การที่คนจะอ่านสิ่งที่เราเขียนหรือไม่นั้น ไม่ได้อยู่ที่เขียนเก่งหรือเขียนได้สละสลวยแค่ไหน แต่เป็นพลังดึงดูดที่บอกว่า “สิ่งที่จะเติมเต็มความต้องการของคุณอยู่ตรงนี้นะ” การนำคำที่เกี่ยวข้องกับความต้องการมาเรียบเรียงเข้าด้วยกัน จะทำให้ข้อความที่คุณเขียนกลายเป็นข้อความที่ผู้อ่านอยากลองอ่าน โดยใช้กลไกการทำงานดังนี้ ร้อยเรียงคำสำคัญที่น่าสนใจ > ผู้อ่านเห็นคำนั้น > เกิดความคิดว่าจะอ่าน ขอแนะนำ “3 เทคนิคการเขียนที่สะกิดใจคนและกระตุ้นให้ลงมือทำ” วิธีเขียนที่สะกิดใจกระตุ้นให้ลงมือทำ และชักจูงให้คนทำตามที่ใจคิด
เทคนิคที่ 1 สิ่งที่อยู่ในใจกับสิ่งที่แสดงออกมา
ถ้าต้องใช้เทคนิคสิ่งที่อยู่ในใจกับสิ่งที่แสดงออกมากับคนที่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ ข้อความว่า “ก็เป็นคนเหมือนกันนี่นา” “ถ้าเป็นคนธรรมดาละก็คงจะ...” จะเป็นคีย์เวิร์ดที่กระตุ้นความสนใจได้เป็นอย่างดี เช่น เมื่อพูดกับครูซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องรับผิดชอบสูง
“เพิ่งรู้มาว่าเมื่อรวมการทำงานที่นอกเหนือจากเวลางานแล้ว จำนวนชั่วโมงโดยเฉลี่ยที่ครูต้องทำล่วงเวลานั้นเกินกว่า 95 ชั่วโมงเลยทีเดียว นอกจากนี้ ไม่ใช่ดูแลแค่นักเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ปกครองด้วยช่างเป็นงานที่ยากลำบากซึ่งคนธรรมดาต้องทำไม่ได้แน่ๆ แต่ครูก็เป็นคนเหมือนกันนี่นา บางวันก็คงอยากสนุกให้สุดเหวี่ยง บางครั้งก็คงอยากเที่ยวให้เต็มที่ใช่ไหมล่ะ เอาน่า! ทำงานหนักแบบนี้ นาน ๆ ทีก็มาเที่ยวกันหน่อยไหม” ถ้ามีคนมาพูดแบบนี้ บรรดาคุณครูคงพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแน่นอน เมื่อพูดได้ตรงเป้า อีกฝ่ายจะเป็นคนเสริมเนื้อหาให้เอง
ช่องว่างระหว่างสิ่งที่อยู่ในใจของอีกฝ่าย (อุดมคติ) กับสิ่งที่แสดงออกมา (ความเป็นจริง) เต็มไปด้วยพลังงานที่สะกิดใจคนได้ การช่วยให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองเป็นอย่างไร จึงเป็นอีกวิธีที่การแสดงให้เขาเห็นว่าเป็นคนสำคัญ
เทคนิคที่ 2 ความต้องการการยอมรับ
สมมติว่าคุณ (ผู้จัดการ) พารุ่นน้องที่บริษัทไปเลี้ยงสังสรรค์ แล้ววันรุ่งขึ้นได้รับอีเมลขอบคุณจากรุ่นน้องคนนั้น คุณจะรู้สึกประทับใจกับข้อความไหน
- “ผู้จัดการ เมื่อวานขอบคุณนะครับ สนุกมากเลย ไว้วันหลังไปกันอีกนะครับ!”
- “ผู้จัดการ ขอบคุณที่เมื่อวานสละเวลาพาไปนะครับ จริง ๆ แล้วเป็นครั้งแรกของผมเลยที่ได้ไปบาร์หรูขนาดนั้น ไว้วันหลังไปกันอีกนะครับ!”
ถึงแม้ข้อความทั้งสองแบบไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดี แต่อันที่ทำให้ประทับใจคือแบบหลังใช่ไหม นั่นเป็นเพราะมีวลีที่กระตุ้นความต้องการ “อยากได้รับการยอมรับ” อย่าง “เป็นครั้งแรก” “(เป็นเพราะคุณ) ทำให้เปลี่ยนไปเลย” อยู่
ในคำว่า “เป็นครั้งแรก” ของคนที่เป็นผู้น้อยมีความคิดว่า “สุดยอดเลยนะครับที่รู้จักบาร์หรูแบบนั้น” “หัวหน้าที่ไปดื่มในที่แบบนั้นนี่เท่สุด ๆ ไปเลย” “รู้สึกชื่นชมมากครับ” ฯลฯ ซึ่งมีนัยสำคัญของการบอกว่า “ยอมรับในตัวคุณ” แฝงอยู่
เช่นเดียวกันกับในคำว่า “เปลี่ยนไปเลย” ก็มีความคิดว่า “ทึ่งกับวิธีคิดอย่างลึกซึ้งของหัวหน้า” “คำแนะนำที่มาจากประสบการณ์เป็นประโยชน์มาก” “รู้สึกว่าพึ่งพาได้” “ได้รับอิทธิพล” ฯลฯ ซึ่งมีนัยสำคัญของการบอกว่า “ยอมรับในตัวคุณ” แฝงอยู่
เทคนิคที่ 3 ทุกคนทำ
ลองคิดถึงโฆษณาที่พูดว่า “คุณยังไม่ใช้สมาร์ทโฟนอีกหรือ” ถ้านางแบบโฆษณาที่ตั้งคำถามนี้คือคนดังในหมู่วัยรุ่น ข้อความว่า “คุณยังไม่ใช้สมาร์ทโฟนอีกหรือ” จะกลายเป็นข้อความที่ได้ผลกับคนหนุ่มสาวที่คิดจะเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือมาเป็นสมาร์ทโฟน
ในทางกลับกัน สำหรับคนวัย 50 และ 60 ปี ก็อาจไม่ได้คิดว่าหมายถึงตัวเอง คนกลุ่มนี้จึงมองข้ามโฆษณานี้ไป ถึงแม้ว่าจะมีความสนใจอยู่บ้าง แต่โฆษณานี้ก็เพียงแค่ทำให้ยิ่งคิดว่า “สมาร์ทโฟนคือของใช้ของวัยรุ่น” มากขึ้นเท่านั้น
แต่เมื่อเห็นนางแบบโฆษณาเป็นคนรุ่นเดียวกันที่ถือสมาร์ทโฟนด้วยมือเดียวพร้อมรอยยิ้ม และมีข้อความเขียนว่า “สิ่งที่เห็นเมื่อตอนสาวกลายเป็นจริงขึ้นมา มาเริ่มต้นไปด้วยกันไหมคะ” กลุ่มคนวัยกลางคนและผู้สูงอายุที่ “ก็สนใจสมาร์ทโฟนอยู่นะ แต่ไม่ค่อยรู้ว่ามันเป็นอย่างไร” จะให้ความสนใจอย่างล้นหลาม และเริ่มรู้ตัวว่าจริง ๆ แล้วตัวเองอยากได้สมาร์ทโฟนและอาจนำไปสู่การซื้อ
เหตุผลเป็นเพราะว่าคนเรากลัวมากว่าจะมีแต่ตัวเองที่ทำอะไรช้ากว่าคนอื่น เลยได้รับอิทธิพลจากคนที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่า เมื่อพูดถึงการเขียนที่ใช้วิธีเดียวกันนี้ การเขียนว่า “คน XX% กำลังทำ XX กันอยู่” ก็เป็นวลีสำคัญของเทคนิคที่ว่า “ทุกคนทำ”
3 เทคนิคการเขียนที่สะกิดใจคนและกระตุ้นให้ลงมือทำ
เขียนโดย Mentalist Daigo
วางจำหน่ายแล้วที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ คลิก
