ลำนำล่มแคว้น – เล่ห์บุปผาพิษ
祸国•归程
สือซื่อเชวี่ย 十四阙 เขียน
อาจือ แปล
Jadeline ปก
— โปรย —
ในใต้หล้าที่ครองอำนาจโดยสี่แคว้นใหญ่ เยียน ปี้ อี๋ เฉิง มีเรื่องราวเล่าขาน…
“สำนักหรูอี้” องค์กรมืดซึ่งมีรากฐานอยู่ในแคว้นเฉิง ลักพาตัวเด็กมาตลอดหลายปี เพื่อนำไปฝึกเป็นสายลับและมือสังหาร สร้างความสูญเสียแก่ครอบครัวนับไม่ถ้วน พวกเขาค่อยๆ รวบรวมความลับมากมายของทั้งสี่แคว้น และยื่นมืออันชั่วร้ายเข้าไปในราชสำนัก
สิบปีก่อน เจียงเจียง เด็กสาวร้านยาถูกลักพาตัวไป เป็นเหตุให้เฟิงเสียวหย่า คู่หมั้นของนางตามหาร่องรอยของนางนับจากนั้น สิบปีต่อมาเขาแต่งงานกับชิวเจียง ภรรยาคนที่สิบเอ็ด และทอดทิ้งนางไว้ที่เรือนพักบนเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง ชิวเจียงผู้ลืมเลือนอดีตของตนไปแล้วหลบหนีไปในคืนหนึ่ง นางได้พบอี๋เฟยองค์ชายสามแคว้นเฉิง และร่วมเดินทางกลับสู่แคว้นเฉิง…
คนหนึ่งต้องการกลับไปตามหาความทรงจำของตน คนหนึ่งต้องการกลับไปทวงบัลลังก์คืน สองคนที่เหมือนน้ำกับไฟเคียงบ่าเคียงไหล่กันฝ่าพายุคาวฝนโลหิตมุ่งหน้าคืนสู่แคว้นเฉิง…แต่แล้วกลับพบว่า สำนักหรูอี้ที่ฝังรากลึกมานานนับร้อยปีดุจอสรพิษ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นตะลึงโดยไม่รู้สาเหตุ…
สี่แคว้นเริ่มเคลื่อนไหว มีเพียงเป้าหมายเดียว…กำจัดองค์กรร้ายสำนักหรูอี้!
ชิวเจียงคือเจียงเจียง หรือเป็นใครกันแน่…
หรูอี้ฟูเหรินคือใคร…
การตายของจีอิงมีเงื่อนงำอื่นอีกหรือไม่…
การเดินทางหวนคืนที่แทบไม่มีโอกาสรอดชีวิตนี้ จะกลับไปอย่างไร และจะกลับไปที่ใด
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
สายน้ำไหลเมฆาหวน ตามจันทราไกลหมื่นหลี่
ย่ำอาวุธซดโลหิต กำราบโจรครองบัลลังก์
แต่ครั้นข้าค่อยๆ ก้าวไปจนถึงจุดจบ
กลับพบว่า…การหวนคืนกลับมา
ต่อสู้อย่างห้าวหาญเด็ดเดี่ยวอีกครั้ง
…หวนคืนครานี้ มิหวนคืนคน
ปฐมบท
ภรรยาผู้ถูกทอดทิ้ง
“น่าสงสารเสียจริง”
ชิวเจียงนั่งมองหิมะด้านนอกอยู่ข้างหน้าต่าง แต่หูกลับได้ยินเสียงพูดคุยแว่วมาจากห้องบ่าวซึ่งอยู่ไกลออกไปถึงสามสิบจั้ง[1] พวกนางกำลังคุยกันว่า…นางช่างน่าสงสาร
“ฟูเหรินขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คุณชายก็ไม่ยอมมา ลืมความรักความผูกพันในวันวานไปเสียแล้ว…” เสียงเจื้อยแจ้วของสตรีที่ได้ยินคือเสียงของสาวใช้ชื่ออาซิ่ว
“ฟูเหรินที่ถูกส่งมาอยู่บนเขา ล้วนเป็นคนที่คุณชายหมดรักแล้ว” เสียงอ่อนแรงแก่ชรานี้เป็นของยายเย่ว์แม่บ้านประจำเรือน “ยังสาวยังแส้อยู่แท้ๆ กลับต้องมาอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต ไม่มีลูกเต้าข้างกาย น่าสงสารเสียจริง…”
“ในเมื่อรู้แต่แรกว่าจะมีวันนี้ เหตุใดจึงยังทำเช่นนั้น ได้ยินว่านางทำให้ฟูเหรินใหญ่ไม่พอใจมาก จึงถูกส่งตัวมาสงบจิตสำนึกตัวที่นี่ นี่ก็อยู่มาครึ่งค่อนปีแล้ว…ดูท่าคงไม่มีหวังได้กลับไปแล้วละ” อาซิ่วทอดถอนใจ ยังอดบ่นไม่ได้ “เราเองก็มิต้องอยู่รับใช้นางบนเขานี่ไปตลอดชีวิตหรอกรึ ที่นี่หนาวจะแย่ ซักผ้าล้างผักแต่ละทีแทบจะแข็งตาย”
“ไม่เช่นนั้นลองไปขอร้องแม่บ้านเรือนใหญ่อีกทีดีหรือไม่ ขอให้นางช่วยไปขอร้องคุณชายโดยตรง ขอเพียงคุณชายมาเยี่ยมฟูเหริน ไม่แน่ว่าทุกอย่างอาจพลิกผันก็เป็นได้…”
ชิวเจียงนั่งฟังเงียบๆ
นางจำอะไรไม่ได้จริงๆ
เมื่อต้นปีนางป่วยหนัก พอฟื้นขึ้นมาก็ปวดศีรษะจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งยังจำอะไรไม่ได้เลย
นางไม่รู้ว่าตนเองคือใคร เคยทำอะไรมา ทั้งไม่อาจควบคุมร่างกายตนเอง
ราวกับเป็นทารกแรกเกิดที่ต้องทำความรู้จักโลกเบื้องหน้าใหม่อีกครั้ง
เคราะห์ดีที่ยังเข้าใจคำพูดของผู้อื่น ทั้งยังมีประสาทหูที่ไวเป็นพิเศษ แม้แต่เสียงที่อยู่ไกลมากก็ยังได้ยิน
ด้วยเหตุนี้ ช่วงหลายวันที่ผ่านมา นางจึงนั่งฟังเงียบๆ มาตลอด
สถานที่ที่นางอาศัยอยู่มีชื่อว่า เรือนพักตากอากาศเถาเฮ่อ เรือนนี้สร้างอยู่บนยอดเขาอวิ๋นเหมิง มีหิมะปกคลุมตลอดปี ทั้งยามนี้ยังเป็นช่วงกลางเหมันต์ อากาศจึงหนาวยะเยือก
นางได้ยินอาซิ่วบ่นว่าเดือนนี้ใช้ถ่านไฟเปลืองมาก ที่ตุนไว้ก็ใช้จนหมดแล้ว ดังนั้นภายในเรือนจึงหนาวเหน็บดุจถ้ำน้ำแข็ง
ตอนนี้แดดออกแล้ว อากาศอุ่นขึ้นเล็กน้อย ยายเย่ว์จึงอุ้มนางมานั่งตากแดดข้างหน้าต่าง
นอกหน้าต่างเป็นลานเรือนรกร้าง ไร้ทิวทัศน์ชวนมอง แต่ยังมีท้องฟ้าสีคราม ไร้เมฆหมอก สดใสดุจคันฉ่อง
ได้ยินว่านางชื่อชิวเจียง เป็นอนุภรรยาคนที่สิบเอ็ดของชายที่ชื่อเฟิงเสียวหย่า เนื่องจากนางมีเรื่องขัดแย้งกับฟูเหรินใหญ่ จึงถูกส่งตัวมากักบริเวณเพื่อสำนึกตัวบนเขานี้
นอกจากนางแล้ว ในเรือนเถาเฮ่อยังมีอนุที่ถูกทอดทิ้งเช่นเดียวกับนางอีกหลายคน แต่ต่างคนต่างอยู่ในเรือนของตนซึ่งอยู่ไกลกันพอสมควร ทั้งไม่เคยไปมาหาสู่กัน
สองสามเดือนมานี้ นอกจากยายเย่ว์กับอาซิ่วแล้ว นางก็ไม่เคยพบผู้ใดอีก
นางเองก็อยากพบเฟิงเสียวหย่า แต่ยายเย่ว์แจ้งไปหลายครั้งแล้ว กลับไม่มีคำตอบ ทุกครั้งยายเย่ว์ให้เหตุผลกับนางไม่เหมือนกันเลยสักครั้ง…คุณชายอาจยังไม่หายโกรธ ท่านรออีกหน่อยเถิดบ้างละ ช่วงนี้คุณชายยุ่งมาก ไม่มีเวลา ท่านรออีกหน่อยเถิดบ้างละ คุณชายป่วย เดินทางไม่สะดวก ท่านรออีกหน่อยเถิดบ้างละ…
แต่ชิวเจียงได้ยินยายเย่ว์กับอาซิ่วกระซิบกระซาบกันลับหลังว่า เฟิงเสียวหย่าปฏิเสธไม่มาพบนาง
น่าสงสารเสียจริง
อาซิ่วกับยายเย่ว์ต่างก็เอ่ยถึงนางเช่นนี้
ชิวเจียงฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดอะไร
จากนั้น นางก็สูดหายใจลึก ลองยกแขนขึ้นช้าๆ ค่อยๆ เอื้อมมือไปจับขอบหน้าต่าง อีกนิด อีกนิดเดียวเท่านั้น...
โครม!
ยายเย่ว์กับอาซิ่วได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งมา พอเข้ามาในห้องก็เห็นว่าชิวเจียงล้มอยู่ที่พื้นอีกแล้ว
“จะหยิบจะทำอะไร เรียกเราสองคนก็ได้นี่นา ร่างกายของท่านยังเคลื่อนไหวไม่คล่อง อย่าทำอวดเก่งนักเลย!” อาซิ่วบ่นอย่างหงุดหงิดพลางอุ้มชิวเจียงขึ้นมา เด็กสาวอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ด กลับมีเรี่ยวแรงเยอะนัก นางอุ้มชิวเจียงกลับไปที่ตั่งโดยไม่เหนื่อยหอบแม้แต่น้อย
ยายเย่ว์เลิกเสื้อของชิวเจียงขึ้น ดังคาด บนตัวนางมีรอยจ้ำสีเขียวสองสามจุดเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว
อาซิ่วทายาให้นาง พลางดุนางต่อ “แค่สามวันก็ล้มไปเจ็ดแปดครั้ง ยาขี้ผึ้งก็ใกล้หมดแล้ว ต้องรอถึงวันที่หนึ่ง เขาถึงเอาของมาส่งบนเขา อีกตั้งสิบวัน ของอะไรก็ต้องใช้จำกัดจำเขี่ยไปหมดทุกอย่าง”
ชิวเจียงไม่พูดอะไร สีหน้าเรียบเฉย ยามที่นางนิ่งเงียบช่างเหมือนหุ่นไม้ไร้ชีวิต
อาซิ่วถอนใจด้วยความระอา เหน็บผ้าห่มให้นาง “เอาเถิด ท่านนอนลงซะ ใกล้ถึงยามมะเมีย[2]แล้ว ข้าจะไปทำอาหารละ”
หลังจากอาซิ่วออกไปแล้ว ยายเย่ว์ก็เตรียมจะออกไปด้วยเช่นกัน แต่จู่ๆ กลับได้ยินเสียงสะอื้นดังมาจากใต้ผ้าห่ม เสียงสะอื้นนั้นแผ่วเบามาก ฟังดูอัดอั้นยิ่งนัก
ยายเย่ว์หันกลับไปมองหญิงผู้น่าสงสารใต้ผ้าห่ม ก่อนจะออกจากห้องไปด้วยใจกลัดกลุ้ม
คืนนั้นชิวเจียงล้มป่วย
ไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลด ตัวสั่นเทา แม้แต่น้ำข้าวต้มก็กลืนไม่ลง
อาซิ่วร้อนใจ “นี่…นี่จะทำอย่างไรดี ต้องเชิญหมอมาดูอาการแล้วละ! แต่คุณชายไม่อนุญาตให้เราลงจากเขา จะทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดีล่ะ”
ยายเย่ว์ลังเลอยู่นาน จากนั้นก็ไปนำนกพิราบจากห้องอุ่นมาตัวหนึ่ง เหน็บแผ่นข้อความกับตัวนก แล้วปล่อยมันบินลงเขาไป
อาซิ่วตกใจ “นี่ยายเลี้ยงพิราบไว้เพื่อการนี้หรือ”
ยายเย่ว์ถอนใจ “คุณชายสั่งไว้ หากไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ ห้ามส่งพิราบสื่อสารไปหา แต่ข้าดูสภาพของฟูเหรินแล้ว…น่ากลัวจะทนอยู่ได้อีกไม่กี่วัน…”
“คุณชายช่างไร้หัวใจจริงๆ” อาซิ่วเอ่ยถึงเฟิงเสียวหย่าเช่นนี้ ทั้งที่นางไม่เคยพบอีกฝ่ายมาก่อน เพียงแค่เคยได้ยินเรื่องราวของเขามามากมาย
ในที่สุดคุณชายผู้ไร้หัวใจก็มาเยือนเรือนเถาเฮ่อในคืนถัดมา
เพียงเงยหน้าขึ้นมองผาดเดียว หัวใจของอาซิ่วก็เต้นไม่เป็นส่ำ ชะ…ช่าง…ช่างหล่อเหลานัก!
เฟิงเสียวหย่าได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “บุรุษรูปงามเป็นหนึ่งแห่งแคว้นเยียน” แต่อาซิ่วคิดไม่ถึงว่าเขาจะงามกว่าที่นางคิดไว้มาก เขาก้าวลงจากรถม้าในชุดสีดำทั้งชุด เมื่อเขาปรากฏตัว สรรพสิ่งโดยรอบก็หายวับไปโดยพลัน
ลำแสงทั้งหมดจากฟากฟ้าเบื้องบนและใต้ผืนพสุธาสาดส่องมายังตัวเขา
อาซิ่วกลั้นหายใจ ไม่กล้ามองเขาอีก เอาแต่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างประตู
ชายที่ติดตามคุณชายมาสวมชุดสีเทา รูปร่างผอม สีหน้าท่าทีเคร่งขรึมเช่นกัน เขาเข้าไปตรวจชีพจรให้ชิวเจียง ผ่านไปครู่หนึ่งก็หันมารายงาน “เป็นไข้ชักเพราะต้องลมเย็น เกิดจากไอเย็นเข้าสู่ร่างกาย มิใช่โรคร้ายแรง”
อาซิ่วเบิกตากว้าง…อาการหนักเช่นนี้แล้วยังบอกว่าไม่ร้ายแรง?
เฟิงเสียวหย่าพยักหน้า “ปู๋ชี่ เจ้าไปต้มยากับยายเย่ว์”
ชายผู้ติดตามคนดังกล่าวจึงเดินตามยายเย่ว์ไป
ยามนี้ภายในห้องจึงเหลือเพียงเฟิงเสียวหย่ากับชิวเจียงตามลำพัง
อาซิ่วคิด เช่นนี้ก็ดี ป่วยครั้งนี้อาจเป็นโอกาสให้ฟูเหรินกับคุณชายคืนดีกันก็เป็นได้ หวังว่าคุณชายจะให้อภัยฟูเหริน ยอมให้ฟูเหรินกลับบ้าน และพาข้าลงจากเขานี้ไปด้วย เพราะที่นี่หนาวเหลือใจจริงๆ
เฟิงเสียวหย่าเดินไปที่ตั่ง เขาเคลื่อนไหวช้ามาก ทั้งท่าเดินยังต่างจากคนปกติ ราวกับกำลังลากน้ำหนักพันจิน[3]ไปด้วย ดูกินแรงเหลือเกิน
ชิวเจียงได้ยินเสียง นางลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ เห็นดวงตาแสนเย็นชาและลุ่มลึกคู่หนึ่ง
แต่สิ่งที่เย็นชายิ่งกว่าดวงตาคู่นั้น กลับเป็นถ้อยคำของเขา “เจ้าจงใจป่วยเพื่อให้ข้ามาหาเจ้า ตอนนี้เจ้าทำสำเร็จแล้ว”
ชิวเจียงอึ้งไปเล็กน้อย รู้สึกว่าศีรษะหนักอึ้ง ทั้งยังวิงเวียน ภาพของเฟิงเสียวหย่าที่ปรากฏเบื้องหน้าจึงดูบิดเบี้ยวเลือนราง
“เจ้าต้องการอะไร” เฟิงเสียวหย่าถามนาง
ชิวเจียงสับสนงุนงง ข้าต้องการอะไร
“ข้าไม่มีทางรับเจ้ากลับไป”
เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดจึงไม่ได้
“เจ้าอยู่ที่นี่ เย็บปัก ศึกษาพระธรรม บ่มสุรา…หรือทำอะไรก็ได้ หาอะไรให้ตัวเองทำสักหน่อย”
เย็บปัก ศึกษาพระธรรมยังพอทำเนา แต่บ่มสุรานี่ไปเอามาจากไหน
“แผนการบางอย่างใช้ได้เพียงครั้งเดียว ฉะนั้น…คราวหน้าหากยังแกล้งป่วยอีก ข้าย่อมไม่มา”
ชิวเจียงรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ นางตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง
ทั้งสองจ้องตากัน
ชิวเจียงรู้สึกว่าเปลวไฟในใจตนกำลังลุกโชน แต่แล้วก็ดับมอดลงไปทันทีเมื่อปะทะกับน้ำแข็งเย็นเยือก
นางอยากพบเฟิงเสียวหย่ามาตลอด
นางจำอะไรไม่ได้เลย แต่กลับดึงดันจะพบเขาให้ได้สักครั้ง
นางเข้าใจว่า หากได้พบเขา น่าจะทำให้ตนจำอะไรได้บ้าง และย่อมเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างได้
แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าทุกอย่างเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ
เฟิงเสียวหย่าเป็นคนไร้หัวใจ
ส่วนนาง อาจเพราะอาการบาดเจ็บที่ได้รับนั้นเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน นางจึงเลือกที่จะลืมเพื่อปกป้องตนเอง
ชิวเจียงตัวสั่นเทา เหงื่อแตกพลั่กราวกับเม็ดฝน จนทำให้ผมยาวและเสื้อผ้าของนางเปียกชุ่ม สภาพอิดโรยซูบเซียว จนดูราวกับว่าเพียงสัมผัส นางก็จะแตกสลายได้
เห็นนางในสภาพเช่นนี้ จู่ๆ แววตาของเฟิงเสียวหย่าก็เปลี่ยนไป เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ราวกับจะจุมพิตนาง
ชิวเจียงไม่ขยับ
ชั่วขณะที่กำลังจะสัมผัสกัน เขากลับสะบัดแขนเสื้อ ผลักนางออกอย่างแรง
ชิวเจียงหงายผลึ่งไปบนเตียงอย่างไม่ทันตั้งตัว ในใจหวาดหวั่นเกินบรรยาย
สีหน้าของเฟิงเสียวหย่ากลับมาเย็นชาอีกครั้ง ถึงขั้นเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังเจือโทสะเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าเขาโมโหนางหรือโมโหตนเอง
“จะทำอะไรก็แล้วแต่เจ้าเถอะ” พูดจบ เขาก็เตรียมจะจากไป
ชิวเจียงทนไม่ไหวอีกต่อไป เอ่ยอย่างฉุนเฉียว “เหตุใดต้องทำกับข้าเช่นนี้ ข้าทำผิดอะไร ข้าจำอะไรไม่ได้เลย! ต่อให้ท่านอยากจะลงโทษข้า ก็ควรบอกให้ข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
เฟิงเสียวหย่าหันขวับกลับไป ในดวงตาเหมือนมีประกายน้ำตา แต่แล้วก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว กลับมาเป็นแววตาเย็นชาเช่นเดิม “เจ้าจำไม่ได้จริงๆ หรือ”
“ใช่!” ชิวเจียงกัดริมฝีปาก เอ่ยอย่างไม่ยินยอม “ข้าล่วงเกินอะไรฟูเหรินใหญ่ เหตุใดต้องกักขังข้าไว้ในที่เช่นนี้ตลอดชีวิตด้วย!”
เฟิงเสียวหย่าจ้องนางนิ่ง แต่กลับไม่เอ่ยอะไร สุดท้ายผู้ติดตามชุดเทาก็กลับมาพร้อมกับยาที่ต้มเสร็จแล้ว บรรยากาศที่ตึงเครียดอยู่จึงผ่อนคลายลง
“คุณชาย?” ผู้ติดตามชุดเทาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาหันไปยื่นยาให้ยายเย่ว์ พยักพเยิดให้นางไปป้อนยา
ยายเย่ว์ยกยาเข้าไปหาชิวเจียง แต่ชิวเจียงกลับพลิกตัวจนตกจากเตียง
ยายเย่ว์ตกใจ กำลังจะช่วงประคอง กลับเห็นชิวเจียงจ้องเฟิงเสียวหย่าตาเขม็ง ใช้มือยันพื้น ค่อยๆ ถัดตัวไปทางเฟิงเสียวหย่าทีละน้อย “ทำไม ความผิดที่ข้าก่อไว้เป็นเรื่องที่เอ่ยปากยากนักหรือ เหตุใดท่านจึงไม่กล้าตอบ หากจะขังข้าไว้ที่นี่เช่นนี้ ข้าไม่ยอม!”
ยายเย่ว์กับอาซิ่วที่เข้ามาเพราะได้ยินเสียงต่างตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าอนุภรรยาจะกล้าพูดจาเช่นนี้กับนายท่าน
เฟิงเสียวหย่าหลับตา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง สรรพสิ่งดับสูญ ไร้สุขไร้โศก
“เจ้า…เอ่ยว่าจายั่วยุเสี่ยวฮุ่ยในคืนส่งท้ายปีที่ผ่านมา บอกว่าบิดาข้ากับนางมีสัมพันธ์ชู้สาวกัน บิดาจึงกระอักเลือดสิ้นใจในที่นั้น”
เสี่ยวฮุ่ยก็คือภรรยาเอกของเฟิงเสียวหย่า
ในที่สุดชิวเจียงก็ได้รับคำตอบ
แต่พอรู้คำตอบแล้วกลับพบว่า หากไม่รู้ยังจะดีเสียกว่า
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ท่าทีของยายเย่ว์กับอาซิ่วที่มีต่อนางก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ยามทั้งคู่พูดคุยถึงนางลับหลัง ต่างก็บอกว่านางน่าสงสาร แต่บัดนี้ต่างเอ่ยถึงนางอย่างจงเกลียดจงชัง
ก็สมควรแล้ว เป็นแค่อนุภรรยาต่ำต้อย แต่กลับทำให้พ่อสามีโมโหจนสิ้นใจ หากตัดสินโทษตามกฎหมายย่อมต้องโทษประหาร แต่เฟิงเสียวหย่ามิได้สังหารนาง เพียงแค่กักบริเวณนางไว้ในเรือนอีกแห่งหนึ่ง เช่นนี้นับว่าปรานีมากแล้ว
ซ้ำร้ายกว่านั้น พ่อสามีของนางมิใช่คนธรรมดาสามัญ
ยายเย่ว์ปาดน้ำตาพลางเอ่ย “ท่านอัครเสนาบดีเฟิงสิ้นบุญแล้ว…หากข่าวนี้แพร่ออกไป ชาวบ้านจะต้องเศร้าเสียใจมาก”
“เพราะเป็นเรื่องไม่ดีไม่งามในบ้าน จึงปิดบังไว้กระมัง ฟูเหรินสิบเอ็ดก็ดูหน้าตาซื่อๆ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นนางงูพิษ! ถึงกับกล้าให้ร้ายท่านอัครเสนาบดี! ท่านอัครเสนาบดีเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตมาทั้งชีวิต ทำเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชน จะทำเรื่องบัดสีกับลูกสะใภ้ตัวเองได้อย่างไร น่าโมโห ช่างน่าโมโหนัก ข้าไม่อยากรับใช้คนเช่นนี้!”
อาซิ่วทำจริงดังที่พูด นับแต่นั้นมา นางก็ไม่เข้าไปในห้องชิวเจียงอีกเลย
ยายเย่ว์ยังดีกว่าหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดูแลใส่ใจนางเหมือนแต่ก่อนแล้ว
ชิวเจียงได้กินอิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง ทั้งต้องทนดื่มน้ำเย็บเฉียบ กินอาหารเย็นชืด
ร่างกายของนางจึงผ่ายผอมและอ่อนแออย่างยิ่ง
อาซิ่วคิด นางคงใกล้ตายแล้ว คนเช่นนางอยู่ไปก็ทุกข์ทรมาน มิสู้ตายไปเสียดีกว่า
วันเวลาผันผ่าน ไม่นานหนึ่งปีก็ผ่านไป
แต่จนแล้วจนรอด ชิวเจียงก็ยังยื้อลมหายใจของตนไว้ได้ มีชีวิตอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่เช่นนั้น
อาซิ่วคิด หญิงคนนี้ช่างทนทายาดจริงๆ
เดือนสามของปีที่สอง เมื่อหิมะเริ่มละลาย ยายเย่ว์บอกว่ามีแขกมาเยือน ให้อาซิ่วเลี่ยงออกไป
อาซิ่วประหลาดใจ มีแขกมาเยือนที่เช่นนี้ด้วยหรือ…แม้จะอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก แต่ก็ทำได้เพียงรออยู่ในเรือนอย่างเชื่อฟัง เมื่อแอบมองลอดช่องหน้าต่างไปก็พบว่าแขกที่มามีสองคน เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
สองคนนั้นตรงไปยังเรือนที่ชิวเจียงอาศัยอยู่ เห็นชัดว่ามาหานาง แต่กลับไม่เข้าไปข้างใน ทั้งมิได้พูดคุยกับนาง เพียงมองดูนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็จากไป
หลังจากที่แขกกลับไปแล้ว อาซิ่วถามยายเย่ว์ว่าสองคนที่มาคือใคร ยายเย่ว์ส่ายหน้า “คุณชายไม่ได้บอก บอกเพียงว่าเป็นแขกพิเศษ ห้ามเสียมารยาทกับทั้งสองเป็นอันขาด”
อาซิ่วคิด คงจะเป็นญาติของฟูเหรินสิบเอ็ด แต่ในเมื่อมาเยี่ยมถึงที่นี่แล้ว เหตุใดจึงไม่รับนางกลับไปเสียเลยเล่า
ดูท่าคุณชายคงจะกักบริเวณฟูเหรินตลอดชีวิตเพื่อเป็นการลงโทษจริงๆ
พอคิดว่าตนจะต้องอยู่รับใช้นางในเรือนอันแสนหนาวเหน็บแห่งนี้ไปชั่วชีวิต อาซิ่วก็รู้สึกสิ้นหวัง
เวลาอันเงียบสงบผ่านไปอีกหนึ่งปี หิมะบนเขาอวิ๋นเหมิงก่อตัวแล้วละลาย ละลายแล้วก็ก่อตัวใหม่ ต้นไม้ใบหญ้างอกงามแล้วเหี่ยวเฉา เหี่ยวเฉาแล้วก็งอกงาม
พริบตาก็ล่วงเข้าสู่ปีที่สาม
อาซิ่วนับวันเวลาดู ยามนี้เป็นเดือนเจ็ดของรัชศกหฺวาเจินปีที่หกแล้ว
ชิวเจียงยังคงมีสภาพเหมือนร่างไร้วิญญาณเช่นเดิม
อากาศบนเขาอวิ๋นเหมิงช่วงเดือนเจ็ดนับว่ายังอบอุ่น แต่อาซิ่วตุนฟืนและถ่านเอาไว้มากมาย เพื่อเตรียมรับเหมันต์อันหนาวเหน็บที่จะมาถึง
วันนี้ชิวเจียงนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง จ้องไปยังหินก้อนหนึ่งในลานเรือนด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
ตอนที่อาซิ่วเดินเข้ามาในลานเรือนก็เห็นนางกำลังร้องไห้
น้ำตาไหลเป็นทางอาบใบหน้านางโดยไร้เสียง แม้สีหน้าจะยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม ทว่านัยน์ตาดูพร่าเลือนคล้ายปกคลุมด้วยควันจางๆ
อาซิ่วแค่นเสียง “หึ” ในใจ อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลจงหยวน[4]แล้ว ที่เรือนใหญ่คงกำลังเซ่นไหว้ใต้เท้าเฟิง หญิงคนนี้ยังมีหน้าร้องไห้อีก!
ชิวเจียงร้องไห้อยู่นาน
คืนนั้นท้องฟ้าไร้จันทร์ มีเสียงฟ้าร้องเป็นระยะ ฝนตกตลอดคืน
อาซิ่วหาวพลางยกหมานโถวแข็งค้างคืนมาที่หน้าห้องชิวเจียง วางหมานโถวไว้ที่พื้น เตะประตูสองสามที “กินข้าวได้แล้ว”
จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปทันที
อาซิ่วกลับมาอีกครั้งในยามมะเมีย ยกข้าวบดซึ่งทำอย่างลวกๆ มาที่ระเบียงทางเดินหน้าห้องชิวเจียง แล้วก็พบว่าหมานโถวยังวางอยู่ที่พื้นดังเดิม
อาซิ่วเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ฮึ ทำเป็นโมโหไม่ยอมกิน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินให้ตลอดแล้วกัน!” ว่าพลางยกหมานโถวกับข้าวบดกลับไปเสียดื้อๆ
เช้าวันต่อมา ยายเย่ว์ถาม “เหตุใดยังไม่ไปส่งอาหารให้ฟูเหรินอีก”
“นางไม่ยอมกิน”
“นางไม่กินก็เรื่องของนาง หน้าที่เราควรส่งก็ต้องไปส่ง”
“ข้าไม่อยากตามใจหญิงพรรค์นั้น!” อาซิ่วยังโมโหไม่หาย
ยายเย่ว์ถอนใจ “ข้าเองก็ไม่ชอบนาง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นฟูเหรินสิบเอ็ดที่คุณชายตบแต่งเข้ามาอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม หากวันหนึ่งคุณชายเกิดคิดถึงนางขึ้นมา แล้วรู้ว่าเราสองคนทารุณนาง ถึงตอนนั้นคนที่จะถูกลงโทษก็คือเรา…”
อาซิ่วถูกเกลี้ยกล่อมจนยอม สองคนจึงยกสำรับไปที่เรือนเล็ก พบว่าประตูหน้าต่างปิดสนิท ภายในเรือนเงียบเชียบ
ยายเย่ว์เคาะประตู ไม่มีเสียงตอบ จึงผลักประตูห้องเข้าไป
ภายในห้องว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่
ยายเย่ว์ตกใจยิ่งนัก รีบตามหาชิวเจียงไปทั่วทุกที่ แต่ก็ไม่พบ
ชิวเจียงหายตัวไป
นางหนีไปแล้ว
ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปด้วยทั้งสิ้น ทั้งเงินทองของมีค่า เสื้อผ้าอาหาร ยังอยู่ครบถ้วนทุกชิ้น
อาซิ่วอดคิดไม่ได้ เหตุใดนางจึงไม่นำของมีค่าติดตัวไปบ้าง ผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่มีเงินติดตัว ซ้ำร่างกายยังอ่อนแอ ป่วยกระเสาะกระแสะ จะหนีไปไหนได้
จากนั้นก็คิดว่า เหตุใดนางยังมีหน้าหนีไปอีก ที่แท้ก็เป็นคนต่ำช้าสามานย์จริงๆ!
ไม่กี่วันต่อมา ทางเรือนใหญ่ส่งข่าวมา ในที่สุดนางกับยายเย่ว์ก็จะได้ลงจากเขาเสียที
อาซิ่วถูกส่งไปทำงานที่เรือนใหญ่ นางจึงได้รู้จากบ่าวในเรือนใหญ่ว่า ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ส่งตัวชิวเจียงไปอยู่บนเขา คุณชายก็ล้มป่วยลุกไม่ขึ้นมาตลอด วันที่ชิวเจียงไม่สบาย คุณชายฝืนร่างกายขึ้นเขาไปพบนาง เมื่อกลับมาอาการก็ยิ่งทรุดหนักกว่าเดิม จนตอนนี้ก็ยังลุกจากเตียงไม่ไหว
พูดอีกอย่างคือ ชิวเจียงไปอยู่บนเขาสามปี คุณชายก็ล้มป่วยอยู่สามปีเช่นกัน
และครั้งนี้ เมื่อได้รับแจ้งว่าชิวเจียงหายตัวไป คุณชายก็กระอักเลือดทันที
เป็นไปได้อย่างไร อาซิ่วคิด คุณชายชอบหญิงหน้าตาไม่มีอะไรโดดเด่นคนนั้นจริงหรือ
“ก็ใช่น่ะสิ!” สาวใช้ในเรือนใหญ่เอ่ย “ตั้งแต่คุณชายแต่งฟูเหรินสิบเอ็ดเข้าบ้าน นางก็อยู่ข้างกายคุณชายตลอดราวกับเงาตามตัว ในสายตาคุณชายมีเพียงนาง ไม่เห็นฟูเหรินคนใดในสายตาอีกเลย หากมิใช่เพราะเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ คุณชายไม่มีทางส่งนางไปอยู่บนเขาเด็ดขาด อีกอย่าง ที่ส่งนางไปอยู่บนเขา ก็เพื่อปกป้องนาง!”
อาซิ่วอึ้งจนพูดไม่ออก นางรับใช้ฟูเหรินสิบเอ็ดมาสามปี แต่กลับไม่รู้สึกเลยว่าฟูเหรินสิบเอ็ดมีดีอะไร
นึกย้อนกลับไปก็เห็นเพียงภาพชิวเจียงใช้ไม้เท้าค้ำยัน เดินไปทีละก้าวอย่างทุลักทุเล
ตอนที่ชิวเจียงถูกส่งขึ้นเขา สภาพของนางไม่ต่างจากคนพิการ ทั้งมือและเท้าขยับไม่ได้
ต่อมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด นางก็ค่อยๆ สวมเสื้อผ้า หวีผม และกินข้าวเองได้ หลังจากนั้นก็เริ่มเดินได้…
จู่ๆ อาซิ่วก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
ลองถามใจตนเอง หากตนป่วยหนักถึงขั้นนั้น ตนจะยังหนีไปได้หรือไม่ และจะกล้าหนีหรือไม่ คำตอบที่ได้ตรงข้ามกับสิ่งที่ชิวเจียงทำโดยสิ้นเชิง
ช่างเป็นหญิงสารเลวนัก…
ทำให้คุณชายเสียใจ ทำให้นายท่านผู้เฒ่าสิ้นใจ สุดท้ายยังหนีไปอีก
ที่แท้ คนที่ไร้หัวใจคือนางต่างหาก
[1] 1 จั้ง เท่ากับประมาณ 3.3 เมตร
[2] หรือ “ยามอู่” ช่วงเวลาระหว่าง 11.00-13.00 นาฬิกา
[3] 1 จิน/ชั่ง เท่ากับ 500 กรัม
[4] เทศกาลสารทจีน หรือเทศกาลปล่อยผี ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติจีน ชาวจีนเชื่อว่าช่วงครึ่งเดือนนับตั้งแต่ต้นเดือนเจ็ด จะเป็นช่วงเวลาที่ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับถูกปลดปล่อยออกมา ดังนั้นจึงมีประเพณีรับบรรพบุรุษต้นเดือนเจ็ด และส่งบรรพบุรุษในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ซึ่งเป็นวันสารทจีน