อีลอน มัสก์ คือใคร…?
อีลอน มัสก์ คือหนุ่มเพลย์บอย คือคนใจหิน คือคนบ้า คืออัจฉริยะ คือโทนี่ สตาร์ค คือนักประดิษฐ์ นักธุรกิจคนดัง และนักอุตสาหกรรมที่มีไอเดียยิ่งใหญ่ และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสินค้าที่ยิ่งใหญ่
เขาจ้างคนหลายพันคนให้หลอมโลหะในโรงงานอเมริกันทั้งที่ใคร ๆ คิดว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้
อีลอน มัสก์ เกิดในแอฟริกาใต้ แต่ตอนนี้เหมือนเป็นนักคิดที่แหวกแนว นักอุตสาหกรรมที่ก้าวล้ำที่สุดของอเมริกา และเป็นผู้ที่น่าจะนำพาซิลิคอนแวลลีย์ไปบนหนทางทะเยอทะยานมากขึ้น เพราะมัสก์ ชาวอเมริกันจึงอาจได้ตื่นขึ้นโดยมีถนนไฮเวย์ที่ทันสมัยที่สุดในโลกในอีกสิบปีข้างหน้า เป็นระบบการเดินทางเชื่อมต่อที่ขนาบด้วยสถานีชาร์จไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลายพันแห่งและมีรถยนต์ไฟฟ้าเดินทางข้ามไปมา พอถึงตอนนั้นสเปซเอกซ์คงส่งจรวดขึ้นฟ้าทุกวัน นำคนและสิ่งของไปยังเขตอยู่อาศัยในอวกาศหลายสิบแห่งและเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไกลกว่าไปยังดาวอังคาร ความก้าวหน้าเหล่านี้ยากจะหยั่งถึง
อย่างที่จัสติน อดีตภรรยาของเขาว่าไว้
“เขาทำสิ่งที่ต้องการ และเขาจะไม่รามือกับมัน นั่นแหละโลกของอีลอน ส่วนพวกเราที่เหลืออาศัยอยู่ในนั้น”
1. อีลอน มัสก์ เด็กแปลกที่สร้างโลกของตัวเองตั้งแต่ห้าขวบ
อีลอนแสดงลักษณะทุกประการว่าเป็นเด็กน้อยที่ขี้สงสัย มีพลัง เขาเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เองอย่างง่ายดายตั้งแต่ยังเล็ก และเมย์ก็เหมือนแม่หลาย ๆ คน เธอฟันธงว่าลูกชายฉลาดและมีความสามารถเกินวัย
“เขาดูจะเข้าใจอะไร ๆ ได้ไวกว่าเด็กคนอื่น ๆ” เธอบอก
ที่เป็นปัญหาก็คืออีลอนดูเหมือนจะเหม่อลอยอยู่หลายครั้ง คนพูดกับเขาแต่ไม่มีอะไรผ่านเข้าไปเวลาเขามองไปไกล ๆ จุดใดจุดหนึ่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนพ่อแม่ของอีลอนกับบรรดาแพทย์คิดว่าเขาอาจหูหนวก
“บางครั้งเขาก็แค่ไม่ได้ยินคุณ” เมย์เล่า คุณหมอทำการทดสอบกับอีลอนหลายอย่าง และเลือกจะตัดต่อมอะดีนอยด์ของเขาออก ซึ่งจะพัฒนาการได้ยินในเด็ก “แต่มันก็ไม่เปลี่ยนอะไร” เมย์บอก
สภาวะของอีลอนเกี่ยวข้องกับการโยงใยในหัวเขามากกว่าการทำงานของระบบการได้ยิน “เขาจมอยู่ในสมองตัวเอง และคุณก็จะเห็นเขาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง” เมย์บอก “เขายังเป็นแบบนั้นอยู่ แต่เดี๋ยวนี้ฉันแค่ปล่อยเขาไปเพราะรู้ว่าเขากำลังออกแบบจรวดใหม่หรืออะไรบางอย่าง”
ตอนอายุห้าหกขวบ เขาพบวิธีปิดกั้นตัวเองจากโลกแล้วทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปกับการทำงานอย่างหนึ่งอย่างใดได้ ส่วนหนึ่งในความสามารถนี้มีต้นกำเนิดมาจากภาพเสมือนจริงมาก ๆ ที่ในหัวของมัสก์สร้างขึ้น เขามองเห็นภาพจากดวงตาในหัวได้อย่างชัดเจนและละเอียดขนาดที่เราคงเทียบได้กับภาพวาดทางวิศวกรรมจากซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน “เหมือนกับว่าส่วนหนึ่งในสมองที่ปกติถูกกันไว้สำหรับกระบวนการมองเห็น ส่วนที่เคยประมวลภาพที่เข้ามาทางตาผม ถูกการประมวลความคิดภายในเข้ายึดครองแทน” มัสก์กล่าว
2.การอ่านคือรากฐานสู่ดาวอังคาร
บุคลิกที่โดดเด่นที่สุดส่วนหนึ่งของมัสก์ตอนยังเด็กคือความมุ่งมั่นแน่วแน่ในการอ่าน ตั้งแต่ยังเล็กมาก เขาก็ดูเหมือนจะมีหนังสือติดมือตลอดเวลาแล้ว “ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขาที่จะอ่านวันละสิบชั่วโมง ถ้าเป็นวันสุดสัปดาห์ เขาอ่านจบได้วันละสองเล่ม” คิมบัล น้องชายของเขาเล่า
หลายต่อหลายครั้งที่ทั้งครอบครัวไปเดินซื้อของกันอยู่แล้วตระหนักได้ตรงกลางทางว่าอีลอนหายไป เมย์หรือคิมบัลจะรีบเข้าไปในร้านหนังสือที่ใกล้ที่สุดและจะเจออีลอนอยู่ตรงไหนสักแห่งแถวหลังร้าน นั่งอยู่บนพื้นอ่านหนังสืออยู่ในภวังค์ของเขา
เมื่ออีลอนโตขึ้น เขาจะเข้าไปในร้านหนังสือตั้งแต่โรงเรียนเลิกตอนบ่ายสองโมงและอยู่ในนั้นจนถึงหกโมงเย็น กระทั่งพ่อแม่กลับจากทำงานถึงบ้าน เขาตะลุยอ่านตั้งแต่นวนิยาย ตามด้วยการ์ตูน แล้วก็สารคดี
“บางครั้งพวกเขาก็ไล่ผมออกจากร้าน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่นะ” อีลอนบอก
เขายกให้เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ หนังสือชุดสถาบันสถาปนา (Foundation Series) ของไอแซค อาซิมอฟ และจันทราปฏิวัติ (The Moon Is a Harsh Mistress) ของโรเบิร์ต ไฮน์ไลน์ เป็นหนึ่งในหนังสือโปรด เช่นเดียวกับคู่มือท่องกาแล็กซีฉบับนักโบก (The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy)
“ถึงจุดหนึ่ง ผมไม่มีหนังสือให้อ่านอีกแล้วในห้องสมุดโรงเรียนและห้องสมุดแถวบ้าน ตอนนั้นน่าจะเกรดสามหรือสี่ ผมพยายามโน้มน้าวบรรณารักษ์ให้สั่งหนังสือให้ผมด้วย จากนั้นผมเลยเริ่มอ่านสารานุกรมบริทานิกา มันมีประโยชน์มากเลย คุณไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรบ้างหรอก คุณจะตระหนักว่ามันมีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ข้างนอกนั่น” มัสก์เล่า
3.ฉายแววนักธุรกิจอัจฉริยะตั้งแต่อายุ 12
สาธารณชนได้พบอีลอน ไรฟ์ มัสก์เป็นครั้งแรกในปี 1984 เมื่อนิตยสารพีซีแอนด์ออฟฟิศเทคโนโลยี (PC and Office Technology) สื่อสิ่งพิมพ์ธุรกิจของแอฟริกาใต้ตีพิมพ์ซอร์ซโค้ด สำหรับวิดีโอเกมที่มัสก์ออกแบบ เกมอวกาศชื่อบลาสตาร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนวนิยายวิทยาศาสตร์ต้องใช้คำสั่ง 167 บรรทัดในการทำงาน นี่คือยุคที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ ต้องพิมพ์คำสั่งเพื่อให้เครื่องทำอะไรต่อมิอะไร ภายใต้บริบทเช่นนั้น เกมของมัสก์ไม่ได้โดดเด่นเป็นเรื่องน่าพิศวงของวิทยาการคอมพิวเตอร์ แต่แน่นอนว่ามันเหนือกว่าอะไรที่เด็กอายุ 12 ปีจะคิดได้ในตอนนั้น การลงนิตยสารทำให้มัสก์ได้เงิน 500 เหรียญและเป็นคำใบ้แรก ๆ ที่บอกถึงบุคลิกของเขา เกมบลาสตาร์ที่พิมพ์อยู่ในหน้า 69 ของนิตยสารแสดงให้เห็นว่า หนุ่มน้อยคนนี้อยากตั้งชื่อให้ฟังดูเหมือนนักเขียนแนวไซไฟว่า อี.อาร์. มัสก์ และเขามีวิสัยทัศน์ถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่เต้นพล่านอยู่ในหัวแล้ว คำอธิบายสั้น ๆ บอกว่า “ในเกมนี้คุณต้องทำลายเครื่องบินรบอวกาศของต่างดาวซึ่งบรรทุกระเบิดไฮโดรเจนมรณะและเครื่องสเตตัสบีม เกมนี้ใช้ประโยชน์จากตัวละครสไปรต์ และแอนิเมชั่นอยู่มาก ดังนั้นจึงควรอ่านรายชื่อประกอบ”
เด็กผู้ชายที่จินตนาการถึงอวกาศและสงครามระหว่างความดีกับความชั่วร้ายไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์ใจอะไร แต่เด็กชายที่จริงจังกับจินตนาการเหล่านั้นต่างหากที่น่าสนใจ ดังเช่นกรณีของหนุ่มน้อยอีลอน มัสก์ ในช่วงกลางวัยรุ่น มัสก์ผสมผสานจินตนาการเข้ากับความเป็นจริงจนถึงจุดที่แยกออกจากกันได้ยากในใจเขา มัสก์ถึงขั้นมองว่าชะตากรรมของมนุษย์ในจักรวาลเป็นหน้าที่ส่วนตัว ถ้านั่นหมายถึงต้องไล่ตามเทคโนโลยีพลังงานสะอาดหรือสร้างยานอวกาศเพื่อขยายขอบเขตการไปถึงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็ต้องเป็นเช่นนั้น มัสก์จะหาทางทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจนได้
“ผมคงอ่านการ์ตูนมากไปตอนเด็ก ๆ ในการ์ตูน ดูเหมือนพวกเขาพยายามปกป้องโลกอยู่เสมอ ดูเหมือนใคร ๆ ก็ควรจะทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น เพราะการทำตรงกันข้ามมันไม่มีเหตุผล”
4.ส่วนผสมของบิล เกตส์ และสตีฟ จ็อบส์
คนในแวดวงเทคโนโลยีมักจะโยงแรงขับของมัสก์และขอบเขตความทะเยอะทะยานของเขาเข้ากับของบิล เกตส์และสตีฟ จ็อบส์
“อีลอนมีความเข้าใจลึกซึ้งในเทคโนโลยี มีเจตคติไร้ที่สิ้นสุดต่อการมองการณ์ไกล และมีความแน่วแน่ในการไล่ตามเป้าหมายระยะยาวอย่างที่ทั้งสองคนนั้นมี” เอ็ดเวิร์ด จุง เด็กอัจฉริยะที่เคยทำงานให้จ็อบส์และเกตส์ และสุดท้ายเป็นหัวหน้าฝ่ายสถาปนิกซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟต์ กล่าว
“และเขายังมีเซ้นส์ของผู้บริโภคแบบสตีฟพร้อมกับความสามารถในการจ้างคนดี ๆ จากนอกพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองซึ่งเหมือนบิลมากกว่า คุณแทบจะอยากให้บิลกับสตีฟมีลูกนอกสมรสที่ผ่านการทำพันธุวิศวกรรม และใครจะรู้ บางทีเราน่าจะตรวจสอบพันธุกรรมอีลอนดูว่านั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นรึเปล่า” สตีฟ เจอร์เวตสัน นักร่วมลงทุนซึ่งลงทุนในสเปซเอกซ์ เทสลา และโซลาร์ซิตี ซึ่งเคยทำงานให้จ็อบส์และรู้จักบิล เกตส์ดี ก็บรรยายมัสก์ว่าเป็นการผสมรวมทั้งสองคนแบบอัพเกรดแล้ว
“อีลอนไม่ทนกับผู้เล่นระดับซีหรือดีเหมือนจ็อบส์ แต่ผมบอกได้ว่าเขานิสัยดีกว่าจ็อบส์และกล่อมเกลามาดีกว่าบิล เกตส์นิดหน่อย” เจอร์เวตสันกล่าว
5.สตีฟ จ็อบส์ เวอร์ชั่นนักฟิสิกส์
อีลอน มัสก์ แก่นแท้ภายในเขาเป็นนักฟิสิกส์ ส่วนการกระทำภายนอกคือวิศวกร ตัวตนของมัสก์ส่วนใหญ่บ่งบอกว่าเขาน่าจะอยู่ในกลุ่มเนิร์ดไร้เสน่ห์แบบฉบับซิลิคอนแวลลีย์ที่จะรู้จักการออกแบบดี ๆ ก็ต่อเมื่ออ่านเจอเรื่องนี้ในตำรา ความจริงก็คืออาจมีบางส่วนเป็นเช่นนั้นสำหรับมัสก์ และเขาเปลี่ยนมันให้กลายเป็นข้อได้เปรียบ เขาตาดีมากและสามารถเก็บสิ่งต่าง ๆ ที่คนอื่นถือว่าดูดีเอาไว้ในสมองสำหรับเรียกใช้ได้ตลอดเวลา กระบวนการนี้ช่วยให้มัสก์พัฒนาสายตาอันเฉียบคม ซึ่งเขาผนวกเข้ากับเซ้นส์ของตัวเอง ขณะเดียวกันก็ขัดเกลาความสามารถในการพูดสิ่งที่เขาต้องการออกมาเป็นคำ ผลก็คือมุมมองที่จริงจังมั่นใจซึ่งพ้องกับรสนิยมของผู้บริโภค มัสก์สามารถคิดสิ่งที่ผู้บริโภคไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องการได้เหมือนสตีฟ จ็อบส์ อย่างมือจับประตูหรือหน้าจอสัมผัสใหญ่ยักษ์ และสามารถคาดการณ์มุมมองร่วมในสินค้าและบริการทั้งหมดของเทสลาได้
“อีลอนถือว่าเทสลาเป็นบริษัทสินค้า เขามีความต้องการอย่างแรงกล้าว่าคุณต้องผลิตสินค้าที่ใช่ ผมต้องทำให้เขา และทำให้แน่ใจว่ามันสวยงามและมีเสน่ห์” ฟอน โฮลซ์เฮาเซนกล่าว
จ็อบส์เป็นซีอีโออีกคนที่บริหารบริษัทขนาดใหญ่สองแห่งซึ่งเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม นั่นคือแอปเปิลและพิกซาร์ แต่ความเหมือนที่นำมาเทียบกันได้ระหว่างชายสองคนนี้ก็มีเพียงแค่นั้น จ็อบส์ทุ่มเทพละกำลังให้แอปเปิลมากกว่าพิกซาร์มาก ต่างจากมัสก์ที่ลงแรงเท่า ๆ กันในทั้งสองบริษัท ขณะเดียวกันก็เก็บทั้งหมดที่เหลือไปให้โซลาร์ซิตี จ็อบส์ยังเป็นตำนานในเรื่องการใส่ใจรายละเอียดด้วย ทว่าไม่มีใครจะกล่าวได้ว่าเขาลงลึกถึงขนาดมัสก์ที่ดูแลการปฏิบัติงานประจำวันของบริษัทส่วนใหญ่ วิธีการของมัสก์มีข้อจำกัด เขามีเล่ห์เหลี่ยมน้อยกว่าในด้านการตลาดและกลยุทธ์สื่อ มัสก์ไม่ซ้อมการนำเสนอหรือขัดเกลาสุนทรพจน์ เขาด้นสดคำประกาศส่วนใหญ่จากเทสลาและสเปซเอกซ์ เขายังส่งข่าวใหญ่บางข่าวตอนบ่ายวันศุกร์ซึ่งมักจะเงียบหายไปเพราะนักข่าวมุ่งหน้ากลับบ้านช่วงสุดสัปดาห์ด้วยเหตุผลง่าย ๆ เพราะตอนนั้นเขาเขียนข่าวประกาศนั่นเสร็จพอดี หรือเขาอยากไปทำอย่างอื่นแล้ว ตรงข้ามกับจ็อบส์ที่ทำให้การนำเสนอทุกครั้งและช่วงเวลาต่อหน้าสื่อเป็นสิ่งล้ำค่า มัสก์แค่ไม่มีเวลาฟุ่มเฟือยให้ทำอย่างนั้น
“ผมไม่มีเวลาหลายวันสำหรับซ้อม ผมต้องพูดสดเลย และผลลัพธ์ก็อาจแปรผัน”
6.อีลอน มัสก์ ผู้จุดประกายให้ Iron Man
ขณะที่เตรียมถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องมหาประลัยคนเกราะเหล็ก (Iron Man) ตอนต้นปี 2007 จอน ฟาฟโรว์ ผู้กำกับ ได้เช่านิคมแห่งหนึ่งในลอสแอนเจลิสที่เคยเป็นของบริษัทฮิวจ์สแอร์คราฟท์ บริษัทผู้รับเหมาด้านการบินและอวกาศและกลาโหมที่ตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 80 ปีก่อนโดยฮาวเวิร์ด ฮิวจ์ส พื้นที่ใช้สอยมีโรงเก็บเครื่องบินเชื่อมต่อกันและใช้เป็นสำนักงานการผลิตภาพยนตร์ อีกทั้งยังจุดประกายแรงบันดาลใจให้กับโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ที่ต้องแสดงเป็นไอร์ออนแมนและโทนี่ สตาร์ก มนุษย์ผู้สร้างมันขึ้นมา ดาวนีย์หวนนึกถึงวันวานเมื่อมองไปยังหนึ่งในโรงเก็บเครื่องบินขนาดใหญ่ซึ่งตกอยู่ในสภาพทรุดโทรม ไม่นานเท่าไรก่อนหน้านี้ อาคารนี้เคยรองรับไอเดียยิ่งใหญ่ของชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สั่นสะเทือนอุตสาหกรรมและทำอะไร ๆ ในแบบของตัวเอง
ดาวนีย์ได้ยินข่าวลือเรื่องคนแบบฮิวจ์ชื่อ อีลอน มัสก์ ผู้สร้างนิคมอุตสาหกรรมทันสมัยของตัวเองขึ้นมาห่างออกไปประมาณ 10 ไมล์ แทนที่จะมัวนึกภาพว่าชีวิตของฮิวจ์จะเป็นอย่างไร ดาวนีย์อาจจะได้ลิ้มลองของจริง เขาเริ่มไปที่สำนักงานใหญ่สเปซเอกซ์ในเอลเซกันโดเมื่อเดือนมีนาคม 2007 และลงเอยด้วยการได้มัสก์พาทัวร์เป็นการส่วนตัว “ผมไม่ใช่พวกตื่นเต้นง่ายนะ แต่ที่นี่และคนคนนี้น่าอัศจรรย์ใจมาก” ดาวนีย์กล่าว
สำหรับดาวนีย์ อาคารสเปซเอกซ์ดูเหมือนร้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์แปลกตาขนาดยักษ์ พนักงานผู้กระตือรือร้นเดินขวักไขว่ใช้งานเครื่องจักรกลนานาประเภท พนักงานออฟฟิศหนุ่มสาวพูดคุยติดต่อกับคนงานผู้ใช้แรงงานในสายการผลิตเดียวกัน และพวกเขาทุกคนก็ดูตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังทำอยู่จริง ๆ เหมือนกัน “มันเหมือนบริษัทสตาร์ทอัพแหวกแนว” ดาวนีย์กล่าว หลังจากเดินชมครั้งแรก ดาวนีย์ก็กลับออกมาด้วยความพอใจที่ฉากซึ่งกำลังติดตั้งที่โรงงานฮิวจ์เหมือนกับโรงงานสเปซเอกซ์ “มันไม่ดูผิดที่ผิดทาง” เขาบอก
นอกจากสภาพแวดล้อมภายนอกแล้ว ดาวนีย์อยากดูภายในจิตใจของมัสก์มาก ทั้งคู่เดินไปนั่งในห้องทำงานของมัสก์และกินมื้อเที่ยง ดาวนีย์พอใจที่มัสก์ไม่ใช่นักเขียนโค้ดบ้า ๆ บอ ๆ ตัวเหม็นขี้หงุดหงิด ตรงกันข้าม สิ่งที่ดาวนีย์ได้ซึมซับคือ “ความเพี้ยนที่เข้าถึงได้” ของมัสก์ และความรู้สึกว่าเขาเป็นคนจริงที่สามารถลุยงานเคียงบ่าเคียงไหล่คนในโรงงานได้ ตามที่ดาวนีย์บอก ทั้งมัสก์และสตาร์กเป็นคนประเภท “ยึดถือไอเดียอย่างหนึ่งเป็นหลักดำเนินชีวิตและอุทิศตัวเพื่อบางสิ่ง” และจะไม่เสียเวลาสักชั่วขณะไปเปล่า ๆ
“คนส่วนใหญ่ดูเหมือนจะเชื่อว่ามัสก์ทำได้ ผมว่าความเชื่อมั่นอันลึกล้ำของผู้คนทำให้มัสก์ประหลาดใจและบีบให้เขาจำต้องสร้างต้นแบบขึ้นมา ในชั่วขณะอันแสนประหลาดที่เหมือนศิลปะเลียนแบบชีวิตจริงนี้ มัสก์กลายเป็นผู้ที่ใกล้เคียงที่สุดที่โลกคิดว่าเป็นโทนี่ สตาร์กขึ้นมาจริง ๆ และเขาก็ไม่อาจปล่อยให้ฝูงชนผู้น่ารักผิดหวัง”
7.โทนี่ สตาร์ก เวอร์ชั่นใจร้าย
พนักงานทั่ว ๆ ไปมักจะบรรยายถึงมัสก์ในแบบผสมปนเปมากกว่า พวกเขานับถือแรงขับของมัสก์และเคารพในความเรียกร้องต้องการที่เขาอาจมีได้ พวกเขายังคิดด้วยว่ามัสก์อาจเป็นคนแรงจนถึงขั้นโหดร้ายและมีภาพลักษณ์เอาแน่เอานอนไม่ได้ พวกพนักงานอยากใกล้ชิดกับมัสก์ แต่พวกเขาก็กลัวว่าจู่ ๆ เขาจะเปลี่ยนใจเรื่องอะไรบางอย่างแล้วการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายกับเขาจะกลายเป็นโอกาสให้ถูกไล่ออก
“ในความเห็นผม คุณลักษณะที่แย่ที่สุดของอีลอนคือขาดความจงรักภักดีหรือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์โดยสิ้นเชิง” อดีตพนักงานคนหนึ่งกล่าว
“พวกเราหลายคนทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยให้เขามาหลายปี และถูกเขี่ยทิ้งเหมือนขยะชิ้นหนึ่งโดยไม่มีการฉุกคิดด้วยซ้ำ บางทีนั่นอาจคำนวณไว้แล้วเพื่อทำให้คนงานที่เหลือตื่นตัวและกลัวตลอดเวลา บางทีเขาอาจจะแค่สามารถตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ได้ในระดับที่น่าทึ่งก็ได้ ที่ชัดเจนก็คือคนที่ทำงานให้เขาเป็นเสมือนยุทธปัจจัย ใช้เพื่อจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งจนกว่าจะหมดสภาพแล้วก็โละทิ้ง”
แผนกสื่อสารของสเปซเอกซ์และเทสลาคือพนักงานกลุ่มที่เจอพฤติกรรมรูปแบบหลังนี้มากกว่ากลุ่มอื่น ๆ มัสก์ใช้เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ได้สิ้นเปลืองอย่างน่าขัน เขามักจะรับผิดชอบงานสื่อสารมากมายเสียเอง ทั้งเขียนข่าวและติดต่อสื่อที่เขาเห็นว่าเหมาะสม บ่อยครั้งที่มัสก์ไม่ให้เจ้าหน้าที่แผนกสื่อสารเข้ามายุ่งในกำหนดการของเขา ตัวอย่างเช่นก่อนหน้าการประกาศเรื่องไฮเปอร์ลูป ตัวแทนของเขาส่งอีเมลมาหาผมเพื่อถามวันเวลาของงานแถลงข่าว อีกครั้งหนึ่ง นักข่าวได้รับแจ้งเรื่องการประชุมทางไกลกับมัสก์แค่ไม่กี่นาทีก่อนจะเริ่ม ไม่ใช่ว่าแผนกประชาสัมพันธ์ขาดความสามารถในการแจ้งข่าวงานต่าง ๆ แต่อย่างใด แต่ความจริงก์คือมัสก์ให้พวกเขารับทราบแผนการล่วงหน้าแค่ไม่กี่นาที และพวกเขาก็ต้องเร่งรีบตามความคิดปัจจุบันทันด่วนของเขาให้ทัน เมื่อมัสก์มอบหมายงานให้เจ้าหน้าที่แผนกสื่อสาร พวกเขาก็ถูกคาดหวังว่าจะต้องโดดเข้าใส่แบบไม่ให้พลาดสักอึดใจ และปฏิบัติงานในระดับสูงสุด พนักงานบางคนที่ทำงานภายใต้ทั้งความกดดันและความประหลาดใจนี้อยู่ได้แค่ไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน มีแค่ไม่กี่คนที่อยู่ได้สองสามปีก่อนจะหมดไฟหรือถูกไล่ออก
ตัวอย่างชั้นยอดในเรื่องสไตล์การทำงานภายในสำนักงานของมัสก์ที่ไม่สนใจความรู้สึกผู้อื่นเกิดขึ้นช่วงต้นปี 2014 เมื่อเขาไล่แมรี เบธ บราวน์ออก
บราวน์เป็นเหมือนแขนขาของมัสก์ เป็นคนที่เข้าไปข้องเกี่ยวในโลกทุกใบของเขา มากกว่าทศวรรษที่เธออุทิศชีวิตให้มัสก์ ไป ๆ มา ๆ ระหว่างลอสแอนเจลิสกับซิลิคอนแวลลีย์ทุกสัปดาห์ พร้อมกับทำงานจนดึกดื่นและตอนสุดสัปดาห์ บราวน์ไปหามัสก์และขอค่าชดเชยเท่ากับผู้บริหารระดับสูงของสเปซเอกซ์ เพราะเธอจัดการตารางงานของมัสก์ทั้งสองบริษัท ทำงานประชาสัมพันธ์ และมักจะตัดสินใจทางธุรกิจด้วย มัสก์ตอบบราวน์ว่าควรลาพักร้อนสักสองสัปดาห์ และเขาจะทำหน้าที่ของเธอแทนเพื่อประเมินว่ามันหนักหนาแค่ไหน เมื่อบราวน์กลับมา มัสก์บอกเธอว่าเขาไม่ต้องการเธออีกต่อไป และเขาขอให้ผู้ช่วยของช็อตเวลล์เริ่มจัดตารางประชุมให้เขาแล้ว บราวน์ที่ยังภักดีและเจ็บปวด ไม่อยากพูดอะไรในเรื่องนี้
ทุกคนรู้ว่าโทนี่ สตาร์กไม่ไล่เปปเปอร์ พ็อตส์ออก เขารักใคร่และดูแลเธอไปตลอดชีวิต เธอเป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจได้จริง ๆ เป็นคนที่ผ่านทุกอย่างมาด้วยกัน การที่มัสก์ปล่อยบราวน์ไปและให้ไปในแบบไม่มีพิธีรีตองอะไรทำให้คนในสเปซเอกซ์และเทสลารู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องอื้อฉาว และเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีถึงความใจหินอันร้ายกาจของเขา เรื่องราวการจากไปของบราวน์กลายเป็นส่วนหนึ่งในตำนานเกี่ยวกับการไร้ความเห็นอกเห็นใจของมัสก์ มันรวมเข้ากับอีกหลายเรื่องที่มัสก์ฉีกหน้าพนักงานแบบเป็นที่เลื่องลือด้วยถ้อยคำเจ็บแสบคำแล้วคำเล่า
8. ไอดอลของกูเกิล
หนึ่งในผู้เลื่อมใสมัสก์อย่างแรงกล้าที่สุด ซ้ำยังเป็นเพื่อนสนิทของเขาด้วยก็คือแลร์รี เพจ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของกูเกิล
เพจยกให้มัสก์เป็นต้นแบบที่เขาอยากให้คนอื่นเอาอย่าง เป็นบุคคลที่ควรทำสำเนาขึ้นมาในช่วงเวลาที่นักธุรกิจและนักการเมืองหมกมุ่นอยู่กับเป้าหมายระยะสั้นที่ไม่สลักสำคัญ
“ผมว่าในฐานะสังคมที่ตัดสินว่าอะไรจำเป็นต้องทำจริง ๆ เราทำได้ไม่ดีนัก” เพจกล่าว
“ผมว่าเราไม่ได้ให้การศึกษาคนในแบบทั่วไปแบบนี้ คุณควรมีภูมิรู้ทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่กว้างขวาง ควรผ่านการฝึกความเป็นผู้นำและบริหารธุรกิจมาบ้าง หรือรู้วิธีดำเนินการสิ่งต่าง ๆ บริหารจัดการอะไร ๆ และระดมเงิน ผมไม่คิดว่าคนส่วนใหญ่ทำแบบนั้น และนั่นคือปัญหาใหญ่ พวกวิศวกรมักฝึกมาในขอบเขตที่ตายตัวมาก เมื่อไรที่คุณสามารถคิดถึงแขนงวิชาต่าง ๆ ทั้งหมดนี้รวมกันได้ คุณก็จะคิดต่างและฝันถึงสิ่งที่บ้าบอยิ่งขึ้น รวมถึงคิดวิธีที่มันจะไปได้สวย ผมว่านั่นละคือสิ่งสำคัญจริง ๆ สำหรับโลกนี้ นั่นละคือวิธีที่เราก้าวหน้า”
9.ตำนานที่ยังมีชีวิตคนใหม่ของซิลิคอนแวลลีย์
เท่าที่ซิลิคอนแวลลีย์หาผู้สืบทอดบทบาทของจ็อบส์เพื่อเป็นแรงชี้นำอันทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมา ปรากฏว่ามัสก์เป็นตัวเลือกที่เป็นไปได้ที่สุด เขาเป็นชายสาย “ไอที” แน่นอน ณ ตอนนี้ ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ ผู้บริหารประสบการณ์โชกโชน และบุคคลผู้เป็นตำนานต่างยกให้เขาเป็นคนที่น่าเลื่อมใสที่สุด ยิ่งเทสลากลายเป็นกระแสหลักมากเท่าไร ชื่อเสียงของมัสก์ก็จะยิ่งเพิ่มพูนมากเท่านั้น โมเดล 3 ที่ยอดขายถล่มทลายจะเป็นใบรับรองว่ามัสก์คือบุคคลหายากที่สามารถคิดใหม่ทำใหม่ในอุตสาหกรรม อ่านผู้บริโภคออก และบริหารงานเป็น จากที่ว่ามา ไอเดียบรรเจิดยิ่งกว่าของเขาก็เริ่มดูจะไม่อาจเลี่ยงได้
เครก เวนเทอร์ ผู้ถอดรหัสจีโนมของมนุษย์และต่อยอดไปสร้างสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์กล่าวว่า “อีลอนเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผมรู้สึกว่าประสบความสำเร็จกว่าผม” ณ จุดใดจุดหนึ่งเขาหวังจะร่วมงานกับมัสก์เพื่อสร้างเครื่องพริ้นต์ดีเอ็นเอซึ่งส่งไปยังดาวอังคารได้ ในทางทฤษฎี มันจะเอื้อให้มนุษย์สร้างยา อาหาร และจุลินทรีย์มีประโยชน์สำหรับผู้ตั้งรกรากบนดาวอังคารยุคแรกเริ่มได้ “ผมคิดว่าการเคลื่อนย้ายมวลสารทางชีววิทยาคือสิ่งที่จะทำให้อาณานิคมบนอวกาศเป็นไปได้จริง ๆ”
10.“ผมอยากตายบนดาวอังคาร”
ทศวรรษต่อไปของบริษัทในเครือมัสก์น่าจะมีอะไรพิเศษพอควร มัสก์เปิดทางให้ตัวเองกลายเป็นหนึ่งในนักนวัตกรรมและนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ในปี 2025 เป็นไปได้มากว่าเทสลาอาจมีรถเรียงต่อกันห้าหรือหกรุ่น และเป็นกำลังหลักในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเฟื่องฟู เมื่อดูจากอัตราการเติบโตปัจจุบัน โซลาร์ซิตีจะมีโอกาสผงาดขึ้นเป็นบริษัทสาธารณูปโภคขนาดมโหฬาร และเป็นผู้นำในตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งบรรลุความตั้งใจได้ในที่สุด สเปซเอกซ์ล่ะ บริษัทนี้น่าจะกระตุ้นความสนใจได้มากที่สุด ตามที่มัสก์คำนวณไว้ สเปซเอกซ์น่าจะจัดเที่ยวบินขนส่งมนุษย์และสัมภาระขึ้นสู่อวกาศได้ทุกสัปดาห์ รวมทั้งเขี่ยคู่แข่งส่วนใหญ่หลุดจากแวดวงธุรกิจ จรวดของพวกเขาน่าจะสามารถบินรอบดวงจันทร์ได้สองสามรอบจากนั้นก็กลับมาลงที่ท่าอวกาศยานในเท็กซัสได้อย่างแม่นยำ และการเตรียมตัวสำหรับเที่ยวบินไม่กี่สิบเที่ยวแรกไปยังดาวอังคารน่าจะคืบหน้าไปอย่างดี
ถ้าทั้งหมดเกิดขึ้นตามนี้ มัสก์ซึ่งตอนนั้นอยู่ในวัยกลางห้าสิบน่าจะเป็นชายที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และอยู่ในหมู่คนที่มีอิทธิพลมากที่สุด เขาจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทมหาชนสามแห่ง และประวัติศาสตร์ก็จะเตรียมยิ้มกว้างให้กับสิ่งที่เขาทำสำเร็จ ในช่วงที่ประเทศต่าง ๆ และธุรกิจอื่น ๆ ชะงักงันเพราะความลังเลและละเลย มัสก์คงจัดการปัญหาภาวะโลกร้อนได้อย่างเห็นผลที่สุดไปแล้ว พร้อมกันนั้นก็เตรียมแผนหนีเอาตัวรอดไว้ด้วยเผื่อฉุกเฉิน เขาจะนำอุตสาหกรรมการผลิตสำคัญ ๆ จำนวนมากกลับมาสู่สหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็แสดงตัวอย่างให้ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ซึ่งหวังจะใช้เครื่องมือแสนวิเศษยุคใหม่ได้เห็นด้วย อย่างที่ทีลกล่าว มัสก์อาจไปไกลถึงขั้นมอบความหวังให้ผู้คน และฟื้นฟูความเชื่อมั่นในสิ่งที่เทคโนโลยีทำให้มนุษยชาติได้
“ผมอยากตายบนดาวอังคาร” เขาบอก “ไม่ใช่พุ่งชนนะ ถ้าให้สมบูรณ์แบบ ผมอยากไปเยือนที่นั่นแล้วกลับมาสักพักหนึ่ง จากนั้นก็ไปตอนผมอายุสัก 70 ปีอะไรทำนองนั้นแล้วก็อยู่นั่นไปเลย ถ้าอะไร ๆ ไปได้สวย มันก็คงจะเป็นอย่างนั้น ถ้าภรรยากับผมมีลูกจำนวนหนึ่ง เธอก็น่าจะอยู่กับพวกเขาบนโลก”
ข้อมูลจากหนังสือ
อีลอน มัสก์ Elon Musk : Tesla, Space X, and the Quest for a Fantastic Future
สั่งซื้อออนไลน์ คลิกที่นี่
บทความอื่นๆ
อามันซิโอ ออร์เตกา จากลูกจ้างการรถไฟสู่อาณาจักรแฟชั่นหมื่นล้าน
รู้จักกับฟิล ไนต์ ผู้ก่อกำเนิด Nike
จากมดงานสู่มังกรรบ ด้วย 4 คติพจน์ของ ‘หัวเว่ย’
รู้จัก เหรินเจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง หัวเว่ย HUAWEI
5 กลยุทธ์การทำธุรกิจแบบ หัวเว่ย HUAWEI
5 วาทะเด็ดสอนพนักงานของเหรินเจิ้งเฟย CEO หัวเว่ย
Pingback: ธุรกิจทั้งหมดของ อีลอน มัสก์ นักประดิษฐ์และนักธุรกิจอัจฉริยะ!
Pingback: มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จากเด็กเนิร์ดติดคอมพิวเตอร์สู่การสร้างรายได้มหาศาล