ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง
王女韶华
溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน
ภวิษย์พร แปล
— โปรย —
แม้จะต้องเผชิญอุปสรรปัญหา
ล้วนฝ่าฟัน เอาตัวรอดมาได้ทั้งสิ้น
มู่หยวนอวี๋ประสบเหจุร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ความลับที่พยายามเก็บรักษามาตลอดชีวิตกลับมีคนล่วงรู้
มู่หยวนอวี๋จะรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ
และรักษาชีวิตอยู่ในเมืองหลวงได้ตลอดไปหรือไม่ …
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
บทที่ 96
หลังจากเอาของไปส่ง มู่หยวนอวี๋ก็หวาดหวั่นอยู่สองวัน ถึงค่อยพบว่าคลื่นลมสงบดี ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น
หรือเป็นเพราะฮ่องเต้มีราชกิจรัดตัว เลยไม่มีเวลามาถือสากับลูกไม้เล็กๆน้อยๆของนาง
นางจึงเริ่มวางใจ และยังคงไปเรียนเป็นปกติทุกวัน
เพียงแต่ว่าวันเวลาที่ไม่ได้พบหน้าจูจิ่นเซินค่อนข้างจะน่าเบื่อ มีจูจิ่นเซินอยู่ด้วย นางก็มีเป้าหมายที่ชัดเจน นั่นคือพยายามสาดความรู้สึกอันดีใส่เขา และเดิมทีการอยู่กับเขาก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง เขาไม่อยู่ นางก็ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะพูดคุยกับคนในห้องสักเท่าไหร่ ต้องมาฟังเสียงท่องบทเรียนเหมือนเสียงท่องคัมภีร์สิบรอบแล้วก็อีกสิบรอบ นางจึงมักจะใจลอยอยู่บ่อยครั้ง
คงเป็นเพราะนางเลือกข้างชัดเจนเกินไป จูจิ่นสวินรู้ว่าแย่งชิงตัวนางกลับคืนมาไม่ได้ ตอนนี้จึงไม่ค่อยจะพูดคุยกับนางสักเท่าไหร่ ส่วนจูจิ่นยวนนั้นไม่รู้ว่ามีเป้าหมายอะไรถึงชอบมาชวนนางคุยเป็นประจำ มู่หยวนอวี๋จำคำบอกของจูจิ่นเซินได้จึงรักษาระยะห่างกับจูจิ่นยวนอย่างมีมารยาท ไม่ได้จงใจจะล่วงเกินเขา แล้วก็ไม่มีทางที่จะแสดงออกว่าอยากใกล้ชิดสนิทสนมด้วยออกไป
จูจิ่นยวนเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ยังคงแสดงท่าทีที่เป็นมิตรต่อนาง เรื่องนี้มู่หยวนอวี๋ห้ามไม่ได้จึงต้องปล่อยเขาไป
ไม่นานนักนางก็ได้รับเทียบเชิญจากมู่จื่อจิ้ง
ในเทียบเชิญบอกว่าอีกสิบวันให้หลังจะมีงานเลี้ยงฉลองการหมั้นหมายระหว่างน้องสามีคนหนึ่งของมู่จื่อจิ้งกับสวี่ไท่เจีย เซวียนซานโหวรู้ว่ามู่หยวนอวี๋เรียนหนังสือร่วมกับสวี่ไท่เจีย ถือว่ามีความสัมพันธ์กับทั้งสองบ้านที่กำลังจะดองเป็นญาติกัน หวังว่าถึงเวลานั้นมู่หยวนอวี๋จะมาเป็นแขกในงานเลี้ยง
มู่หยวนอวี๋ประหลาดใจมาก วันรุ่งขึ้นตอนที่ไปโรงเรียนจึงลากสวี่ไท่เจียออกมาถาม “พี่สวี่ ท่านจะหมั้นหมายแล้วหรือ ท่านช่างเก็บงำได้เก่งนัก ใกล้ถึงวันแล้วกลับไม่ยอมแพร่งพรายให้ใครรู้สักคำเดียว”
สวี่ไท่เจียกล่าวอย่างไร้ชีวิตชีวา “มีอะไรต้องพูด ก็แค่หมั้นเท่านั้น ใครบ้างที่ไม่ต้องผ่านเคราะห์นี้”
น้ำเสียงนี้เหมือนคนแก่ยิ่งนัก
มู่หยวนอวี๋ชำเลืองมองเขา “ท่านยังชอบคุณหนูรองตระกูลเหวย ถ้าไม่อยากหมั้นหมายกับแม่นางจากตระกูลของเซวียนซานโหว ทำไมถึงไม่บอกที่บ้านแต่เนิ่นๆ”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่ได้บอกหรือไง” สวี่ไท่เจียหน้ามุ่ย “ข้าโวยวายจนบ้านแทบแตก ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่ฟังข้า ครั้งนี้ขนาดท่านย่าของข้ายังไม่ยอมยืนอยู่ข้างข้า…ข้ายังจะทำอะไรได้อีก องค์ชายก็ไม่ได้มาเรียน ไม่อย่างนั้นข้าคงขอให้องค์ชายช่วยออกความคิดดีๆให้ได้บ้าง”
มู่หยวนอวี๋จนคำพูด “องค์ชายถูกขังอยู่ในจวน ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ท่านไม่คิดจะหาวิธีช่วยให้องค์ชายรอดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบาก ยังจะให้องค์ชายเอาเวลาว่างมาแก้ปัญหาเรื่องของท่านอีกรึ”
เป็นเพราะไร้ซึ่งหนทางแล้วจริงๆ สวี่ไท่เจียถึงได้หลุดปากออกมา พอได้ยินประโยคนี้จากมู่หยวนอวี๋ เขาเองก็รู้ว่าตัวเองไร้เหตุผล จึงไม่พูดอะไรอีก ทำไหล่ลู่คอตกเหมือนคนที่ได้รับความเจ็บปวดทางอารมณ์มาอย่างเต็มที่
“พี่สวี่ ท่านอย่าคิดว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมเลย ตามความเห็นข้า ข้าว่าคุณหนูจากตระกูลของเซวียนซานโหวคนนั้นต่างหากที่ดวงซวย”
ช่วงเวลาที่จูจิ่นเซินไม่อยู่นี้ มู่หยวนอวี๋กับสวี่ไท่เจียที่เลือกข้างองค์ชายรองก็สนิทสนมกันมากขึ้น มู่หยวนอวี๋ถึงได้กล้าพูดออกมาตรงๆ
สวี่ไท่เจียตอบอย่างอัดอั้น “เจ้ามันคนดีนักนี่ ก็เลยคิดว่าข้าเป็นกากเดนใช่ไหม ข้าถึงขนาดไปพูดกับแม่นางจวงด้วยตัวเองแล้ว นางกลับบอกว่า ไม่สนว่าในใจของข้าจะมีใคร ขอแค่ตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อเป็นของนางก็พอแล้ว”
“โอ้โฮ” มู่หยวนอวี๋เลิกคิ้ว “วีรสตรีหญิง”
“นี่!” สวี่ไท่เจียโวยอย่างคับข้องใจ “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง เจ้าคิดว่าข้าชอบที่ในใจมีผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ต้องแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนน่ะ เรื่องแบบนี้ข้าตัดสินใจเองได้เสียที่ไหน”
“ก็นั่นน่ะสิ แล้วท่านจะให้นางยกมือทาบอกเป็นลมให้ท่านดูอย่างนั้นรึ”
สวี่ไท่เจีย “…”
เขาลองจินตนาการภาพนั้นดูก็อดตกใจเองไม่ได้ แบบนั้นคงยิ่งจัดการได้ยาก
มู่หยวนอวี๋ส่ายหน้า อันที่จริงนางไม่คิดว่าสวี่ไท่เจียจะมีความรักที่ลึกซึ้งอะไรต่อคุณหนูรองตระกูลเหวย เขากับเหวยเหยาก็แค่เคยเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง ความรักที่ว่านั้นอยู่ในจินตนาการที่แสนงดงามและตื้นเขินอย่างเดียวเท่านั้น คุณชายอย่างสวี่ไท่เจียเติบโตมาประหนึ่งดวงเดือนที่ถูกห้อมล้อมด้วยดวงดาว ไม่เคยพบเจอกับอุปสรรค ต้องการอะไรก็ได้สิ่งนั้น พอไม่ได้มาครอบครองก็คิดว่าตัวเองถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส
ถึงอย่างไรมู่หยวนอวี๋ก็สอดมือไปยุ่งเรื่องครอบครัวของคนอื่นไม่ได้ นางคิดแล้วปล่อยผ่านเลยไป พอถึงวันงานมงคลนางก็ไปร่วมงานเลี้ยงในฐานะญาติมิตรของทั้งสองฝ่ายพอเป็นพิธีเท่านั้น
เวลาเดินไปข้างหน้า ผ่านไปได้ไม่นานก็มีงานมงคลอีกงานหนึ่ง
คืองานอภิเษกสมรสขององค์ชายใหญ่จูจิ่นจื้อ
ขุนนางทั่วราชสำนักเฝ้ารอวันนี้มานานหลายปี ในที่สุดก็สมปรารถนา พระชายาขององค์ชายใหญ่คือบุตรสาวของรองเจ้ากรมพิธีการ ได้ยินว่าเป็นสตรีเรียบร้อยอ่อนหวาน รูปโฉมงามสง่า งานมงคลขององค์ชายมีพิธีการซับซ้อนยิบย่อย แต่เดิมทีจูจิ่นจื้อก็อายุไม่น้อยแล้ว ดังนั้นนับตั้งแต่วันที่คัดเลือกพระชายาจนถึงวันที่ทำพิธีแต่งงานจึงใช้เวลาแค่ประมาณครึ่งปีกว่าเท่านั้น
หลังจากได้ยินข่าวนี้มู่หยวนอวี๋ก็พอจะวางใจได้ ไม่ต้องร้อนใจคอยไปขอร้องฮ่องเต้แทนจูจิ่นเซินอีก…มีงานแต่งของพี่ชายคนโต ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ต้องปล่อยตัวจูจิ่นเซินออกมากระมัง
มู่หยวนอวี๋นับวันเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปในแต่ละวัน กลัวว่าหากนางทำตัวโอหังเกินไปจะทำให้ฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์ ช่วงที่ผ่านมานี้จึงไม่กล้าไปหาจูจิ่นเซินอีก เห็นว่ากาลเวลาผันเวียนเปลี่ยนจากฤดูร้อนไปเป็นฤดูใบไม้ร่วง วันแต่งงานของจูจิ่นจื้อขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกขณะ ทว่าทางฝ่ายของฮ่องเต้กลับไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ใช่ว่าไม่มีใครเสนอให้ปล่อยตัวจูจิ่นเซินออกมา หัวหน้าสภาขุนนางเสิ่นก็เคยไปขอร้องมาก่อน ลูกชายก็ยังดีๆอยู่ อีกทั้งยังไม่ได้ทำความผิดร้ายแรง เอาแต่ขังไว้อย่างนี้มันสมควรแล้วหรือ
ปิดประตูขังเขามานานเป็นครึ่งปีจนเขาไม่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกเลย นี่คือองค์ชาย แถมยังเป็นองค์ชายที่มีคุณสมบัติคู่ควรจะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท หรือฮ่องเต้คิดจะจับเขาขังไว้ให้กลายเป็นคนไร้ค่านับแต่นี้
เพียงแต่ว่าฮ่องเต้ยังคงยืนกรานเช่นเดิม “เรารู้ดีว่าทำอะไรอยู่ ตอนนี้เอ้อร์หลางกำลังรักษาตัว ต้องการความเงียบสงบ รอให้หายดีเมื่อไหร่ เราย่อมต้องปล่อยเขาออกมา”
แล้วเมื่อไหร่จะหายดีล่ะ
บอกตามตรง หัวหน้าสภาขุนนางเสิ่นไม่อาจมองเรื่องนี้ในแง่ดีนัก ภาพลักษณ์คนขี้โรคของจูจิ่นเซินฝังลึกอยู่ในใจผู้คน ทุกปีจูจิ่นเซินมักจะล้มป่วยอยู่หลายครั้ง พวกขุนนางต่างก็ชินชากันแล้ว หากมีครั้งไหนเจ็บป่วยไม่มาก พวกขุนนางกลับจะแปลกใจเสียอีก
หากไม่เป็นเพราะจูจิ่นเซินมีสภาพร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ ทำให้ฮ่องเต้ยังไม่ตัดสินใจแต่งตั้งใคร ตำแหน่งรัชทายาทก็คงไม่ถูกเว้นว่างมาจนถึงตอนนี้
ไม่ว่าจะแต่งตั้งองค์ชายพระองค์ไหน ถึงอย่างไรก็ควรถกเถียงกันให้รู้คำตอบได้แล้ว
กล่าวมาถึงขั้นนี้ หัวหน้าสภาขุนนางเสิ่นรู้ว่าไม่ควรซักไซ้ต่อไปอีก เขาคงพูดไม่ได้ว่าจูจิ่นเซินไม่น่าจะหายดีได้หรอกกระมัง เขาจึงต้องเลี่ยงประเด็นนี้ เปลี่ยนไปถามถึงปัญหาเรื่องอื่นอย่างละมุนละม่อมแทน “ฝ่าบาท พิธีอภิเษกสมรสขององค์ชายใหญ่ใกล้จะมาถึงแล้ว องค์ชายรองเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ก็ควรจะเตรียมการคัดเลือกพระชายาได้แล้วมิใช่หรือ”
ถึงแม้ว่าจูจิ่นเซินไม่ได้มีหน้าที่อะไรในงานแต่งงานของจูจิ่นจื้อ เขาออกมาไม่ได้ก็ช่างเถิด แต่หากเป็นเรื่องคัดเลือกชายาของตัวเขาเอง จะไม่ปล่อยเขาออกมาคงไม่ได้กระมัง
หัวหน้าสภาขุนนางเสิ่นถามเรื่องนี้ขึ้นมาก็ถือว่าเขาพยายามอย่างมากแล้ว นอกจากไม่ได้บีบคั้นให้ฮ่องเต้พิโรธแล้ว พระองค์เองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงปัญหาข้อนี้ได้
ฮ่องเต้ยังคงส่ายหน้าเหมือนเดิม “ขุนนางเสิ่น เจ้าคือขุนนางเก่าแก่ที่อยู่ข้างกายเรามานาน เราเองก็จะพูดกับเจ้าอย่างชัดเจน สภาพร่างกายของเอ้อร์หลางในตอนนี้ แม้แต่นางกำนัลเรายังไม่กล้าส่งไปอยู่ข้างกายเขา ไหนเลยจะกล้าคิดเรื่องให้เขาแต่งภรรยา กลัวก็แต่ว่านั่นจะเป็นการเร่งเอาชีวิตของเขาซะมากกว่า อีกอย่าง เขามีนิสัยรักสันโดษแบบนั้น เราเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเลือกคนแบบไหนให้เขา หากไม่ได้ดั่งใจเขา ในอนาคตอาจเป็นเรื่องเป็นราวกันขึ้นมาอีก”
หัวหน้าสภาขุนนางเสิ่นหมดคำพูด เขาเป็นขุนนางเก่าแก่นั้นไม่ผิด คอยรักษาสมดุลระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางนับร้อยมาหลายปี เบื้องบนต้องเอาใจ เบื้องล่างต้องสยบไว้ แต่เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับจูจิ่นเซินสักเท่าไหร่ เขาเองมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลปัญญาชนผู้มากความรู้อย่างแท้จริง ในความคิดของเขา ผู้ปกครองกับขุนนาง บิดากับบุตร เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน แล้วไยเรื่องราวระหว่างกันจึงต้องวกไปวนมาให้ยุ่งยาก
จึงอดพูดไม่ได้ “ฝ่าบาท พระองค์จะไม่ให้องค์ชายรองมีพระชายาเพียงเพราะกลัวว่าจะเลือกคนได้ไม่ถูกใจเขาอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กล่าว “ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่อายุของเอ้อร์หลางก็ไม่ถือว่ามาก ต้าหลางอายุยี่สิบแล้วก็เพิ่งจะคัดเลือกชายา ให้เขารอไปอีกสองปีก็ไม่เป็นไร”
หัวหน้าสภาขุนนางเสิ่นรู้สึกเหนื่อยใจอย่างมาก คำพูดของฮ่องเต้ฟังดูแล้วก็ไม่มีอะไรผิด แต่นั่นก็เป็นเพราะตัวของจูจิ่นจื้อมีปัญหาไม่ใช่หรือ ชาวบ้านทั่วไปจะมีสักกี่คนที่แต่งงานช้าถึงขนาดนี้ เอาคนที่มีปัญหาอย่างหนึ่งมาเปรียบเทียบกับอีกคนที่มีปัญหาอีกอย่างหนึ่ง แล้วผลลัพธ์จากการเปรียบเทียบนี้จะปกติได้อย่างไร
“ฝ่าบาท…”
เขาพยายามจะโน้มน้าวอีกสักครั้ง ฮ่องเต้กลับโบกมือ “ขุนนางเสิ่น เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” ฮ่องเต่เอ่ยถ้อยคำเนิบช้า แฝงด้วยความหมายลึกล้ำ “รู้สึกขมขื่นเพราะความใจร้อน ทำอะไรหุนหันพลันแล่น เราเคยผ่านมาก่อนแล้ว ตอนนี้เรายินดีที่จะชะลอไว้สักหน่อย ก้าวย่างอย่างเชื่องช้าสักหน่อย ถึงอย่างไรก็ต้องดีกว่าทำผิดพลาด ตอนนี้เรายังมีกำลังวังชาแข็งแรง รอไหว พวกเจ้าไม่ต้องรีบร้อน”
หัวหน้าสภาขุนนางตะลึง เขาไม่รู้ความลับในครอบครัวของฮ่องเต้ แต่ก็พอจะเข้าใจว่าทำไมฮ่องเต้ถึงได้กล่าวเช่นนี้…บุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกสองคน คนหนึ่งโง่ คนหนึ่งร่างกายอ่อนแอ…นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ยากจะพบเจอ หากจะมีความลับบางอย่างที่ไม่อาจแพร่งพรายซุกซ่อนก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
จึงได้แต่ย้อนกลับไปเรื่องเดิม “ไม่พูดเรื่องคัดเลือกพระชายา แต่องค์ชายรองก็ไม่ควรถูกขังตลอดไป ฝ่าบาทไม่กลัวว่าเขาจะเกิดความขุ่นเคืองบ้างหรือ พวกขุนนางก็อาจจะเกิดความกังขาอย่างเลี่ยงไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไม่เห็นเป็นสำคัญ “ขุนนางเสิ่นคิดมากเกินไปแล้ว เอ้อร์หลางนิสัยไม่ดี แต่สมองกลับปราดเปรื่องนัก เราจะจับเขาขังไปชั่วชีวิตด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรือไร ไม่ช้าก็เร็วต้องปล่อยเขาออกมา ถ้าแค่นี้เขายังคิดไม่ได้ก็โง่เกินไปแล้ว”
หัวหน้าสภาขุนนางเสิ่น “…”
จับลูกชายขังแล้วยังจะให้อีกฝ่ายเข้าใจความนัยลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ด้วยตัวเอง ถ้าไม่เข้าใจก็แสดงว่าเขาโง่ นี่มันตรรกะแบบใดกัน
ก็ไม่แปลกที่ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกคู่นี้จะไม่ดีขึ้น
หัวหน้าสภาขุนนางเสิ่นบ่นอยู่ในใจอย่างไร้ความยำเกรง ก่อนจะยอมถอยให้หนึ่งก้าว “ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทกำหนดระยะเวลาให้กระหม่อมได้หรือไม่ สองปีให้หลัง”
เรื่องในครอบครัวของโอรสสวรรค์ก็คือเรื่องของบ้านเมือง ในฐานะหัวหน้าสภาขุนนาง เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะถามได้ถึงขั้นนี้
ฮ่องเต้คิดแล้วก็ตอบว่า “ไม่แน่นอน อยู่ที่ร่างกายของเอ้อร์หลางว่าเป็นอย่างไร”
หัวหน้าสภาขุนนางเสิ่นใจกระตุก “ความหมายของฝ่าบาทก็คือ เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท…”
“พูดเรื่องนี้ตอนนี้ยังเร็วไป” ฮ่องเต้กลับส่ายหน้า “บ้านเมืองสำคัญที่สุด เราจำเป็นต้องรับผิดชอบต่ออาณาประชาราษฎร์ ต้องรอบคอบระมัดระวังให้มาก”
“แต่หากยังแต่งตั้งผู้สืบทอดไม่ได้ เหล่าขุนนางก็ไม่อาจสงบใจลงได้…”
“รอให้เอ้อร์หลางออกมาแล้วก็มอบหมายงานให้พวกองค์ชายลองทำดูแล้วกัน” ในที่สุดฮ่องเต้ก็ยอมรับปาก “ดูผลงานพวกเขาแล้วค่อยว่ากัน”
แม้ฮ่องเต้จะถ่วงเวลาไปอีกหลายปี แต่ก็ยังพอจะได้เก็บเกี่ยวผลกลับมาบ้าง เมื่อฮ่องเต้กล่าวดังนี้ หัวหน้าสภาขุนนางเสิ่นก็พอจะมีคำอธิบายให้กับเหล่าขุนนางได้บ้าง พูดคุยจบ ขุนนางเสิ่นก็จากไปด้วยความจนใจ
มู่หยวนอวี๋ไปร่วมงานแต่งงานของจูจิ่นจื้อด้วยความผิดหวัง หลังจากนั้นก็อยู่ว่างได้ไม่นาน เพราะงานเฉลิมพระชนมพรรษาครบสี่สิบพรรษาของฮ่องเต้มีตามมาติดๆ
นางมีความหวังอีกครั้ง รอคอยอย่างว่าง่าย ทว่าก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้ง
มีงานใหญ่สองงานติดกัน แต่จูจิ่นเซินก็ยังไม่ปรากฏโฉม คนทั่วไปมักจะขี้ลืม ภาพความโดดเด่นของเขาในวันพิธีสวมกวานและเทศกาลหยวนเซียวเริ่มจางหายไปจากความทรงจำของผู้คน และนานวันเข้า จูจิ่นยวนกลับเข้ามาอยู่ในสายตาของทุกคน เพราะว่าเดิมทีชื่อเสียงของเขาก็ไม่เลวอยู่แล้ว แม้แต่จูจิ่นสวินผู้เป็นน้องชายซึ่งอายุยังน้อย ก็กลับมาโดดเด่นสะดุดตาในช่วงเวลาสั้นๆ
คนที่แต่เดิมมองไม่ความเห็นดีในตัวเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปจับจ้องเขา
เมื่อเทศกาลหยวนเซียวผ่านไปอีกปีหนึ่ง หัวหน้าสภาขุนนางเสิ่นย้อนนึกถึงเรื่องราวของปีที่ผ่านมา ขนาดเขาที่เป็นขุนนางคนสนิทยังอดสงสัยไม่ได้ ฮ่องเต้คาดการณ์ได้ถึงสถานการณ์เช่นนี้หรือไม่ ไม่รู้ว่าวันไหนจูจิ่นเซินถึงจะได้ออกมา รอเขาออกมา เผชิญกับสถานการณ์เสียเปรียบที่ต้องถูกคนมาทีหลังแซงหน้า เขาจะยังพลิกกระดานได้อีกหรือไม่
ท่ามกลางกระแสคลื่นความคิดของผู้คนมากมายที่ไหลบ่าไปในทางเดียวกัน มู่หยวนอวี๋ถือเป็นคนหนึ่งที่เดินสวนกระแส
ขนาดวันฉลองวันเกิดของบิดา จูจิ่นเซินยังไม่ได้ออกมา เห็นได้ชัดว่าหากฮ่องเต้ยังไม่พอใจเขาก็ออกมาไม่ได้ มู่หยวนอวี๋ก็ไม่จำเป็นต้องสงวนท่าทีอีก เมื่อเวลาผ่านพ้นไประยะหนึ่ง นางจึงเริ่มไปพูดคุยกับจูจิ่นเซินที่นอกกำแพงจวน เอาหนังสือหรือไม่ก็ของอย่างอื่นที่น่าสนใจไปมอบให้เขา
อันที่จริงแล้ว ลึกๆในใจนางรู้สึกไม่ยอมแพ้ คนอย่างจูจิ่นยวนจะเอาอะไรมาเปรียบเทียบกับขาใหญ่ที่นางเลือกไว้ จูจิ่นเซินก็แค่ถูกขังเท่านั้น นางไม่เชื่อหรอกว่าถ้าเขาออกมาแล้วจะยังมีที่ให้จูจิ่นยวนเสนอหน้า!
ครั้งแรกที่มู่หยวนอวี๋ไปหาจูจิ่นเซินนั้นไม่มีใครรู้ แต่ภายหลังก็เริ่มมีข่าวแพร่สะพัดออกไป ทว่าฮ่องเต้กลับไม่ได้ใส่ใจ คนอื่นก็ยิ่งไม่มีสิทธิ์เจ้ากี้เจ้าการ เพียงแต่อดชำเลืองมองนางไม่ได้
ซื่อจื่ออ๋องจอมเผด็จการคนนี้ไม่รู้ประสาจริงๆ หรือว่ารู้ดีถึงได้ทำเช่นนั้น
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่พากันเลือกข้างจูจิ่นยวน เพราะยังมีบุตรภรรยาเอกอยู่ จูจิ่นยวนเป็นบุตรอนุภรรยาจึงนับว่ามีข้อเสียที่สำคัญ คนส่วนใหญ่จึงยังรอสังเกตการณ์ องค์ชายอีกสามคนก็ยังมีคนคอยให้การสนับสนุน
แต่เมื่อจูจิ่นเซินถูกคุมขังและฮ่องเต้ก็ยังไม่แสดงท่าทีชัดเจนอะไรในตอนนี้ ต่อให้คนเลือกที่จะสนับสนุนจูจิ่นเซินก็ไม่มีทางไปมาหาสู่กับเขาเพราะสะดุดตาเกินไป เท่ากับผูกตัวเองติดกับองค์ชายรอง ไม่เหลือหนทางที่จะไปเข้าพวกกับคนอื่นเลย
ด้วยเรื่องนี้มู่หยวนอวี๋ยังเคยได้รับจดหมายเตือนที่ส่งมาจากเตียนหนิงอ๋อง
นางอ่านจบก็ฉีกทิ้งทันที รู้สึกว่าเตียนหนิงอ๋องนั่นแหละที่โง่ รู้ทั้งรู้ว่านางเลือกข้างจูจิ่นเซินแล้ว ยังจะเตือนนางว่าสถานการณ์ไม่ดี อย่าทำตัวสนิทสนมกับจูจิ่นเซินมากเกินไป
กลางหิมะไม่ส่งถ่าน[1] รอให้กลายเป็นผ้าปักดิ้นแล้วค่อยเพิ่มลายดอกไม้[2] ถึงเวลานั้นยังจะมีพื้นที่ให้ปักดอกไม้ที่เป็นของนางอยู่อีกหรือ
แม้ว่านางจะไม่ได้พบหน้าจูจิ่นเซิน แต่ก็เชื่อมั่นในตัวเขามาโดยตลอด เพราะระหว่างที่ถูกกักขังเขาไม่ได้แสดงให้เห็นถึงอาการของคนที่จิตใจแหลกสลาย นางไปคุยเล่นกับเขา ปลอบใจเขา แต่เขาไม่พูดสักคำว่าตัวเองไม่สบาย กลับยิ่งเป็นห่วงนางมากขึ้น กลัวว่านางที่อยู่ข้างนอกจะถูกคนรังแก
บอกตามตรง มู่หยวนอวี๋รู้สึกว่าหากเป็นอย่างนี้ละก็ ถ้าไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย รอวันที่จูจิ่นเซินได้ครองบัลลังก์แล้ว ต่อให้นางเป็นขุนนางกังฉินก็ยังจะได้รับการอภัยจากจูจิ่นเซิน ต่อให้นางเปิดเผยความลับที่สำคัญที่สุดของตัวเองออกมา เขาก็น่าจะไว้ชีวิตนาง
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไป ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนอีกครั้ง เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี
มู่หยวนอวี๋เคยชินแล้วที่จะไปพบจูจิ่นเซินทุกๆสองเดือน ระยะเวลาที่ไม่สั้นไม่ยาวนี้ดูเหมือนจะเป็นความถี่ที่ฮ่องเต้ยอมรับได้ แน่นอนว่าการพบกันระหว่างพวกเขา…มีกำแพงกั้นขวาง
พระชายาเตียนหนิงอ๋องส่งลิ้นจี่มาให้นาง หนึ่งปีส่งมาหนึ่งครั้งเพื่อช่วยให้นางหายอยาก
มู่หยวนอวี๋แบ่งครึ่งหนึ่งใส่กล่องอาหารเหมือนอย่างที่เคยทำ ตอนนี้นางไม่จำเป็นต้องโยนหนังสืออีกแล้ว อ้อมผ่านกำแพงฝั่งที่คุ้นเคยเข้าไป ตรงนั้นจะมีคนเฝ้ารออยู่ เมื่อนางมาถึงก็จะไปบอกจูจิ่นเซิน
ครั้งนี้กลับกลายเป็นว่าเจอกับองครักษ์เสื้อแพรที่กำลังลาดตระเวนพอดี นางคุ้นเคยกับองครักษ์เสื้อแพรสองกลุ่มที่ผลัดเปลี่ยนกันลาดตระเวนในที่แห่งนี้เป็นอย่างดี จึงคลี่ยิ้มและโบกมือทักทาย
นายหมู่คนนั้นกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงอย่างคนรู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง “ซื่อจื่อ ทำไมท่านถึงยังมาตรงนี้อีกเล่า ประตูหน้าของจวนเปิดแล้ว เมื่อครู่ฮ่องเต้เพิ่งจะมีพระบัญชายกเลิกคำสั่งปิดจวนขององค์ชายรองแล้ว หลังจากนี้พวกเราก็ไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว”
เฮ้อ หลังจากนี้ก็จะไม่มีช่องทางทำรายได้เป็นกอบเป็นกำอีกแล้ว เพราะซื่อจื่อท่านนี้ใจกว้างมาก เขาถึงไม่ได้หลอกอีกฝ่าย แต่รีบบอกความจริงทันที
มู่หยวนอวี๋ “…!”
นางไม่ได้เข้ามาทางประตูหน้าเลยไม่รู้เรื่องนี้ จึงหันตัวกลับแล้วออกวิ่งทันที
[1] มาจากสำนวนยื่นถ่านให้กลางหิมะ เปรียบเปรยถึงการให้ความช่วยเหลือกันในยามยากลำบาก
[2] มาจากสำนวนเพิ่มดอกไม้บนผ้าปักดิ้นที่สวยงาม เปรียบเปรยว่าทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก แต่เมื่ออยู่ในบริบทนี้จะเห็นได้ว่าการเพิ่มดอกไม้บนผ้าดิ้นเป็นเหมือนการประจบเอาใจ แฝงความหมายในเชิงเสียดสี