[ทดลองอ่าน] บันทึกวิญญาณพู่กัน เล่ม 2 บทที่ 2 ข้าอ่านคัมภีร์เต๋าโดดเดี่ยว ณ หอคอยทิศใต้ (2)

บันทึกวิญญาณพู่กัน
七侯筆錄之筆靈

 

หม่าป๋อยง
马伯庸
หงลวี่เติง แปล

 

‘หลัวจงเซี่ย’ เพิ่งรู้ว่ายังมีความซวยที่เป็นขั้นกว่าของการที่อยู่ๆ ก็ถูกมีดแทงอก
นั่นก็คือการถูกพู่กันแทงอก! แน่นอนว่าเขาไม่ตาย
แต่เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาหลังจากนี้
ทำให้เขาสะบักสะบอมบอบช้ำทั้งกายใจจนแม้อยากตายก็ไม่ง่ายแล้ว
.
เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่ขี้เกียจไปวันๆ อย่างเขา อยู่ๆ ก็ได้ครอบครอง ‘พู่กันบัวคราม’
มรดกตกทอดของหลี่ไป๋ เซียนกวีแห่งประวัติศาสตร์ท่านนั้น
นี่ทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับเหล่าผู้คนแห่ง ‘สุสานพู่กัน’
และต้องเผชิญกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิง
พู่กันในตำนานมากมาย พร้อมผู้ครอบครองมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างไม่ว่างเว้น
สุนทรีย์แห่งถ้อยคำและตัวอักษรกลับกลายเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
.
พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ
งั้นหลัวจงเซี่ยคนนี้ก็จะทำทุกวิธีเพื่อปลดพู่กันอัปมงคลนี่ออกไป
พลังที่ยิ่งใหญ่อะไรนั่น เขาไม่ต้องการ!

 

ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์

 

บทที่ 2

ข้าอ่านคัมภีร์เต๋าโดดเดี่ยว ณ หอคอยทิศใต้ (2)

 

เสียงอ่านตำราภายในห้องค่อย ๆ เบาลง ลมพัดผ่านทุ่งหญ้าป่าไม้ เสียงเอะอะอย่างผ่อนคลายไร้กังวลจากวิทยาเขตมหาวิทยาลัยอันห่างไกลแล่นมาพร้อมกับสายลม ทำให้จิตใจของทั้งสองบรรเทาลงตามไปด้วย

“ตอนนี้เหวยซื่อหรันเป็นปฏิปักษ์กับเราหรือไม่ก็ยากจะคาดเดา หมู่บ้านสกุลเหวยในตอนนี้ได้ถอนตัวออกจากเรื่องทั้งหมดแล้ว ตระกูลเหวยของพวกเราวุ่นวายอลหม่านไปหมด” หลวงจีนปีเตอร์มองออกไปยังตึกเรียนสีขาวเทาที่อยู่ไกล อยู่ ๆ ก็เอ่ยอย่างเศร้าโศก

“เฮ้อ” เหยียนเจิ้งส่งบุหรี่หนึ่งมวนให้กับหลวงจีนปีเตอร์ “ผมขอพูดหน่อยนะปีเตอร์ ทำไมคุณถึงไม่เอาพู่กันสักเล่มมาครอบครองไว้เล่น ๆ หน่อยล่ะ ดูจากความสามารถของคุณแล้วก็เป็นทูตพู่กันได้ง่าย ๆ เลยนะ!”

หลวงจีนปีเตอร์หันร่างไปด้านหลัง พ่นควันออกจากปาก เอ่ยตอบเรียบ ๆ “วิญญาณพู่กันกับทูตพู่กัน ทั้งสองต้องเหมาะสมและเข้าใจกันอย่างถ่องแท้ถึงจะมีคุณค่า อาตมาได้เข้าสู่ประตูธรรมแล้ว ก็ควรจะบรรลุความบริสุทธิ์สัมผัสทั้งหก2 อีกทั้งยังให้คำมั่นสัญญาไว้แล้วว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่เป็นทูตสุสานพู่กัน ของที่จำต้องได้รับการสัมผัสเช่นนี้ อย่ามีเลยดีกว่า!”

เหยียนเจิ้งได้ยินคำกล่าวของเขาก็ทำเสียงขึ้นจมูกฮึดฮัดไม่เห็นด้วย พร้อมเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม “ปากของคุณก็บอกแต่ไม่เอา ๆ แต่ทีท่ากลับตั้งใจเกินไป หยุดเล่นปรัชญาคมคายนี่ได้แล้ว ผมเคยเปิดร้านอินเทอร์เน็ตมาก่อน อ่านใจคนมาแล้วนับไม่ถ้วน อย่ายกพระศรีศากยะมุนีมาอ้างเลย จริง ๆ แล้วคุณมีความลับอะไรซ่อนอยู่ใช่ไหม”

หลวงจีนปีเตอร์ถูกเขาจี้ตรงกลางใจ คิ้วก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย มือทั้งคู่ลูบสายประคำ เหยียนเจิ้งหัวเราะลั่น ตบบ่าของเขาแรง ๆ และเอ่ย “ฮ่า ๆ ผมจี้ถูกที่ใช่ไหมล่ะ อย่ากังวลไปเลย ผมไม่ชอบสาระแนความลับของใคร แต่ว่านะ หลวงจีนอย่างคุณน่ะ ซื่อสัตย์กับตัวเองหน่อยเถอะ”

หลวงจีนปีเตอร์หมดคำพูด เพียงแค่พนมมือและเอ่ย “อมิตาพุทธ”

เหยียนเจิ้งยักไหล่ “เป็นหลวงจีนนี่ดีจัง พอไม่มีอะไรจะพูด แค่เอ่ยคำนี้ออกมาก็พอ”

หลวงจีนปีเตอร์จับที่แว่นกรอบทอง ไม่คิดจะให้หัวข้อสนทนานี้ดำเนินต่อไปอีกแล้ว จึงเปลี่ยนคำถามทันใด “งั้นคุณล่ะ เรื่องฝางปินทางนั้นไปถึงไหนแล้ว”

เหยียนเจิ้งได้ยินเขาถามเช่นนั้นก็ส่ายหัวและเอ่ยอย่างมั่นใจ “เสียเวลาผมไปมากจริง ๆ แต่ว่าฟ้าก็ทำอะไรคนที่มุมานะไม่ได้หรอก ผมหาเจอเบาะแสแล้ว เพื่อนของผมคนหนึ่งอยู่ที่กรมตำรวจส่วนกลาง ผมขอให้เขาช่วยสืบหา วันนี้ก็จะได้คำตอบ”

คำพูดยังเอ่ยไม่ทันจบ โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้ออยู่ ๆ ก็ดังขึ้นเป็นเสียงเพลงสนุกสนาน เหยียนเจิ้งหยิบขึ้นมามอง “เฮ้ย พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา3พอดีเลย ผมรับสายก่อนแป๊บนึง” เหยียนเจิ้งรับสายโทรศัพท์ “อ้อ” แล้วก็หันกลับมา “พบที่อยู่ของฝางปินแล้ว แต่ว่าเพื่อนของผมบอกว่าห้องนั้นเหมือนกับมีกรณีพิพาทห้องเช่าอยู่ เจ้าของบอกว่าคนเช่าไม่เคยจ่ายค่าเช่า ทั้งยังติดต่อไม่ได้ ห้องเลยล็อกมาตลอด ก่อนหน้านี้สองวันพวกเขาส่งคนไปเตือนรอบหนึ่ง แล้วก็ให้เจ้าของปลดล็อกเปิดประตูให้”

“แย่แล้ว” หลวงจีนปีเตอร์ตกตะลึง “สิ่งของในนั้นจะไม่ถูกเอาไปหรือ ไม่ทันการแล้ว พวกเรารีบไปดูกัน ฝางปินคนนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวอีกมากมาย ปล่อยให้ถูกคนขโมยของของเขาไปก่อนไม่ได้”

“ต้องเรียกหลัวจงเซี่ยไหม”

“เขากำลังเรียนอยู่ ไว้ค่อยว่ากัน” หลวงจีนปีเตอร์ลดเสียงเบาลง “อีกอย่างเรื่องนี้หากสือจิ่วรู้จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“ก็ถูก”

ทั้งสองมองสำรวจสวนซงเทาอีกครั้ง แล้วก็หันจากไปอย่างรีบเร่ง

อพาร์ตเมนต์ห้องใหญ่แบบครัวเรือนของที่แห่งนี้สร้างในยุคปีแปดศูนย์ มีลักษณะเฉพาะของอพาร์ตเมนต์ห้องใหญ่แบบครัวเรือนในยุคนั้น อาทิ ผนังรอบด้านสี่ข้างส่วนใหญ่เป็นสีแดงหม่น หน้าต่างและระเบียงห้องเต็มไปด้วยขยะทั้งหลาย เช่น กระเทียม พื้นรองเท้า ลังกระดาษเก่า ระหว่างตึกสองตึกมีการปลูกต้นฉัตรจีนและต้นหลิวต่อแถวเรียงรายไว้ มาถึงตอนนี้พวกมันก็เติบโตจนเขียวขจีไปหมด มีต้นไม้กำบังแสงร้อนแรงจากดวงอาทิตย์ การเดินระหว่างทางตรงนั้นจึงสดชื่นจำเริญใจเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้จิตใจของคนเดินทางที่เพิ่งได้รับความทรมานจากดวงอาทิตย์เบาสบายขึ้น

ฝางปินเคยอยู่ที่ย่านอพาร์ตเมนต์นี้มาก่อน หลวงจีนปีเตอร์และเหยียนเจิ้งตามที่อยู่ที่เพื่อนตำรวจของเขาให้มา ค้นหาเลขตึกแปดศูนย์ห้าในตรอกหมายเลขห้าได้อย่างง่ายดาย แสงทางเดินของตึกเรียกได้ว่าไม่ค่อยมากเท่าไร ทั้งยังคับแคบ มีทั้งจักรยาน โอ่งดองผัก กินพื้นที่ว่างส่วนใหญ่ไป พวกเขาทั้งสองต้องใช้กำลังกายอย่างมากกว่าจะไปถึงชั้นที่สี่ได้

ตรงหน้าบันไดก็คือห้องเช่าของฝางปิน ห้องของเขาไม่ได้ติดตั้งประตูกรงเหล็กป้องกันโจรเอาไว้ มีเพียงประตูไม้ที่แตกลายด่างและเป็นสีเขียว ทั้งสองสบตากัน ในใจของทั้งคู่มีคำพูดประโยคเดียวกัน…นี่หรือคือห้องที่ฝางปินคนนั้นอยู่!

สำหรับพวกเขาแล้ว ฝางปินคนนี้ถือเป็นคนลึกลับไม่ธรรมดา

เขาเป็นผู้ครอบครองของพู่กันแต้มตาคนก่อน หลังจากนั้นก็ถูกจูเก่อฉางชิงฆ่าตายที่วัดฝ่าหยวน พู่กันแต้มตาได้หลัวจงเซี่ยรับช่วงต่อ แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาคิดว่าฝางปินเป็นแค่ทูตสุสานพู่กันที่โชคร้ายธรรมดาคนหนึ่ง แต่หลังจากที่พวกเขาไปคบค้าสมาคมกับตระกูลจูเก่อแล้วถึงได้รู้ว่าที่แท้ฝางปินคือผู้ศึกษาสุสานพู่กันอิสระ ไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตระกูลจูเก่อและตระกูลเหวยสักนิด แต่กลับพยายามทุกวิถีทางเพื่อไขความลับที่ซ่อนอยู่ของสุสานพู่กันมาโดยตลอด เขากับตระกูลจูเก่อสั่งสมความสัมพันธ์อันใกล้ชิดเอาไว้ ความรู้อันเต็มเปี่ยมและเชาว์ปัญญาของเขานั้นแม้แต่คนที่ดูแลตระกูลจูเก่ออย่างเหลาหลี่และคุณเฟ่ยก็ล้วนแต่ให้ความเคารพนับถืออย่างมาก เด็กยุคใหม่ในตระกูลจูเก่อต่างเรียกฝางปินด้วยความเคารพว่าอาจารย์ฝาง แล้วก็ได้รับการสั่งสอนจากเขามาไม่น้อย เหมือนกับสือจิ่วเด็กสาวคนนั้นที่มีใจเคารพนบนอบต่อเขาอย่างมาก

แต่ถึงแม้จะเป็นตระกูลจูเก่อก็ทำได้แค่ติดตามฝางปินผ่านโลกอินเทอร์เน็ต ข้อมูลเบื้องลึกที่เหลือของเขาล้วนเป็นความลับ แม้แต่ใบหน้าของเขายังไม่มีใครรู้ และในตอนนี้คนที่เห็นฝางปินถูกฆ่ากับตาทั้งสองอย่างปีเตอร์และเหยียนเจิ้งก็มายืนอยู่หน้าห้องที่เขาอยู่ก่อนตาย ย่อมยากที่จะข่มระลอกคลื่นแห่งความหดหู่ในใจเอาไว้ได้

หลวงจีนปีเตอร์เคาะประตูอย่างมีมารยาท ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าแว่วมาจากภายในห้อง เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังตามมา “ใครคะ”

“ขอถามหน่อย คุณฝางปินอยู่ไหม”

ประตูเปิดขึ้น หญิงวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสำหรับทำความสะอาดและสวมหน้ากากอนามัยปรากฏตัวที่หน้าประตู ในมือถือไม้กวาด ทั้งร่างเปรอะไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ เธอมองประเมินหลวงจีนปีเตอร์และเหยียนเจิ้งอยู่สักพัก แล้วจึงถอดหน้ากากอนามัยลง เอ่ยถามอย่างเหลืออด “พวกคุณเป็นอะไรกับฝางปิน”

เหยียนเจิ้งแย่งตอบคำถามนั้น “พวกเราเป็นเพื่อนของเขา รบกวนถามหน่อยว่าคุณฝางอยู่ไหม”

หญิงวัยกลางคนถอนหายใจไม่แยแส “เขาน่ะเหรอ หายไปไม่เห็นแม้แต่เงามาหลายเดือนแล้ว! เงินค่าห้องก็ไม่จ่าย โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ คุณช่วยบอกหน่อยซิว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ ครอบครัวของเราหวังว่าจะได้รับเงินค่าเช่าเพื่อเอามาเป็นค่าใช้จ่าย การที่เขาหายไปแบบนี้ฉันไม่ได้เงินอะไรสักแดงเดียว จะปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อก็ไม่กล้า!”

คำพร่ำบ่นยาวเหยียดออกจากปากของเธอเป็นชุด เหยียนเจิ้งจึงเอ่ยประจบ “ถูกต้อง ใช่เลย อย่างน้อยเขาก็ควรจะโทรหาคุณบ้างสิเนอะ! ยุคนี้เจ้าของที่เข้าใจเหตุผลอย่างคุณมีน้อยมาก แล้วยังทนรอมาได้นานขนาดนี้ ถ้าเป็นเจ้าของคนเก่าที่ผมเช่าห้องอยู่นะ แค่วันเดียวที่ไม่จ่ายค่าเช่า วันต่อมาก็เตะประตูเข้ามาแล้ว”

ได้ฟังคำเยินยอจากเหยียนเจิ้ง หญิงวัยกลางคนก็ราวกับได้รับความเข้าใจ ท่าทีจึงอ่อนลงไม่น้อย และพูดจ้อต่อ “ก็มีแต่ฉันนี่แหละที่ซื่อตรง รอมาได้ถึงตอนนี้ จนเมื่อวานฉันถึงสิ้นสุดความอดทน จึงเรียกบริษัทปลดกุญแจกับตำรวจที่สถานีแถวนี้มาเปิดประตูนี่ จากนั้นฉันก็เข้ามาทำความสะอาด จะได้ปล่อยให้คนอื่นเช่าสักที”

หลวงจีนปีเตอร์เอ่ยถาม “ของของเขาที่อยู่ในห้อง ยังอยู่ไหม”

“ขายไปแล้ว”

“ขาย…ขายไปแล้ว” เหยียนเจิ้งและหลวงจีนปีเตอร์ล้วนแต่เอ่ยอย่างตกใจพร้อมกัน

“ใช่สิ ไม่งั้นห้องเช่าของฉันจะทำยังไง ฉันยังต้องใช้ชีวิตต่อนะ”

“ของพวกนั้นคืออะไร”

“เหอะ ไม่มีอะไรทำเงินได้แม้แต่อันเดียว! เหลือหนังสืออยู่แค่ไม่กี่ร้อยเล่ม คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง แล้วก็เก้าอี้ไม่กี่ตัว แม้แต่เสื้อผ้ายังไม่มี แล้วก็มีกองกระดาษที่เขียนร่างอะไรไม่รู้อีกกองใหญ่ ทั้งหมดให้รถเก็บขยะเอาไปแล้ว” หญิงวัยกลางคนพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด แล้วก็หลีกทางให้พวกเขาเข้าห้อง พอพวกเขาได้เข้ามาและมองไปก็รู้ได้ถึงความยากลำบากมหันต์ทันใด ทั้งห้องโล่งโจ้ง ไม่เหลืออะไรสักอย่าง มีเพียงแค่ขยะกองหนึ่งที่อยู่บนพื้น

ในเมื่อฝางปินเป็นผู้ศึกษาสุสานพู่กัน ย่อมต้องทิ้งข้อมูลอันมหาศาลเอาไว้ สำหรับคนที่เกียวข้องกับสุสานพู่กันแล้วข้อมูลเอกสารเหล่านั้นย่อมต้องมีคุณค่าอย่างมาก ไม่รู้ว่าข้างในนั้นซ่อนความลับอะไรไว้มากเท่าไร แต่ว่าตอนนี้ข้อมูลพวกนั้นกลับถูกเจ้าของห้องขายเป็นเศษกระดาษไปเสียแล้ว…

“คุณยังตามหาคนที่รับขยะพวกนั้นไปได้ไหม” เหยียนเจิ้งถามอย่างออกไปตรง ๆ หญิงวัยกลางคนมองเขาอย่างสงสัย

“ฉันจะไปตามหาเจอได้ยังไง…นี่เขาคงไม่ได้ติดค้างเงินพวกคุณหรอกนะ ฉันบอกไปแล้วก่อนหน้านี้ เงินที่ขายของพวกนั้นเอามาเป็นค่าเช่าห้องหมดแล้ว”

เหยียนเจิ้งยิ้มแหย “พวกเราไม่ได้จะมาเอาเงินพวกนั้นกับคุณ แล้วก็ไม่ใช่เจ้าหนี้อะไรทั้งนั้น พวกเราแค่มาหาของ”

หญิงวัยกลางคนราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ ก้มลงไปคุ้ยกองขยะ “เอ้อ ใช่ ตอนที่ฉันกำลังเก็บกวาดห้อง เจอกุญแจดอกนี้ มันไม่ใช่ของห้องนี้หรอก พวกคุณมาหานี่รึเปล่า”

เหยียนเจิ้งและหลวงจีนปีเตอร์มองหน้ากันไปมา รับกุญแจดอกนั้นมาเก็บไว้ กุญแจนี้ไม่เหมือนกับกุญแจทั่วไป ตัวกุญแจสั้น สีเทาเงิน อีกทั้งหัวกุญแจยังกลมเป็นรู ตรงที่จับสลักอักษรตัวเล็ก ๆ ไว้ว่า ‘D-318’

“นี่มันเหมือนกับกุญแจที่อยู่ในตู้ฝากของตรงสถานีรถไฟใต้ดินเลย”

หลวงจีนปีเตอร์รู้วิธีการใช้กุญแจนี้จึงส่งสายตาเป็นนัยให้กับเหยียนเจิ้ง เหยียนเจิ้งรีบรับกุญแจดอกนั้นมา “ขอบคุณครับ งั้นพวกเราไปก่อน ขอให้คุณหาลูกค้าคนใหม่ที่ไว้ใจได้ในเร็ววันนะครับ”

หญิงวัยกลางคนพูดไล่อย่างไม่สนใจ “ไม่ต้องพูดมากแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็รีบไปเถอะ อย่าทำให้ฉันต้องเสียเวลาทำความสะอาดเลย”

ทั้งสองเอ่ยคำขอบคุณแล้วก็เร่งหันหลังกลับออกไป หญิงวัยกลางคนปิดประตูลงอย่างระมัดระวัง อยู่ ๆ ก็หันหลังกลับ ถอดวิกผมและบรรดาของที่แต่งเติมใบหน้าออก เผยใบหน้าสะสวยขึ้น เธอเดินมาที่ระเบียง พิงหน้าต่างมองส่งแขกอย่างเหยียนเจิ้งและหลวงจีนปีเตอร์ขึ้นไปบนรถแท็กซี่ มุมปากเผยรอยยิ้มจาง ๆ

“อย่างนี้ถือว่าสำเร็จแล้วสินะ”

ฉินอี๋เอ่ยพึมพำกับตัวเอง

2 บรรลุความบริสุทธิ์สัมผัสทั้งหก(六根清净)ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาเป็นใหญ่ในการมองเห็น หูเป็นใหญ่ในการฟัง จมูกเป็นใหญ่ในการดมกลิ่น ลิ้นเป็นใหญ่ในการรับรู้รส กายเป็นใหญ่ในการรับรู้สัมผัส ใจเป็นใหญ่ในการรับรู้ความรู้สึกนึกคิดเวลากระทบกับธรรมารมณ์ กล่าวได้ว่าการบรรลุความบริสุทธิ์สัมผัสทั้งหกก็คือไม่แยกแยะว่าส่วนนั้นจะรับรู้อะไร ทุกส่วนล้วนเท่าเทียมกัน ไม่ปรารถนาที่จะรับรู้สิ่งใหม่ทั้งสิ้น หรือเรียกอย่างง่ายว่าการปลงนั่นเอง

3 พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา เป็นสำนวนจากเรื่องสามก๊ก หมายถึง เมื่อเรากำลังพูดถึงใครอยู่ คนคนนั้นก็มาพอดี

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า