[ทดลองอ่าน] ลำนำล่มแคว้น – เล่ห์บุปผาพิษ บทที่ 1.1

ลำนำล่มแคว้น – เล่ห์บุปผาพิษ
祸国•归程

 

สือซื่อเชวี่ย 十四阙 เขียน
อาจือ แปล
Jadeline ปก

 

— โปรย —
ในใต้หล้าที่ครองอำนาจโดยสี่แคว้นใหญ่ เยียน ปี้ อี๋ เฉิง มีเรื่องราวเล่าขาน…

“สำนักหรูอี้” องค์กรมืดซึ่งมีรากฐานอยู่ในแคว้นเฉิง ลักพาตัวเด็กมาตลอดหลายปี เพื่อนำไปฝึกเป็นสายลับและมือสังหาร สร้างความสูญเสียแก่ครอบครัวนับไม่ถ้วน พวกเขาค่อยๆ รวบรวมความลับมากมายของทั้งสี่แคว้น และยื่นมืออันชั่วร้ายเข้าไปในราชสำนัก

สิบปีก่อน เจียงเจียง เด็กสาวร้านยาถูกลักพาตัวไป เป็นเหตุให้เฟิงเสียวหย่า คู่หมั้นของนางตามหาร่องรอยของนางนับจากนั้น สิบปีต่อมาเขาแต่งงานกับชิวเจียง ภรรยาคนที่สิบเอ็ด และทอดทิ้งนางไว้ที่เรือนพักบนเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง ชิวเจียงผู้ลืมเลือนอดีตของตนไปแล้วหลบหนีไปในคืนหนึ่ง นางได้พบอี๋เฟยองค์ชายสามแคว้นเฉิง และร่วมเดินทางกลับสู่แคว้นเฉิง…

คนหนึ่งต้องการกลับไปตามหาความทรงจำของตน คนหนึ่งต้องการกลับไปทวงบัลลังก์คืน สองคนที่เหมือนน้ำกับไฟเคียงบ่าเคียงไหล่กันฝ่าพายุคาวฝนโลหิตมุ่งหน้าคืนสู่แคว้นเฉิง…แต่แล้วกลับพบว่า สำนักหรูอี้ที่ฝังรากลึกมานานนับร้อยปีดุจอสรพิษ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นตะลึงโดยไม่รู้สาเหตุ…

สี่แคว้นเริ่มเคลื่อนไหว มีเพียงเป้าหมายเดียว…กำจัดองค์กรร้ายสำนักหรูอี้!

ชิวเจียงคือเจียงเจียง หรือเป็นใครกันแน่…
หรูอี้ฟูเหรินคือใคร…
การตายของจีอิงมีเงื่อนงำอื่นอีกหรือไม่…

การเดินทางหวนคืนที่แทบไม่มีโอกาสรอดชีวิตนี้ จะกลับไปอย่างไร และจะกลับไปที่ใด

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

ชาตินี้

งูจำศีล

 

อดีตที่ผ่านมาเป็นเช่นไรกันแน่

จึงทำให้ใจคนอ่อนแอถึงเพียงนี้

ไม่อาจดำเนินชีวิตได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ไม่อาจเอ่ยวาจาอย่างชอบธรรม

ถึงขั้นไม่อาจ…แก้ต่างให้ตนเองได้

 

 

1

สาวใช้คนใหม่

 

ชิวเจียงยืนเงียบๆ อยู่ท้ายแถว

สาวใช้เก้าคนยืนเรียงหน้ากระดาน พวกนางถูกเรียกไปตักเตือนที่โถงบุปผา[1]

ป้าจาง หัวหน้าบ่าวไล่ตำหนิพวกนางทีละคน คอยจับผิดเรื่องหยุมหยิมจนเห็นใครก็ขัดตาไปเสียหมด “เจ้า คอเสื้อไม่ตรงไม่รู้ตัวรึ เจ้า จะแหวกอกเสื้อเสียต่ำเช่นนี้ทำไม คิดจะยั่วใครรึ ที่นี่จวนอัครเสนาบดี มิใช่หอนางโลม! เจ้าก็อีกคน แขนเสื้อมีรอยปะเบ้อเริ่มตั้งสองรอย ใครไม่รู้จะคิดว่าจวนอัครเสนาบดีเลี้ยงดูบ่าวไพร่ไม่ดี ไม่จ่ายเสื้อผ้าใหม่ให้!”

สาวใช้ที่ถูกตำหนิแย้งเสียงเบา “จวนเราไม่ได้จ่ายผ้าให้บ่าวนานแล้วจริงๆ นี่นา คราวก่อนที่จ่ายผ้าก็ตั้งแต่ก่อนคุณชายจะเสียชีวิต นี่ก็ผ่านมาตั้งหนึ่งปีแล้ว”

“เจ้าว่าอะไรนะ” ป้าจางถลึงตา

สาวใช้รีบสงบปากสงบคำ

ป้าจางตำหนิต่อ “เจ้า หัวเข่ามีรอยเปื้อน เจ้า ผมมันเยิ้มเกินไปแล้ว ไปสระผมเสีย ส่วนเจ้า…” มาถึงชิวเจียงซึ่งเป็นคนสุดท้าย ป้าจางกวาดตามองจากบนลงล่าง…

ผมยาวดำขลับเกล้าไว้ด้านหลังศีรษะอย่างเรียบร้อย ใช้ปิ่นไม้ไผ่อันหนึ่งกลัดไว้แน่น

ดวงหน้าน้อยขาวสะอาด

เสื้อผ้าเป็นระเบียบเรียบร้อย

ในเมื่อไม่มีที่ติตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ย่อมไม่มีสิ่งใดให้ติเตียน

สุดท้ายป้าจางจึงได้แต่กระแอมแล้วเอ่ย “อย่าทำหน้าทำตาซื่อบื้อเช่นนี้ หัดมีไหวพริบเสียบ้าง”

ชิวเจียงขานตอบ “เจ้าค่ะ”

เสียงนั้นไม่ดังไม่เบา ไม่ไพเราะแต่ก็ไม่ขัดหู เช่นเดียวกับตัวนาง หากนำนางไปอยู่ท่ามกลางฝูงชน ย่อมไม่อาจหาตัวพบ เพราะนางไม่มีลักษณะเด่นสะดุดตา ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องใดให้จับผิด

ป้าจางกวาดตามองสาวใช้ทั้งเก้าตั้งแต่หัวแถวถึงท้ายแถวอีกรอบ เอ่ยด้วยท่าทีขึงขัง “งานเลี้ยงคืนนี้สำคัญมาก แขกที่เชิญมาเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ พวกเจ้าต้องตั้งใจให้มาก หากจัดการงานทุกอย่างได้เรียบร้อยเหมาะสม สวยงามเป็นระเบียบ แม่บ้านชุยจะมีรางวัลให้! เข้าใจแล้วหรือไม่”

“เข้าใจเจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งเก้าตอบอย่างพร้อมเพรียง

ป้าจางพยักหน้า กำชับว่า “เช่นนั้นก็ไปเตรียมตัวได้” จากนั้นก็เดินบิดสะโพกจากไป

สาวใช้ชุดเขียวคนหนึ่งทำท่าถ่มน้ำลายใส่ไล่หลังป้าจาง “เป็นแค่แม่ครัว มาทำท่าใหญ่โต หากแม่บ้านชุยไม่ได้ป่วย นางจะได้มาชี้นิ้วสั่งเช่นนี้รึ!”

“ชู่ พอเถอะน่า ประเดี๋ยวนางได้ยินเข้าจะเป็นเรื่อง!”

“ได้ยินก็ได้ยินสิ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อยากทำงานที่จวนนี้ต่อแล้ว ตอนที่คุณชายยังอยู่ ปีหนึ่งจ่ายผ้าสองครั้ง พอถึงวันตรุษเทศกาลต่างๆ ก็ยังมีซองแดง ตั้งแต่อัครเสนาบดีเซวียมารับช่วงต่อ ก็ไม่เคยจ่ายผ้าอีกเลย ซองแดงยิ่งไม่ต้องพูดถึง! เขาก็เคยเป็นคนรับใช้มาก่อน แต่กลับลืมความลำบากของคนชั้นล่างไปเสียแล้ว!”

สาวใช้ที่แขนเสื้อมีรอยปะรีบปิดปากนาง “ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าท่าใหญ่แล้วนะ เรามีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ท่านอัครเสนาบดีหรือ คนเขาเป็นถึงหงส์บนฟ้า แม้ครั้งหนึ่งจะเคยถูกลดฐานะเป็นทาส แต่ก็มิได้เหมือนอย่างพวกเรา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่ผงาดกลับไปบนฟ้าอีกครั้ง”

“หากคุณชายไม่ตาย จะได้ถึงคราวเขารึ” สาวใช้ชุดเขียวยิ่งพูดยิ่งตาแดงก่ำ “เหตุใดคุณชายต้องด่วนจากไปด้วย คุณชายที่น่าสงสาร…เขาจะรู้หรือไม่ พอเขาจากไป แม้แต่บ่าวไพร่ในจวนก็พลอยลำบากไปตามๆ กัน…”

สาวใช้ที่ถูกป้าจางตำหนิว่าผมมันกลอกตาขาว พลางเอ่ย “หากเจ้าไม่เต็มใจอยู่ที่นี่ก็ไปเสียสิ ท่านอัครเสนาบดีก็เคยบอกแล้วมิใช่หรือ ใครอยากไปจากที่นี่ก็ไปได้เลย เจ้าเลือกจะทนลำบากอยู่ที่นี่เอง แล้วจะมาโทษใคร”

“นางเด็กหัวมันอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาว่าข้า นางขี้เหร่!”

จากนั้นทั้งคู่ก็ลงไม้ลงมือกัน สาวใช้ที่เหลือบ้างก็ห้ามปราม บ้างก็ดึงทั้งคู่ออกจากกัน จากนั้นต่างแยกย้ายกลับเรือนพัก

 

เรือนหลังเล็กมีสาวใช้สี่คนใช้ร่วมกัน ในเรือนมีเตียงสี่หลัง โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้หนึ่งตัว และตู้เสื้อผ้าหนึ่งหลัง ไม้ที่ใช้ทำเครื่องเรือนทั้งหมดเป็นไม้เนื้อดี แต่เนื่องจากใช้งานมานานปี สีที่ทาไว้จึงหลุดลอกไปกว่าครึ่ง

สาวใช้ผมมันยังโมโหไม่หาย พอเข้าไปในห้องก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง พลางด่าต่อ “น่าโมโห น่าโมโหนัก! รอให้ข้าได้เป็นแม่บ้านประจำจวนเมื่อไร ข้าจะเล่นงานนางหลิ่วซวี่ให้เข็ด!”

สาวใช้ที่แขนเสื้อมีรอยปะคุ้ยหาเสื้อผ้าพลางเอ่ย “พอเถอะตงเอ๋อร์ เจ้ามานั่งด่าอยู่ที่นี่จะมีประโยชน์อะไร รีบไปทำงานเถอะ งานเลี้ยงคืนนี้จะจัดที่ศาลาลู่หฺวา ที่นั่นไม่ได้ปัดกวาดมาปีกว่าแล้ว พื้นก็ต้องล้าง โต๊ะก็ต้องเปลี่ยน ไหนยังต้องมีคนช่วยงานในครัวอีก มีงานล้นมือไปหมด รีบเข้าเถอะ!” หลังจากคุ้ยหาอยู่นาน นางก็เจอเสื้อผ้าที่ค่อนข้างใหม่ชุดหนึ่ง จึงหยิบมาทาบกับตัวพลางเอ่ย “พวกเจ้าว่าชุดนี้เป็นอย่างไร พอใช้ได้หรือไม่”

สาวใช้ผมมันที่ชื่อตงเอ๋อร์พยักหน้า “ก็พอได้อยู่ อ้อ จริงสิ เซียงเซียง นี่เป็นครั้งแรกที่อัครเสนาบดีเซวียจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกในจวนใช่หรือไม่ เป็นแขกที่ใดสำคัญถึงเพียงนี้”

“ได้ยินว่าในนั้นมีท่านหนึ่งเป็นใต้เท้าแห่งโถงร้อยวจี”

ตงเอ๋อร์ตกใจ “คงมิใช่ใต้เท้าฮวาจื่อ[2]คนนั้นหรอกนะ” ชั่วขณะต่อมา สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นขยะแขยง “ฮึ เขาช่างน่ารังเกียจนัก! ข้าน่ะรำคาญเขาที่สุด!”

“ทำไมเล่า เขาก็ออกจะรูปงาม”

“รูปงามอะไรเล่า กะล่อนเสเพล ท่าทางอย่างกับพวกอันธพาลสิไม่ว่า จงใจดัดเสียงใส่จริตเหมือนสตรี! ทั้งยังจู้จี้จุกจิกเป็นที่สุด ประเดี๋ยวก็บอกว่าชาที่เรานำไปให้ดื่มรสชาติไม่ได้เรื่อง ประเดี๋ยวก็บอกว่าในห้องหนังสือมีกลิ่นอับ” ตงเอ๋อร์จิ๊ปากพลางถอนหายใจ “เจ้าคอยดูเถอะ งานเลี้ยงคืนนี้เขาจะต้องคอยจับผิดเราอีกแน่ ป้าจางในภาคบุรุษชัดๆ”

เซียงเซียงพ่นหัวเราะออกมา “คนเขาเป็นถึงใต้เท้าแห่งโถงร้อยวจี เจ้ากลับไปเปรียบเขากับป้าจาง เช่นนี้ไม่เท่ากับยกย่องป้าจางเกินไปหน่อยรึ!”

เวลานี้เอง ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง สาวใช้ที่สวยที่สุด ซึ่งก็คือบ่าวที่ถูกตำหนิว่าแหวกอกเสื้อเสียต่ำเดินเข้ามา “ข้าก็ว่าอยู่ว่าพวกเจ้าไปอยู่ไหนกัน ที่แท้ก็กลับมาอู้งานอยู่ที่นี่จริงๆ”

“ข้ากลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าต่างหาก!” เซียงเซียงสาบานต่อฟ้า

ตงเอ๋อร์เถียง “ข้าเพิ่งทะเลาะกับหลิ่วซวี่มา เห็นหน้านางแล้วหงุดหงิด เลยกลับมาสงบสติอารมณ์สักหน่อย”

สาวใช้คนงามเอ่ย “เลิกพูดถึงแม่คนนั้นเถอะ พวกเจ้ารีบช่วยข้าเลือกดีกว่า จะสวมเสื้อผ้าชุดใดดี”

เซียงเซียงยกมือขึ้นปิดปาก ยิ้มพลางเอ่ย “จะต่างอะไรกันเล่า ในเมื่อเสื้อผ้าทุกชุดของเหลียนเหลียนก็เปิดอกต่ำพอๆ กัน”

สาวใช้คนงามชื่อเหลียนเหลียนค้อนใส่เซียงเซียง “เจ้าจะรู้อะไร เมื่อครู่ข้าเพิ่งไปสืบมา รู้แล้วว่าแขกที่จะมาคืนนี้เป็นใคร”

“ใครรึ” ทุกคนตื่นเต้น

“เฟิงเสียวหย่า”

ขนตาของชิวเจียงสั่นไหวเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

ส่วนสาวใช้ที่เหลือต่างกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความตื่นเต้นยินดี

“เฟิงเสียวหย่า? ใช่คุณชายเฟิงเสียวหย่า บุตรชายอัครเสนาบดีแคว้นเยียนหรือไม่” เซียงเซียงยกมือขึ้นปิดใบหน้าแดงเรื่อ ดวงตาทั้งสองเริ่มเป็นประกาย

เหลียนเหลียนเอ่ยแก้ให้ถูกต้อง “อัครเสนาบดีคนก่อนต่างหากเล่า โง่จริง ใต้เท้าเฟิง…เฟิงเล่อเทียนน่ะ ขอเกษียณจากราชการตั้งหลายปีแล้ว เวลานี้แคว้นเยียนยังไม่มีอัครเสนาบดีคนใหม่ เยียนหวังเองก็ตั้งตารอคอยให้ท่านอัครเสนาบดีของเราไปช่วยงานอยู่!”

“โฮ้ย จะคนก่อนหรือคนปัจจุบันก็ช่างเถอะ ได้ยินว่าเขาเป็นบุรุษรูปงามที่สุดของแคว้นเยียนเชียวนะ! ตราประจำตัวเขาคือ ‘นกกระเรียนมงกุฎแดง’ ผู้คนจึงเรียกขานเขาว่าเฮ่อกง[3] ที่จวนของเขาต้องเลี้ยงนกกระเรียนมงกุฎแดงไว้มากมายเป็นแน่”

ชิวเจียงหลุบตา…ที่เรือนพรรณไม้ ข้าจำไม่ได้แล้ว แต่ที่เรือนเถาเฮ่อไม่มีนกกระเรียนมงกุฎแดงสักตัว

“ได้ยินว่าเขามีเมียร้อยคน! หญิงสาวแคว้นเยียนทุกคนต่างก็อยากแต่งงานกับเขา!”

ชิวเจียงมองมือตนเอง…ไม่ใช่ สิบเอ็ดคนต่างหาก และข้า…ก็คืออนุคนที่สิบเอ็ดผู้โชคร้ายคนนั้น

“บุรุษเช่นนี้ มีทั้งเงิน ทั้งอำนาจ ทั้งมากรัก ทั้งไม่ยึดติดกรอบจารีต…ช่างสมบูรณ์แบบ…”

“แต่ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นคนพิการ!” ตงเอ๋อร์เอ่ยในสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจ

“ข้าได้ยินว่าเขาได้รับการรักษาจนหายป่วยแล้วนี่นา…” สาวใช้อีกคนแย้ง

“พิการหรือไม่ คืนนี้ก็จะได้เห็น” พูดจบ เหลียนเหลียนก็เดินไปที่หน้าคันฉ่อง รวบผมพลางเอ่ย “ข้าต้องแต่งตัวให้ดีหน่อย หากเขาเกิดถูกใจข้า รับข้าเป็นอนุอีกคน ชีวิตที่เหลือของข้าก็ไม่ต้องลำบากแล้ว”

สาวใช้อีกสองคนต่างหัวเราะนาง “อย่างเจ้าน่ะรึ สตรีงามพร้อมเช่นไรบ้างที่คนอย่างเขาไม่เคยพบเห็น ที่ไหนจะมาถูกใจเจ้า”

“ข้ามีสิ่งนี้” เหลียนเหลียนแอ่นหน้าอก

เซียงเซียงกับตงเอ๋อร์มองไปที่เหลียนเหลียน แล้วกลับมามองตนเอง จากนั้นก็หุบปากพร้อมกัน

ชิวเจียงนึกเห็นด้วยอยู่ในใจ จริงด้วย หากจะเทียบกันด้วยสิ่งนี้ สตรีส่วนใหญ่ย่อมเทียบนางไม่ได้

เวลานี้เอง ป้าจางก็ตะโกนมาจากด้านนอก “รีบออกมาทำงานกันได้แล้วนะ!”

ทุกคนสะดุ้งตกใจ รีบออกไป

“คลาดสายตาไปเค่อ[4]เดียว พวกเจ้าก็แอบอู้แล้ว ตามข้ามาให้หมด ไปช่วยในครัว!” ป้าจางสั่งให้ทั้งสี่คนไปที่ห้องครัว ชิวเจียงเดินรั้งท้ายเช่นเคย ป้าจางจ้องตาดุอยู่ข้างหน้า เห็นเช่นนี้ ชิวเจียงจึงรู้ว่าโอกาสดีที่จะได้หลบหนีหลุดลอยไปแล้ว

 

 

[1] “ฮวาทิง” ในสมัยโบราณใช้เรียกโถงต้อนรับแขกด้านนอกตัวเรือน มักสร้างไว้ในสวนดอกไม้หรือในลานเรือน

[2] แปลว่า “บัณฑิตชุดลายดอก” เป็นฉายาหนึ่งในกลุ่ม “เจ็ดบัณฑิต” ของราชสำนักแคว้นอี๋ ที่จะตั้งฉายาตามสีชุดที่สวมใส่

[3] “เฮ่อ” แปลว่า นกกระเรียน

[4] 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า