[ทดลองอ่าน] ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก เล่ม 1 ตอนที่ 6

ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก
小女花不弃

จวงจวง 桩桩 เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —

เมื่อขอทานสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติไปเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง
จนต้องกลายเป็นขอทานและถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข
ชีวิตเดิมในภพปัจจุบันว่ายากลำบากแล้ว
ชีวิตใหม่ในภพใหม่กลับขัดสนกว่าเดิม
ทั้งที่เป็นขอทานตัวน้อย กลับมีแต่คนหมายจะสังหารนาง
หรือไม่ก็จะใช้นางเป็นหมาก

แท้จริงแล้วชาติกำเนิดของนางเป็นอย่างไร
เหตุใดชีวิตถึงพัวพันยุ่งเหยิงอย่างนี้เล่า

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

6

ราวกับสหายเก่ามาเยือน

 

เขตปกครองซีโจวตั้งอยู่ทางตะวันออก สถานที่ซึ่งเขาสูงเสียดฟ้าโค้งตัวลงกลายเป็นเนินเขาทอดยาวแลคล้ายขอบตาอ่อนโยนของโฉมงาม

ชีวิตบนรถม้าน่าเบื่ออย่างยิ่ง ม่อรั่วเฟยบางครั้งก็พาเจี้ยนเซิงไปขี่ม้า และบางคราวก็ยิงนกที่กำลังบินได้หลายตัว แต่ที่ทำเขาหลากใจ กลับเป็นเรื่องที่เห็นอยู่ว่าฮวาปู๋ชี่นั้นเป็นเด็กฉลาดและแปลกประหลาด นั่งในรถม้ากลับไม่ตะโกนโวยวายว่าน่าเบื่อแม้แต่คำเดียว เขาคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่กับกับฮวาปู๋ชี่ในโพรงบนเขาอยู่บ้าง

วันนี้ข้างนอกมีหิมะตก โปรยปรายใส่ศีรษะและใบหน้า ทางยังเต็มไปด้วยโคลนเลน ม่อรั่วเฟยจึงหมดความสนใจจะขี่ม้า นั่งในรถม้ากับฮวาปู๋ชี่ที่อยู่เงียบๆ เขารู้สึกเบื่อ จึงเกิดนึกสนุก ยิ้มกล่าว “ปู๋ชี่ ข้าจะแสดงกลให้เจ้าดู”

แสดงกลรึ มายากลใด ฮวาปู๋ชี่เงยหน้าขึ้นรอให้เขาพูดต่อ

ม่อรั่วเฟยเล่นส้มจี๊ดลูกเล็กในมือ แกว่งไปมาตรงหน้าฮวาปู๋ชี่ จากนั้นปรบมือ ส้มจี๊ดพลันหายไปจากฝ่ามือของเขา เขาปรบมือทีหนึ่ง แสร้งประหลาดใจ “เหตุใดหายไปแล้วเล่า มันหายไปที่ใดแล้ว”

ฮวาปู๋ชี่ตอบเสียงเรียบ “อยู่ในแขนเสื้อท่าน”

รอยยิ้มของม่อรั่วเฟยแข็งค้าง มองฮวาปู๋ชี่อย่างอึ้งงัน ยายเด็กนี่ไม่เป็นวิชายุทธ์ เหตุใดถึงได้มีสายตาดีถึงเพียงนี้

ฮวาปู๋ชี่หยิบส้มจี๊ดมาวางไว้บนฝ่ามือบ้างอย่างเหนื่อยหน่าย พอเหยียดมือออก ส้มจี๊ดก็หายไป “หายไปที่ใดแล้ว”

คำถามเดียวกันทำให้ม่อรั่วเฟยหัวเราะ “อยู่ในแขนเสื้อเจ้า”

“ผิด!” ฮวาปู๋ชี่ขยับเข้าไปใกล้ม่อรั่วเฟย เอามือล้วงเข้าไปในอกเสื้อของเขา แล้วแบมือ ในมือปรากฏส้มจี๊ดลูกหนึ่ง นางเบะปากกล่าวอย่างลำพอง “อยู่ในอกเสื้อท่าน”

แววตาของม่อรั่วเฟยเย็นเยียบ ยื่นมือไปตะปบข้อมือของนาง เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าเรียนทักษะขโมยมาจากที่ใด กระบวนท่าจูงแพะติดมือ[1]นี้ทำได้ไม่เลว!”

ระหว่างพูด เขาดึงสายคาดเอวของฮวาปู๋ชี่จนคลายออก เสื้อคลุมเปิดอ้าจนถึงเอว ทำให้ถุงเงินปักลายใบหนึ่งร่วงมาอยู่ที่ปลายเท้าของฮวาปู๋ชี่

เขาดึงมือของฮวาปู๋ชี่มาข้างหน้า ขยับหน้าเข้าไปใกล้จนหน้าผากชนกับนาง จ้องดวงตานางเขม็ง ถามย้ำทีละคำ “เจ้าเรียนมาจากที่ใด”

แน่นอนว่าต้องเป็นการฝึกฝนจากการเป็นขโมยตั้งแต่ชาติก่อน ชาตินี้นางไม่มีความสามารถอื่นใด ยามว่างไม่รู้จะทำอันใดก็จะฝึกฝนทักษะการขโมยจนชำนาญ

เพียงคิดถึงชาติก่อน ดวงตาของฮวาปู๋ชี่ก็มีน้ำตาเอ่อคลอ การฝึกฝนทักษะการขโมยช่างยากเย็นนัก ถ้าฝึกได้ไม่ดี พี่ซานชอบตีมือนางด้วยกิ่งไผ่เป็นที่สุด เวลากิ่งไผ่ที่ทั้งบางทั้งเหนียวฟาดลงบนหลังมือ ทำเอานางกระโดดเหย็งไปมาด้วยความเจ็บ

มีตำนานเล่าว่า สุดยอดทักษะการขโมยคือการใช้กระพรวนหกสิบสี่ลูกแขวนบนหุ่นไม้ แล้วขโมยของโดยไม่ให้กระพรวนส่งเสียง จึงถือว่าเป็นทักษะการขโมยขั้นสุดยอดในตำนาน ฮวาปู๋ชี่ที่สามารถใช้ใบมีดปอกเปลือกผิงกั่ว[2]โดยไม่ให้ขาดออกจากกันด้วยมือเดียวภายในเวลาสิบวินาที และยังดึงกระดาษขาวที่อยู่ตรงกลางระหว่างกระดาษที่มีคราบหมึกสองแผ่นออกมาได้โดยที่นิ้วไม่เปื้อนน้ำหมึก ก็ถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นในบรรดาหัวขโมยแล้ว

เมื่อครู่นางเพียงหยิบส้มจี๊ดที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมา จากนั้นขยับเข้าไปใกล้ม่อรั่วเฟยเพื่อขโมยถุงเงินในอกเสื้อของเขา แต่กลับถูกเขาจับได้ ฮวาปู๋ชี่พลันถลึงตาใส่เขาอย่างดุดัน คนผู้นี้อ่านความคิดของนางได้ มิหนำซ้ำยังมองฝีมือของนางออก เขาไม่ใช่คน!

“พูด!” เครื่องหน้าของม่อรั่วเฟยงดงามละเอียดอ่อนดั่งหยกสลักเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม

“ท่านจะบีบมือของข้าให้หักอย่างนั้นรึ ท่านไม่รู้หรือว่าข้าเป็นขอทาน ข้าเรียนมาจากท่านอาเก้า! ขอทานขโมยของหายากมากนักหรือ” ฮวาปู๋ชี่ร้องด้วยความเจ็บปวด แต่กลับไม่ยอมให้น้ำตาที่เอ่อคลอดวงตาไหลลงมา

เสียงตะโกนของนางทำให้ม่อรั่วเฟยได้สติ ผ่านไปหลายปี นึกไม่ถึงว่าความทรงจำของเวลานั้นยังคงกระจ่างชัดอยู่ในสมอง ม่อรั่วเฟยขอโทษแล้วปล่อยมือของฮวาปู๋ชี่ เมื่อเห็นรอยฟกช้ำปรากฏบนข้อมือเล็กๆ เขาจึงหยิบขวดน้ำมันนวดออกมาจากลิ้นชัก นวดข้อมือของฮวาปู๋ชี่ ถอนหายใจเบาๆ “ขอโทษด้วย ทักษะนี้ดูคุ้นตาไม่น้อย ทำให้ข้าคิดถึงเรื่องในกาลก่อน”

ร่างของฮวาปู๋ชี่สั่นสะท้านขณะก้มหน้าลง ทักษะของเขาก็ดูคุ้นตา และทำให้นางนึกถึงเรื่องในอดีตเช่นกัน

ม่อรั่วเฟยเข้าใจว่านางเจ็บ น้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น “นวดแล้วอีกประเดี๋ยวก็ดีขึ้น ไม่เจ็บหรอก”

“ขอบคุณคุณชายมากเจ้าค่ะ”

ความทรงจำของคนทั้งสองต่างถูกกระตุ้นโดยไม่ตั้งใจ จึงไม่คิดจะเอ่ยวาจาอีก ม่อรั่วเฟยหลับตาพิงหมอนนุ่ม งีบหลับ ฮวาปู๋ชี่พิงผนังรถม้าหลับตาพักผ่อน ภายนอกดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจของนางเหมือนถูกโยนลงไปในน้ำเดือด

 

ฮวาปู๋ชี่จำคืนสุดท้ายในภพก่อนได้ชัดเจน สุนัขในหมู่บ้านเห่าดังมาก ภายในลานบ้านจัดโต๊ะกินเลี้ยงให้แขกกินตามสบาย เจ้าโง่นั่นกำลังดื่มสุราคารวะแขกอยู่ในหมู่บ้าน

พี่ซานมารอรับนางนอกกำแพง ห้องน้ำอยู่ในเล้าหมู นางจึงหาข้ออ้างไปห้องน้ำ เดินอ้อมเล้าหมู ก่อนปีนข้ามกำแพง และนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของพี่ซาน

คืนนั้นลมแรงมาก พัดจนเมฆดำปกคลุมนภาบดบังดวงจันทร์ เสียงหัวเราะจากงานเลี้ยงค่อยๆ ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง นางได้ยินเสียงแค่เสียงหัวใจตนเองเต้นกับเสียงเครื่องยนต์ของรถจักรยานยนต์

เวลาในชั่วพริบตานั้นกลับดูเหมือนช่วงชีวิตอันแสนยาวนาน นางได้ยินเสียงตะโกนของผู้คนมาจากที่ห่างไกล เสียงร่ำไห้ของคนโง่ นอกจากเสียงฝีเท้ากังวานแทรกมาตามสายลมแล้ว ยังมีเสียงเครื่องยนต์ของรถจักรยานยนต์ลอยเข้าหูอย่างชัดเจน

“กอดฉันแน่นๆ!”

ตนเองกอดเขาไว้โดยไม่รู้ตัว หันหน้าไป ข้างหลังไม่ไกลมีเงาของรถจักรยานยนต์ปรากฏ ทำเอาตกใจจนตัวสั่น พอถึงทางหักโค้งบนเขา มองเชิงเขาที่มืดมิด พลันคลายมือออก ตัวคนก็ลอยกระเด็นไปที่หน้าผา

“อ๊า…” ฮวาปู๋ชี่กรีดร้องโดยไม่รู้ตัว

“ปู๋ชี่!” ม่อรั่วเฟยยื่นมือไปเขย่าไหล่ของนาง

ความมืดนั้นดูเหมือนเป็นอนันต์ ร่างเสียหลักร่วงตกลงไป ในใจของฮวาปู๋ชี่เต็มไปด้วยความประหวั่นกลัว มือไม้ปัดป่ายไปมา พลันได้ยินเสียงดังกังวาน ตามด้วยความเจ็บปวดที่ถูกบีบที่หัวไหล่

“ฮวาปู๋ชี่!” ม่อรั่วเฟยตะคอก

ฮวาปู๋ชี่รึ ฮวาปู๋ชี่สั่นสะท้านประหนึ่งถูกไฟฟ้าดูดอย่างรุนแรง ได้สติกลับคืนมา นางลืมตาขึ้น พบว่าใบหน้าที่ขาวดุจหยกของม่อรั่วเฟยมีรอยแดงปรากฏขึ้นรอยหนึ่ง เห็นเป็นรอยนิ้วมือชัดเจน นางตกใจจนทึ่มทื่อ หรือยามที่ฝันร้ายนางตบหน้าเขาฉาดหนึ่ง

ม่อรั่วเฟยถลึงตาใส่นางอย่างเดือดดาล ตวาดถาม “เจ้าเป็นบ้าอันใด”

ฮวาปู๋ชี่ตัวสั่นอีกครั้ง ใช้เวลาครู่หนึ่งจึงตอบเสียงสั่นเครือ “ขอโทษ ข้าฝันร้าย”

“เหอะ!” ม่อรั่วเฟยปล่อยมือ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หากไม่เป็นเช่นนั้น ข้าได้ตบคืนสิบทีแล้ว! ฝันเห็นอันใด”

“ฝันเห็น…มีหมีจะกินข้า”

“ฝันเห็นหมี หรือฝันเห็น…หมูกันแน่”

“ข้าไม่ได้ด่าคุณชายว่าเป็นหมูสักหน่อย!”

ม่อรั่วเฟยเห็นท่าทางน่าสงสารของนางแล้วทั้งโกรธทั้งขำ มองนางอย่างเหยียดหยามปราดหนึ่ง “ข้าคุณชายถูกตบเปล่าๆ ทีหนึ่งยังไม่บอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เจ้าจะแสร้งทำเป็นน่าสงสารไปไย”

ฮวาปู๋ชี่มองเขาอย่างร้อนตัว เอ่ยเสียงเบา “ท่านตบคืนก็ใช้ได้แล้ว”

“ข้าตบเจ้าทีหนึ่งเจ้าคงกลายเป็นหัวหมู จริงสิ ข้าคิดว่าทักษะการขโมยของเจ้าคงฝึกฝนตั้งแต่เด็กใช่หรือไม่ ข้าคุณชายจะทดสอบฝีมือเจ้าสักหน่อย” ม่อรั่วเฟยนึกสนุก หยิบส้มจี๊ดขึ้นมาห้าลูก ใส่ไว้ในอกเสื้อต่อหน้าฮวาปู๋ชี่ หลับตากล่าวว่า “เจ้าพยายามขโมยดู”

“ปู๋ชี่มิกล้า”

ม่อรั่วเฟยถอนหายใจ “ข้างนอกหิมะตกหนัก นั่งในรถก็ไม่มีอันใดทำ ลองดูเถิด หากเอาส้มห้าลูกไปได้โดยไม่ถูกข้าจับได้ ข้าคุณชายจะตกรางวัลให้”

ฮวาปู๋ชี่เงียบไปครู่หนึ่ง “ส้มห้าลูก ห้าตำลึง ขโมยได้หนึ่งลูกตกรางวัลหนึ่งตำลึง ข้าอยากเก็บสะสมเงินส่วนตัวได้หรือไม่”

ช่างเป็นเด็กที่น่าสนใจ! ไม่เพียงตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ยังเสนอเงื่อนไขที่ทำให้ตนเองได้รับประโยชน์ด้วย ม่อรั่วเฟยหลับตา รอยยิ้มผุดที่มุมปาก “ได้ ข้าจะหลับตาแสร้งทำเป็นหลับ”

ต่อให้หลับตา เขาก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของฮวาปู๋ชี่ ดูคล้ายนางเลิกม่านรถม้าขึ้น หอบลมหนาวและหิมะเข้ามาปะทะผิวหน้า ยายเด็กน้อยรู้จักใช้กลยุทธ์ รู้ว่าการลงมือในสภาวะเงียบสงบยิ่งถูกจับได้ง่าย รอยยิ้มที่มุมปากของม่อรั่วเฟยกดลึกขึ้น รู้สึกว่าฮวาปู๋ชี่ขยับเข้ามาใกล้เขา ร่างนางมีไอเย็นของหิมะและสายฝน เช่นเดียวกับเสื้อผ้าของนาง เสื้อขาวกระโปรงเขียวงดงามดุจดอกสุ่ยเซียน ฉับพลันเขารู้สึกคันจมูกขึ้นมากะทันหัน อดจามออกมาไม่ได้

ยามนั้นเองเขาได้ยินเสียงฮวาปู๋ชี่หัวเราะ “คุณชาย ข้าขโมยสำเร็จแล้ว”

เร็วเพียงนั้นเชียวหรือ ม่อรั่วเฟยลืมตา ฮวาปู๋ชี่ถือส้มจี๊ดห้าลูกยิ้มตาหยีมองเขา

“เป็นไปได้อย่างไร”

“เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้ คุณชายลองดูว่าส้มยังอยู่ในอกเสื้อหรือไม่”

ม่อรั่วเฟยล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ ส้มห้าลูกหายไปแล้ว เขามองฮวาปู๋ชี่อย่างแคลงใจ หัวเราะ “ฝีมือยอดเยี่ยม! ลงมือยามที่ข้าจามใช่หรือไม่”

“แม้คุณชายบอกว่าจะไม่ลืมตา แต่ท่านมีวิชายุทธ์ หากข้าเข้าใกล้ท่าน ท่านย่อมรู้สึกตัว ในเมื่อคอยเตรียมป้องกันย่อมสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ดังนั้นข้าจึงเลิกผ้าม่านขึ้น ให้ลมหนาวพัดเข้ามา อาศัยยามที่ท่านให้ความสนใจกับลมหอบนี้ ขยับเข้าใกล้ท่าน จับเส้นผมมาแหย่จมูกของท่าน พอท่านจาม ก็จะอำพรางการกระทำของข้าพอดี หากเป็นยามที่คุณชายลืมตา ข้าไม่มีทางขโมยได้ สายตาของคุณชายราวกับคบเพลิง[3] อย่าว่าแต่จะมีโอกาสลงมือเลย เพียงคุณชายชายตามอง ฮวาปู๋ชี่ก็ตกใจจนมือไม้อ่อนแล้ว ยังจะคิดขโมยของที่เป็นของของคุณชายได้อย่างไร” ฮวาปู๋ชี่พูดถึงประโยคสุดท้าย ก็เผยรอยยิ้มประจบประแจงราวสุนัขซื่อสัตย์

“ยายเด็กฉลาด ข้าคุณชายขอเตือนเจ้าสักคำ ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องลงมือทำและอย่าได้ลงมืออีก เจ้าต้องจำไว้ว่า จุดประสงค์ที่ไปเมืองวั่งจิงครั้งนี้เพื่อเป็นท่านหญิง ต่อหน้าผู้อื่นจงอย่าได้แสดงฝีมือกระจอกๆ เหล่านี้” ม่อรั่วเฟยมองฮวาปู๋ชี่พลางยิ้มนิดๆ ความรู้สึกสนิทสนมบางอย่างผุดพรายอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“ปู๋ชี่เข้าใจแล้ว ห้าตำลึง”

ม่อรั่วเฟยหัวเราะฮ่าๆ โยนถุงเงินใบนั้นใส่อ้อมอกของฮวาปู๋ชี่ “ข้ามอบแผ่นทองคำที่อยู่ข้างในทั้งหมดให้เจ้า”

ฮวาปู๋ชี่เปิดถุงเงินด้วยความลิงโลด แผ่นทองคำสิบแผ่นเล็กเท่าเมล็ดแตงส่องแสงระยิบระยับบนฝ่ามือ นางคิดอย่างตื่นเต้นว่า ในที่สุดก็มีทองคำก้อนแรกแล้ว

นางแอบชำเลืองมองม่อรั่วเฟย เห็นเขาอมยิ้มมองตนเอง นางได้แต่หัวเราะแหะๆ เก็บถุงเงินใส่อกเสื้อ กล่าวอย่างดีใจ “เห็นได้ชัดว่าคุณชายก็มีทักษะการขโมย ห้ามขโมยถุงเงินกลับคืนไปเด็ดขาด!”

“วางใจเถิด ไม่ขโมยของเจ้าหรอก” ม่อรั่วเฟยกล่าวเสียงอ่อนโยน เขาเห็นท่าทางที่ฮวาปู๋ชี่นับแผ่นทองคำด้วยสีหน้าเบิกบาน หัวใจพลันกระตุกวูบ นึกถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นที่เติบโตพร้อมกับเขา “เมื่อก่อนข้าเคยมีลูกศิษย์คนหนึ่ง พอได้เงินมานิดหน่อยก็เป็นเหมือนอย่างเจ้า เฝ้านับครั้งแล้วครั้งเล่า นางมีกระปุกใส่เงินรูปกบใบหนึ่ง นางชอบตากแดดแล้วเทเงินออกมานับมากที่สุด สายตาเหมือนอยากจะเปลี่ยนเงินหนึ่งเหรียญให้เป็นสิบเหรียญ! เหอะๆ น่าสนใจนัก!”

เสียงฟ้าร้องแว่วมาแต่ไกล บรรยากาศพลันหนักหน่วงขึ้น ฮวาปู๋ชี่ราวกับถั่วเหลืองเมล็ดเล็กซึ่งนอนอยู่บนเครื่องโม่ ถูกล้อหินหนักอึ้งบดทับครั้งแล้วครั้งเล่า อยากวิ่งหนีแต่มิอาจขยับตัวได้ อยากตะโกนแต่มิอาจอ้าปากได้ ชั่วพริบตาก็ถูกล้อหินบดขยี้จนร่างแหลกเหลว วิญญาณหลุดลอย มือของนางชะงักค้าง นิ้วสั่นระริก ปล่อยให้แผ่นทองคำหล่นร่วงจากนิ้วหลายแผ่น นางมองแผ่นทองคำที่ร่วงหล่น คิดอยากเก็บขึ้นมา แต่มิอาจกระทำได้ ปฏิกิริยาแปลกประหลาดเช่นนี้ของนาง เขาจะต้องเห็น เขาจะต้องมองออกอย่างแน่นอน! เจ้าจะต้องเก็บแผ่นทองคำขึ้นมา รีบเก็บขึ้นมาประเดี๋ยวนี้! ฮวาปู๋ชี่สั่งตนเองเงียบๆ

เวลาราวกับถูกแช่แข็งนั้นแสนสั้น แต่ฮวาปู๋ชี่กลับรู้สึกคล้ายผ่านไปแล้วชาติหนึ่ง นางพยายามดิ้นรนขัดขืน ปรารถนาจะทำลายแรงกดดันที่รัดนางไว้

ฮวาปู๋ชี่ เจ้าอยากยอมรับว่ารู้จักเขา แล้วถูกเขาควบคุมเหมือนภพก่อนอีกอย่างนั้นหรือ เจ้าอยากให้คนคิดว่าเจ้าเป็นหัวขโมย เป็นนักต้มตุ๋น เป็นอันธพาลหญิงในเมืองอย่างนั้นรึ

“อ๊ะ…” เสียงแผ่วเบาหลุดลอดออกมา นางได้สติทันที รีบก้มลงเก็บแผ่นทองคำที่ทำตก หัวใจเต้นรัวจนเกือบกระดอนออกมาทางลำคอ สมองมึนงงไร้ความคิด นางกัดฟันบอกตนเองว่า นางคือฮวาปู๋ชี่! ต่อให้แรงกดดันที่ปลายนิ้วจะทำให้นางเกือบจะหยิบแผ่นทองคำเล็กๆ นี้ไม่ได้ แต่นางยังคงมีสติแจ่มใส หลังสูดหายใจเข้าลึก ฮวาปู๋ชี่ถึงเก็บแผ่นทองคำใส่ถุงเงิน บ่นพึมพำ “เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญสามารถมองให้เป็นสิบเหรียญได้อย่างนั้นรึ นางโง่จริงๆ!”

เป็นสิบหยวนต่างหาก! ม่อรั่วเฟยหลับตาแล้วยิ้ม จึงไม่ได้เห็นใบหน้าซีดขาวคล้ายกระดาษของนาง “นางฉลาดมาก มือไม้คล่องแคล่วว่องไว เวลาขโมยของไม่เคยถูกจับได้ ยามที่ข้าสอนนาง ถ้าเรียนได้ไม่ดีก็จะตีด้วยไม้ไผ่ เรียนไม่จำก็จะไม่อนุญาตให้กินข้าว นางทั้งเกลียดและกลัวข้า ในที่สุดก็เรียนจนเป็น ข้าคิดว่านางคงไม่อยากใช้ชีวิตอยู่กับข้า เพียงแต่นางหาพ่อแม่ไม่เจอ และไร้บ้าน จึงจำต้องใช้ชีวิตอยู่กับข้า”

เสียงของเขาเริ่มแผ่วลง ภายในรถม้ากลับมาเงียบเหมือนเดิมอีกครั้ง

ฮวาปู๋ชี่กอดเข่าระงับหัวใจที่เต้นตึกตักอย่างบ้าคลั่ง นางมิกล้าเอ่ยคำ เพียงกำถุงเงินแน่น ขดตัวอยู่มุมหนึ่งของรถม้า

ไม่ต้องให้เขาพูดต่อ ฮวาปู๋ชี่ก็มั่นใจว่าม่อรั่วเฟยคือพี่ซาน ความกลัวหนักหน่วงกดทับจนนางพูดไม่ออก บนหน้าผากปรากฏเหงื่อผุดพราย

หรือวันนั้นที่เขาขี่รถจักรยานยนต์ก็ตกหน้าผาพร้อมกับนาง เพียงแต่เขาเข้ามาอยู่ในร่างของนายน้อยสกุลม่อ ส่วนนาง ชีวิตของนาง…ฮวาปู๋ชี่กัดฟัน บอกตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะไม่ยอมให้เขามองออกเด็ดขาดว่านางได้กลับชาติมาเกิดใหม่

พี่ซานแก่กว่านางสิบปี เขาเก็บตนมาเลี้ยงตอนอายุห้าขวบขณะเร่ร่อนอยู่ข้างนอก ตนจึงอาศัยอยู่กับเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ยามที่ออกไปขายดอกกุหลาบ พี่ซานจะไปขโมยของ ทักษะการขโมยของเขาดีมาก บางครั้งเขาดีต่อนางมาก แต่บางทีก็อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ถ้านางขโมยเงินกลับมาไม่ได้จะถูกเขาด่า พออายุสิบสาม พี่ซานก็พานางเข้าแก็งหนึ่ง จากขโมยเปลี่ยนมาเป็นโจร ต่อมาเมื่อนางโตขึ้น พี่ซานให้นางไปหลอกแต่งงาน พอได้เงินแล้วหลบหนี

บางครั้งนางรู้สึกว่าเขาเป็นญาติเพียงคนเดียวของนาง และเป็นพี่ชายที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน อย่างน้อยตอนที่คนในแก๊งยื่นมือมาจับหน้าอกของนาง พี่ซานก็ขวางมือนั้นเอาไว้

บ่อยครั้งที่นางเกลียดเขา เขาทุบตีนางอย่างรุนแรง เคยเอาเงินที่นางขโมยมาได้ส่งคืนให้ผู้หญิงที่อุ้มลูกไปหาหมอ นางเคยถูกเขาต่อยจนเลือดออกจมูก นางเกลียดเขาที่ฟังคำพูดของหัวหน้าแก๊งที่จะให้นางเป็นนางนกต่อ นางหวาดกลัว กลัวว่าเขาจะเอานางไปขายให้คนโง่ ตอนนั้นเขาตบหน้านางฉาดหนึ่ง ตบจนปากแตก เลือดกบปาก ทั้งเกลี้ยกล่อมและสาบานว่าหลังได้เงินแล้วจะพานางกลับมาอย่างแน่นอน

บ่อยครั้งที่นางคิดว่าคืนนั้น เป็นนางจงใจปล่อยมือเอง และตั้งใจจะร่วงตกหน้าผาเองใช่หรือไม่

นางทนมามากพอแล้วกับการใช้ชีวิตอย่างหวาดหวั่นระคนหวาดระแวง ทนพอแล้วกับสายตาหื่นกระหายที่คนในแก๊งมองนาง ทั้งทนพอแล้วกับแววตาและรอยยิ้มไร้เดียงสาของคนโง่ที่มอบให้นาง นางอิจฉาเด็กหญิงบนท้องถนนเหล่านั้นที่ได้เรียนหนังสือ เป็นเด็กที่มีบ้าน นางหวังว่าจะมีชีวิตใหม่

ใช่ ชาตินี้เป็นชีวิตใหม่ของนาง นางไม่มีวันยอมให้เขาจำนางได้และควบคุมนางอีกต่อไป! มือของฮวาปู๋ชี่ค่อยๆ ลูบห่อผ้า พลันรู้สึกทนไม่ได้ที่จะนั่งรถม้าคันเดียวกับม่อรั่วเฟย

“คุณชาย ข้าอยากไปนั่งกับหงเอ๋อร์และลวี่เอ๋อร์ ข้า…ข้าไม่ค่อยสะดวก” นางก้มหน้าลงกล่าวเสียงเบา

ม่อรั่วเฟยได้สติกลับคืนมา เขากล่าวเสียงราบเรียบ “เจ้าเป็นเด็กผู้หญิง นับว่าไม่ค่อยสะดวกจริงๆ ไปนั่งกับหงเอ๋อร์ ลวี่เอ๋อร์เถิด จำเรื่องที่ข้าบอกเจ้าไว้ให้ดี อย่าได้บอกสาวใช้สองคนนั้นเด็ดขาด มากคนก็มากเรื่อง บางทีเจ้าอาจจะใช่ตัวจริง หรืออาจจะไม่ใช่ แต่สิ่งที่พวกเราต้องการคือ เจ้าเป็นท่านหญิงตัวจริง ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจสงสัย เจ้าต้องทำให้เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุ ช่วงเวลา และสถานที่ที่ฮวาจิ่วเก็บเจ้ามาเลี้ยง และยังลักษณะท่าทางของเจ้าที่เหมือนอีกแปดส่วน ความมั่นใจนี้มีอยู่แล้วแปดเก้าส่วน อีกหนึ่งหรือสองส่วนที่ไม่มั่นใจปล่อยให้เป็นลิขิตสวรรค์”

“ปู๋ชี่เข้าใจแล้ว” นางถอนหายใจโล่งอก กอดห่อผ้าพลางคิดจะบอกให้จอดรถ

“กล่องแพรที่อยู่ในห่อผ้าของเจ้าใส่ชามขอทานใบนั้นอยู่รึ”

เส้นประสาทของฮวาปู๋ชี่ตึงเครียดขึ้นมาทันใด นางกอดห่อผ้าแนบอก ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ย “คุณชาย ท่านอาเก้ามีบุญคุณช่วยชีวิต ทั้งเลี้ยงดูข้ามา นี่เป็นความอาลัยเพียงอย่างเดียวของข้า ท่านให้ข้าเอามันไปด้วยได้หรือไม่”

ก็แค่ชามขอทานใบเดียว ไฉนจะต้องตื่นเต้นด้วย ฉับพลันนั้นม่อรั่วเฟยนึกถึงชีวิตที่ผ่านมาสิบสามปีของฮวาปู๋ชี่และถ้อยคำของคนสกุลหลินที่บอกว่าแม่สุนัขเลี้ยงดูนาง ในใจอ่อนยวบ “เด็กโง่ เอาไปด้วยเถิด มันจะมีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อเจอท่านอ๋องในวันหน้า!”

ใช้เพื่อให้ท่านอ๋องรักสงสาร! ในใจฮวาปู๋ชี่คิดอย่างนี้ หากเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น นางอาจไม่โต้เถียงแม้แต่ครึ่งประโยค แต่นี่เป็นชามขอทานของฮวาจิ่ว ฮวาปู๋ชี่เงยหน้าขึ้น บอกม่อรั่วเฟยอย่างจริงจัง “นี่เป็นของเพียงอย่างเดียวที่ท่านอาเก้าทิ้งไว้ให้ข้า มีค่ามากกว่าความสงสารของท่านอ๋อง”

แววตาของนางสว่างไสวขึ้นมาในชั่วพริบตา สว่างเสียจนเขามิกล้าสบตาด้วย ม่อรั่วเฟยมองม่านที่ถูกเลิกขึ้นและปล่อยลงอย่างมึนงง

ฮวาปู๋ชี่กระโดดลงจากรถอย่างว่องไว หายไปต่อหน้าเขา ปล่อยให้เขาคิดอย่างขมขื่นว่า เหตุใดเมื่อครู่ยายเด็กคนนี้ถึงทำให้เขาเกิดความรู้สึกความต่ำต้อยได้

 

ล้อรถบดหิมะจนแหลกละเอียด รถม้าขับเคลื่อนบนทางหลวงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ม่อรั่วเฟยเลิกม่านขึ้น มองทางบนภูเขาคดเคี้ยว แผ่นฟ้าด้านบนมืดครึ้ม หิมะร่วงหล่นลงมา คล้ายกับความรู้สึกของเขายามนี้ ทั้งหมองหม่นและหนักอึ้ง

เขานึกถึงคืนสุดท้ายของชาติก่อน เขาได้ยินเสียงเด็กสาวกรีดร้อง เมื่อหันกลับไป ความมืดกลืนกินตัวของเด็กสาว ความเจ็บปวดที่สูญเสียกัดกินเต็มหัวใจ ขณะตื่นตระหนก รถจักรยานยนต์ก็วิ่งออกนอกเส้นทางบนเขาและตกหน้าผา ชั่วขณะนั้นในสมองของเขามีแค่ความคิดเดียว เขาไม่ควรให้นางเป็นนางนกต่อเพื่อหลอกแต่งงานเลยจริงๆ

เมื่อฟื้นขึ้นมา เขาก็เปลี่ยนเป็นนายน้อยอายุห้าขวบของคฤหาสน์สกุลม่อ มีอาจารย์สอนวิชายุทธ์ให้เขา สอนให้เขารู้จักตัวหนังสือ นายท่านม่อเสียชีวิตยามที่เขาอายุสิบขวบ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็สามารถสั่งสอนพวกหลงจู๊ของร้านแลกเงินฟางหยวนของสกุลม่อด้วยความเข้มงวด

ผู้คนพากันบอกว่าคุณชายน้อยแห่งคฤหาสน์สกุลม่อเป็นพ่อค้าโดยกำเนิด แต่กลับไม่รู้ว่าภายในร่างอ่อนเยาว์จะมีวิญญาณของผู้ใหญ่ที่กระเสือกกระสนปีนขึ้นมาจากสังคมชั้นล่างสุด ธาตุแท้ทั้งโหดร้ายอย่างอันธพาลและฉลาดเฉียบแหลมอย่างหัวขโมย

ชีวิตของเขาในชาตินี้ดีจนเขาตกใจระคนดีใจ มีใบหน้างดงามและยังมั่งคั่งร่ำรวย เขาตั้งใจเรียนมาก ชาติก่อนไม่เคยไปโรงเรียน ชาตินี้เขาต้องเรียนให้ได้ เขารู้จักเสพสุข มีเงินแต่ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว

เขาไม่ใช่อันธพาลในตลาดอีกต่อไป และไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนชาติก่อนอีก หลังเกิดใหม่ เขาตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตนเองใหม่ กลายเป็นนายน้อยสกุลม่ออย่างแท้จริง

อ่านหนังสือมากแล้ว กฎระเบียบของสกุลใหญ่ก็คุ้นเคยตั้งแต่อายุห้าขวบ กลิ่นอายชั่วร้ายของชาติก่อนเลือนหายโดยไม่รู้ตัว ทุกอากัปกิริยามีเพียงความงดงามและสง่างามเยี่ยงคุณชายสูงศักดิ์ ทว่า…ม่อรั่วเฟยมองหิมะที่รวมตัวกันหนาแน่นนอกรถม้าอย่างกลัดกลุ้ม เหตุใดวันนี้เขาจึงนึกถึงชีวิตชาติก่อนขึ้นมาเล่า

เป็นเพราะชีวิตที่ผ่านมาของฮวาปู๋ชี่ ทักษะการขโมยของนางกระตุ้นความทรงจำของเขา และยังทำให้หัวใจเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว เด็กสาวที่เติบโตพร้อมกับเขาเมื่อชาติก่อนก็น่าสงสารเหมือนฮวาปู๋ชี่กระมัง ไม่มีพ่อแม่ ไม่สามารถลิขิตชะตาชีวิตของตนเอง ม่อรั่วเฟยถอนหายใจแผ่วเบา สกุลม่อจะต้องได้รับการสนับสนุนจากอ๋องเจ็ด หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ก็คิดอยากให้อ๋องเจ็ดหนุนหลังเช่นเดียวกัน ทุกคนเห็นฮวาปู๋ชี่เป็นของล้ำค่าโดยมิได้นัดหมาย นับว่าเป็นเรื่องดีต่อฮวาปู๋ชี่เช่นกัน หรือนางอยากเป็นสาวใช้ทำงานทั่วไปตลอดชีวิต คิดมาถึงตรงนี้ ความรู้สึกผิดของม่อรั่วเฟยค่อยจางหาย

“คุณชาย! ข้างหน้าเป็นด่านเทียนเหมินแล้ว ใช้เวลาเดินทางอีกหนึ่งวันก็จะถึงวั่งจิ่งขอรับ!” เสียงตื่นเต้นของเจี้ยนเซิงลอยเข้าหูของม่อรั่วเฟย

เขาหรี่ตามองภูสูงเสียดฟ้าสองลูกเบื้องหน้า ยอดเขาสูงตระหง่านดั่งประตูใหญ่สองบานที่ขวางอยู่ตรงหน้า ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าด่านเทียนเหมิน[4] ระหว่างเขาสองลูกเป็นแนวสันเขา กลายเป็นปราการธรรมชาติแห่งสุดท้ายก่อนเข้าสู่เมืองวั่งจิงจากทางตะวันตก

ม่อรั่วเฟยกลับมาสงบนิ่งดังปกติ กล่าวว่า “ฟ้ามืดแล้ว ผ่านด่านเทียนเหมินก็หยุดพักกินข้าวและพักผ่อนกันก่อน เก็บกวาดทำความสะอาดคฤหาสน์แล้วหรือยัง”

เจี้ยนเซิงที่นั่งข้างคานรถหัวเราะ “ส่งข่าวแล้ว คุณชายวางใจได้ขอรับ!”

ม่อรั่วเฟยปล่อยม่านรถ ยกกาน้ำชาออกจากถุงผ้าฝ้ายสำหรับรักษาความร้อน รินชาใส่ถ้วย จากนั้นหยิบหนังสือออกมาอ่านอย่างสบายใจ

 

[1] หนึ่งในกลศึกสามก๊ก หมายถึง การใช้ความประมาทเลินเล่อของศัตรูเพียงเล็กน้อยให้เป็นประโยชน์ เมื่อพบเห็นโอกาสให้รีบฉกฉวยมาเป็นของตน

[2] แอ๊ปเปิ้ล

[3] หมายถึง สายตารู้แจ้ง มองรูปการณ์ออก

[4] แปลว่า ประตูสวรรค์

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า