[ทดลองอ่าน] ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง เล่ม 3 บทที่ 98

ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง

王女韶华

 

溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน

ภวิษย์พร แปล

 

— โปรย —

มู่หยวนอวี๋มาอยู่ในเมืองหลวงได้สามปีแล้ว
แม้จะต้องเผชิญอุปสรรปัญหา
ล้วนฝ่าฟัน เอาตัวรอดมาได้ทั้งสิ้น
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันพลันบังเกิด
มู่หยวนอวี๋ประสบเหจุร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ความลับที่พยายามเก็บรักษามาตลอดชีวิตกลับมีคนล่วงรู้
ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเหตุร้ายทั้งหมดนี้คือใคร
มู่หยวนอวี๋จะรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ
และรักษาชีวิตอยู่ในเมืองหลวงได้ตลอดไปหรือไม่ …

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

บทที่ 98

 

สองคนพี่น้องพูดคุยกันหลังจากที่ไม่ได้คุยกันมานาน มู่หยวนอวี๋ไม่คิดจะสอดปาก แค่นั่งรับฟังอยู่ข้างๆ จูจิ่นยวนพูดได้ไม่เกินสามประโยคก็วกกลับมาถามเรื่องสุขภาพของพี่ชายอีกครั้ง จูจิ่นเซินก็ตอบอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

คนทั้งสองคุยกันไปได้สิบประโยคแล้วก็ยังพูดจาสุภาพมีมารยาท จูจิ่นเซินเองก็ไม่ได้เผยท่าทางรำคาญใจให้เห็น

แต่มู่หยวนอวี๋มองออกว่าภายใต้คลื่นลมที่นิ่งสงบ อันที่จริงยังมีกลิ่นอายและสูตรสำเร็จที่คุ้นเคยแฝงอยู่ด้วย…จูจิ่นเซินไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาเสียดแทงจูจิ่นยวน เพียงแค่พูดถึงเรื่องการฟื้นตัวของสภาพร่างกายอย่างตรงไปตรงมาก็สามารถทิ่มแทงหัวใจของน้องชายเขาให้ทะลุเป็นรูพรุนเหมือนตะแกรงร่อนได้แล้ว

ทว่าจูจิ่นยวนกลับมองไม่ออก เขารู้สึกเหมือนมีเลือดไหลทะลักออกมาจากหัวใจของตัวเอง ข้อเสียสองข้อของพี่ชายคนรองที่มีนิสัยประหลาด หนึ่งคือร่างกายอ่อนแอ อีกหนึ่งคือนิสัยฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด ตอนนี้กลับดีขึ้นทั้งสองอย่าง หลังจากนี้เขาควรจะทำอย่างไร!

จูจิ่นเซินยังไม่ได้ออกไปเปิดตัวข้างนอกสักครั้งก็ข่มเขาจนแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว

ก่อนหน้านี้เขามักจะรู้สึกว่าจูจิ่นเซินจะต้องพูดจาเหน็บแหนมตน ทำให้รู้สึกอึดอัดใจมาก ตอนนี้ถึงได้ค้นพบว่า พออีกฝ่ายไม่ได้เป็นอย่างนั้น นั่นต่างหากที่น่ากลัวอย่างแท้จริง

ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหวังดีของเสียนเฟยแล้ว

มู่หยวนอวี๋ฟังไปฟังมาก็เริ่มเบื่อหน่าย ตั้งแต่ที่จูจิ่นยวนมา มู่หยวนอวี๋ก็ยกที่นั่งของตัวเองให้เขา แล้วขยับมานั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง เวลานี้มือลูบไปโดนกล่องอาหารบนโต๊ะที่หลินอันเอามาวางไว้ แอบเปิดฝากล่องออก หยิบลิ้นจี่สองลูกมาปอกเปลือกกิน

นางรู้สึกว่าตัวเองระมัดระวังมากแล้ว แต่จูจิ่นเซินกลับยังกวาดตามามองอย่างรวดเร็ว

มู่หยวนอวี๋จึงส่งลิ้นจี่ลูกหนึ่งที่ปอกเสร็จแล้วไปให้เขา “องค์ชาย ให้ท่าน”

จูจิ่นเซินส่ายหน้า กล่าวอย่างอ่อนโยน “ข้าเพิ่งกินยาไป เจ้ากินเองเถอะ”

มู่หยวนอวี๋จึงแสร้งทำเป็นยื่นส่งให้จูจิ่นยวนตามมารยาท จูจิ่นยวนยื่นมือมาจะรับเอาไว้ จูจิ่นเซินพลันลุกขึ้นยืน ดันลิ้นจี่สีขาวใสดุจหิมะลูกนั้นคืนกลับไป และเอ่ยเหมือนตำหนิ “เจ้าคิดว่าน้องสามจะเหมือนข้าที่ไม่ถือสาพิธีรีตองอย่างนั้นหรือไร เจ้าไม่กลัวว่าคนอื่นจะรังเกียจบ้างรึ”

จูจิ่นเซินดึงกล่องอาหารชั้นบนสุดจากทั้งหมดสามชั้นออกมาวางไว้ตรงหน้าจูจิ่นยวน “ไม่ต้องเกรงใจ กินเถอะ”

จูจิ่นยวน “…”

เขาไม่ได้รังเกียจสักหน่อย! ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ยื่นมือไปรับ

ทว่าลิ้นจี่ก็ถูกดันกลับคืนคนปอกไปแล้ว เขาก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรอีก ได้แต่หยิบลิ้นจี่ลูกหนึ่งมากลิ้งกลางฝ่ามือ ไม่มีอารมณ์จะปอก แต่กลับนึกถึงเรื่องที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้

“พี่รอง ตอนนี้ท่านยังต้องกินยาอยู่หรือ”

จูจิ่นเซินกล่าว “ยาที่ช่วยบำรุงลมปราณเสริมธาตุ ยังต้องกินอีกสักระยะหนึ่ง”

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” จูจิ่นยวนฝืนเอ่ยเย้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าเห็นสีหน้าพี่รองดีขนาดนี้ ไม่แน่ว่างานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ท่านอาจจะได้แสดงฝีมือก็ได้”

นี่คือการเกทับข่มขู่แล้ว ห่างจากเทศกาลล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิอีกแค่สองสามเดือน จูจิ่นเซินคือคนขี้โรคที่ไม่เคยเรียนวิชาบู๊ แม้แต่ลูกธนูก็ยังไม่เคยจับ จะเอาฝีมือที่ไหนมาแสดงให้ดู

“น้องสามล้อข้าเล่นแล้ว ข้ามีความสามารถนั้นซะที่ไหน” จูจิ่นเซินเอ่ยเนิบช้า “แต่ว่าอาจจะไปดูเรื่องครึกครื้น น้องสาม ในบรรดาพี่น้องก็มีแต่เจ้าที่ขี่ม้ายิงธนูเก่งที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าต้องแสดงความสามารถให้ดีล่ะ”

เรื่องนี้ไม่ผิดเลยสักนิดเดียว เหนือขึ้นไปเบื้องบนอีกคนคือพี่ใหญ่ที่เป็นคนโง่ ถัดลงไปก็คือน้องเล็กที่ขายังสั้น ต่างก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ขณะที่จูจิ่นยวนกำลังจะตอบรับอย่างลำพองใจ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ…อะไรคือ “ไปดูเรื่องครึกครื้น” เขาจะแสดงกายกรรมให้อีกฝ่ายดูหรือไร

แต่จะบอกว่าอีกฝ่ายพูดผิดก็ไม่ได้ งานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงของทุกปีถือเป็นหนึ่งในพิธีการสำคัญที่ทั้งกษัตริย์และขุนนางต่างก็มาสนุกร่วมกัน ย่อมต้องครึกครื้นอย่างมาก

เมื่อสะกดกลั้นความโมโห เอ่ยรับคำอย่างขอไปที แล้วก็หมดอารมณ์จะพูดโอ้อวดเรื่องที่เตรียมเอาไว้

เขาใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนหัวข้อพูดใหม่ “พี่รอง ครั้งนี้ท่านออกไปจากจวนได้คงมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมาก สองปีมานี้มีขุนนางใหญ่หลายคนร้อนใจไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ อยากจะขอให้เลือกชายาแก่พี่รอง…ตัวพี่รองเองก็คงจะร้อนใจเหมือนกันกระมัง”

ขุนนางส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่า ไม่ว่าถูกขังหรือรักษาอาการป่วยก็ช่าง ล้วนไม่ขัดแย้งกับเรื่องแต่งภรรยา เพราะว่าป่วยถึงควรรีบหาภรรยามาช่วยดูแล ดังนั้นหลังจากที่งานแต่งของจูจิ่นจื้อผ่านพ้นไป เพียงไม่นานพวกขุนนางใหญ่ก็เริ่มเป็นกังวลกับเรื่องของจูจิ่นเซินขึ้นมาอีก เพียงแต่ว่าหัวหน้าสภาขุนนางเสิ่นได้ทำข้อตกลงบางอย่างร่วมกันกับฮ่องเต้ จึงทำหน้าที่ช่วยกำราบและไกล่เกลี่ยระหว่างพวกขุนนางกับฮ่องเต้ ดังนั้นแม้ว่าคำร้องนี้จะมีมาไม่ขาดสาย แต่ก็ไม่ถือว่าบีบบังคับเร่งร้อนนัก แค่มีคนคอยพูดถึงอยู่เนืองๆเท่านั้น

จูจิ่นเซิ่นมีการติดต่อกับมู่หยวนอวี๋เป็นระยะ สำหรับเรื่องใหญ่ๆที่เกิดขึ้นภายนอก มู่หยวนอวี๋มักจะนำมาบอกเขาเสมอ และก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ จูจิ่นเซินจึงไม่รู้สึกแปลกใจ

เขาหลุบตาลง เอ่ยว่า “คนที่ร้อนใจคงเป็นน้องสามมากกว่ากระมัง เพราะข้าร่างกายอ่อนแอ จึงเหนี่ยวรั้งให้เจ้าต้องโสดมาจนถึงทุกวันนี้ด้วย จะว่าไปแล้วก็เป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า”

จูจิ่นยวนรู้สึกใจสั่นสะท้านอย่างไม่อาจห้าม…เขายังอ่อนโยนได้มากกว่าเดิมอีกหรือนี่!

เขาไม่คุ้นชินกับจูจิ่นเซินที่เป็นแบบนี้เลยจริงๆ

“พี่…พี่รองพูดอะไรอย่างนั้น ถึงอย่างไรก็ต้องเรียงตามลำดับอาวุโส ข้าสมควรต้องรอ” จูจิ่นยวนสงบสติอารมณ์ กล่าวว่า “ข้าบอกให้พี่รองฟังก็เพื่อให้พี่รองเตรียมใจไว้ก่อน หากมีสตรีในดวงใจก็อย่าปล่อยผ่านไปเด็ดขาด”

แต่ในใจกลับนินทาอย่างชั่วร้าย พี่รองขี้โรคคนนี้ โตขนาดนี้แล้วข้างกายกลับไม่มีผู้หญิงที่เข้าทีสักคน ไม่รู้ว่าจะทำเป็นหรือเปล่า…ขนาดพี่ใหญ่ที่เป็นคนโง่ยังมีชายาแล้ว ตามเหตุผลแล้วคนถัดไปก็ควรเป็นเขา แต่ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อคิดอย่างไรถึงได้ระงับเรื่องนี้เอาไว้ก่อน

จูจิ่นเซินยังไม่ได้แต่งงาน เขาก็ได้แต่ครองตนเป็นโสดต่อไป อันที่จริงเสียนเฟยมารดาของเขาเริ่มร้อนใจแทนเขาแล้ว ตัวจูจิ่นยวนเองไม่รู้สึกอะไร เขาไม่สะดวกจะคุยเรื่องของบุรุษกับมารดา แต่ในใจกลับเริ่มเกิดการคาดเดา อีกทั้งยังคาดหวังเป็นอย่างยิ่งให้การคาดเดาของตนเป็นจริงขึ้นมา ต่อให้เขาโสดอีกหลายปีก็ยินดี

กฎของบรรพบุรุษก็ชัดเจนอยู่แล้ว ต่อให้คัดเลือกชายามาอย่างไรก็เป็นได้แค่สตรีจากตระกูลเล็กๆที่ช่วยเหลืออะไรเขาไม่ได้ เร็วขึ้นวันหนึ่งหรือช้าไปสักวันก็ไม่เป็นปัญหา เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ขาดแคลนผู้หญิงอยู่แล้ว

ไม่เพียงแต่ผู้หญิง ต่อให้เป็นผู้ชาย…

จูจิ่นยวนคิดแล้วก็อดชำเลืองมองมู่หยวนอวี๋ที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะฝั่งนั้นไม่ได้ เห็นว่ามู่หยวนอวี๋ก้มหน้าน้อยๆ กำลังขยับนิ้วมือเรียวยาวปอกเปลือกลิ้นจี่อย่างคล่องแคล่ว แก้มข้างหนึ่งนูนป่องออกมา เห็นได้ชัดว่าในปากยัดลิ้นจี่ไว้ลูกหนึ่ง ริมฝีปากสีแดงสดฉ่ำวาว มีหยดน้ำหวานของลิ้นจี่ติดอยู่เล็กน้อย

ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าลิ้นจี่ลูกนั้นต้องหวานมากแน่ๆ

หัวใจที่กำลังรุ่มร้อนก่อเกิดความรู้สึกเสียดาย น่าเสียดายที่สถานะของเขาสูงไปสักหน่อย ต่อให้ตนจะเป็นถึงองค์ชายผู้สูงศักดิ์ก็ยังไม่กล้าบังคับฝืนใจ กลัวว่าหากเกิดเรื่องขึ้นจะเก็บกวาดไม่ไหว หาไม่แล้ว…

“ข้าไม่มีสตรีในดวงใจ และตอนนี้ก็ยังไม่คิดจะคัดเลือกชายา”

จูจิ่นยวนพลันคืนสติ…รู้สึกเหมือนถูกแช่แข็ง เพราะอยู่ๆน้ำเสียงของจูจิ่นเซินก็เย็นยะเยือก เวลาพูดก็เหมือนจะมีเศษน้ำแข็งร่วงลงมาบนพื้นด้วย

หัวใจซีกหนึ่งของเขาหดตัวเพราะความเยียบเย็นนี้ อีกซีกหนึ่งกลับรู้สึกตกตะลึงระคนดีใจ แค่นี้ก็โกรธแล้วหรือ หรือว่าเขาพูดแทงใจดำ!

หรือว่าภายนอกจูจิ่นเซินอาจจะดูดี แต่ภายในกลับกลวงโบ๋ไม่มีอะไรเลย

เขารีบถามหยั่งเชิง “ทำไมล่ะ ตอนนี้พี่รองออกจากจวนได้แล้ว อีกไม่นานก็ต้องเผชิญเรื่องนี้ พี่รองอายแค่ไหนก็ไม่อาจเลี่ยง”

จูจิ่นเซินพูดเสียงเย็น “ข้าย่อมมีคำอธิบายให้เสด็จพ่อ เจ้ายังมีธุระอย่างอื่นอีกไหม หากไม่มี วันหน้าค่อยมาคุยกันใหม่เถอะ ข้าเองก็ต้องเตรียมตัวไปเข้าวังแล้ว”

คำไล่แขกนี้ชัดเจนอย่างมาก ต่อให้จูจิ่นยวนอยากจะหยั่งเชิงให้แน่ใจแค่ไหนก็ไม่อาจอยู่ต่อได้ จึงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว สมควรต้องเป็นเช่นนี้ เพราะน้องชายคนโง่ได้ยินว่าจวนของพี่รองเปิดแล้ว ด้วยความดีใจเลยพูดมากไปหน่อย รบกวนธุระสำคัญของพี่รองแล้ว”

เขาลุกขึ้นบอกลาแล้วจากไป

พอเขาจากไป จูจิ่นเซินถึงหันมาถามมู่หยวนอวี๋ “สองปีมานี้เขาไม่เคยทำอะไรเจ้าจริงๆน่ะหรือ”

จู่ๆจูจิ่นเซินก็โพล่งประโยคนี้ออกมา มู่หยวนอวี๋จึงรู้สึกงุนงงระคนแปลกใจ “อะไรคือทำอะไร”

นางกลืนเนื้อลิ้นจี่ที่เหลือลงคอ เข้าใจคำถามของจูจิ่นเซินในที่สุด จึงกล่าวอย่างประหลาดใจ “ไม่มี องค์ชาย ท่านคิดว่าเขาคิดอะไรแปลกๆกับข้าจริงๆหรือ ข้าไม่เห็นจะรู้สึกเลย”

จูจิ่นเซินปรายตามองมู่หยวนอวี๋อย่างจนคำพูด…ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะมีความรู้สึกทางด้านนี้ เจ้าคนโง่นี่ ขนาดความรู้สึกของตัวเขาเองยังสัมผัสไม่ได้ ไม่รู้ความรู้สึกของคนอื่นก็คงเป็นเรื่องปกติเหมือนกัน

เมื่อมู่หยวนอวี๋เห็นท่าทีของจูจิ่นเซิน ด้วยความเชื่อมั่นในสติปัญญาของจูจิ่นเซินอย่างมาก จึงกล่าวว่า “ข้าจำคำเตือนขององค์ชายได้ บางครั้งเขาชวนข้าออกไปเที่ยว ข้าก็จะปฏิเสธไปว่ามีธุระ”

จูจิ่นเซินขมวดคิ้วมุ่น “เขามาชวนเจ้าไปไหน”

“ข้าจำไม่ค่อยได้แล้ว งานเลี้ยงบ้านใครหรือบ่อดอกบัวสถานที่หลบร้อนอะไรสักอย่างนี่แหละ แต่สรุปก็คือข้าไม่เคยไป ก็เลยลืมไปแล้วว่าเขาชวนไปที่ไหนบ้าง”

สีหน้าของจูจิ่นเซินถึงได้ดีขึ้นเล็กน้อย “ไม่สนใจเขาน่ะถูกแล้ว ความคิดของเขาบิดเบี้ยวมาตั้งแต่เด็กแล้ว ทางตรงๆมีให้เดินไม่เดิน มักจะคิดถึงแต่เรื่องนอกลู่นอกทางเสมอ”

มู่หยวนอวี๋เข้าใจว่าทำไมจูจิ่นเซินถึงพูดอย่างนี้ จูจิ่นยวนมักจะแสดงออกว่าตัวเองไม่มีพิษไม่มีภัย แต่กลับคิดเอาจูจิ่นเซินมาเป็นตัวประกอบขับให้ตัวเองโดดเด่น จูจิ่นเซินไม่ใช่คนโง่ ทำไมจะมองไม่ออก ย่อมเป็นธรรมดาที่ไม่เคยคิดจะแสดงสีหน้าดีๆให้จูจิ่นยวนได้เห็น

จะว่าไปแล้วเรื่องความคิดของจูจิ่นยวนก็ไม่ถือว่าไร้เหตุผลเสียทีเดียว แต่เขามาหาเรื่องผิดคน มู่หยวนอวี๋เคยพูดถึงหลี่ไป่เฉ่าว่า “คนที่มีความสามารถมาก จะอารมณ์ร้ายไปบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา” ประโยคนี้หากนำมาใช้กับจูจิ่นเซินก็ได้ผลลัพธ์ในแบบเดียวกัน ต่อให้นิสัยของเขาจะไม่อ่อนโยนแค่ไหน แต่หากลงมือก็สามารถข่มทับจูจิ่นยวนให้แน่นิ่งไม่อาจกระดุกกระดิกได้อย่างง่ายดาย เหมือนใช้กำลังของคนคนเดียวสยบคนนับสิบ เรียกได้ว่าฝีมืออยู่กันคนละระดับชั้น ต่อให้จูจิ่นยวนจะไม่ยอมแพ้ก็ไม่ได้

“เอาละ ไม่พูดถึงเรื่องไม่น่าอภิรมย์แล้ว องค์ชายรีบเข้าวังเถอะ” มู่หยวนอวี๋ลุกขึ้นยืน วางเปลือกลิ้นจี่ที่อยู่ในมือลง และเวลานี้นางถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเพราะจูจิ่นยวนมาอยู่คุยค่อนข้างนาน แถมเขายังเป็นคนน่าเบื่อ นางคร้านจะฟังเขาพูด จากเดิมทีที่คิดจะกินลิ้นจี่แค่สองลูก กลับกลายเป็นว่าเบื้องหน้ามีเปลือกลิ้นจี่ที่ถูกปอกกองเป็นพะเนินโดยไม่ทันรู้ตัว

นางรู้สึกผิดเล็กน้อย “องค์ชาย เดิมทีเอามาให้ท่าน แต่ข้าไม่ทันรู้ตัว กินไปตั้งเยอะ”

“ต่อให้เจ้ากินหมดแล้วจะเป็นอะไรไป” จูจิ่นเซินกล่าวอย่างไม่ถือสา

เขายังคงจดจำสายตาของจูจิ่นยวนเมื่อสักครู่นี้ได้ดี ยังคงรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่คลาย แต่ก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องที่ทำให้อารมณ์เสียขึ้นมาอีก

เขาออกไปได้แล้ว วันหน้ามีเขาคอยดูแล ย่อมไม่มีทางเปิดโอกาสให้กับจูจิ่นยวน ทีนี้เขาก็วางใจได้เสียที

 

จูจิ่นเซินเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะเข้าวัง จูจิ่นยวนกลับอดรนทนไม่ไหว หลังออกจากจวนองค์ชายรองก็ตรงดิ่งไปยังตำหนักหย่งเหอทันที

เสียนเฟยรูปร่างอวบอิ่ม เป็นคนขี้ร้อน ตามมุมของตำหนักจึงจัดวางอ่างน้ำแข็งเอาไว้

จูจิ่นยวนที่เพิ่งเดินมาถึงเหงื่อออกเต็มศีรษะ เข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าอ่างใส่น้ำแข็ง แถมยังเรียกให้นางกำนัลมาช่วยพัดให้เขา

เสียนเฟยกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ซานหลาง ไอเย็นจากน้ำแข็งนั่นเข้มข้นเกินไป มีไว้ให้พอดับร้อนเท่านั้น เจ้าไม่ควรยืนอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา จะส่งผลเสียต่อร่างกาย”

“ข้าไม่ใช่พี่รองสักหน่อยที่จะทนความเย็นแค่นี้ไม่ได้”

แม้จะพูดอย่างนี้ แต่จูจิ่นยวนก็ยืนอยู่แค่ครู่เดียวแล้วเดินมานั่งลงตรงหน้าเสียนเฟย “เสด็จแม่ พี่รองถูกปล่อยตัวแล้ว ท่านรู้หรือยัง”

เสียนเฟยอยู่ลึกเข้ามาในวังหลัง อีกทั้งยังไม่ได้ครอบครองตราประทับหงส์อย่างเสิ่นฮองเฮา จึงไม่ได้รับข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องภายนอกรวดเร็วนัก เมื่อได้ยินก็รู้สึกแปลกใจมาก แต่ไม่นานอารมณ์ก็กลับมาเป็นปกติ “ก็สมควรแก่เวลา ถูกขังไว้นานแล้ว ให้เวลากับเจ้ามากขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นโชคของพวกเราแล้ว”

จูจิ่นยวนเหลียวซ้ายแลขวา ไล่พวกนางกำนัลออกไปไกลๆแล้วค่อยกดเสียงพูดเบาๆ “เสด็จแม่ ข้าไปหาพี่รองมา ชวนเขาคุยเรื่องคัดเลือกชายา พี่รองกลับบอกว่าเขายังไม่สนใจเรื่องนี้…เขาอายุตั้งยี่สิบแล้ว ท่านว่าประหลาดหรือไม่”

เมื่อก่อนเขาไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเสียนเฟยเพราะรู้สึกว่าไม่มีอะไรให้พูด แต่ตอนนี้เขาเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่จริงๆ เพราะหากจูจิ่นเซินเป็นโรคที่บอกใครไม่ได้ นั่นก็เท่ากับว่าเขาทำการศึกที่จะชนะได้โดยไม่ต้องรบ!

เสียนเฟยเลิกคิ้ว เข้าใจความหมายของเขาได้ทันที แต่ก็ไม่สะดวกจะพูดคุยเรื่องแบบนี้กับบุตรชายอย่างลึกซึ้ง จึงกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “นี่ไม่ค่อยปกติจริงๆ เจ้ามีหลักฐานหรือไม่”

จูจิ่นยวนส่ายหน้า “มีซะที่ไหน พี่รองเองก็เพิ่งจะถูกปล่อยตัววันนี้ ส่งคนไปแทรกไว้ข้างกายเขาก็ไม่ได้ แล้วใครจะไปรู้ แต่เขาบอกว่า เขาไม่คัดเลือกชายาก็ย่อมต้องมีคำอธิบายให้เสด็จพ่อ เหตุผลอะไรที่จะทำให้เสด็จพ่อยอมเขาได้ ถ้าถามข้า ต่อให้เสด็จพ่อจนปัญญากับเขาแค่ไหน อย่างมากก็คงอนุญาตให้เขาเลือกคนที่เขาถูกใจเท่านั้น แต่ไม่มีทางไม่เลือกเลยแน่นอน”

เสียนเฟยครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ลูกชายข้าพูดมีเหตุผล…”

ทำไมจูจิ่นเซินถึงปฏิเสธการเลือกชายา

แล้วเขาจะใช้เหตุผลอะไรมาโน้มน้าวฮ่องเต้

เมื่อคำถามสองข้อนี้มารวมอยู่ด้วยกัน เหตุผลก็คล้ายจะมาปรากฏให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างอยู่ตรงหน้า

ต่อให้เสียนเฟยจะเป็นคนหนักแน่นมั่นคงแค่ไหน ตอนนี้หัวใจนางก็ยังเต้นระรัวอย่างห้ามไม่ได้ นางพยายามระงับอารมณ์ตื่นเต้นเพื่อใช้ความคิดให้เต็มที่ ก่อนกล่าวว่า “ซานหลาง หากเป็นเช่นนั้นจริง ย่อมต้องเป็นความลับที่ไม่อาจแพร่งพราย เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องที่เจ้าและข้าจะสืบหามาได้ อย่าเพิ่งไปสนใจเอ้อร์หลางเลย ถ้าเขาจะไม่ยอมเลือกชายา โอกาสของเจ้าก็มาถึงแล้ว จะปล่อยให้เขาถ่วงรั้งเจ้าแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆไม่ได้ ตอนนี้แม่หาตัวเลือกที่ไม่เลวไว้ให้เจ้าคนหนึ่งแล้ว”

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า