บันทึกวิญญาณพู่กัน
七侯筆錄之筆靈
หม่าป๋อยง
马伯庸
หงลวี่เติง แปล
‘หลัวจงเซี่ย’ เพิ่งรู้ว่ายังมีความซวยที่เป็นขั้นกว่าของการที่อยู่ๆ ก็ถูกมีดแทงอก
นั่นก็คือการถูกพู่กันแทงอก! แน่นอนว่าเขาไม่ตาย
แต่เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาหลังจากนี้
ทำให้เขาสะบักสะบอมบอบช้ำทั้งกายใจจนแม้อยากตายก็ไม่ง่ายแล้ว
.
เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่ขี้เกียจไปวันๆ อย่างเขา อยู่ๆ ก็ได้ครอบครอง ‘พู่กันบัวคราม’
มรดกตกทอดของหลี่ไป๋ เซียนกวีแห่งประวัติศาสตร์ท่านนั้น
นี่ทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับเหล่าผู้คนแห่ง ‘สุสานพู่กัน’
และต้องเผชิญกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิง
พู่กันในตำนานมากมาย พร้อมผู้ครอบครองมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างไม่ว่างเว้น
สุนทรีย์แห่งถ้อยคำและตัวอักษรกลับกลายเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
.
พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ
งั้นหลัวจงเซี่ยคนนี้ก็จะทำทุกวิธีเพื่อปลดพู่กันอัปมงคลนี่ออกไป
พลังที่ยิ่งใหญ่อะไรนั่น เขาไม่ต้องการ!
ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์
บทที่ 1
ข้าอ่านคัมภีร์เต๋าโดดเดี่ยว ณ หอคอยทิศใต้ (1)
ภายในสวน ป่าไผ่เงียบเหงา กลิ่นชาหอมคลุ้ง เสียงท่องตำราใสกระจ่าง
เหิงซานใต้ฟ้ามืดยิ่งชอุ่ม มองทางใต้เห็นดาวอายุขัย
ลมหิมะห้ายอดเขากำจรไป บุปผาปลิวไสวถึงต้งถิง
เด็กหนุ่มนั่งยืดตัวตรง ชายชรายืนตัวตรงมือไขว้หลัง ด้านข้างยังมีเด็กสาวใช้มือขาวเนียนเติมเครื่องสำอาง
ข้างนอกห้อง ชายหนุ่มร่างสูงมองออกไปไกลแสนไกล เงี่ยหูสดับฟัง พร้อมกับทอดถอนใจเบา ๆ
“มีสาวสวยอยู่ด้วยก็ควรจะพาไปกินเหล้าเต้นรำ จะมัวอ่านกลอนน่ารำคาญนี่เพื่อ…” เหยียนเจิ้งพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ เสยผมที่อยู่บนหน้าผากด้วยความเคยชิน พร้อมเขย่งเท้าชำเลืองมอง เขาไม่อาจจะเข้าใจว่าทำไมหลัวจงเซี่ยถึงนั่งอย่างอดทนอยู่ภายในห้องเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ด้านข้างมีสาวสวยอย่างสือจิ่วอยู่ด้วย ทำไมยังเลือกที่จะมาหาอาจารย์จวีซื่อเกิงชายแก่พิลึกคนนี้อีก
หลังจากที่พบเจอกับไหวซู่ บทกวีและพู่กันรวมเป็นหนึ่งแล้ว หลัวจงเซี่ยก็ราวกับสงบนิ่งไปเสียทั้งหมด ใจที่หวังจะหลีกหนี ความไร้เหตุผลไม่สนใจสิ่งใด ล้วนถูกใจอันผุดผ่องบริสุทธิ์ของไหวซู่ระงับไว้หมด ทำให้คนที่สนิทชิดเชื้อและเฝ้ามองดูหลัวจงเซี่ยมาโดยตลอดอย่างเหยียนเจิ้งใจหาย รู้สึกว่าเด็กหนุ่มเริ่มจะจืดชืด เปลี่ยนไปเป็นคนสงบไร้รสชาติ
สือจิ่วเคยถามหลัวจงเซี่ยแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไป หลัวจงเซี่ยตอบเพียงว่าจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้น ต้นฉบับของวิญญาณพู่กันบัวครามก็คือหลี่ไป๋ และจุดกำเนิดของหลี่ไป๋ก็ต้องเป็นบทกวีของหลี่ไป๋
หลังจากลาหย่งโจวกลับมามหาวิทยาลัยหวาเซี่ย หลัวจงเซี่ยก็มาหาจวีซื่อเกิงทันที แสดงความตั้งมั่นและบากบั่นที่จะเรียนวิชาวัฒนธรรมจีน จวีซื่อเกิงไม่รู้เรื่องสุสานพู่กัน เพียงแต่เห็นนักเรียนที่ดื้อด้านเสเพลกลับใจ แถมยังมีความตั้งใจจริง ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งเดือนมานี้หลัวจงเซี่ยไม่ย่างเท้าออกไปไหน มุมานะร่ำเรียน และสื่อจิ่วก็ได้ขอลากับเหลาหลี่เพื่อมาอยู่ข้างกายเขา
เหยียนเจิ้งเข้าใจดี หลัวจงเซี่ยจำเป็นต้องทำความเข้าใจบทกวีของหลี่ไป๋อย่างลึกซึ้งถึงจะสามารถแผลงฤทธิ์ของพู่กันบัวครามได้ และการที่จะเข้าใจบทกลอนของหลี่ไป๋แน่นอนว่าต้องเข้าใจวัฒนธรรมของประเทศด้วย ถึงจะตระหนักได้ในความงามของวัฒนธรรมและอารยธรรมของจีนอย่างถ่องแท้ นี่ไม่อาจก้าวแค่หนึ่งก้าวแล้วจะถึงจุดมุ่งหมาย จำเป็นต้องฝึกฝนอย่างใจเย็น หากเทียบกันแล้วพู่กันวาดคิ้วของเหยียนเจิ้งเรื่องน้อยกว่าพอสมควร เพราะเขาแค่ต้องเคารพหญิงสาว ทุกอย่างก็จะเป็นไปได้ด้วยดี ข้อกำหนดนี้จิตใจที่เป็นสุภาพบุรุษในตัวเขาเรียกได้ว่าอยู่ในระดับปรมาจารย์ของโลกแล้ว
แต่เขาก็ยังรู้สึกเสียดายและถือว่าหลัวจงเซี่ยที่เปลี่ยนนิสัยก็ไม่ใช่ตัวหลัวจงเซี่ยแล้ว
เหยียนเจิ้งมองหลัวจงเซี่ยที่ก้มหน้าก้มตาตั้งใจเรียนอีกครั้ง แล้วก็หันหน้าหนีอย่างไม่แยแส ในบรรยากาศที่มีความตั้งใจเรียนมากล้นนี้หากอยู่ต่อไปอีกไม่กี่นาทีเขาก็คงจะบ้าตายแน่ เหยียนเจิ้งต้องขอโทษที่เข้าไม่ถึงสำหรับทางแบบนี้ กลอนที่เขาชอบมีเพียงสองประโยคเท่านั้น หนึ่งก็คือ ‘หลิวปังและเซี่ยงอวี่ไม่อ่านตำรา’ และอีกหนึ่งคือ ‘เพราะหลงรักทิวป่ายามเย็นจึงหยุดรถ’ เท่านี้ก็พอแล้ว
สถานที่ที่หลัวจงเซี่ยมาอ่านตำราก็คือสวนซงเทา ณ มหาวิทยาลัยหวาเซี่ย ที่นี่เป็นที่พักของจวีซื่อเกิงยามเข้ามาสอนในมหาวิทยาลัย ครั้งแรกที่หลัวจงเซี่ยถูกทาสพู่กันโจมตีและครั้งแรกที่เจิ้งเหอเข้ามาอยู่ในโลกแห่งสุสานพู่กัน ล้วนแต่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ ฉะนั้นจึงพูดได้ว่าสวนซงเทาและสุสานพู่กันมีความสัมพันธ์ที่ขมวดเป็นปมอันยุ่งเหยิงอยู่
เหยียนเจิ้งเดินตามทางหินกรวดจากภายในสวนซงเทาออกไป ก้มผ่านประตูโค้งรูปจันทร์ครึ่งดวงเตี้ย ๆ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นโคลงคู่ของซูซื่อที่ว่า ‘ตำราล้วนควรค่าแก่การอ่าน สรรพสิ่งล้วนสำคัญกันทั้งสิ้น’
“อมิตาพุทธ ดูท่าทางแล้วประสกน่าจะมีเรื่องในใจ”
วาจาจากสงฆ์แว่วขึ้น หลวงจีนปีเตอร์เดินมุ่งหน้าเข้ามา ใส่แว่นกรอบทอง บนใบหน้าแฝงความอ่อนละไมผนึกกับรอยยิ้มพิมพ์ใจอย่างที่หมื่นปีไม่อาจผันเปลี่ยน
“โอ้ ปีเตอร์” เหยียนเจิ้งแกว่งแขนทักทายด้วยท่าทางเมินเฉยไร้ชีวิตชีวา
หลวงจีนปีเตอร์พนมมือ “ประสกเหยียน มีข่าวดี”
“หืม ข่าวดีอะไร”
หลวงจีนปีเตอร์ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าววาจา “พู่กันภูตผีของหลี่ฉางจี๋เล่มนั้น ในที่สุดก็ค้นพบแล้ว”
“เร็วขนาดนี้เลย” สีหน้าของเหยียนเจิ้งเผยความเคร่งขรึมขึ้น ใบหน้าหยอกเย้าแต่เดิมถูกเก็บกลับไป
“ตามสิ่งที่อาตมาเคยได้ยินมาก่อน คิดว่าคนที่เหมาะสมกับวิญญาณพู่กันภูตผีจะต้องเป็นคนที่หมดอาลัยตายอยาก กลับคาดไม่ถึงว่าผู้ครอบครองของมันครั้งนี้จะเป็นหญิงสาวพนักงานธนาคารที่อ่อนโยนคนหนึ่ง เลยเสียเวลาไปมาก” น้ำเสียงของหลวงจีนปีเตอร์แฝงความโศกศัลย์เสียดาย
พอเหยียนเจิ้งได้ยินว่า ‘พนักงานธนาคารสาวที่อ่อนโยน’ สายตาทอประกายในทันใด ตรงเข้าประเด็นทันควัน “เธอสวยไหม”
“ประสก ในสายตาของสงฆ์แล้วผู้หญิงล้วนแต่เป็นโครงกระดูกที่แต่งหน้าทั้งหมด”
“เหอะ โครงกระดูกก็แยกความสวยงามและความน่าเกลียดได้นะครับ”
“ประสกละทิ้งความคิดนี้เถิด เราไม่สามารถดึงคนธรรมดามาเกี่ยวข้องได้อีกแล้ว หลังจากอาตมาเก็บพู่กันเสร็จก็กลับมาเลย ตอนนี้เธอไม่มีความข้องเกี่ยวกับวิญญาณพู่กันอีกต่อไปแล้ว”
“คุณก็เป็นแค่ลาหัวล้านที่ตายซาก ไม่มีความเชื่อมั่นในมนุษย์” เหยียนเจิ้งเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง
ในหนึ่งเดือนมานี้หลัวจงเซี่ยตั้งใจบากบั่นกับการฝึกตน ส่วนเหยียนเจิ้งกับหลวงจีนปีเตอร์ก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ อย่างไร้ค่า พวกเขาตระเวนไปทุกหนแห่งในประเทศเพื่อหาวิญญาณพู่กันไร้ญาติ
สิ่งที่เรียกว่าวิญญาณพู่กันไร้ญาติ ไม่ใช่ตัวเอกในเรื่อง โดราเอมอน แต่อย่างใด1 แต่เป็นวิญญาณพู่กันที่ไม่ได้เก็บเข้าสุสานพู่กันและยังคงล่องลอยไม่มีที่พำนักอยู่บนโลกนี้ หนึ่งในนั้นที่ค่อนข้างมีชื่อก็คือวิญญาณพู่กันบัวครามของหลี่ไป๋ นอกจากพู่กันไร้ญาติที่เป็นอิสระโดยธรรมชาติแล้ว วิญญาณพู่กันส่วนหนึ่งบรรจุอยู่ในร่างทูตสุสานพู่กัน หากทูตสุสานพู่กันเผชิญเหตุทำให้เสียชีวิต วิญญาณพู่กันก็จะออกมาจากร่าง ปลีกตัวออกจากที่พำนัก แล้วก็เปลี่ยนเป็นพู่กันไร้ญาติ
ในความเป็นจริงแล้วการสะสมพู่กันไร้ญาติที่กระจัดกระจายอยู่บนโลกนี้ ตลอดมาก็เป็นหนึ่งในภาระหน้าที่ของตระกูลเหวยและตระกูลจูเก่อ
พู่กันไร้ญาติพวกนี้มีความคิดคำนึงของตนในแบบที่รางเลือน แต่กลับไม่เลือกที่จะกลับบ้านตัวเอง อีกทั้งยังมีรูปร่างที่ไม่มั่นคงแน่นอน เหมือนกับวิญญาณมนุษย์ปกติที่ลอยเวียนวนกลับไปกลับมา บางครั้งในโอกาสที่เหมาะสม พวกมันก็จะพบมนุษย์ที่เข้ากัน แล้วลอยเข้าไปตระหนักจิตในร่างคนคนนั้น ส่วนใหญ่แล้วผู้ครอบครองคนใหม่จะไม่รู้ แล้วก็จะหวาดกลัวกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับตนเอง พวกหนังสือพิมพ์ฉบับย่อที่ขายอยู่หน้าสถานีรถไฟที่มักจะตีพิมพ์ปรากฏการณ์ลึกลับของมนุษย์ 99% ล้วนแต่เป็นของปลอม ส่วนที่เหลืออีก 1% กลับเป็นพู่กันไร้ญาติที่เข้าสู่ร่างก่อให้เกิดเหตุการณ์นั้น ๆ
เหลาหลี่แสดงท่าทีว่าให้พวกเขาหยิบยืมแหล่งข้อมูลของตระกูลจูเก่อได้ แต่หลัวจงเซี่ยยังคงหวาดระแวงเหลาหลี่โดยตลอด รู้สึกว่าไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกเขามากเกินไปจะดีที่สุด ดังนั้นความหวังดีอันสุดแสนจะแรงกล้านี้จึงถูกปฏิเสธและขอบคุณไปอย่างสุภาพ
โชคยังดี ในร่างกายของหลัวจงเซี่ยมีพู่กันแต้มตาที่ชี้แหล่งน่าสงสัยได้ ฉะนั้นจึงสามารถชี้ทางคร่าวได้ ๆ เกี่ยวกับสถานที่ที่พู่กันไร้ญาติหลบซ่อนตัว หลวงจีนปีเตอร์และเหยียนเจิ้งอาศัยการชี้ทางของพู่กันแต้มตาไปตามหา ผลตอบรับถือว่าดีมาก และไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลจูเก่อเลย
เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าที่จะใช้มันเกินความจำเป็น เพราะเมื่อพู่กันแต้มตาเผชิญการพยากรณ์ที่สำคัญก็จะเด็ดอายุขัยของผู้ครอบครองมันไปด้วย หากหลัวจงเซี่ยใช้มันมาก เกรงว่าจะกลายเป็นชายชราก่อนวัยอันควร
ในตอนนี้ยังเร็วเกินกว่าที่หลัวจงเซี่ยจะเลิกเรียน เหยียนเจิ้งและหลวงจีนปีเตอร์ก็เลยมาอยู่ที่เส้นทางเล็กในพุ่มไม้นอกสวนซงเทาก่อน พูดคุยพลางเดินไปพลาง เหยียนเจิ้งกวนใจหลวงจีนปีเตอร์ตลอดทาง ถามถึงแต่รูปร่างหน้าตาของอดีตผู้ครอบครองพู่กันภูตผี หลวงจีนปีเตอร์ปิดปากเงียบ ให้ตายอย่างไรก็ไม่เอ่ยออกมา เหยียนเจิ้งจนใจไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ได้พู่กันภูตผีมาแล้วคุณคิดจะใช้มันยังไง”
หลวงจีนปีเตอร์เผยรอยยิ้มพร้อมตอบกลับ “ที่อาตมาเก็บพู่กันเล่มนี้ไว้ เหตุผลสำคัญก็คือเพื่อหาเบาะแสของเจ็ดปราชญ์แห่งก่วนเฉิง”
เจ็ดปราชญ์แห่งก่วนเฉิงคือวิญญาณพู่กันเจ็ดเล่มที่ผู้ครอบครองสุสานพู่กันทิ้งเอาไว้ในโลก ทุกเล่มล้วนหลอมมาจากพรสวรรค์ที่เข้าขั้นน่าสะพรึงยากเทียบเทียมที่สุดในประวัติศาสตร์จีน เพียงแค่รวบรวมมันทั้งหมดได้ก็จะสามารถเปิดผนึกสุสานพู่กันที่ปิดตายมาช้านาน พร้อมทั้งได้รับความลับที่ผู้ครอบครองสุสานพู่กันซ่อนไว้ ตระกูลจูเก่อและตระกูลเหวยทุกรุ่นต่างบากบั่นถึงขีดสุดเพื่อตามหาเค้าโครงเบาะแสของพวกมัน แต่ว่าไม่เคยประสบผลสำเร็จเสียที
ก่อนหน้านี้ที่วัดหย่งซิน วิญญาณพู่กันเมฆขาวแห่งเทียนไทของหวังซีจือเผยตัวปรากฏบนฟ้าก็ถูกเหวยซื่อหรันเป็นเฒ่าประมงได้กำไรไป เมื่อบวกกับบัวครามและแต้มตาแล้ว เท่ากับมีพู่กันถึงสามเล่มที่ปรากฏตัวออกมา หลวงจีนปีเตอร์คาดว่าหลังการปรากฏตัวของวิญญาณพู่กันอีกสี่เล่มก็จะเป็นจุดสำคัญแห่งการแย่งชิงโดยแท้จริง ทุกคนต่างสังหรณ์ใจว่าคนที่มีความสัมพันธ์กับสุสานพู่กันทั้งหมดจะต้องเข้าสู่การแย่งชิงครั้งนี้
หากเป็นตระกูลจูเก่อหรือตระกูลเหวยก็ยังดี แต่ที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้ก็คือขุมกำลังที่สามซึ่งปรากฏตัวเหนือความคาดหมาย
แท้จริงแล้วมันเป็นใคร ชื่อเสียงเรียงนามอะไร มาจากไหน ไม่มีใครทราบได้ เบาะแสเดียวที่มีอยู่ก็คือคำพูดที่หลุดจากปากของฉู่อีหมินก่อนตายว่า ‘หานจั้ง’ แต่ว่าจุดมุ่งหมายของมันกลับโจ่งแจ้งไม่ปิดบัง นั่นคือรวบรวมเจ็ดปราชญ์แห่งก่วนเฉิงเพื่อเปิดสุสานพู่กัน ฉะนั้นพู่กันมรดกบัวครามของหลัวจงเซี่ยก็เป็นเป้าหมายของมันอย่างแน่นอน
หลังจากพบเจอกับเหตุการณ์ต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวในคืนนั้นที่วัดลวี่เทียนอัน พวกเขาก็คาดการณ์ได้แล้วว่าศัตรูในที่ลับน่ากลัวและโหดร้ายเพียงใด ตอนนั้นแม้ว่าหลัวจงเซี่ยจะเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างบทกลอนและพู่กันแล้ว แต่ก็ไม่สามารถหยุดมันไม่ให้ฆ่าฉู่อีหมินหรือนำตัวของจูเก่อฉุนไปอย่างง่ายดายได้ นอกจากนี้หากมองจากการลงมือของมันแล้ว มีความเป็นไปได้ที่เหวยติ้งปังจะถูกมันฆ่าเช่นกัน
ดังนั้นการที่พวกเขารีบเร่งเสาะหาพู่กันพเนจรที่ไร้ญาติก็เพราะอยากจะรวบรวมเบาะแสของพู่กันปราชญ์อีกสี่เล่มให้ได้เร็วที่สุด แย่งเป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่าใคร คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก หลัวจงเซี่ยมีพู่กันปราชญ์ถึงสองเล่มอยู่ในตัว แม้เขาปรารถนาที่จะเอามันออก อย่างไรเสียฝ่ายที่หมายปองก็จะไม่ปล่อยตัวเขาไปแน่ การรวมกลุ่มก้อนเล็ก ๆ ของพวกเขานี้ก็เพียงแค่เพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรหลัวจงเซี่ยก็เป็นตัวละครหลักที่ต้องเข้าไปในวงโคจรนั้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
คิดได้เช่นนี้ทั้งสองคนก็นิ่งเงียบไป
1 วิญญาณพู่กันไร้ญาติ (野笔)ออกเสียงว่า เหยี่ยปี่ ซึ่งพ้องกับคำว่า 野比 ที่ถอดเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า โนบิ ในนามสกุลของโนบิตะ