[ทดลองอ่าน] ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก เล่ม 1 ตอนที่ 4

ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก
小女花不弃

จวงจวง 桩桩 เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —

เมื่อขอทานสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติไปเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง
จนต้องกลายเป็นขอทานและถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข
ชีวิตเดิมในภพปัจจุบันว่ายากลำบากแล้ว
ชีวิตใหม่ในภพใหม่กลับขัดสนกว่าเดิม
ทั้งที่เป็นขอทานตัวน้อย กลับมีแต่คนหมายจะสังหารนาง
หรือไม่ก็จะใช้นางเป็นหมาก

แท้จริงแล้วชาติกำเนิดของนางเป็นอย่างไร
เหตุใดชีวิตถึงพัวพันยุ่งเหยิงอย่างนี้เล่า

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

4

แลกเปลี่ยน

 

ราตรีนี้จันทร์กระจ่างงามตานัก

หิมะปกคลุมใบสนสีเขียว แต้มเติมประกายราวบุปผาอวดแสงแวววับ

ในความทรงจำของฮวาปู๋ชี่ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกว่าทิวทัศน์ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะงดงาม สำหรับคนจน สิ่งที่นำพามาพร้อมกับหิมะตกหนัก ไม่ใช่ทัศนียภาพชวนมอง แต่เป็นความหนาวเหน็บ

ภพก่อนยามที่นางอายุห้าหกขวบ ต้องถือดอกกุหลาบเร่ขายตอนตีหนึ่งในฤดูหนาว ตอนเดินผ่านชายหนุ่มหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าสีฉูดฉาด ก็จะขอร้องให้พวกเขาจ่ายเงินหนึ่งหยวนเพื่อซื้อหนึ่งดอก เดือนสิบสองในฤดูหนาวนั้นหนาวจนน้ำมูกไหล ได้แต่หวังว่าจะถูกพาตัวกลับไปที่บ้านเช่าชั้นเดียวเร็วๆ แล้วต้มบะหมี่ร้อนๆ กินสักชาม

ภพนี้ยามที่นางอายุห้าหกขวบ เห็นฮวาจิ่วค่อยๆ หมดลมหายใจในคืนหิมะตกหนัก ผู้คนในตำบลปิดประตูหน้าต่าง นางจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคลานจากโพรงสุนัขมุดเข้าไปในบ้านของอาหวงได้อย่างไร จำได้แค่ว่าคืนนั้นลมพัดจนแขนขาใช้การไม่ได้ เลือดในกายเริ่มจับตัวเป็นน้ำแข็ง

หากไม่ได้สัมผัสถึงความหนาวเหน็บของเหมันตฤดู ย่อมไม่รู้สึกถึงความสุขที่ได้สวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกแล้วผิงไฟ ฮวาปู๋ชี่ไม่ต้องหันมองก็รู้ว่า นายท่านหลินที่นั่งดื่มชาอยู่ข้างหลังนางมีสีหน้าเช่นใด จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้คงจะขย้ำนางแน่นอน การล่วงรู้กะทันหันว่ามีความเกี่ยวพันกับพระบรมวงศ์ที่มีทั้งชื่อเสียงและอำนาจ ไม่ว่านั่นจะเป็นขอทานหรือสาวใช้ต่ำต้อยก็ล้วนนำมาซึ่งความแตกตื่นระคนยินดีทั้งสิ้น

นายท่านหลินกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเจือความคลุมเครือ “พ่อบุญธรรมเห็นเจ้ามีหน้าตาละม้ายฮูหยินในภาพวาด จำได้ว่าปู๋ชี่เป็นทารกที่ฮวาจิ่วเก็บมาเลี้ยง หากคนของจวนอ๋องยอมรับว่าเป็นเจ้า เช่นนั้นปู๋ชี่ก็นับว่ามีวาสนา หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่รับเลี้ยงเจ้าถึงเจ็ดปีย่อมปลาบปลื้มใจด้วย”

หากจวนอ๋องบอกว่าไม่ใช่เล่า นางจะไม่ถูกตัดหัวหรอกหรือ

นายท่านหลินกล่าวต่อ “ไม่ว่าจะเป็นที่ว่าการอำเภอ ครอบครัวขุนนาง สกุลผู้ดีชั้นสูงต่างได้รับภาพวาดนี้ อาศัยเพียงภาพวาดตามหาคน คนที่มีอายุรุ่นราวคราวนี้ คนที่มีลักษณะท่าทางหรือหน้าตาคล้ายกันย่อมไม่ได้มีแค่ปู๋ชี่คนเดียว คาดว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะต้องมีสตรีมากมายถูกส่งตัวไปเพื่อรับใช้ท่านอ๋องเจ็ด”

เพียงแค่คล้ายกันไม่นับเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด พลันนั้นฮวาปู๋ชี่นึกถึงฮวาจิ่วที่หนาวตาย ดวงตาฉายประกายหมองหม่น อยู่กับฮวาจิ่วห้าปีกว่า ถึงใบหน้าเขาจะสกปรก แต่การอยู่ในความคุ้มครองของเขากลับให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ที่สุดในโลก น่าเสียดายที่เขามิอาจรอจนถึงวันนี้

ฮวาปู๋ชี่เอานิ้วพันเส้นผมปอยหนึ่ง ผมดำเงางามให้ความรู้สึกนิ่มลื่น ยามคลายออกคล้ายเด็กซนที่หนีรอดนิ้วของนาง

ฟางหัวใช้หวีสางผมให้ฮวาปู๋ชี่หลายครา ค่อยกรีดนิ้วดูทีละเส้น ในที่สุดก็มั่นใจว่าไม่มีเหา หลินตานซาหัวเราะ ชมว่าผมฮวาปู๋ชี่เงางามจริงๆ ก่อนใช้เส้นไหมมัดผมด้านหลังให้นางด้วยตนเอง

ชุดที่ฮวาปู๋ชี่สวมเป็นชุดที่เพิ่งเย็บใหม่ของหลินตานซา ยังไม่เคยใส่แม้แต่ครั้งเดียว ท่อนบนเป็นเสื้ออ่าวผ้าไหมชายสั้นปักลวดลายบุปผาเล็กๆ กระโปรงสีชมพู ตัดกับสายคาดเอวสีเขียวเข้มกว้างประมาณสิบชุ่น[1] ให้ความรู้สึกสดชื่นและนุ่มนวล ชวนให้นึกถึงดอกบัวในสระที่แบ่งบานหลังฝนหยุดตก

นางลูบกระโปรง ในใจรู้สึกถึงเงินทอง

หลินตานซาหยิบกระโปรงที่ตัดเย็บใหม่ออกมาให้ฮวาปู๋ชี่โดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว ขณะเดียวกันยังออกปากเองว่าจะผสมสมุนไพรลงไปในน้ำให้นางอาบทุกวัน เพื่อให้ผิวที่โดนแดดจนดำคล้ำของนางเปลี่ยนเป็นนวลเนียนขาวผ่อง และมือหยาบกร้านจากการทำงานหนักกลับมาบอบบางน่าทะนุถนอมอีกครั้ง

ฮวาปู๋ชี่ลูบกำไลหยกสีเขียวที่ข้อมือ ทั้งวงเป็นสีเขียวมรกต เนื้อใสน้ำดี ฮูหยินผู้เฒ่าหลินสวมอยู่หลายสิบปี แต่ถอดออกแล้วสวมที่ข้อมือของนาง ถือเป็นของรับขวัญหลานคนใหม่ แม้แต่ฮูหยินของคุณชายใหญ่ยังบอกทั้งตาแดงก่ำว่ากำไลวงนี้มีราคาถึงร้อยตำลึง

คิดจะย้อมขนไก่ป่าให้เป็นขนหงส์ช่างเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่โดยแท้…ฮวาปู๋ชี่เบนสายตาออกจากต้นสนที่ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดหิมะขาว หันกลับมาด้วยสีหน้าที่นายท่านหลินอยากเห็น

นางมองภาพเหมือนหลายคราอย่างตั้งใจ จดจำรูปร่างหน้าตางดงามของสตรีผู้นี้ไว้ในใจ ทอดถอนใจ กล่าวว่า “น่าเสียดายที่ปู๋ชี่ไม่ได้งดงามปานบุปผาเช่นนี้ เกรงว่าท่านพ่อบุญธรรมจำผิดแล้วเจ้าค่ะ”

นายท่านหลินเดิมนั่งเก้าอี้ไท่ซือ[2]เอาแต่ดื่มชามาโดยตลอด เหลือบมองฮวาปู๋ชี่พลางยิ้มเล็กน้อย คลายความสงสัยของนาง “ปู๋ชี่ไม่ได้สืบทอดความงามของฮูหยินท่านนี้จริงๆ ทว่าท่าทางยามเจ้ายิ้มแย้ม กลับเหมือนฮูหยินในภาพราวกับพิมพ์เดียวกัน หลังจากข้าได้รับภาพวาด ก็นึกถึงเจ้าทันที ยามนี้ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือน”

อย่างนั้นหรือ แววเหยียดหยันแวบผ่านดวงตาของฮวาปู๋ชี่อย่างรวดเร็ว ตามด้วยรอยยิ้มบางเบา

นายท่านหลินยังทำทีพูดจากใจจริงต่อ “ปู๋ชี่ ฮูหยินผู้เฒ่ารักเจ้า ข้ารับเจ้าเป็นบุตรีบุญธรรม เพียงเพราะอยากให้เจ้าปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่า แต่ผู้ใดจะรู้ว่าคนทางเมืองวั่งจิงจะส่งภาพวาดนี้มาให้ เดิมข้าลังเล กลัวว่าปู๋ชี่จะเข้าใจว่าที่ข้ารับเจ้าเป็นบุตรีบุญธรรมเพราะสาเหตุนี้ ทว่าเมื่อคิดไปคิดมา ข้าก็ไม่ยินดีที่จะให้ไข่มุกเช่นเจ้าหล่นหายในป่าเขา”

ฮวาปู๋ชี่ลอบก่นด่าในใจ การรับนางเป็นบุตรีบุญธรรมไม่ใช่เพราะนางหน้าตาคล้ายฮูหยินในภาพวาดหรอกหรือ ยังมีหน้ามาพูดจาอย่างมีเหตุมีผลอยู่ได้

กระนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ ทั้งไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธด้วย

จากนั้นก็ไม่มีอันใดยุ่งยาก คนหนึ่งเรียกบุตรีอย่างรักใคร่เอ็นดู อีกคนก็ซาบซึ้งน้ำตาไหลร้องเรียกท่านพ่อบุญธรรม เพียงแต่นายท่านหลินไม่มีทางรู้ว่า ที่ฮวาปู๋ชี่เรียกขานเขาอย่างสนิมสนมปานนี้ เพราะนางนึกถึงถ้อยคำที่ว่าถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข

เจ้าร้องท่อนหนึ่ง ข้ารับท่อนหนึ่ง เรื่องราวง่ายดายเพียงนี้เอง

 

หลินตานซาสั่งเก็บกวาดทำความสะอาดที่พักฝั่งตะวันตกให้ฮวาปู๋ชี่ หลังพาฮวาปู๋ชี่เข้าไปด้านใน นางยืนหน้าประตูรอดูปฏิกิริยาตอบสนองของฮวาปู๋ชี่

ด้านนอกเป็นห้องนั่งเล่นกับห้องอ่านหนังสือ ด้านในเป็นห้องนอน

โคมไฟถูกจุดเพิ่มสองสามดวง พาให้ภายในห้องสว่างไสวและอบอุ่น เครื่องเรือนทุกชิ้นทำขึ้นจากไม้หวงฮวาหลี[3]อย่างประณีต ข้างหน้าต่างมีโต๊ะ พร้อมด้วยสิ่งล้ำค่าทั้งสี่อย่างในห้องหนังสือ[4] และยังมีต้นสุ่ยเซียน[5]หนึ่งกระถาง โรยด้วยหินรูปทรงไข่ห่านสีนวล ลำต้นเขียว ตัวดอกขาวชวนให้รู้สึกสดชื่นสบายใจ ผนังด้านหนึ่งเป็นชั้นวางหนังสือเก้าชั้น มีสี่ตำราห้าคัมภีร์วางเรียงราย ตกแต่งด้วยบุปผาที่สลักจากก้อนหยก ผนังตรงข้ามประตูแขวนภาพดอกเหมยแดงเจิดจ้าราวเปลวเพลิง กิ่งก้านแข็งแรงเปี่ยมพลัง ทั้งสองข้างของภาพวาดยังมีคำโคลงคู่ ด้านล่างมีโต๊ะบูชาตั้งอยู่สองสามตัว ตรงกลางคือเจ้าแม่กวนอิมประทับบนดอกบัว สองด้านมีแจกันลายครามสองหูอย่างละใบ ใบหนึ่งเสียบขนนกยูงกับภาพอักษรหลายม้วน อีกใบเสียบเหมยดอกตูมและดอกบานที่เพิ่งตัดใหม่ ถูกจัดวางอย่างมีรสนิยม กลางห้องยังมีโต๊ะแปดเซียน[6]จัดวางชุดชงชาไว้ บนโต๊ะกับม้านั่งปูด้วยผ้าต่วนปักลายบุปผาวิหค ดิ้นทองดิ้นเงินที่ใช้ปักลวดลายล้อแสงไฟกลายเป็นความวิจิตรน่าตื่นตะลึง

ฮวาปู๋ชี่เหลือบมองแล้วยิ้มอย่างเบิกบาน ประเดี๋ยวลูบนี่ประเดี๋ยวคลำนั่นไม่หยุด ทั้งอุทานอย่างตื่นตาตื่นใจ “ดูผ้าต่วนที่ปูม้านั่งนี่สิ ปักดอกไม้กับนกได้เหมือนจริงมาก จะกล้านั่งได้อย่างไร”

ฟางหัวพูดแทรก “คุณหนูเป็นคนปักเองกับมือเจ้าค่ะ”

หลินตานซากล่าวอย่างพึงใจ “ปู๋ชี่ ข้าหากล่องแพรมาใส่ของล้ำค่าที่เจ้ากำชับนักกำชับหนาว่าห้ามโยนทิ้ง แล้วเก็บไว้ในลิ้นชักในห้องหนังสือ เจ้าลองดูว่าชอบหรือไม่”

ฮวาปู๋ชี่ดึงลิ้นชักออก เห็นกล่องแพรในนั้นจริงๆ พอเปิดฝากล่องก็เห็นชามขอทานที่ฮวาจิ่วทิ้งไว้ให้นาง ชามขอทานถูกล้างจนสะอาดเอี่ยม พอวางอยู่ในกล่องแพรดูราวกับของโบราณ ทำเอาฮวาปู๋ชี่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ดี หากฮวาจิ่วที่อยู่ในปรโลกรู้เข้า จะต้องชมหลินตานซาว่ามีสายตาเฉียบแหลมอย่างแน่นอน เพียงแต่สายตาเฉียบแหลมที่ฮวาจิ่วพูดถึงคงหมายถึงกล่องแพรไม้หนานมู่[7]ที่ดูประณีตและงดงามใบนี้!

นางได้แต่หัวเราะแหะๆ “รบกวนพี่สาวแล้ว ท่านอาเก้าเก็บข้ามาเลี้ยง จึงมิกล้าลืมบุญคุณของเขา สกุลหลินเองก็รับเลี้ยงข้าหลายปี ทั้งยังให้ข้าอาศัยในเรือนดีๆ แบบนี้ ทำให้ข้าได้เสพสุขกับการเป็นคุณหนู บุญคุณหนักแน่นดั่งขุนเขา ปู๋ชี่มิกล้าลืมเลือนเช่นกัน”

ถ้อยคำนี้ทำหลินตานซายิ้มหน้าบาน นางเอื้อมไปจับมือของฮวาปู๋ชี่ ชี้ห้องนอนที่มีม่านกั้นประตู “เข้าไปดูสิ”

ฮวาปู๋ชี่เห็นสีหน้าของหลินตานซา คะเนได้ว่าในห้องนอนจะต้องมีเรื่องให้ประหลาดใจแน่ นางเลิกม่านเดินเข้าห้อง พบสาวใช้อายุสิบหกสิบเจ็ด หน้าตาน่ามองทำความสะอาดอยู่ ครั้นเห็นฮวาปู๋ชี่เดินเข้ามา สาวใช้ทั้งสองหยุดมือ ส่งเสียงกังวาน “หงเอ๋อร์ ลวี่เอ๋อร์ คารวะคุณหนูเจ้าค่ะ”

ฮวาปู๋ชี่ตะลึงลาน หลินตานซาที่อยู่ข้างหลังอธิบายยิ้มๆ “พวกนางเดิมเป็นสาวใช้ในเรือนของท่านย่า หงเอ๋อร์มีฝีมือในการทำอาหาร ลวี่เอ๋อร์มือไม้คล่องแคล่ว ทั้งยังรู้มารยาทรู้ธรรมเนียม ท่านย่าเห็นว่าข้างกายเจ้าไม่มีใคร จึงเลือกพวกนางสองคนให้มาปรนนิบัติที่เรือนชุ่ยอิง”

รสขมเฝื่อนพลันอวลขึ้นมาเต็มปาก จู่ๆ ก็มีห้องสวย สาวใช้งาม เสื้อผ้าอาภรณ์และอาหารการกินชั้นดีตกลงมาจากนภากะทันหัน หากไม่ใช่เพราะนางเป็นคนที่อ๋องเจ็ดตามหา เกรงว่าก็คงไม่มีแม้แต่บ้านสุนัขในสวนผัก แม้เงินจะไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่หลายอย่างกลับเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่มีเงิน ได้ใช้ชีวิตสุขสบายแล้ว นางยังจะต้องมุ่งมั่นออกไปถือชามขอทานอีกอย่างนั้นหรือ

หลินตานซาเห็นฮวาปู๋ชี่คล้ายตื่นตะลึง จึงปิดปากหัวเราะ “ท่านเมิ่งจื่อกล่าวไว้ว่า สถานะและสภาพแวดล้อมเปลี่ยนบุคลิกลักษณะคนได้ การฝึกฝนหรือความเยือกเย็นสุขุมเปลี่ยนเนื้อแท้ได้ ท่านพ่อกำชับว่า ก่อนเจ้าจะไปเมืองวั่งจิง จะต้องมีกิริยาท่าทางเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรี ยามนี้ดึกแล้ว วันพรุ่งพี่ค่อยพูดให้น้องสาวฟังอย่างละเอียด หงเอ๋อร์ ลวี่เอ๋อร์ ปรนนิบัติคุณหนูห้าพักผ่อน”

หลินตานซาพาฟางหัวจากไปพร้อมรอยยิ้ม ปล่อยฮวาปู๋ชี่ที่ยังตกตะลึงไว้ หงเอ๋อร์เดินเข้ามาถาม “คุณหนูจะกินอาหารเย็นกับนายท่านหรือไม่เจ้าคะ”

ฮวาปู๋ชี่ได้สติกลับคืนมา หันไปตอบ “ข้าไม่หิว เพียงง่วงนิดหน่อย ไปตักน้ำมาล้างแป้งชาดบนหน้าให้ข้าสักหน่อย อีกประเดี๋ยวค่อยเข้านอน”

เห็นพวกนางออกจากห้อง ฮวาปู๋ชี่ถอนใจ ไม่ใช่ว่านางไม่เคยฝันถึงชีวิตดีๆ เช่นนี้ ทว่าเวลานี้กลับมีเพียงความสับสน ไม่รู้สึกยินดีแม้แต่นิด

ฮวาปู๋ชี่หยิบกล่องแพรออกมาจากลิ้นชัก หลินตานซาสั่งให้ฟางหัวนำเสื้อผ้าที่นางมีทั้งหมดไปเผา สิ่งที่เป็นของนางอย่างแท้จริง เหลือเพียงชามขอทานใบนี้เท่านั้น

“จะพึ่งเจ้าหรือจะพึ่งตนเองดี” ฮวาปู๋ชี่ลูบชามขอทานอย่างแผ่วเบา

ชามขอทานไม่ได้กลมมากนัก เพราะฮวาจิ่วขุดดินขาวสำหรับปั้นถ้วยชามขึ้นมาปั้นเอง แล้วก่อกองฟืนเผาอยู่หลายวันหลายคืนจึงสำเร็จ พื้นผิวบางเผาจนได้สีค่อนข้างสว่าง แต่บางจุดก็ยังตะปุ่มตะป่ำ ต้องใช้เวลาเป็นนานกว่าจะขัดถูให้เรียบเนียน

ฮวาจิ่วถือชามนี้ไปขอน้ำข้าวต้มมาป้อนนางทีละคำ นางกินอิ่มแล้วก็ยิ้มให้ฮวาจิ่ว ใบหน้าสกปรกของฮวาจิ่วก็เผยรอยยิ้มเบิกบาน ในใจฮวาปู๋ชี่เต็มไปด้วยความเศร้าสลด “ท่านอาเก้า เหตุใดท่านจึงมิอาจมีชีวิตอยู่ได้ถึงร้อยปี”

ยามนั้นเองผ้าม่านหน้าประตูถูกเลิกขึ้น หงเอ๋อร์กับลวี่เอ๋อร์ตักน้ำเข้ามาในห้อง หงเอ๋อร์เห็นฮวาปู๋ชี่ใจลอย ถือชามขอทานใบนั้น เอ่ยวาจา “คุณหนูคิดถึงชีวิตที่ยากลำบากในกาลก่อนอยู่หรือเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งว่า ยามนี้คุณหนูมีฐานะไม่เหมือนก่อนแล้ว ทางที่ดีสมควรลืมเรื่องในอดีตเจ้าค่ะ”

ฮวาปู๋ชี่วางชามขอทานไว้ที่เดิม สีหน้าเรียบเฉย ทอดถอนใจ กล่าวว่า “ท่านย่าพูดถูก วันพรุ่งจงไปแจ้งคุณหนูสี่ว่าข้าจะไปเยี่ยมหลุมฝังศพของท่านอาเก้า และจากนี้ไปจะไม่คิดถึงอดีตอีก”

“ถูกต้องเจ้าค่ะ คุณหนูเข้าใจความหวังดีของฮูหยินผู้เฒ่านับว่าเป็นเรื่องดีที่สุดแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าคุณหนูยังเด็ก สั่งว่านับแต่นี้ให้พวกเราสองคนดูแลคุณหนูให้ดี วันหน้าให้ติดตามคุณหนูไปเมืองวั่งจิง” ลวี่เอ๋อร์บิดผ้าให้ฮวาปู๋ชี่ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ส่งสาวใช้สองคนที่รู้จักอ่านสีหน้า รู้อันใดควรไม่ควรให้ติดตามไปด้วย เพราะกังวลว่านางจะเผยพิรุธอย่างนั้นสินะ ฮวาปู๋ชี่ยิ่งมองหงเออร์กับลวี่เอ๋อร์ยิ่งชื่นชอบ วันหน้าพวกนางคือดาวช่วยชีวิตตน ยามสตรีมากมายรวมตัวกันที่เมืองวั่งจิง หากเกิดเรื่องใดขึ้น ก็ให้ทั้งสองคนที่เฉลียวฉลาดคอยออกหน้า ยืนขวางปกป้องนางจากภัยอันตราย ฮวาปู๋ชี่คิดแล้วยิ่งรู้สึกเลื่อมใสกับความรอบคอบของฮูหยินผู้เฒ่าหลิน

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ฮวาปู๋ชี่นั่งเกี้ยวไปสุสานร้างโดยพาหงเอ๋อร์ ลวี่เอ๋อร์ และบ่าวรับใช้ชายอีกสี่คนไปด้วย

เมื่อคืนหิมะตกหนักยิ่งนัก สุสานจึงมีสภาพราวกับมีหมั่นโถวขาวที่เพิ่งเอาออกจากเข่งหล่นใส่ ก่อตัวเป็นเนินสูงสลับต่ำ

ลวี่เอ๋อร์เป่าลมใส่มือเพื่อให้อบอุ่น พูดว่า “โอ้ หิมะฝังกลบจนมองไม่เห็นแล้ว คุณหนูจะหาเจอหรือเจ้าคะ”

หิมะหนาไม่ถึงหัวเข่า ยิ่งเดินขึ้นไปบนเนินเขายิ่งตื้นมาก ข้างหน้ามีหลุมศพขนาดใหญ่ขนาดเล็ก บ้างมีป้ายหิน บ้างกลายเป็นหนึ่งเดียวกับทุ่งหญ้าป่าเขาแล้ว หงเอ๋อร์ ลวี่เอ๋อร์ใช้ชีวิตอยู่แต่ในเรือนของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ จะเคยมายังสถานที่เย็นยะเยือกวังเวงเช่นนี้ได้อย่างไร ได้แต่หวังว่าฮวาปู๋ชี่จะรีบๆ เผากระดาษเงินกระดาษทองแล้วกลับหมู่ตึกทันที

“หลุมศพของท่านอาเก้าอยู่ตรงนั้น พวกเจ้าเดินระวังๆ จะได้ไม่เหยียบซากกระดูกเก่า คนจนไม่มีเงิน จะใช้เสื่อห่อร่างไว้แล้วโยนไว้ที่นี่ให้อีกาจิกกิน กระดูกที่เหลือจึงเกลื่อนทั่วเนินเขา”

หน้าของหงเอ๋อร์กับลวี่เอ๋อร์เปลี่ยนสีเหมือนชื่อของพวกนางทันใด คนหนึ่งตกใจจนหน้าแดง[8] อีกคนหวาดกลัวจนหน้าเขียว

ฮวาปู๋ชี่เอ่ยวาจา “ช่างเถิด พวกเจ้าสองคนรอที่นี่ ข้าจะไปเอง” นางยื่นมือออกมารับตะกร้าไม้ไผ่จากมือของหงเอ๋อร์ เห็นอีกฝ่ายดูเป็นกังวล จึงชี้ไปยังเนินเขาที่อยู่ไม่ไกล “จากต้นไม้ต้นนั้นมองเห็นข้าได้”

ฮวาปู๋ชี่เดินไปคนเดียว รอยยิ้มพึงใจวาดผ่านมุมปาก นางจงใจทำให้หงเอ๋อร์กับลวี่เอ๋อร์ตกใจกลัว เพราะไม่อยากให้พวกนางตามมา นางรู้ว่านับแต่วันนี้ ตราบจนจากหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์เพื่อไปเมืองวั่งจิ่งแล้ว นางจะไม่มีโอกาสมาเยี่ยมฮวาจิ่วอีก ดังนั้นจึงอยากพูดบางอย่างในใจกับเขาตามลำพัง

ใต้ต้นไม้แห้งเหี่ยวบนเนินเขามีหลุมฝังศพตื้นๆ หลุมหนึ่ง หลังหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์รับเลี้ยงฮวาปู๋ชี่ ฮูหยินผู้เฒ่าหลินถือว่าทำเรื่องดีแล้วต้องทำจนถึงที่สุด นางจ่ายเงินสองตำลึงจ้างคนขุดหลุมฝังศพให้ฮวาจิ่ว เพื่อไม่ให้เขาถูกทิ้งในที่รกร้าง หน้าหลุมศพของฮวาจิ่วยังมีแผ่นป้ายเอียงๆ ที่ทำจากไม้ปักอยู่ หลังเผชิญลมฝนหลายปี จึงกลายเป็นไม้ผุ

ฮวาปู๋ชี่ที่อยู่หน้าหลุมศพหันมอง โบกมือให้หงเอ๋อร์กับลวี่เอ๋อร์ ก่อนหยิบกระดาษเงินกระดาษทองและของเซ่นไหว้ออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่ เผากระดาษเงินกระดาษทองพลางกล่าว “ท่านอาเก้า เห็นหรือไม่ ยามนี้ปู๋ชี่เป็นคุณหนูแล้ว วันนี้ได้นั่งเกี้ยว พาสาวใช้มาด้วย สกุลหลินหวังว่าข้าจะลืมท่าน คิดว่าตนเป็นคุณหนูจริงๆ เกรงว่าครั้งนี้หลังข้ากลับคฤหาสน์สกุลหลิน คงมาเยี่ยมท่านไม่ได้อีกแล้ว อาหวงถูกฝังอยู่ข้างๆ ท่าน มีมันอยู่เป็นเพื่อน ท่านจะได้ไม่เหงา”

สายลมพัดวูบ พาให้อีกาที่เกาะอยู่บนต้นไม้ข้างหลุมศพของฮวาจิ่วส่งเสียงร้อง ฮวาปู๋ชี่เงยหน้า หัวเราะพลางสบถด่า “ข้าไม่เข้าใจภาษานก ถึงท่านไหว้วานให้มันพูดแทน ข้าก็ฟังไม่เข้าใจอยู่ดี ข้าไม่เคยลืมสิ่งที่ท่านพูด วันนี้ยังอยากบอกท่านอีกเรื่องหนึ่ง มีคุณชายม่อท่านหนึ่งเตือนข้า บอกว่าการได้ถือชามข้าวทองคำขอทานถือเป็นความสง่าวามน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ภายภาคหน้าปู๋ชี่จะต้องมอบชามข้าวทองคำฝังอัญมณีให้ท่าน ให้ท่านที่ขอทานในปรโลกได้อย่างมีหน้ามีตาแน่นอน คฤหาสน์สกุลหลินรับเลี้ยงข้าหลายปี ไม่ว่าพวกเขาจะมีเจตนาใด ย่อมต้องตอบแทนคุณ เชื่อว่าท่านคงเห็นด้วย”

ฮวาปู๋ชี่ลุกขึ้นยืน มองหลุมฝังศพเงียบๆ แล้วหันหลัง เดินลงจากเนินเขา

“คุณหนู เหตุใดท่านอยู่นานปานนี้ แค่ขอทานคนหนึ่ง คุ้มค่าหรือเจ้าคะ”

ฮวาปู๋ชี่ได้ยินถ้อยคำนี้แล้วไฟโทสะในใจพลันลุกพรึ่บ กล้าดูถูกขอทาน ข้าก็กล้าดูถูกอำนาจของคฤหาสน์สกุลหลินเช่นกัน! นางปรายตามองคนคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “หนาวอย่างนั้นหรือ ทำไมไม่ขึ้นไปนั่งให้อุ่นบนเกี้ยวก่อนเล่า”

หงเอ๋อร์กับลวี่เอ๋อร์สบตากัน พร้อมใจกันตอบ “บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ!”

ฮวาปู๋ชี่กล่าวเสียงเรียบ “จากนี้ไปข้าจะไม่กลับมาที่นี่อีก ข้าไม่ใช่ขอทานและสาวใช้ที่ทำงานทั่วไปอีกต่อไป ถ้าพวกเจ้าไม่อยากรับใช้ข้า ข้าจะกลับไปบอกท่านย่า”

สาวใช้ทั้งสองได้รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่าหลินให้มาปรนนิบัติฮวาปู๋ชี่ และรู้ภูมิหลังของคุณหนูใหม่ผู้นี้ ในใจจึงเต็มไปด้วยความดูถูก หนึ่ง เพราะชาติกำเนิดของฮวาปู๋ชี่ สอง เพราะเห็นว่านางยังเยาว์ คิดไม่ถึงว่านางจะวางอำนาจต่อหน้าหลุมศพ

พวกนางไหนเลยจะกล้าให้ฮวาปู๋ชี่ไปหาฮูหยินผู้เฒ่าหลิน ได้แต่คุกเข่าบนหิมะอย่างพรั่นพรึง “บ่าวสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ”

ฮวาปู๋ชี่มองพวกนางสองคนแล้วกล่าวเนิบช้า “ในเมื่อเป็นคนที่จะติดตามข้าไปยังเมืองวั่งจิง ข้าก็ขอพูดให้ชัดเจน พวกเจ้าสองคนยามนี้เป็นสาวใช้ของคฤหาสน์สกุลหลิน เป็นคนที่ท่านย่ากับท่านพ่อบุญธรรมให้มาอยู่ข้างกายข้าเพื่อคอยช่วยเหลือข้า ข้าไม่มีทางเลือก พวกเจ้าเองก็ไม่มีทางเลือก ทว่าข้าเป็นคุณหนู ส่วนพวกเจ้าเป็นสาวใช้ แต่ละคนต่างทำหน้าที่ของตนเองก็พอ กลับหมู่ตึกเถิด”

หงเอ๋อร์ ลวี่เอ๋อร์รีบลุกขึ้นจากพื้นหิมะ มองหน้ากันอย่างแตกตื่น

 

วันเดียวกันนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลินกับนายท่านหลินก็ได้รู้เกี่ยวกับบทสนทนาของสามนายบ่าวที่หน้าหลุมฝังศพ

นายท่านหลินแค่นเสียงเหอะ “ยายสาวใช้ผู้นี้เพิ่งได้เป็นคุณหนูแค่วันเดียวก็จองหองพองขนเสียแล้ว ภายภาคหน้าหากร่ำรวยมีวาสนา เกรงว่าคงให้ข้าคารวะนาง!”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลินกล่าวอมิตาภพุทธแล้วเอ่ยวาจา “ตอนปู๋ชี่ยังเด็ก อาศัยอยู่ในบ้านสุนัขของสะใภ้สามสกุลหลิวแค่ไม่กี่วันยังช่วยตักน้ำเพื่อตอบแทนบุญคุณ”

เพียงถ้อยคำประโยคเดียว สีหน้าของนายท่านหลินอ่อนลงจนมีรอยยิ้ม “ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้อง ปู๋ชี่เป็นเด็กดีที่รู้จักตอบแทนบุญคุณ คุณหนูก็สมควรจะมีท่าทางเหมือนคุณหนู ก่อนวันปีใหม่ เมืองวั่งจิงจะต้องส่งข่าวมาแน่ รอจนกระทั่งถึงเทศกาลโคมไฟ[9]ค่อยออกเดินทาง ยังต้องใช้เวลาอีกสองสามเดือน ไว้วันรุ่งขึ้นค่อยให้ตานซาเตือนสตินาง”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลินหลับตาลง ถอนหายใจ “สอนได้เท่าใดก็เท่านั้น นิสัยบางอย่างแก้ไม่ได้ก็ไม่เป็นอันใด ถึงอย่างไรผู้คนในตำบลก็รู้ว่านางติดตามฮวาจิ่วขอทานห้าหกปีแล้ว พวกเราพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อทำงานให้จวนอ๋อง ไม่ใช่อบรมสั่งสอนคุณหนูแทนจวนอ๋อง”

“ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้องที่สุด ลูกคิดเพียงว่าในเมื่อรับนางเป็นบุตรีบุญธรรมแล้ว หากหยาบคายเกินไปคนจะสงสัยขอรับ”

“นี่เป็นโอกาสเดียวที่นางจะได้โผบินสู่ฟ้า ไม่ต้องเป็นห่วง นางหนูนั่นฉลาดพอ”

นี่เป็นบทสนทนาในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าหลินที่กำหนดให้การใช้ชีวิตของฮวาปู๋ชี่และหลินตานซาล้วนไม่สงบสุข

แม้หลินตานซาได้รับความรักใคร่เอ็นดูเพียงใด ก็ไม่มีทางที่วันนี้จะได้ดื่มรังนกเป็นของว่างยามดึกและวันรุ่งขึ้นจะได้ดื่มน้ำแกงตุ๋นนกพิราบ ปกติรายการอาหารแต่ละวันของนางไม่เคยซ้ำกัน ดูจากฝีมือการจัดวางอาหารก็รู้ว่าพ่อครัวพิถีพิถันยิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ยังเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการตัดเย็บทุกวัน ของทุกชิ้นไม่มีอันใดไม่ใช่ของดี ฮวาปู๋ชี่กินใช้ไม่หมดไม่เป็นอันใด นายท่านหลินเพียงอยากให้นางได้เปิดหูเปิดตา เพื่อที่ว่าต่อให้เขาจินซานถล่มลงมาตรงหน้าก็ไม่ตกใจ

หลินตานซาจ้องจนตาร้อนผ่าว ในใจไม่ทราบสบถด่ากี่รอบแล้ว นอกจากอิจฉา นางยังตำหนิฟางหัวอย่างรุนแรงที่คิดเล็กคิดน้อย แม้นางอายุเพียงสิบสี่ปี แต่เรื่องราวต่างๆ ภายในหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ล้วนเป็นนางที่ดูแลจัดการ นางเข้าใจดีว่าหากอยากได้ลูกสุนัขป่าต้องมีเหยื่อล่อ อยากบรรลุเป้าหมายต้องจ่ายค่าตอบแทน นางคิดอย่างเย้ยหยัน วันนี้สิ้นเปลืองไปกับฮวาปู๋ชี่ วันหน้าอ๋องเจ็ดย่อมต้องชดใช้ให้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์เป็นสิบส่วน นึกถึงอ๋องน้อยจวนอ๋อง หลินตานซาก็กัดฟันพยายามสร้างสัมพันธ์กับฮวาปู๋ชี่ ตัวติดกับฮวาปู๋ชี่ตั้งแต่เช้าจรดเย็น คอยบอกเล่าถึงความชอบของคุณหนูสกุลต่างๆ รวมถึงเสื้อผ้าแบบใหม่อันเป็นที่นิยมอย่างแม่นยำราวกับนับสมบัติในเรือนตนเอง

สำหรับการเรียนหนังสือ ฮวาปู๋ชี่ใฝ่รู้ยิ่งนัก นางค่อยๆ เรียนรู้อักษรจีนตัวเต็ม และทำความคุ้นเคยกับการอ่านจากซ้ายไปขวาในแนวตั้งโดยไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน ส่วนการเขียนยังใช้การไม่ได้ เพราะนางมักเขียนอักษรตัวเต็มกับตัวย่อปนกัน ยังต้องใช้เวลาอีกค่อนข้างนาน

หากสิ่งที่ทำให้หลินตานซาประหลาดใจคือ ฮวาปู๋ชี่ไม่สนใจสี่ตำราห้าคัมภีร์ หนังสือสอนหญิง หรือข้อห้ามสตรีพวกนั้น ทั้งยังไม่ชอบโคลงกลอน นางชอบเพียงการอ่านการเขียน

“สตรีที่ไร้ความสามารถนับเป็นคุณธรรม รู้ตัวหนังสือเขียนหนังสือได้ก็พอแล้ว พี่สาวคิดว่าปู๋ชี่สมควรมุ่งสู่เส้นทางการสอบจ้วงหยวน[10]อย่างนั้นหรือเจ้าคะ เหลือเวลาไม่มากแล้ว มิสู้พี่สาวสอนปู๋ชี่เรื่องมารยาทดีกว่าเจ้าค่ะ!” อาศัยเพียงประโยคเดียว ฮวาปู๋ชี่ก็ทำให้หลินตานซาคลายความสงสัย

หลินตานซาคิดว่าฮวาปู๋ชี่พูดถูก สิ่งที่สตรีหวาดหวั่นที่สุดคือการเสียมารยาทจนอับอาย จึงเริ่มสอนฮวาปู๋ชี่เรื่องการวางตัว การปฏิบัติกับผู้อื่นให้เหมาะสมกับฐานะ นางสอนเพียงครั้งเดียวฮวาปู๋ชี่ก็จดจำได้แล้ว

ในความคิดของฮวาปู๋ชี่ เรื่องนี้ไม่มีอันใดมากไปกว่าการพูดจาสุภาพเรียบร้อย ยามพูดต้องพูดเสียงเบา ทางที่ดีพูดให้น้อยและแสร้งใบ้ ก็จะกลายเป็นคุณหนูสกุลผู้ดีที่แสนเพียบพร้อมแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่มีความคิดเห็นต่างกันในเรื่องการกินอาหาร

“ท่านขงจื่อกล่าวว่าไม่พูดตอนกิน ไม่ส่งเสียงดังตอนนอน ยามสตรีกินข้าวก็เหมือนนับเมล็ดข้าว ปู๋ชี่ หากกินข้าวเสียงดังจะทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเอาได้” หลินตานซายกชามขึ้นมาอย่างสง่างาม ใช้ตะเกียบคีบข้าวคำเล็กๆ เข้าปาก ริมฝีปากแดงระเรื่อราวชาดคล้ายดั่งบุปผาที่ถูกลมพัดแผ่วจวนแย้มบาน นางปิดปากสนิท ใช้ฟันบดเคี้ยวเล็กน้อย ค่อยกลืนลงคอ

“ปู๋ชี่ ตะเกียบของเจ้ายื่นออกไปไกลเกินไปแล้ว มีคุณหนูสกุลผู้ดีคนใดบ้างที่ลุกขึ้นคีบอาหาร!”

“ปู๋ชี่ จะกินน่องไก่ เจ้าไม่จำเป็นต้อง…ฉีกอย่างดุดันเพียงนั้นก็ได้!”

“เหตุใดเจ้าถึงยกน้ำแกงไก่ดำตุ๋นยาจีนขึ้นดื่มจนเห็นก้นชามแบบนี้”

“เฮ้อ เจ้าอย่าเอาแขนเสื้อเช็ดปากสิ! นี่เป็นชุดใหม่ที่ข้าเพิ่งตัดเย็บ!”

หลังกล่าวเสียงแผ่วเบา สลับกับปิดปากแอบหัวเราะ ในที่สุดหลินตานซาก็ตวาดเสียงต่ำอย่างขุ่นเคือง

ฮวาปู๋ชี่คิดอย่างดูแคลน ร่างกายต้องเจริญเติบโต มีแค่คนโง่ถึงจะใช้ตะเกียบคีบผักสดแล้วแสร้งทำเป็นกุลสตรี! ให้ลดความเร็วในการคีบลง เวลากินเนื้ออย่าคีบกระดูกซี่โครง เวลาดื่มน้ำแกงให้ทำเหมือนป้อนผู้ป่วย แล้วแสร้งทำเป็นใบ้ ยากที่ใดกัน แต่ถ้าต้องกินแบบนั้นจริงๆ นางจะกินอิ่มหรือ

สุดท้ายหลินตานซาถึงกับผุดลุกขึ้นยืนด้วยความฉุนเฉียว ตวาดว่า “ถ้าเรียนแล้วไม่จดจำ ไม่อนุญาตให้กินข้าว!”

นี่ใช้ได้ที่ใดกัน ฮวาปู๋ชี่กะพริบตาปริบๆ ยิ้มเล็กน้อย “ปู๋ชี่จดจำการสั่งสอนของพี่สาวได้หมดแล้ว กินแบบนี้ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ”

นางนั่งตัวตรง ยื่นตะเกียบออกไปคีบหมูสามชั้นน้ำแดงส่งเข้าปากอย่างสง่างาม ค่อยๆ เคี้ยว

หลินตานซาตกตะลึง นึกถึงความปรารถนาของตนเองกับถ้อยคำของบิดา ความโกรธเกี้ยวบรรเทาลง แทนที่ด้วยความประหลาดใจ เห็นอยู่ว่าฮวาปู๋ชี่เรียนรู้การเป็นกุลสตรีที่สุภาพเรียบร้อยได้ในชั่วพริบตา หากในใจนางกลับรู้สึกไม่ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ข้าทำไม่ถูกหรือเจ้าคะ พี่สาว” ฮวาปู๋ชี่ถาม ยิ้มน้อยๆ ในเมื่อคฤหาสน์สกุลหลินจำต้องส่งคุณหนูไปสักคน ไยนางจะต้องอารมณ์เสียแล้วจงใจหาเรื่องตนด้วย

หลินตานซายิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ปู๋ชี่ฉลาดจริงๆ”

ฮวาปู๋ชี่ถอนหายใจในใจ พอคนเราฉลาดขึ้นมานิดหน่อยก็ถูกอิจฉา เห็นชัดว่าหลินตานซา ยายเด็กคนนี้ไม่พอใจที่นางกลายเป็นกุลสตรีอย่างแท้จริง ในใจไม่ยินดีให้นางตีตนเสมอ การหลอกลวงคนเป็นทักษะของฮวาปู๋ชี่เมื่อภพก่อน กระทั่งภพนี้ก็พัฒนาจนเชี่ยวชาญขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นตัวนางจึงผ่อนคลาย เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ วางตะเกียบลงบนโต๊ะ กลับคืนสู่ท่าทางหยาบกระด้างเช่นเดิม หัวเราะแหะๆ “ข้าแค่แกล้งทำได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น รอให้ข้ากินอาหารรสเลิศเหล่านี้จนพอใจแล้ว ย่อมไม่มีทางเห็นหมูสามชั้นน้ำแดงแล้วถึงขั้นอยากเลียจานจนสะอาดอีก”

“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว มีคุณหนูสกุลผู้ดีเรือนใดที่เห็นเนื้อแล้วกระโจนเข้าไปกินอย่างสุนัข เกรงว่าปู๋ชี่เพิ่งเคยกินอาหารดีๆ อย่างนี้เป็นมื้อแรกกระมัง!”

“ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน อย่าว่าแต่กินเลย สายตาพี่สาวเฉียบแหลมยิ่ง!”

หลินตานซามองฮวาปู๋ชี่ที่นั่งเก้าอี้ด้วยท่าทางไร้ความเป็นกุลสตรีอย่างดูแคลน ในใจคิดว่าถึงเป็นพระโพธิสัตว์ที่ปิดทองแล้ว ภายในก็ยังทำมาจากดินโคลนอยู่ดี พอคิดได้เช่นนี้ก็ใจเย็นลง กล่าวอย่างลำพองว่า “ท่านพ่อเชิญญาติที่เป็นพ่อครัวจากเมืองวั่งจิงมาทำอาหารที่ขึ้นชื่อของที่นั่นโดยเฉพาะ ปู๋ชี่กินจนคุ้นชินแล้ว ยามไปเมืองวั่งจิงจะได้หูตากว้างไกลกว่าเด็กผู้หญิงที่พวกสกุลอื่นในเมืองซีโจวส่งไป”

ฮวาปู๋ชี่ฟังแล้วยิ้มเบิกบาน กล่าวขอบคุณยาวเหยียด การกระทำของนายท่านหลินตรงกับความคิดของนางพอดี

ต่างพูดกันว่าความมั่งคั่งร่ำรวยสืบทอดได้เพียงสามชั่วอายุคน ความสง่างามที่ฝังลึกในกระดูกคือการสะสมความมั่งคั่งในเวลาที่แน่นอน หลังใช้เงินปลูกฝังช้าๆ บุคลิกลักษณะย่อมแสดงออกทางอากัปกิริยาและความเคลื่อนไหว ทุกการกระทำล้วนเพื่อให้ฮวาปู๋ชี่สามารถเรียนรู้ได้ในเวลาอันสั้น ตรงตามถ้อยคำประโยคหนึ่ง วาดเสือไม่สำเร็จกลับกลายเป็นแมว[11] อย่างไรก็ตาม ถ้าให้แสร้งทำเป็นเสือกระดาษ[12] ฮวาปู๋ชี่ก็พอทำได้อยู่

 

[1] หน่วยวัดความยาวของจีน 1 ชุ่น เท่ากับ 3.33 เซนติเมตร

[2] เก้าอี้แบบโบราณของจีน ด้านหลังมีพนักพิง ด้านข้างมีที่เท้าแขน

[3] ไม้พะยูงไหหลำ หรือไม้พะยูงหอม เป็นไม้มีราคาในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง บรรดาชนชั้นสูงจะต้องมีเครื่องเรือนที่ทำจากหวงฮวาหลีเพื่อประดับบารมี

[4] ได้แก่ กระดาษเซวียนจื่อ หมึก พู่กัน และที่ฝนหมึก

[5] ต้นนาร์ซิสซัส

[6] โต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยม ม้านั่งยาวสี่ตัวทั้งสี่ด้านของโต๊ะ ทำให้นั่งได้มากที่สุดแปดคน

[7] ไม้ที่ใช้อย่างแพร่หลายในการสร้างวังในสมัยราชวงศ์หมิงและต้นราชวงศ์ชิง เนื่องจากเนื้อไม้แน่นและมีความงาม

[8] “หง” จากคำว่าหงเอ๋อร์ แปลว่า แดง “ลวี่” จากคำว่าลวี่เอ๋อร์ แปลว่า เขียว

[9] วันที่สิบห้าเดือนหนึ่งตามปฏิทินจันทรคติ คืนนี้ครอบครัวชาวจีนจะกินบัวลอยกัน และออกไปชมโคมไฟที่ประดับประดาอย่างงดงาม

[10] บัณฑิตที่สอบได้ลำดับหนึ่งจากการสอบหน้าพระพักตร์ของจักรพรรดิ ซึ่งจัดขึ้นทุกสามปี ผู้ที่สอบได้ลำดับสอง เรียกว่า ปั๋งเหยี่ยน ลำดับสาม เรียกว่า ทั่นฮวา

[11] หมายถึง มักใหญ่ใฝ่สูง ทะเยอทะยานเกินตัว สุดท้ายก็กลายเป็นจุดอ่อนที่น่าหัวเราะ

[12] หมายถึง สิ่งที่ดูน่าเกรงขาม แต่ไร้อำนาจ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า