ความคิด ฟุ้งซ่าน ทำให้จิตและสมองเหนื่อยมาก หลายคนบางทีไม่ได้ออกแรงแต่สงสัยว่าทำไมตัวเองเหนื่อยล้าเหลือเกิน นั่นเพราะเราคิด ฟุ้งซ่าน นั่นเอง วิธีที่จะลดการคิดมากเกินไปนั้น คือการต้องฝึกให้ตัวเองอยู่กับสิ่งที่ทำในปัจจุบัน ณ ตอนนี้ ซึ่งฝึกได้ง่ายๆ ผ่านการฟัง พูด ดู เขียน เป็นต้น มาฝึกให้ไม่คิด ฟุ้งซ่าน กัน ด้วยวิธีดังนี้
ไม่ ฟุ้งซ่าน ด้วยการ ตั้งใจฟัง
เนื่องจากในปัจจุบันมีสิ่งเร้าที่มีผลต่อโสตประสาทเพิ่มขึ้นมากเกินไป มากเสียจนบทสนทนาที่มีสิ่งเร้าในปริมาณที่พอเหมาะพอดี กลายเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกอ้างว้างราวกับอยู่บนฟ้า
บทสนทนาในการทำงานมีแรงกระตุ้นที่เพิ่มเข้าไปว่า “เนื่องจากเป็นเรื่องงานจึงต้องฟัง”
แต่เดิมการฟังเสียงคู่สนทนาอย่างชัดเจนคงไม่ยากขนาดนั้น แต่เนื่องจากแรงกระตุ้นระดับนั้นยังไม่พอให้เราสนใจได้ ใจจึงยังเลื่อนลอย สับสนวุ่นวายไปด้วยเสียงรบกวนของความคิดจำนวนมากที่ไม่จำเป็น
หากเงี่ยหูฟังเสียงเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นจริงตรงหน้าอย่างตั้งใจแล้วจะเข้าสู่โหมดฟังเสียงที่น่าเบื่อได้อย่างสนอกสนใจ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องใช้อุบายตื้น ๆ เช่น การหาข้ออ้างที่จะฟัง เพราะเมื่อตั้งใจฟังคำพูดของคู่สนทนาแล้วก็จะเข้าใจเนื้อหาเอง ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดคุยของใคร หรือเสียงประชุม หรือเสียงนกและเสียงลม
“การฟัง” จะเป็นอิสระจากฉากเหล่านั้น
ไม่ฟุ้งซ่านด้วยการ ลดการพูดเพ้อเจ้อ
ในบรรดาศีลที่เกี่ยวกับการพูดทั้งสี่ข้อ เมื่อเทียบกับข้ออื่นๆ ข้อที่เกี่ยวกับการ “เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ” เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
พูดเพ้อเจ้อ คือ พูดเรื่องไร้สาระไปเสียหมด ปากมาก คือ การที่ถูกผลักดันด้วยความอยากจนพูดในสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเรื่องที่พูดก็ไม่ใช่สิ่งสวยงาม นอกจากนี้ยังเป็นการกดดันผู้อื่น เพราะเป็นสภาวะที่พลังความอยากที่ว่า “อยากให้ฟังเรื่องของตัวเอง” ได้ถูกปล่อยออกมา
การคุยโม้โอ้อวด การนำเรื่องที่ไม่รู้ก็ไม่ทุกข์มาร้อยเรียงกัน มารยาทสังคมที่เกินพอดี ข่าวลือของคนอื่น และเรื่องซุบซิบในวงการบันเทิง เป็นต้น นั่นแหละเป็นเรื่องไร้สาระ
เมื่อผู้ฟังถูกบ่มเพาะข้อมูลไร้สาระและจดจำไปแล้ว คลื่นรบกวนความคิดจะเพิ่มขึ้น ส่วนผู้พูดเอง การพูดเพ้อเจ้อก็ทำให้ความคิดไร้สาระทวีความรุนแรงเพิ่มปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้ความจุในหน่วยความจำถูกแย่งพื้นที่ไป
หากห้ามปากตนเองไม่ให้พูดเรื่องไร้สาระตามแรงสนับสนุนของความอยากได้ ก็จะนำไปสู่ความมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีอย่างมากและจะมีความประพฤติอันงดงาม หากไม่ใช้พลังความโลภและความหลงในการพูดเรื่องไร้สาระ เราคงสำรองพลังงานไว้ใช้กับเรื่องที่มีประโยชน์กว่าเรื่องอื่นได้
ไม่ฟุ้งซ่านด้วยการ ลดการดูสิ่งที่มีการกระตุ้นรุนแรง
การไม่เห็นสิ่งที่กระตุ้นความโกรธ ไม่เห็นสิ่งที่ทำให้ใจสับสนนั้นเป็นเรื่องที่ดี
ดังนั้นเราควรจะดูห้องที่สะอาดเรียบร้อย ไม่ค่อยมีของมากกว่าห้องที่รกรุงรัง ดูทัศนียภาพของธรรมชาติที่เงียบสงบดีกว่าดูกลุ่มคนที่ไม่ดี
อีกทั้งไม่แนะนำให้ดูโทรทัศน์หรือภาพที่มีแรงกระตุ้นรุนแรง หนังสยองขวัญนั้นห้ามแน่นอน ข่าวก็เช่นเดียวกัน เนื่องจาก
ภาพข่าวได้หยิบยกมาแต่เหตุการณ์ที่ผิดปกติและเรื่องราวในแง่ลบที่สะดุดตา สะดุดใจ
ส่วนช่องวาไรตี้หรือช่องตลกก็ออกแนวก้าวร้าว ทั้งทุบทั้งตีคนอื่น ทั้งมองด้วยสายตาเลวร้าย ทั้งพูดเรื่องไม่ดี รวมทั้งหัวเราะเยาะคนอื่น เรียกเสียงหัวเราะด้วยการแสดงความเห็นอย่างไม่สมจริง
ถ้ายังเสพข้อมูลเหล่านี้ต่อไปอย่างไร้สติจะส่งผลให้ใจสับสน เพราะสติสัมปชัญญะตกลง ความเชื่อมโยงของข้อมูลก็ผิดเพี้ยนไป จนมีแนวโน้มว่า “ความไม่รู้” จะเติบโตอย่างรุนแรงมากขึ้น
ไม่ฟุ้งซ่านด้วยการ เขียนด้วยมือแทนการพิมพ์
ระหว่างที่ใช้อินเทอร์เน็ตอันแสนสะดวก จะทำอย่างไรจึงจะไม่ปล่อยให้กิเลสกลืนไป
อันดับแรก หากเขียนเว็บบล็อกหรือไดอะรี่ ในขั้นตอนการร่างต้นฉบับ แนะนำให้ลองเขียนด้วยลายมือดู ให้รวบรวมแนวคิดเพื่อร่างต้นฉบับ โดยไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา หลังจากได้ประเด็นขั้นต่ำตามที่ต้องการแล้วจึงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและพิมพ์
เนื่องจากเมื่อพิมพ์ตัวหนังสือด้วยคีย์บอร์ดแล้วจะพิมพ์ได้เร็วกว่าเขียนด้วยมือเป็นอย่างมาก จึงมีแนวโน้มที่จะต้องคิดอย่างรวดเร็วด้วย ทำให้เขียน “เรื่องที่ตัวเองแค่อยากจะเขียน” โดยไม่ได้คิดให้รอบคอบว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านหรือไม่
อยากให้ใส่ใจ ใช้เวลาในการเขียนมากขึ้นอีกนิด เพื่อให้ข้อมูลมีค่า คนอ่านมีความสุข เป็นงานเขียนที่มีคุณภาพสูง
ไม่ฟุ้งซ่านด้วยการ เขียนไดอะรี่ให้ตัวเองอ่าน
ขอแนะนำวิธีการจัดการความคิดของตัวเองอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้ลองเขียนไดอะรี่สำหรับตัวเองอ่านคนเดียว
ปล่อยความรู้สึกของตัวเองออกมาตรง ๆ อย่างซื่อสัตย์ เช่น ไม่ใช่เขียนเพียง “วันนี้หงุดหงิด” แต่เขียนอย่างละเอียดว่า “ประมาณ…โมง ด้วย สาเหตุ…ทำให้หงุดหงิด แต่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงเกิดเหตุการณ์…ขึ้น ทำให้ดีใจ”
ไม่ใช่เขียนความรู้สึกลงไปว่า “ร้านอย่างนั้น พังไปเสียได้ก็ดี” แต่ให้เขียนว่า “ฉันหงุดหงิดว่าร้านแบบนั้นพังไปเสียได้ก็ดี”
การเขียนไม่ใช่การระบายอารมณ์โกรธออกไปทั้งๆ อย่างนั้น แต่เป็นการบันทึกอารมณ์และสภาพที่มีอารมณ์โกรธของตนเอง เมื่อเวลาผ่านไปสักพักแล้วย้อนกลับมาอ่าน เราจะเข้าใจว่า เมื่อหกเดือนหรือหนึ่งปีที่แล้วตัวเองมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นไร วัตถุประสงค์ของการทำเช่นนี้เพื่อให้ดูความรู้สึกของตนเองได้และจะค่อย ๆ ควบคุมมันได้ง่ายขึ้น
ยังมีวิธีฝึกให้ไม่คิดฟุ้งซ่านอีกมาก ในหนังสือ ฝึกให้ไม่คิด สนพ. อมรินทร์ธรรมะ
สั่งซื้อ คลิก
บทความอื่นๆ
3 วิธีคิดนอกกรอบแบบอัจฉริยะ โดย ทันตแพทย์สม สุจีรา
อย่าทำแบบนี้ถ้าไม่อยากมีความรักที่ผิดหวัง มาดู 4 พฤติกรรมห้ามทำเพื่อความรักที่ดี
คำพูดแบบไหนทำให้ ความรักสมหวัง ฉบับไม่ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์
พลังแห่งคำพูดดี เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้
หนังสืออื่นๆ ของผู้เขียนท่านเดียวกัน
ไม่อกหักทั้งชีวิต
ฝึกให้ไม่เผลอ
ไม่โกรธอีกต่อไป
Pingback: 10 ข้อคิด วิธีการใช้ชีวิตอย่างทรงพลัง โดย พศิน อินทรวงค์
Pingback: มุมมองความรัก ดีๆ ที่จะช่วยให้เข้าใจความรักมากขึ้น รู้อย่างนี้มีความรักดีๆ ไปแล้ว
Pingback: 4 วิธีฝึกสติในที่ทำงาน : แค่รับโทรศัพท์ที่ออฟฟิศก็สามารถฝึกสติได้
Pingback: วิธีวางใจให้ไกลทุกข์ที่ได้ผลชะงัด ฝึก ยอมรับความจริง กันเถอะ