจ่อขมับและเหนี่ยวไก มีเสียงไอเบาๆอีกครั้ง เธอร่วงลงพื้นไป

ระหว่างนั้นเท้าของเฮิร์บ เอลลิสวาดเตะพัลวันทำเอาผ้าห่มที่เขากับอดีตภรรยาใช้คลุมกายโป่งพองขึ้นมา รอบินยิงอัดหมอนอีกสองนัด นัดที่สองเป็นเสียงเห่าแทนเสียงไอ นัดที่สามยิ่งดังขึ้น

เดนนีคว้าหมอนไป “อะไรเนี่ย เธอดูก็อดฟาเธอร์เยอะไปรึเปล่า รอบิน พระเจ้า หัวเขาแหว่งไปครึ่งหนึ่งแล้ว สัปเหร่อจะทำยังไงฮึ”

“ฉันทำงานจบ ประเด็นอยู่ตรงนั้น” ความจริงก็คือเธอไม่ชอบมองคนที่เธอยิง ไม่ชอบเห็นชีวิตดับไปจากคนพวกนั้น

“แข็งใจหน่อยสาวน้อย นัดที่สามเสียงดังเลยนะ ไปเถอะ”

พวกเขาหยิบแว่นครอบตาและไปที่ห้องของเด็กชาย เดนนีอุ้มลูคไว้ในอ้อมแขน – ไม่มีปัญหาเลย เด็กคนนี้หนักไม่เกินเก้าสิบปอนด์ – แล้วเชิดคางบอกผู้หญิงสองคนให้นำหน้าไป พวกเขาออกไปทางครัวเหมือนตอนเข้ามา ไม่มีแสงไฟจากบ้านที่อยู่ติดกัน (แสดงว่านัดที่สามไม่ได้ดังขนาดนั้น) และไม่มีเสียงอื่นดังประกอบนอกจากเสียงจิ้งหรีดและไซเรนที่ดังอยู่ไกลๆ อาจจะดังมาไกลจากเซนต์พอลโน่นเลย

มิเชลล์นำทางไประหว่างบ้านทั้งสองหลัง ตรวจดูถนนและส่งสัญญาณบอกให้คนอื่นๆเลยไปก่อน ตรงนี้เองที่เดนนี วิลเลียมส์ เกลียดสุดๆ ถ้ามีคนนอนไม่หลับมองออกมาเห็นคนสามคนบนสนามหญ้าของเพื่อนบ้านตอนตีสองคงน่าสงสัย และถ้าหนึ่งในนั้นแบกบางอย่างที่ดูเหมือนคน แบบนั้นก็ยิ่งน่าสงสัยใหญ่

แต่ไวลเดอร์สมูตไดร์ฟ – ที่ตั้งชื่อตามบุคคลสำคัญผู้ล่วงลับไปนานแล้วของทวินซิตีส์ – กำลังหลับใหล รอบินเปิดประตูหลังรถเอสยูวีฝั่งที่ติดกับขอบถนนและยื่นแขนออกมา เดนนีส่งเด็กชายให้และเธอก็ดึงลูคเข้ามาแนบตัว ศีรษะเขากลิ้งไปมาบนไหล่เธอ เธอคลำหาเข็มขัดนิรภัย

“อี๋ เด็กนี่น้ำลายไหล” รอบินว่า

“ใช่สิ คนหมดสติก็อย่างนี้แหละ” มิเชลล์บอกและปิดประตูหลัง เธอขึ้นนั่งเบาะข้างคนขับ ส่วนเดนนีขึ้นนั่งหลังพวงมาลัย มิเชลล์เก็บปืนกับกระป๋องของเหลวในขณะที่เดนนีออกรถช้าๆไปจากบ้านเอลลิส เมื่อพวกเขาไปถึงทางแยกแรก เดนนีก็เปิดไฟหน้ารถตามเดิม

“โทร.เลย” เขาบอก

มิเชลล์กดหมายเลขเดิม “จากทับทิมแดง เราได้ตัวแล้ว เจอร์รี คาดว่าจะถึงสนามบินในอีกยี่สิบห้านาที เปิดระบบสัญญาณได้”

ในบ้านเอลลิส สัญญาณกันขโมยกลับมาทำงานอีกครั้ง เมื่อตำรวจมาถึงในที่สุด พวกเขาจะพบว่ามีคนตายสอง หายไปหนึ่ง เด็กคือผู้ต้องสงสัยที่น่าเป็นไปได้มากที่สุด ใครๆก็บอกว่าเขาฉลาดเลิศ และพวกฉลาดพวกนี้ไม่ใช่เหรอที่มักจะเพี้ยนอยู่หน่อยๆ ตำรวจจะตั้งคำถามเมื่อเจอตัวเขาซึ่งจะเจอเมื่อไรก็อีกเรื่อง เด็กอาจจะหนีได้ แต่ต่อให้เป็นเด็กฉลาดแค่ไหนก็ซ่อนตัวไม่ได้

ไม่ได้นาน

 

7

 

ลูคตื่นขึ้นมาและนึกถึงความฝัน – ไม่ใช่ฝันร้ายเสียทีเดียว แต่ก็เป็นฝันที่ไม่ใช่ฝันดีแน่นอน มีผู้หญิงแปลกหน้าเข้ามาในห้อง โน้มตัวเหนือเตียงโดยมีผมบลอนด์ห้อยลงมาล้อมกรอบใบหน้า ก็ได้ ตามใจเลย เธอพูดเหมือนกะหรี่ในคลิปโป๊ที่เขากับรอล์ฟเคยดูด้วยกันเป็นบางที

เขาลุกขึ้นนั่งและมองไปรอบๆ ตอนแรกคิดว่าเป็นความฝันอีกอันหนึ่ง นี่คือห้องของเขาเอง – วอลล์เปเปอร์สีฟ้าเหมือนเดิม โปสเตอร์รูปเดิม ตู้ลิ้นชักกับถ้วยลิตเติลลีกใบเดิมบนนั้น – แต่หน้าต่างอยู่ไหนล่ะ หน้าต่างที่มองออกไปเห็นบ้านรอล์ฟหายไป

เขาหลับตาปี๋แล้วลืมตาโพลง ไม่เปลี่ยน ห้องไร้หน้าต่างยังคงไร้หน้าต่างตามเดิม เขาคิดว่าจะหยิกตัวเอง แต่แบบนั้นมันธรรมดาไป เขาเลยจิ้มนิ้วกับแก้มแทน ทุกอย่างยังเหมือนเดิม

ลูคลงจากเตียง เสื้อผ้าของเขาอยู่บนเก้าอี้อย่างที่แม่วางไว้เมื่อคืน – กางเกงใน ถุงเท้า เสื้อเชิ้ตอยู่บนที่นั่ง กางเกงยีนพาดไว้บนพนัก เขาสวมเสื้อผ้าอย่างช้าๆ ตามองจุดที่ควรจะเป็นหน้าต่างแล้วนั่งลงสวมผ้าใบ ตัวอักษร LE ชื่อย่อของเขาที่ข้างรองเท้านั้นถูกต้อง แต่ขีดแนวนอนตรงเส้นกลางของตัว E ยาวเกินไป เขามั่นใจ

เขาพลิกรองเท้ามองหาเศษกรวดจากถนนและไม่เห็นมี ตอนนี้เขามั่นใจเต็มร้อยแล้ว นี่ไม่ใช่ผ้าใบของเขา เชือกผูกรองเท้าก็ไม่ใช่เหมือนกัน รองเท้าคู่นี้สะอาดเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็พอดีเท้าเขาเหลือเกิน

เขาเดินไปยังกำแพงและวางมือทาบ กดลงไปเพื่อหาหน้าต่างใต้วอลล์เปเปอร์ แต่ก็ไม่มี

เขาถามตัวเองว่าเขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า แบบว่าสติแตกไปเลยเหมือนเด็กในหนังสยองขวัญที่กำกับโดย เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน พวกเด็กปัญญาเลิศมักมีแนวโน้มที่จะเสียสติอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แต่เขาไม่ได้บ้า เขายังสติดีเหมือนกับเมื่อคืนตอนที่เขาเข้านอน ในหนังเด็กเสียสติจะคิดว่าตัวเองสติดี – ชยามาลานจะหักมุมแบบนั้น – แต่จากที่ลูคอ่านมาจากหนังสือจิตวิทยา คนบ้าส่วนใหญ่รู้ว่าตัวเองบ้า แต่ลูคไม่ได้เป็นอย่างนั้น

สมัยยังเล็ก (ห้าขวบจากคนพูดอายุสิบสอง) เขาเห่อสะสมเข็มหมุดการเมืองอยู่พักหนึ่ง พ่อยินดีช่วยเขาเพิ่มคลังสะสมเต็มที่เพราะหมุดพวกนี้ถูกมากในอีเบย์ ที่ลูคคลั่งไคล้เป็นพิเศษ (ด้วยเหตุผลใดก็บอกไม่ได้ แม้แต่กับตัวเอง) ก็คือหมุดผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีฝ่ายแพ้ ลงท้ายอาการนี้ก็หายไปและหมุดส่วนใหญ่น่าจะเก็บไว้ตามซอกเล็กๆของห้องใต้หลังคาหรือห้องใต้ดิน แต่เขาเก็บหมุดอันหนึ่งไว้คล้ายกับเป็นเครื่องรางนำโชค บนหมุดมีเครื่องบินสีฟ้า ล้อมรอบด้วยคำว่า ติดปีกให้วิลกี  เวนเดลล์ วิลกี สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีแข่งกับแฟรงกลิน รูสเวลท์ ในปี 1940 แต่ว่าแพ้ราบคาบ โดยชนะแค่สิบรัฐจากทั้งหมดแปดสิบสองรัฐที่มีการเลือกตั้ง

ลูคใส่หมุดตัวนี้ไว้ในถ้วยลิตเติลลีก เขาควานหามันแต่ก็ไม่เจอ

ต่อมาเขาตรงไปยังโปสเตอร์ที่มีรูปโทนี ฮอว์ก บนกระดานเบิร์ดเฮาส์ ภาพดูปกติดี แต่ก็ไม่ใช่ รอยฉีกเล็กๆทางซ้ายมือหายไป

รองเท้าผ้าใบไม่ใช่ โปสเตอร์ไม่ใช่ หมุดวิลกีก็หายไป

ไม่ใช่ห้องของเขา

บางอย่างเริ่มกระพืออยู่ในอก เขาสูดหายใจลึกหลายครั้งเพื่อพยายามปลอบขวัญตัวเองให้สงบ เขาตรงไปที่ประตูและจับลูกบิด มั่นใจว่าตัวเองต้องถูกขังไว้แน่

เขาไม่ได้ถูกขัง แต่โถงทางเดินหลังประตูไม่เหมือนกับโถงชั้นสองในบ้านที่เขาอาศัยอยู่มาสิบสองปีกว่า มันเป็นพื้นอิฐบล็อกไม่ใช่แผ่นไม้ อิฐพวกนั้นทาสีเขียวหม่นซีดจาง ตรงข้ามประตูเป็นโปสเตอร์มีภาพเด็กสามคนรุ่นราวคราวเดียวกับลูควิ่งอยู่กลางทุ่งหญ้าสูง คนหนึ่งนิ่งค้างอยู่ระหว่างก้าวขา พวกนี้ถ้าไม่บ๊องก็คงมีความสุขจนคลั่ง ข้อความด้านล่างก็เหมือนจะบอกอย่างนั้น อีกหนึ่งวันบนสวรรค์ของเรา มันเขียนว่าอย่างนั้น

ลูคถอยออกมา ทางขวามือ ทางเดินบรรจบกับประตูบานคู่ดูเป็นทางการ ประเภทประตูที่มีแถบผลักเปิด ทางซ้าย ราวสิบฟุตหน้าประตูบานคู่แบบทางการอีกชุดหนึ่งมีเด็กหญิงนั่งอยู่บนพื้น เธอสวมกางเกงขากระดิ่งกับเสื้อเชิ้ตแขนพอง เธอเป็นคนดำ และถึงจะดูอายุพอๆกับลูค อาจบวกลบนิดหน่อย แต่ดูเหมือนเธอกำลังสูบบุหรี่

 

8

 

มิสซิสซิกส์บีย์นั่งมองคอมพิวเตอร์อยู่หลังโต๊ะทำงาน เธอสวมสูททำงานสั่งตัดของดีวีเอฟซึ่งไม่ได้ปกปิดโครงร่างผอมแห้งภายใน ผมสีเทาแต่งทรงเรียบกริบ ดอกเตอร์เฮนดริกส์ยืนอยู่ตรงข้างไหล่ สวัสดียัยไม้เสียบผี เขาคิด แต่ไม่มีทางพูดออกไป

“เอาละ” มิสซิสซิกส์บีย์เอ่ย “เขามาแล้ว ผู้มาถึงคนใหม่ล่าสุดของเรา ลูคัส เอลลิส ขึ้นเครื่องกัลฟ์สตรีมเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ดูจากภาพรวมแล้วเขาเป็นยอดอัจฉริยะเลยทีเดียว”

“เป็นได้ไม่นานหรอก” ดอกเตอร์เฮนดริกส์บอกแล้วก็เปล่งเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์ คือตอนแรกพ่นลมออกแล้วค่อยสูดลมเข้าเหมือนลาร้องฮี้ฮ่อ เขาตัวสูงหกฟุตเจ็ดนิ้ว ฟันหน้าเหยินและยาวเหลือเชื่อ – จนเป็นที่มาของชื่อเล่นที่พวกช่างเทคนิคเรียกเขาว่า ลาคิงคอง

เธอหันมองเขาตาเขียวปัด “เด็กพวกนี้คือคนของเรา อย่าเอามาเล่นมุกตลกฝืดแบบนี้ แดน”

“ขอโทษครับ” เขานึกอยากพูดต่อว่า ดูตัวเองก่อนมั้ย ยัยซิกเกอร์ส

แต่พูดอย่างนั้นถือว่าไม่ฉลาด และอันที่จริงคำถามที่ว่าก็เป็นแค่การเล่นโวหารด้วย เขารู้ว่าเธอไม่มีทางเล่นมุกล้อใคร อย่างน้อยก็ไม่เล่นเอง ซิกเกอร์สก็เหมือนไอ้เบื๊อกนาซีคนไหนก็ไม่รู้ที่คิดว่าการติดข้อความ อาร์ไบต์ มัคท์ ไฟร หรือจงทำงานเพื่ออิสรภาพ เหนือประตูทางเข้าค่ายเอาชวิตซ์นั้นเป็นไอเดียสุดบรรเจิด

มิสซิสซิกส์บีย์ยกเอกสารรับตัวเด็กชายคนใหม่ขึ้นมา เฮนดริกส์แปะสติ๊กเกอร์วงกลมสีชมพูไว้ตรงมุมบนด้านขวา “คุณได้เรียนรู้อะไรจากกลุ่มสีชมพูของคุณบ้างรึ แดน ขอสักอย่าง”

“คุณก็รู้ว่าเราได้อะไรมา คุณเห็นผลลัพธ์อยู่แล้วนี่”

“ใช่ แต่มีอะไรที่คุ้มค่าบ้างไหม”

ก่อนดอกเตอร์คนเก่งจะตอบ โรซาลินด์ก็โผล่ศีรษะเข้ามา “ฉันมีเอกสารให้คุณค่ะ มิสซิสซิกส์บีย์ เราจะมีเด็กเข้ามาใหม่อีกห้าคน ฉันรู้ว่าคุณมีหมายแจ้งอยู่แล้ว แต่พวกเขาจะมาถึงก่อนกำหนดค่ะ”

มิสซิสซิกส์บีย์ท่าทางดีใจ “วันนี้ห้าคนเลยเหรอ วาสนาส่งจริงๆ”

เฮนดริกซ์ (หรือลาคิงดอง) คิด คุณไม่กล้าพูดว่าวาสนาดีล่ะสิท่า กลัวภาษาจะไม่เป๊ะ

“วันนี้แค่สองก่อนค่ะ” โรซาลินด์บอก “พูดให้ถูกคือคืนนี้ จากทีมมรกตค่ะ พรุ่งนี้อีกสามจากทีมโอปอล สี่คนเป็นพ.จ. คนหนึ่งเป็นท.จ.ค่ะ คนนี้เด็ดเลย ค่าบีดีเอ็นเอฟ[11]เก้าสิบสามนาโนกรัม”

“เอเวอรี ดิกสัน ใช่ไหม” มิสซิสซิกส์บีย์พูด “จากซอลต์เลกซิตี”

“โอเร็ม” โรซาลินด์แก้ให้

“ลัทธิมอร์มอนจากโอเร็ม” ดอกเตอร์เฮนดริกส์พูดแล้วหัวเราะฮี้ฮ่อตามแบบฉบับ

เขาเป็นของเด็ด ใช่แล้ว มิสซิสซิกส์บีย์คิด ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่มีสติ๊กเกอร์สีชมพูบนเอกสารของดิกสัน เขามีค่าเกินกว่านั้น ฉีดยาให้น้อยที่สุด ไม่ให้เสี่ยงลมชัก ห้ามให้จมน้ำเกือบตาย ห้ามทำสิ่งเหล่านี้กับพวกบีดีเอ็นเอฟเกิน 90

“ข่าวดีมาก ดีมากจริงๆ วางเอกสารไว้บนโต๊ะฉันได้เลย คุณส่งอีเมลมาแล้วด้วยใช่ไหม”

“ส่งแล้วค่ะ” โรซาลินด์ยิ้ม อีเมลคือวิถีทางที่โลกดำเนินไป แต่ทั้งคู่ต่างรู้ว่ามิสซิสซิกส์บีย์ชอบกระดาษมากกว่าหน้าจอ เธอเป็นคนโบราณอย่างนั้นเอง “ฉันจะเอามาให้ด่วนที่สุดค่ะ”

“ขอกาแฟ ด่วนที่สุดเหมือนกัน”

มิสซิสซิกส์บีย์หันไปหาดร.เฮนดริกส์ สูงโย่งขนาดนั้นยังจะมีกระเป๋าหน้าท้องอีก เธอคิด เป็นหมอแท้ๆ น่าจะรู้สิว่าแบบนั้นอันตรายขนาดไหน โดยเฉพาะคนตัวสูงที่ระบบท่อและหลอดต่างๆต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดของเหลวในร่างกาย แต่ไม่มีใครเมินเฉยต่อข้อเท็จจริงทางการแพทย์มากเท่ากับคนเป็นแพทย์หรอก

ทั้งมิสซิสซิกส์บีย์และเฮนดริกส์ต่างก็ไม่ใช่ท.จ. แต่ ณ ห้วงเวลานั้นทั้งคู่ต่างมีความคิดอย่างเดียวกันคือ ทุกอย่างจะง่ายขึ้นมากถ้าทั้งสองรักกันไว้แทนที่จะเกลียดกัน

เมื่อกลับมาอยู่กันตามลำพังอีกครั้งในห้อง มิสซิสซิกส์บีย์ก็พิงเก้าอี้มองดอกเตอร์ที่ยืนค้ำหัวเธอ “ฉันเห็นด้วยว่าสติปัญญาของหนุ่มน้อยเอลลิสนั้นไม่มีผลต่อการทำงานของเราที่สถาบัน เขาอาจมีไอคิวสูงกว่าคน 75 เปอร์เซ็นต์ แต่เหตุผลที่เราพาตัวเขามาเร็วขึ้นหน่อยเพราะเขาได้รับการตอบรับเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่แห่งเดียว แต่เป็นสองแห่ง – มหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างเอ็มไอทีกับอีเมอร์สัน”

เฮนดริกส์กะพริบตาปริบๆ “อายุสิบสองเนี่ยนะ”

“ใช่ เรื่องที่พ่อแม่ถูกฆ่าและตัวเขาหายไปหลังจากนั้นจะต้องเป็นข่าว ไม่ใช่ข่าวใหญ่โตออกมานอกทวินซิตีส์หรอก ถึงจะดังในอินเทอร์เน็ตราวๆ สัปดาห์ก็เถอะ แต่ข่าวจะใหญ่โตครึกโครมกว่านั้นถ้าเขาเรียนเก่งจนเป็นที่โจษจันในบอสตันก่อนจะหายตัวไป เด็กอย่างเขามักจะเป็นข่าวในทีวีเสมอ โดยเฉพาะช่วงข่าวแปลก ปกติฉันชอบพูดว่ายังไงนะดอกเตอร์”

“พูดว่าในธุรกิจของเรา ไม่มีข่าวไหนเป็นข่าวดี”

“ใช่ ในโลกสมบูรณ์แบบเราคงจะปล่อยเด็กคนนี้ไป เรายังมีพ.จ.อยู่อีกพอสมควร” เธอแปะวงกลมสีชมพูบนเอกสารรับตัว “จากค่าชี้วัด บีดีเอ็นเอฟของเขาไม่ได้สูงมากขนาดนั้น แค่ว่า…”

เธอไม่ต้องพูดจนจบ ข้าวของบางอย่างหายากขึ้นทุกที อย่างงาช้าง หนังเสือ นอแรด โลหะหายาก หรือแม้แต่น้ำมัน ปัจจุบันเราอาจรวมเด็กพิเศษพวกนี้เข้าไปด้วยก็ได้ เด็กที่ความสามารถพิเศษไม่ได้ขึ้นอยู่กับไอคิว สัปดาห์นี้มีเด็กเข้ามาใหม่ห้าคนรวมเด็กดิกสัน เป็นตัวเลขที่น่ายินดี แต่เมื่อสองปีที่แล้วพวกเขาคงมีสักสามสิบ

“โอ๊ะ ดูสิ” มิสซิสซิกส์บีย์เอ่ย บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เด็กใหม่ของพวกเขากำลังเข้าไปหาผู้พักอาศัยเก่าแก่ที่สุดของครึ่งหน้า “เขากำลังจะไปเจอยัยเบนสันสู่รู้ เธอคงสรุปสกู๊ปข่าวหรืออะไรทำนองนั้นให้เขาฟัง”

“อยู่แค่ครึ่งหน้าแท้ๆ” เฮนดริกส์บอก “เราน่าจะตั้งให้เธอเป็นฝ่ายต้อนรับอย่างเป็นทางการไปเลย”

มิสซิสซิกส์บีย์เผยยิ้มเย็นชาขั้นสุด “เธอก็ดีกว่าคุณแล้วกันแหละ หมอ”

เฮนดริกส์เหลือบลงมองและคิดว่า มองจากมุมสูง เห็นนะว่าผมคุณบางลงเร็วมาก ซิกเกอร์ส เพราะโรคคลั่งผอมน้อยๆแต่นานๆของคุณไง หนังหัวคุณแดงอย่างกับตากระต่ายเผือกเหอะ

มีหลายอย่างที่เขาคิดอยากจะบอกเธอ หัวหน้าฝ่ายบริหารสถาบันไวยากรณ์ตึงแต่นมเหี่ยว ทว่าเขาจะไม่มีวันบอกออกไป เพราะทำแบบนั้นย่อมไม่ฉลาดเลย

 

9

 

ทางเดินอิฐบล็อกเรียงรายไปด้วยประตูและโปสเตอร์อีกหลายแผ่น เด็กหญิงคนนั้นนั่งอยู่ใต้โปสเตอร์ที่เป็นภาพเด็กชายผิวดำกับเด็กหญิงผิวขาวแนบหน้าผากเข้าหากันพลางยิ้มแป้นอย่างกับคนบ้า คำบรรยายด้านล่างเขียนว่า ฉันเลือกที่จะมีความสุข!

“ชอบแผ่นนั้นเหรอ” เด็กสาวผิวดำถาม เมื่อมองดูใกล้ๆกลายเป็นว่าบุหรี่ที่เธอคาบอยู่คือลูกอม “ฉันอยากเปลี่ยนเป็น ฉันเลือกที่จะมีความทุกข์ แต่พวกเขาคงยึดปากกาฉัน บางครั้งเขาก็ยอมให้เราระบายออก แต่บางครั้งก็ไม่ ปัญหาคือเราไม่รู้หรอกว่าเรื่องไหนพวกเขาจะยอมหรือไม่ยอม”

“ฉันอยู่ที่ไหน” ลูคถาม “ที่นี่คือที่ไหนกัน” เขารู้สึกเหมือนจะร้องไห้ คิดว่าส่วนใหญ่คงเป็นเพราะสับสน

“ยินดีต้อนรับสู่สถาบัน” เธอบอก

“เรายังอยู่มินนีแอโพลิสหรือเปล่า”

เธอหัวเราะ “ไม่ใกล้เลย ไม่ได้อยู่ในแคนซัสแล้วด้วยซ้ำ โตโต้ เราอยู่ในเมน ไกลปืนเที่ยง อย่างน้อยก็ตามที่มอรีนว่าละนะ”

“รัฐเมนเหรอ” เขาส่ายหัวราวกับถูกตีขมับ “เธอแน่ใจรึ”

“อื้อ เธอดูหน้าซีดมากเลยนะ พ่อคนขาว ฉันว่าเธอนั่งลงก่อนจะเป็นลมเถอะ”

เขานั่งลงโดยใช้มือหนึ่งยันพื้นไว้เพราะขาเหมือนจะไม่ยอมงอ เขาเหมือนทิ้งตัวลงมากกว่า

“ฉันอยู่ที่บ้าน” เขาบอก “ฉันอยู่ที่บ้าน แล้วพอตื่นมาก็อยู่ที่นี่ ในห้องที่เหมือนห้องฉัน แต่ไม่ใช่”

“ฉันเข้าใจ” เธอบอก “ช็อกใช่มะ” เด็กหญิงล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกล่องออกมาใบหนึ่ง บนกล่องมีภาพคาวบอยควงบ่วงบาศก์ เขียนว่า ขนมบุหรี่ราวด์อัพ สูบได้เหมือนพ่อ! “สักมวนไหม เติมน้ำตาลหน่อยจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นนะ มันช่วยฉันประจำ”

ลูครับกล่องมาและเปิดฝา มีบุหรี่เหลืออยู่ข้างในหกมวน แต่ละมวนมีปลายสีแดงซึ่งเขาเดาว่าคงทำให้เป็นเหมือนเถ้าติดไฟ เขาหยิบมวนหนึ่งขึ้นมาคาบแล้วกัดครึ่ง รสหวานแผ่ซ่านเข้าไปในปาก

“อย่าริทำอย่างนั้นกับบุหรี่จริงนะ” เธอบอก “เธอต้องไม่ชอบรสชาติครึ่งมวนแน่ๆ”

“ไม่ยักรู้ว่ายังมีของแบบนี้ขายอยู่อีก” เขาพูด

“ไม่มีขายอยู่แล้ว” เธอว่า “สูบได้เหมือนพ่อเนี่ยนะ ล้อเล่นหรือเปล่า พวกนี้เป็นของโบราณ แต่ที่โรงอาหารมีของบ้าๆบอๆพวกนี้ด้วย บุหรี่จริงก็มีนะ เชื่อเขาเลย มีหมดแหละ ลักกีส์ เชสเตอร์ฟีลด์ส คาเมลส์ เหมือนในหนังเก่าช่องเทอร์เนอร์คลาสสิกมูฟวีส์น่ะ ฉันเองก็อยากลอง แต่อื้อหือ ต้องจ่ายหลายเบี้ยเลยพ่อคุณ”

“บุหรี่จริงเหรอ เธอไม่ได้หมายถึงบุหรี่จริงสำหรับเด็กหรอกมั้ง”

“เด็กคือประชากรส่วนใหญ่ของที่นี่ ถึงตอนนี้ครึ่งหน้าจะมีไม่เยอะแล้วก็เถอะ มอรีนบอกว่าจะมีคนมาเพิ่ม ฉันไม่รู้ว่าเธอไปเอาข่าวมาจากไหน แต่ส่วนใหญ่เป็นข่าวจริง”

“ขายบุหรี่ให้เด็ก? นี่มันอะไร เกาะแห่งความสุขหรือไง” แม้เขาจะไม่ได้รู้สึกมีความสุขสักเท่าไรในตอนนี้

ประโยคนั้นทำให้เธอหัวเราะ “เหมือนเรื่องพิน็อคคิโอ! อันนี้ได้!” เธอกางฝ่ามือขึ้น ลูคไฮไฟว์กับเธอและรู้สึกดีขึ้นนิดหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

“เธอชื่ออะไรเหรอ ฉันเรียกเธอว่าคนขาวตลอดไม่ได้หรอกนะ มันเหมือนเหยียดรูปลักษณ์กัน”

“ลูค เอลลิส เธอล่ะ”

“คาลิชา เบนสัน” เธอชูนิ้วชี้ขึ้นมา “ฟังดีๆนะลูค เธอจะเรียกฉันคาลิชา หรือเธอจะเรียกฉันว่าชาก็ได้ แค่อย่าเรียกว่าเด็กดีก็พอ”

“ทำไมล่ะ” เขายังพยายามจับต้นชนปลาย แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ไม่ใกล้เคียงเลย เขากินบุหรี่อีกครึ่งหนึ่ง ครึ่งที่มีปลายติดไฟปลอมๆ

“เพราะเฮนดริกส์กับพวกเพื่อนหัวขวดของเขาจะใช้คำนั้นเวลาฉีดยาหรือว่าทดสอบเราน่ะสิ ‘ฉันจะจิ้มเข็มบนแขนแล้วเธอจะเจ็บนิดหนึ่ง เป็นเด็กดีนะ ฉันจะเพาะเชื้อในลำคอแล้วคอเธอจะตีบเหมือนหนอนด้วงเชี่ยๆ เป็นเด็กดีนะ เราจะจุ่มเธอลงในแท็งก์ กลั้นหายใจไว้ เป็นเด็กดีนะ’ เพราะงี้แหละเธอถึงห้ามเรียกฉันว่าเด็กดี”

ลูคแทบไม่ใส่ใจเรื่องการทดสอบเลย แม้เขาจะเก็บเอาไว้คิดภายหลังก็ตาม เขาติดใจตรงคำว่าเชี่ย ซึ่งได้ยินบ่อยจากพวกผู้ชาย (เขากับรอล์ฟก็พูดกันบ่อยเวลาอยู่ข้างนอก) และได้ยินจากสาวสวยผมแดงที่ทำข้อสอบเอสเอทีไม่ได้ แต่ยังไม่เคยได้ยินจากเด็กสาวรุ่นเดียวกับเขา เขาคิดว่าตัวเองคงหลุดจากกรงทองมาแล้ว

เธอวางมือบนเข่าเขาซึ่งลูครู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ก่อนจะมองเขาจริงจัง “แต่คำแนะนำของฉันคือ ทำตามแล้วก็เป็นเด็กดีไม่ว่ามันจะแย่แค่ไหน ไม่ว่าเขาจะแหย่คอหรือแหย่ตูดเธอ แท็งก์นั่นฉันไม่รู้จริงๆหรอกว่าเป็นยังไง ยังไม่เคยโดนกับตัว แค่ได้ยินมาน่ะ แต่ฉันรู้ว่าถ้าพวกเขายังทดสอบเราอยู่ เราก็ยังอยู่ครึ่งหน้า ฉันไม่รู้ว่าที่ครึ่งหลังเขาทำอะไรกัน แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย ฉันรู้แค่ว่าครึ่งหลังมันเหมือนบ้านแมลงสาบ – เด็กเข้าไปเช็กอิน แต่ไม่เช็กเอาต์ ไม่กลับมาที่นี่อีกเลย”

เขาเหลียวกลับไปมองทางที่ตัวเองเดินมา มีโปสเตอร์เสริมสร้างพลังใจมากมายและยังมีประตูอีกมาก แต่ละฟากน่าจะมีประมาณแปดบาน “ที่นี่มีเด็กกี่คน”

“ห้า รวมเธอกับฉันแล้ว ครึ่งหน้าคนไม่เยอะหรอก แต่ตอนนี้เหมือนเมืองร้าง เด็กๆมาแล้วก็ไป”

“พร่ำถึงมีเกลันเจโลอยู่ร่ำไป[12]” ลูคพึมพำ

“หืม?”

“ไม่มีอะไร เธอว่า-”

ประตูคู่บานหนึ่งที่อยู่ใกล้สุดทางเดินเปิดออก ผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสีน้ำตาลปรากฏตัวขึ้นโดยหันหลังให้ เธอใช้บั้นท้ายยันประตูระหว่างปลุกปล้ำกับบางอย่าง คาลิชาผุดลุกขึ้นยืน “เฮ้ มอรีน เฮ้ สาวน้อย รอเดี๋ยว เดี๋ยวเราไปช่วย”

เนื่องจากเธอบอกว่าเราไม่ใช่ฉัน ลูคจึงต้องลุกขึ้นตามคาลิชาไปด้วย เมื่อเข้าไปใกล้ขึ้นเขาก็เห็นว่าจริงๆแล้วชุดกระโปรงสีน้ำตาลเป็นเหมือนชุดเครื่องแบบ เหมือนที่แม่บ้านใส่กันตามโรงแรมหรู –เอาเป็นว่าหรูปานกลาง เพราะไม่มีแต่งระบายหรืออะไรอื่น เธอกำลังลากตะกร้าผ้าข้ามธรณีเหล็กระหว่างโถงทางเดินฝั่งนี้กับห้องใหญ่ที่อยู่เลยออกไป ซึ่งมองดูเหมือนห้องนั่งเล่น – มีโต๊ะกับเก้าอี้ แล้วก็หน้าต่างที่มีแสงแดดจ้าส่องเข้ามา แถมยังมีทีวีซึ่งดูใหญ่อย่างกับจอภาพยนตร์ คาลิชาเปิดประตูอีกบานซึ่งทำให้มีพื้นที่กว้างขึ้น ลูครับตะกร้าผ้า (มีคำว่าแดนดักซ์พิมพ์อยู่ด้านข้าง) และช่วยผู้หญิงคนนั้นลากเข้ามาในพื้นที่ที่เขาเริ่มจะคิดว่ามันคือทางเดินหอพัก ในตะกร้ามีผ้าปูกับผ้าเช็ดตัว

“ขอบใจลูก” เธอบอก เธอค่อนข้างชรา มีผมหงอกขาวประปรายและดูเหนื่อยล้า ป้ายที่ติดบนอกซ้ายหย่อนยานเขียนว่า มอรีน เธอกวาดตามองเขา “เธอเป็นเด็กใหม่ ลูคใช่มั้ย”

“ลูค เอลลิส ครับ คุณรู้ได้ยังไง”

“เขียนไว้ในใบงานประจำวันน่ะ” เธอดึงกระดาษที่พับครึ่งออกมาจากกระเป๋ากระโปรงแล้วก็ยัดมันกลับที่เดิม

ลูคส่งมือให้อย่างที่เขาถูกสอนมา “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

มอรีนจับมือเขา เธอดูใจดีอยู่เหมือนกัน เขาจึงคิดว่าเขาคงยินดีที่ได้พบเธอ แต่เขาไม่ยินดีที่ต้องมาอยู่ที่นี่ เขากลัวและเป็นห่วงพ่อกับแม่เช่นเดียวกับที่ห่วงตัวเอง ตอนนี้พ่อกับแม่คงคิดถึงเขามาก เขาคิดว่าพ่อกับแม่คงไม่อยากเชื่อว่าเขาหนีออกมา แต่ถ้าพ่อกับแม่เจอว่าเขาไม่อยู่ในห้อง พวกเขาจะคิดเป็นอื่นไปได้ยังไง ถ้าตอนนี้ยัง อีกไม่ช้าตำรวจก็จะต้องตามหาตัวเขา แต่ถ้าจริงอย่างที่คาลิชาว่า ตำรวจต้องตามมาไกลกว่าจะถึงที่นี่

ฝ่ามือของมอรีนอุ่นและแห้งผาก “ฉันชื่อมอรีน อัลวอร์สัน แม่บ้านและคนงานทั่วไป ฉันจะคอยดูแลให้ห้องเธอสะอาดเรียบร้อยจ้ะ”

“อย่าเพิ่มงานให้เธอเชียวล่ะ” คาลิชาบอกพลางเหล่มองเขาด้วยสายตาห้ามปราม

มอรีนยิ้ม “เธอน่ารักจริง คาลิชา แต่หนุ่มคนนี้ท่าทางไม่ค่อยซกมก ไม่เหมือนพ่อหนุ่มนิกกี้นั่น อย่างกับพิกเพ็นในการ์ตูนพีนัทส์งั้นแหละ แล้วนี่เขาอยู่ในห้องหรือเปล่า ฉันยังไม่เห็นออกไปเล่นที่สนามกับจอร์จแล้วก็ไอริสเลย”

“คุณก็รู้จักนิกกี้นี่คะ” คาลิชาว่า “ตื่นบ่ายโมงเขายังบอกว่าเช้าอยู่เลย”

“งั้นฉันไปทำห้องอื่นก่อนนะ แต่หมอต้องการตัวเขาตอนบ่ายโมง ถ้านิกกี้ไม่ตื่นพวกนั้นคงมาปลุกเอง ยินดีที่ได้พบเธอนะลูค” แล้วเธอก็ทำงานต่อไป คราวนี้ดันตะกร้าแทนที่จะดึง

“ไปเถอะ” คาลิชาบอกพลางจูงมือลูค ไม่ว่าจะห่วงเรื่องพ่อแม่หรือไม่ เขาก็รู้สึกจั๊กจี้อีกแล้ว

เธอดึงเขาเข้าไปในบริเวณนั่งเล่น เขาอยากสำรวจที่นี่คร่าวๆ โดยเฉพาะเครื่องขายของอัตโนมัติ (บุหรี่จริงหรือนั่น เป็นไปได้หรือ) แต่ทันทีที่ประตูปิดตามหลัง คาลิชาก็ยื่นหน้าเข้ามา เธอท่าทางขึงขังเกือบจะดุดัน

“ฉันไม่รู้ว่าเธอจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน – ไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่นานกว่าแค่ไหน – แต่ระหว่างอยู่ที่นี่ ทำตัวดีๆกับมอรีนเอาไว้นะ เข้าใจไหม คนที่ทำงานในนี้มีแต่พวกชั่วหัวขวด แต่มอรีนไม่ใช่ เขาเป็นคนดี แล้วเขาก็ลำบากอยู่แล้ว”

“ลำบากยังไง” ลูคถามตามมารยาทไปอย่างนั้น เขากำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง ไปยังบริเวณที่น่าจะเป็นสนามเด็กเล่น มีเด็กสองคนอยู่ตรงนั้น เด็กชายหนึ่งคนและเด็กหญิงหนึ่งคน น่าจะอายุพอกับเขาหรือโตกว่านิดหน่อย

“เขาคิดว่าตัวเองอาจจะป่วยเป็นอะไรบางอย่าง แต่ไม่อยากไปหาหมอเพราะไม่มีเงินพอให้ป่วยได้ ปีหนึ่งเขาหาเงินได้ราวๆสี่หมื่นเอง แต่ค่าใช้จ่ายน่าจะเยอะกว่านั้นสองเท่า หรืออาจเยอะกว่านั้นอีก สามีเขาก่อหนี้ไว้แล้วหนีไป ส่วนหนี้ก็พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ นึกออกปะ ดอกเบี้ยน่ะ”

“เก็บดอก” ลูคพูด “พ่อฉันเรียกอย่างนั้น ย่อมาจากเก็บดอกเบี้ยเงินกู้[13] เป็นศัพท์ยูเครนหมายถึงกำไรหรือการชนะ ศัพท์ของพวกนักเลงน่ะ พ่อบอกว่าจริงๆแล้วบริษัทบัตรเครดิตก็คือกุ๊ยดีๆนี่เอง ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาคิดดอกเบี้ยเป็นอะไร เขาได้…”

“ได้อะไร แต้มเหรอ”

“อื้อ” ลูคเลิกมองเด็กๆข้างนอกซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นจอร์จและไอริส และหันมาหาคาลิชา “เขาเล่าให้เธอฟังหมดนี่เลยเหรอ เล่าให้เด็กฟังเนี่ยนะ เธอต้องเป็นมือหนึ่งด้านการสื่อสารภายในบุคคลแน่เลย”

คาลิชาท่าทางประหลาดใจแล้วก็หัวเราะ หัวเราะหนักมาก เธอหัวเราะพร้อมกับเอามือเท้าเอวแล้วเงยหน้า ท่าทางนั้นทำให้เธอดูเหมือนคนโตมากกว่าเด็ก “การสื่อสารระหว่างบุคคล! เข้าใจพูดนะ ลูคกี้!

ภายในบุคคล ไม่ใช่ระหว่างบุคคล” เขาบอก “อันนั้นไว้ใช้กับ เอ่อ เวลาเจอกับคนเยอะๆ แล้วให้คำปรึกษาด้านการเงินหรืออะไรทำนองนั้น” เขาชะงักไป “อันนั้น เอ่อ เป็นมุกน่ะ” มุกฝืดด้วย มุกเด็กเนิร์ด

เธอมองประเมินเขา มองขึ้นมองลง แล้วก็มองขึ้นอีกครั้ง ทำให้ลูคจั๊กจี้แปลกๆขึ้นมาอีกรอบ “เธอฉลาดแค่ไหนน่ะ”

เขายักไหล่ อายนิดๆ ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนชอบอวด มันเป็นวิธีผูกมิตรและจูงใจคนที่ห่วยที่สุดในโลก แต่ตอนนี้เขาสภาพจิตใจแย่ สับสน กังวล แล้วก็ (ต้องยอมรับนะ) กลัวหัวหด การไม่ตีตราสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นี้ด้วยคำว่า ลักพาตัว เป็นเรื่องยากขึ้นทุกที ว่าไปแล้วเขาก็เป็นเด็ก แถมตอนนั้นยังหลับอยู่ด้วย[14] และถ้าคาลิชาพูดถูก เขาตื่นมาในที่ที่ไกลจากบ้านหลายพันไมล์ พ่อกับแม่ปล่อยให้เขาออกมาโดยไม่คัดค้านหรือเปล่า หรือว่ามีการต่อสู้ลงไม้ลงมือ ไม่น่าใช่ ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร เขาหวังว่าพ่อกับแม่คงหลับอยู่ระหว่างเกิดเหตุ

“เดาว่าคงฉลาดสุดๆเลยแหละ เธอเป็นท.จ.หรือพ.จ. ฉันว่าน่าจะพ.จ.นะ”

“ฉันไม่เข้าใจว่าเธอพูดเรื่องอะไร”

เว้นแต่ว่าเขาอาจจะเข้าใจ เขานึกถึงตอนที่บางครั้งจานสั่นอยู่ในตู้ บางครั้งประตูห้องนอนก็เปิดหรือปิดเอง หรือว่าตอนที่ถาดพิซซาสะเทือนในร้านร็อกเก็ตพิซซา แล้วก็ตอนที่ถังขยะขยับเองในวันที่สอบเอสเอที

“ท.จ.ก็คือโทรจิต พ.จ.ก็คือ-”

“พลังจิต”

เธอยิ้มแล้วชี้นิ้วใส่เขา “เธอเป็นคนฉลาดมากจริงๆด้วย พลังจิต ถูกต้อง เธอมีพลังอย่างเดียวหรือทั้งสองอย่าง ปกติแล้วไม่มีใครมีพลังสองอย่างนะ – อย่างน้อยฝ่ายเทคนิคเขาก็ว่ามาอย่างงั้น ฉันเป็นท.จ.” เธอบอกส่วนท้ายด้วยท่าทางภูมิใจนิดๆ

“เธออ่านใจได้” ลูคว่า “นั่นสินะ ทุกวันเพิ่มรอบวันอาทิตย์”

“เธอคิดว่าฉันรู้เรื่องมอรีนได้ยังไงล่ะ เขาไม่ได้เล่าปัญหาให้ใครฟังหรอก เขาไม่ใช่คนแบบนั้น และฉันก็ไม่ได้รู้รายละเอียดปลีกย่อยด้วย แค่รู้เรื่องคร่าวๆ” เธอนิ่งคิด “มีเรื่องเกี่ยวกับทารกด้วยนะ ซึ่งแปลกมาก ฉันเคยถามว่าเขามีลูกด้วยเหรอ เขาบอกว่าไม่มี”

คาลิชายักไหล่

“ฉันทำได้ตลอดนะ เปิด-ปิด ไม่ได้อ่านใจอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้เหมือนซูเปอร์ฮีโร่ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงหนีจากที่นี่ไปแล้ว”

“นี่เธอพูดเรื่องจริงหรือเปล่า”

“จริงสิ แล้วนี่แหละบททดสอบแรกของเธอ บทแรกจากหลายบท ฉันจะนึกถึงตัวเลขระหว่างหนึ่งถึงห้าสิบนะ เธอว่าฉันนึกถึงเลขอะไร”

“ไม่รู้”

“ถามจริง? ไม่หลอกนะ”

“ไม่ได้หลอกแน่นอน” เขาเดินไปที่ประตูอีกฟากห้อง ด้านนอก เด็กชายกำลังชู้ตบาสฯ ส่วนเด็กหญิงกำลังกระโดดบนแทรมโพลิน ไม่ใช่ท่าพิสดารอะไร แค่ท่านั่งและหมุนตัวเป็นครั้งคราว ทั้งสองคนดูสนุกสนานดี ดูเหมือนกำลังทำกิจกรรมฆ่าเวลา “สองคนนั้นคือจอร์จกับไอริสเหรอ”

“อื้อ” เธอตามมาสมทบ “จอร์จ ไอเลส กับ ไอริส สแตนโฮป เป็นพ.จ.ทั้งคู่ ท.จ.หายากกว่า อุ๊ย พ่อคนฉลาด ฉันใช้คำถูกหรือเปล่า หรือต้องบอกว่า พบได้ยากกว่า

“ใช้คำไหนก็ได้ แต่ถ้าเป็นฉันจะบอกว่าพบได้ยากกว่า หายากฟังดูเหมือนช่องสารคดีสัตว์ป่ายังไงก็ไม่รู้”

เธอคิดตามครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะก่อนจะชี้หน้าเขาอีก “เข้าใจคิด”

“เราออกไปข้างนอกได้ไหม”

“ได้สิ สนามเด็กเล่นไม่เคยล็อกอยู่แล้ว แต่ว่าเธอคงไม่อยากอยู่นานนักหรอก บ้านนอกแบบนี้แมลงโหดมากเลยนะ มียากันแมลงดีอีอีทีที่ตู้ยาในห้องน้ำ เธอควรใช้นะ ใช้ในที่นี้คือโปะเลย มอรีนบอกว่าเรื่องแมลงจะดีขึ้นถ้าแมลงปอฟักตัวออกมาแล้ว แต่ฉันยังไม่เห็นสักตัวเลย”

“พวกเขานิสัยดีมั้ย”

“จอร์จกับไอริสน่ะเหรอ ฉันว่าก็ดีนะ คือเราก็ไม่ได้เป็นเพื่อนซี้หรืออะไรหรอก ฉันรู้จักจอร์จมาแค่สัปดาห์เดียว ส่วนไอริสอยู่ที่นี่มา…อืมมม…สิบวันมั้งนะ คงราวๆนั้นแหละ นอกจากฉันก็มีนิกที่อยู่มานานสุด นิก วิลโฮล์ม อย่าคิดว่าจะผูกสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครในครึ่งหน้านี้เลย พ่อคนฉลาด อย่างที่ฉันบอกแหละ พวกเขามาแล้วก็ไป และไม่มีใครพร่ำพูดถึงมิเกลันเจโลด้วย”

“เธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว คาลิชา”

“เกือบเดือนหนึ่ง ฉันอยู่มานานสุด”

“งั้นเธอบอกฉันได้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” เขาพยักพเยิดไปทางเด็กสองคนข้างนอก “พวกเขาก็ด้วยใช่ไหม”

“เราจะบอกสิ่งที่เรารู้แล้วก็สิ่งที่ผู้คุมกฎกับเจ้าหน้าที่เทคนิคบอกเรา แต่ฉันสังหรณ์ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องโกหกนะ จอร์จก็รู้สึกเหมือนๆกัน ส่วนไอริส เหอๆ…” คาลิชาหัวเราะ “เขาเหมือนเจ้าหน้าที่มัลเดอร์ในหนังดิเอ็กซ์-ไฟส์น่ะ เขาอยากเชื่อ”

“เชื่อเรื่องอะไร”

สายตาที่เธอมองเขาซึ่งทั้งแหลมคมและแสนเศร้า ทำให้เธอดูเหมือนผู้ใหญ่มากกว่าเด็กอีกแล้ว “เชื่อว่าทั้งหมดนี้คือทางอ้อมสั้นๆบนถนนชีวิตสายยาว และทุกอย่างจะต้องลงเอยด้วยดีในตอนจบเหมือนอย่างสกูบี้-ดู

“พ่อแม่เธออยู่ที่ไหน แล้วเธอมาที่นี่ได้ยังไง”

ท่าทางแบบผู้ใหญ่หายไป “ยังไม่อยากคุยเรื่องนี้ตอนนี้”

“โอเค” บางทีเขาก็อาจไม่อยากคุยเรื่องนี้เหมือนกัน อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้

“แล้วเวลาเธอเจอนิกกี้ ถ้าเขาโวยวายขึ้นมาก็ไม่ต้องตกใจนะ เขาชอบระบายอารมณ์แบบนั้นแหละ บางทีเวลาที่เขาโวยวายมันก็…” เธอนึก “สนุกดี”

“ถ้าเธอว่างั้น ว่าแต่เธอช่วยอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”

“ได้สิ ถ้าฉันทำได้นะ”

“เลิกเรียกฉันว่าพ่อคนฉลาดสักทีเถอะ ฉันชื่อลูค เรียกชื่อฉันโอเคมั้ย”

“ก็ได้”

เขาเอื้อมมือไปที่ประตู แต่เธอวางมือบนข้อมือเขาก่อน

“อีกอย่างก่อนที่เธอจะไป หันมาหน่อยลูค”

เขาทำตาม เธออาจจะสูงกว่าเขาหนึ่งนิ้ว เขาไม่รู้ว่าเธอจะจูบเขาจนกระทั่งเธอจูบ จูบประกบปาก ถึงขนาดสอดลิ้นเข้ามาระหว่างริมฝีปากของลูคราวหนึ่งหรือสองวินาทีซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้แค่จั๊กจี้ แต่ทำให้เขากระตุกเฮือกเหมือนเอานิ้วจิ้มปลั๊กไฟ นี่คือจูบจริงจังครั้งแรกของเขา เป็นการนัวเนียแน่นอน เขาคิด (เท่าที่จะคิดได้หลังจากผ่านเหตุระทึกขวัญ) ว่ารอล์ฟต้องอิจฉาแน่เลย

เธอผละออกพร้อมกับท่าทางพอใจ “ไม่ใช่รักแท้หรืออะไรหรอกนะ อย่าคิดไปขนาดนั้น ฉันไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันคือความชอบหรือเปล่า แต่ก็อาจจะใช่ ฉันถูกกักตัวช่วงสัปดาห์แรกที่มาที่นี่ ไม่ต้องฉีดยาหาจุด”

เธอชี้ไปยังโปสเตอร์บนกำแพงข้างเครื่องขายขนม มันเป็นภาพเด็กชายนั่งบนเก้าอี้ เอามือชี้กลุ่มจุดสีบนผนังขาวด้วยท่าทางร่าเริง หมอยิ้มแย้ม (เสื้อโค้ตขาว มีหูฟังคล้องอยู่รอบคอ) ยืนเอามือแตะบ่าของเด็กชาย เหนือรูปภาพมีข้อความว่า ฉีดยาหาจุด! ส่วนด้านล่าง: ยิ่งเห็นเร็ว ก็ยิ่งได้กลับบ้านเร็ว!

“หมายความว่ายังไงเหรอ”

“ตอนนี้ช่างมันก่อนเถอะ พ่อกับแม่ฉันเป็นพวกต่อต้านวัคซีนตัวยง สองวันหลังจากมาถึงครึ่งหน้า ฉันก็เป็นอีสุกอีใสเลย ไอ ไข้สูง มีจุดสีแดงน่าเกลียดเม็ดเบิ้ม มากันเป็นพรวน ฉันคิดว่าฉันหายแล้วนะเพราะว่าไม่มีอาการแล้ว และพวกเขาก็เริ่มทดสอบฉันใหม่ แต่ไม่แน่ฉันยังอาจจะแพร่เชื้อได้นิดหน่อย ถ้าเธอโชคดี เธอจะขึ้นตุ่มแล้วก็ได้ใช้เวลาสองสัปดาห์ดื่มน้ำผลไม้ ดูทีวี ไม่ต้องถูกฉีดยากับเข้าเครื่องสแกนเอ็มอาร์ไอ”

เด็กหญิงมองเห็นพวกเขาและโบกมือ คาลิชาโบกมือตอบและก่อนที่ลูคจะได้พูดอะไร เธอก็ผลักประตูเปิด “ไปเถอะ เลิกทำหน้าเคลิ้มได้แล้วและไปพบพวกฟ็อกเกอร์สกัน[15]

 

[1] Big Apple ชื่อเล่นของเมืองนิวยอร์ก

[2] Rube Goldberg (ค.ศ.1884-1970) นักประดิษฐ์และนักเขียนชาวอเมริกัน โด่งดังเรื่องการประดิษฐ์เครื่องกลง่ายๆ ซึ่งรวมหลักคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และวิศวกรรมศาสตร์เอาไว้ มักเป็นเครื่องที่ดูวุ่นวาย สำหรับอำนวยความสะดวกเรื่องง่ายๆ เช่น เครื่องเกาหลัง คล้ายกับการทำเรื่องวุ่นวายซับซ้อนเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ง่ายๆเท่านั้น

[3] Henry Louis Gehrig (ค.ศ.1903-1941) นักเบสบอลชาวอเมริกันผู้ป่วยด้วยอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือ Amyotrophic Lateral Sclerosis ชาวอเมริกันจึงเรียกชื่อโรคนี้ตามชื่อของนักเบสบอลคนดัง

[4] 211 (two-eleven) เป็นรหัสที่ใช้กันในหมู่ตำรวจสำหรับเหตุจี้ปล้น

[5] Spud Webb (ค.ศ.1963-ปัจจุบัน) อดีตนักบาสเกตบอลมืออาชีพชาวอเมริกัน เป็นที่รู้จักจากการชนะการแข่งขันแสลมดังค์ แม้จะเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่เตี้ยที่สุดในประวัติศาสตร์เอ็นบีเอ ด้วยความสูง 5 ฟุต 6 นิ้ว

[6] H.O.R.S.E เกมชู้ตบาสเก็ตบอลที่ผู้เล่นจะต้องพยายามชู้ตท่ายากหรือท่าแปลกให้อีกคนหนึ่งเลียนแบบไม่ได้ ใครทำได้มากกว่าและสะกดคำว่า HORSE สำเร็จก่อนถือว่าชนะ

[7] SAT: Scholastic Assessment tests เป็นข้อสอบมาตรฐานวัดการใช้เหตุผลสำหรับนักเรียนมัธยมปลายเพื่อใช้ยื่นเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา

[8] ยารักษาโรคกรดไหลย้อน และภาวะกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป

[9] มุกตลกที่เป็นไวรัลของอเมริกา สืบเนื่องจากโฆษณาของโรงแรม Holiday Inn Express ซึ่งมีแก่นว่า “คุณไม่ต้องฉลาดจริง ๆ ก็ได้ แค่นอนโรงแรมเราก็จะดูฉลาดไปเอง” โดยในโฆษณามีคนที่ไม่เก่งจริงไปเป็นหมอผ่าตัด กู้โลกจากนิวเคลียร์ และทำงานยาก ๆ ได้อย่างไม่มีเหตุผล ก่อนตบท้ายว่า เมื่อคืนแค่นอนโรงแรมนี้เท่านั้น ต่อมาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทวิตข้อความในทวิตเตอร์ส่วนตัวว่าตนเดินทางไปอินดีแอนาและนอนโรงแรม  Holiday Inn Express คนจึงแซวกันว่าแท้จริงแล้วทรัมป์ไม่ได้มีความสามารถสินะ แค่นอนโรงแรมนี้เท่านั้น

[10] Smooch หมายถึงกอดจูบ นัวเนีย ส่วน wild หมายถึง รุนแรง เมามัน

[11] BDNF: Brain-derived Neurotrophic Factor คือโปรตีนที่เป็นอาหารของเซลล์สมอง มีฤทธิ์กระตุ้นให้เซลล์ประสาทแตกแขนงกิ่งก้านสาขาออกไป

[12] Talking of Michaelangelo ส่วนหนึ่งจากบทกวี The Love Song of J. Alfred Prufrock ของที. เอส. เอเลียต (ค.ศ.1888-1965) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในค.ศ. 1948 จากท่อนเต็มที่ว่า “สตรีมาแล้วก็ไป พร่ำถึงมีเกลันเจโลอยู่ร่ำไป”

[13] Vigorish

[14] เล่นคำ Kidnapping ที่หมายถึงการลักพาตัว กับคำว่า kid ที่แปลว่าเด็ก และ nap ที่แปลว่านอนหลับ

[15] Meet the Fockers ภาพยนตร์ตลกในค.ศ. 2004 กำกับโดยเจน โรช เป็นภาคต่อของ Meet the Parents ที่ฝ่ายชายและหญิงพาคู่รักไปพบพ่อแม่และครอบครัวของตัวเอง

 

ติดตามต่อได้ในนิยายฉบับเต็ม

วางจำหน่ายเร็วๆ นี้

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า