เมื่อคิดถึงโลก สิ่งที่ตามมาคือสงคราม ความโหดร้าย ภัยธรรมชาติ วินาศภัยที่มนุษย์ก่อขึ้น สิ่งต่างๆ ดูเลวร้าย และดูเหมือนทุกอย่างจะแย่ลง เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะ สัญชาตญาณ จอมลวงในตัวเราเป็นคนบอก มันเป็นค่านิยมที่ถูกปลูกฝังมารุ่นต่อรุ่น คนรวยก็รวยเอารวยเอา ส่วนคนจนก็จนลงเรื่อยๆ และอีกไม่ช้าก็คงจะไม่มีทรัพยากรหลงเหลือหากเราไม่ทำอะไรจริงจัง นั่นคือภาพคร่าวๆ ที่คนมองเห็นในสื่อและจำฝังไว้ในหัว
ลองมาดูกันว่า 10 สัญชาตญาณ ที่ทำให้เราคิดลบต่อโลก มีอะไรบ้าง
สัญชาตญาณแห่งการแบ่งแยก
ภาพในหัวคือประชากรในโลกนั้นแบ่งแยกเป็นประเทศและผู้คนสองแบบคือ ร่ำรวยและยากจน หนักไปกว่านั้นคือการแบ่งแยกระหว่างพวกเขาและพวกเรา ในประเทศที่ประชากรมีชีวิตดีๆ อยู่ดีกินดีอย่างประเทศฝั่งตะวันตกมักคิดว่า “พวกเขา” (ประเทศอื่นๆ) ไม่มีทางมีชีวิตได้แบบ “พวกเรา” เป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นอาจจะยังใช้ชีวิตอยู่โดยมีภาพของโลกเมื่อสามสิบปีก่อนอยู่ในหัว
หากหาข้อมูลอ่านดูดีๆ แล้วจะพบว่าความคิดเห็นเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความรู้ที่ไม่มีแก่นสาร นี่จะช่วยให้ภาพลวงตาที่ทำให้เข้าใจว่าโลกแบ่งเป็นสองส่วนนั้นเป็นเพียงแค่ความรู้สึกอคติเท่านั้น
สัญชาตญาณแห่งความเป็นลบ
สัญชาตญาณแห่งความเป็นลบ คือแนวโน้มที่จะเห็นสิ่งที่ไม่ดีมากกว่าสิ่งที่ดี “สิ่งต่างๆ กำลังจะแย่ลง” เป็นประโยคเกี่ยวกับโลกที่ได้ยินบ่อยมากที่สุด และก็จริงอยู่ โลกมีสิ่งที่ไม่ดีมากมาย ทั้งการประมงเกินขนาดและคุณภาพทะเลที่ลดลงนั้นเป็นปัญหาที่น่ากังวล รวมไปถึงน้ำแข็งกำลังจะละลาย ระดับน้ำทะเลก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนอาจถึง 3 ฟุตในอีก 100 ปีข้างหน้า
ง่ายมากที่จะรับรู้ว่าสิ่งไม่ดีต่างๆ กำลังเกิดขึ้นบนโลก แต่การรับรู้สิ่งที่ดีนั้นยากกว่า เพราะการพัฒนาที่ดีขึ้นหลายล้านสิ่งไม่เคยได้รับการกล่าวถึง เพราะมันกำลังพัฒนาระดับรากฐานที่เปลี่ยนแปลงโลก แต่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ทีละเล็กละน้อยเกินกว่าจะรายงานเป็นข่าวได้
สัญชาตญาณแห่งเส้นตรง
สัญชาตญาณแห่งเส้นตรงคือการมองกราฟที่ดิ่งลงพื้น หรือสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังเช่นการเข้าใจผิดว่าประชากรโลกนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คำว่าเรื่อยๆ เป็นคำที่สร้างความเข้าใจผิด
จริงๆ แล้วประชากรโลกกำลังเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วมาก และจะเพิ่มขึ้นประมาณหนึ่งพันล้านคนใน 13 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นความจริง แต่นั่นไม่ใช่การเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คำว่าเรื่อยๆ สื่อความหมายว่า หากเราไม่ทำอะไรสักอย่าง ประชากรก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุด และคิดว่าต้องกระทำอะไรบางอย่างเพื่อหยุดการเพิ่มของประชากร ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด และความเข้าใจผิดนี้เกิดจากสัญชาตญาณที่คิดว่าเส้นต่างๆ มักเป็นเส้นตรงเสมอ
สัญชาตญาณแห่งความกลัว
หากถามว่าคุณกลัวอะไรมากที่สุด คำตอบคงหนีไม่พ้น ความมืด ผี งู คนแปลกหน้า เลือด ตุ๊กแก เป็นต้น ความกลัวเหล่านี้ฝังลึกอยู่ในสมองของเราเพราะเหตุผลด้านการวิวัฒนาการความกลัวอันตรายต่อร่างกาย เรากลัวคนแปลกหน้า เพราะไม่ไว้ใจ กลัวเขาจะเข้ามาทำร้ายหรือทำให้สภาพจิตใจย่ำแย่ เรากลัวตุ๊กแกเพราะมีผิวหนังน่ากลัว และกัดไม่ยอมปล่อย ฯลฯ
ความกลัวมีประโยชน์ แต่เฉพาะความกลัวที่เหมาะสมเท่านั้น สัญชาตญาณแห่งความกลัวเป็นตัวชี้นำให้เข้าใจโลกผิดไป ทำให้เราสนใจสิ่งที่ไม่น่าเป็นอันตรายแต่คนส่วนใหญ่กลัว และละเลยสิ่งอื่นที่อันตรายยิ่งกว่า
สัญชาตญาณแห่งขนาด
เรามีแนวโน้มที่จะเห็นสิ่งต่างๆ ผิดจากขนาดจริง ธรรมชาติของมนุษย์มักจะเข้าใจสัดส่วนหรือขนาดของสิ่งต่างๆ ผิดไป เรามองแต่ตัวเลขเดี่ยวๆ และตัดสินความสำคัญผิด เช่น จำนวนผู้อพยพมาอยู่ในประเทศของเรา สัดส่วนของผู้ที่ต่อต้านการรักเพศเดียวกัน มีจำนวนน้อยกว่าที่เราเข้าใจอยู่มากนัก
สัญชาตญาณแห่งการเหมารวม
ทุกคนมักจะแบ่งแยกและเหมารวมโดยอัตโนมัติตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว กลุ่มต่างๆ ทำให้เกิดโครงสร้างในความคิดของเรา สัญชาตญาณนี้มันจะบิดเบือนมุมมองของเราไป ทำให้เราจัดกลุ่มสิ่งของ คน ประเทศที่แตกต่างกันไว้ในกลุ่มเดียวกันอย่างไม่ควร ทำให้เราทึกทักไปว่าทุกอย่างและทุกคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นเหมือนกันไปหมด และที่เลวร้ายที่สุดคือทำให้เราสรุปเกี่ยวกับกลุ่มนั้นๆ โดยอาศัยเพียงตัวอย่างที่ไม่ปกติบางตัวอย่างเท่านั้น
สัญชาตญาณแห่งโชคชะตา
เป็นความคิดที่ว่าลักษณะโดยกำเนิดเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของผู้คน ประเทศ ศาสนา หรือวัฒนธรรม เป็นความคิดที่ว่าสิ่งต่างๆ เป็นเช่นนั้นเพราะเหตุผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และมันจะทำให้เราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ซึ่งจริงๆ แล้วบางอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่นสังคมและวัฒนธรรม เช่น การแพร่ขยายของอินเทอร์เน็ต สมาร์ทโฟน และโซเชียลมีเดีย รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องแต่เชื่องช้าก็จะสะสมมากขึ้นเมื่อระยะเวลาผ่านไป อย่ามองข้ามความเปลี่ยนแปลงแต่ละปีเพราะเห็นว่าดูเล็กน้อยและเชื่องช้า ต่อให้เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงร้อยละ 1 ต่อปี
สัญชาณญาณแห่งมุมมองด้านเดียว
การสร้างมุมมองต่อโลกก็เหมือนการมองคนโดยมองแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น ผู้ชายคนหนึ่งขนเยอะมาก ตามแขนและตัวมีขนขึ้นเยอะแยะเต็มไปหมด นั่นคือสิ่งที่ทำให้คุณไม่ชอบใจ แต่ลืมไปเลยว่าหน้าตาเขาก็หล่อดี มีกล้าม และมีบุคลิกที่น่าทึ่ง ไม่ใช่ว่าภาพขนดกของเขาจะตั้งใจบดบังทุกอย่างในตัวเขา แต่ขนไม่ได้แสดงให้คุณเห็นเขาทั้งหมด
สัญชาตญาณแห่งการตำหนิ
เป็นสัญชาตญาณที่ต้องการหาเหตุผลที่ชัดเจนมาอธิบายว่าทำไมจึงเกิดสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น เช่น คุณไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ขณะอาบน้ำ คุณหมุนก๊อกน้ำอุ่นไปจนสุด และโดนน้ำร้อนจัดลวก คุณไปโวยวายช่างประปาและโรงแรมทันที แต่คนข้างห้องของคุณไม่มีปัญหานี้เลย เพราะเขาไม่ได้หมุนน้ำอุ่นไปจนสุดและรีบร้อนเหมือนคุณ
การตัดสินว่าสิ่งต่างๆ ไม่ถูกต้องเป็นธรรมชาติของมนุษย์ สิ่งที่ไม่ถูกต้องเกิดจากคนไม่ดีและความตั้งใจที่ไม่ดี เราชอบเชื่อว่าสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเพราะมีคนจงใจให้มันเป็นแบบนั้น คิดว่าผู้มีอำนาจเป็นคนทำ ไม่อย่างนั้นแล้วโลกนี้จะดูคาดเดาไม่ได้และน่ากลัว
สัญชาตญาณแห่งความเร่งด่วน
ถ้าไม่ทำตอนนี้ ก็ไม่ต้องทำอีกเลย!
ประโยคนี้ถ้าคุณได้ฟัง ก็คงจะรีบร้อนลงมือทำโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อน ต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้ ต้องลงมือทำเดี๋ยวนี้ ทำให้คิดโดยใช้เหตุผลน้อยลง ตัดสินใจเร็วขึ้นและทำเดี๋ยวนั้น
ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่าผลที่ตามมานั้นจะเป็นอย่างไร… แน่นอนว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะออกมาดีก็มี แต่ก็ไม่ได้มากเท่ากับคุณใช้เวลาไตร่ตรองและคิดอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน
ข้อมูลจากหนังสือ FACTFULNESS จริงๆ แล้วโลกดีขึ้นทุกวัน
วางขายแล้วที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ คลิก
บทความอื่นๆ
Factfulness หนังสือที่จะทำให้คุณมองโลกแตกต่างไปจากเดิม
Factfulness ฉบับแปลไทย! หนังสือที่บิล เกตส์มอบให้นักศึกษาจบใหม่ทุกคน
บทเรียนและข้อคิดดีๆ ในการใช้ชีวิตจากคนดังระดับโลก
Into The Magic Shop หนังสือที่จองกุก BTS ใช้เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง Magic Shop