[ทดลองอ่าน] คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน เล่ม 3 ตอนที่ 77

《古代吃货生存指南》
คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน

 

เข่อเล่อเจียงทัง เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —
ด้วยฝีมือการปรุงอาหารเลิศรสของ เจียงซูเหย่า
นอกจากจะมัดใจ เซี่ยสวิน ผู้เป็นสามีแล้ว
ยังผูกใจคนในครอบครัวสามีไว้ได้ด้วย

ไม่ว่าปัญหาใดล้วนแก้ไขได้ด้วยอาหารแสนโอชะ
ทั้งคนสูงศักดิ์และคนธรรมดา เมื่อได้ลิ้มลองแล้ว
ไม่มีใครที่จะเพิกเฉย

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

77

 

หลังเจียงซูเหย่าออกจากประตู เดินได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงวิวาทในบริเวณใกล้เคียง

นางกับเซี่ยสวินมองหน้ากัน แล้วเดินตามฝูงชนไปทางด้านนั้น

เพิ่งเดินถึงกลุ่มฝูงชน พ่อบ้านก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “คุณหนูใหญ่ มีคนมาก่อเรื่องขอรับ”

เจียงซูเหย่าเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจนานแล้ว จึงไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ ถามอย่างใจเย็นว่า “เกิดอันใดขึ้น เจ้าค่อยๆ พูด”

“เป็นเยี่ยงนี้ขอรับ คุณหนูให้ข้าส่งคนตามไปดูคนที่ทำลับๆ ล่อๆ เหล่านั้น คนของข้าก็สะกดรอยตามอย่างเป็นธรรมชาติ คนเหล่านั้นไม่ได้สืบหาสูตรลับหรือดึงตัวพ่อครัวไป แต่กลับหาร้านและแยกย้ายกันนั่ง พอสั่งอาหารแล้ว หนึ่งในนั้นกินไปได้เพียงครึ่งเดียวทันใดนั้นก็อาเจียนออกมา บอกว่าอาหารไม่สะอาด จากนั้นอีกสองคนก็อาเจียนออกมาเช่นกัน กล่าวหาว่าอาหารมีปัญหาและโต้เถียงกับเสี่ยวเอ้อร์” หลงจู๊โมโห “คิดไม่ถึงว่าจะมีพวกอันธพาลกล้ามากำเริบเสิบสานในถิ่นสกุลหลิน พวกข้าส่งตัวพวกเขาให้เจ้าหน้าที่ทางการแล้วขอรับ”

เจียงซูเหย่าเหลือบมองฝูงชนที่ยังโต้เถียงกัน ถอนหายใจกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่อู่ต่อเรือ คนที่ยืนดูอยู่รอบๆ ล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดา พวกเจ้าส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ทางการโดยตรงแบบนี้ ผู้คนจะยอมรับหรือ”

“นี่…” หลงจู๊ที่ขายอาหารเป็นครั้งแรกลังเล “คนของพวกเราชี้แจ้งแล้ว อาหารที่กินสะอาดหรือไม่ เมื่อพบเจ้าหน้าที่ก็จะเข้าใจเองขอรับ”

เซี่ยสวินที่มองอยู่ข้างๆ พูดแทรกว่า “ร้านนี้มีคนอาเจียนติดต่อกันถึงสามคน จนก่อให้เกิดปัญหา แม้ถูกใส่ร้าย แต่การค้าคืนนี้จะย่ำแย่ลง หรือแม้กระทั่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าขายทั้งหมดบนถนนเส้นนี้ไปอีกหลายวัน”

เอ่ยมาถึงตรงนี้ หลงจู๊ก็เดือดดาล “ก็นั่นน่ะสิขอรับ! ช่างทำให้คนรังเกียจนัก! หากเป็นการแย่งชิงการค้า หรือการสมรู้ร่วมคิดอย่างตรงไปตรงมาก็แล้วไปเถิด กลับใช้วิธีการบางอย่างที่ชวนสะอิดสะเอียน หากบอกว่าได้รับความเสียหายมากก็คงไม่ถึงขั้นนั้น เพียงแต่รู้สึกรังเกียจ ช่วงนี้มีเข้ามาบ่อยครั้ง ช่างน่ารำคาญจริงๆ”

“ไฉนไม่กี่วันก่อนยังไม่เป็นอะไร แต่วันนี้กลับมีนักเลงหัวไม้เข้ามาปะปนได้” เจียงซูเหย่าไม่ค่อยเข้าใจการแย่งชิงผลประโยชน์ที่อยู่เบื้องหลังเหล่านี้เท่าใดนัก

ในเมื่อต้องการเปิดย่านอาหารริมทาง สกุลหลินย่อมต้องตรวจสอบเบื้องหลังของเจ้าของร้านค้าทุกร้านแล้ว หลงจู๊ตอบว่า “ไม่กี่วันก่อนแต่ละร้านล้วนรอดูเรื่องตลก เข้าใจว่าย่านอาหารริมทางของพวกเราไม่มีทางประสบความสำเร็จ แม้มีร้านอาหารมากมาย แต่ก็มีไว้ขายชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น จะไปมีภัยคุกคามได้อย่างไร นึกไม่ถึงว่าไม่กี่วันที่ผ่านมาจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าชาวบ้านหรือคนร่ำรวยที่มาลิ้มรสของแปลกใหม่ ลูกค้าที่ปกติชอบไปหอสุราก็ไปที่หอสุราน้อยลงเรื่อยๆ กลับมากินที่นี่แทน เห็นอยู่ว่าไม่ได้ทำการค้าเดียวกัน แต่กลับไปขวางทางพวกเขา ย่อมต้องมีคนร้อนใจขอรับ”

ถึงอย่างไรเซี่ยสวินก็เป็นขุนนาง ค่อนข้างเข้าใจเรื่องพวกนี้ “คนที่ถูกส่งตัวไปให้ทางการอย่างมากก็ถูกโบยไม่กี่ที และถูกขังไม่กี่วัน ก่อนถูกปล่อยตัวออกมา อย่างที่หลงจู๊บอก แม้ไม่ส่งผลกระทบต่อการค้า แต่ก็ทำให้คนสะอิดสะเอียน”

หลงจู๊คล้อยตาม “ถูกต้องขอรับ สกุลหลินของพวกเรามีจวนเซียงหยางปั๋วคอยหนุนหลัง แต่หอสุราอื่นๆ ก็มีคนหนุนหลังเช่นกัน ไม่ได้ด้อยกว่าพวกเรา เฮ้อ พวกเราเป็นคนทำการค้าเหมือนกัน ย่อมรู้ว่าการแย่งหนทางทำกินของผู้อื่นนั้นไร้คุณธรรม หากมีคนต้องการแย่งชิงการค้าด้านการขนส่งทางเรือ สกุลหลินย่อมลงมือเคลื่อนไหว ทว่า…ทว่าผู้ใดจะคาดคิดว่าขุนนางใหญ่ ผู้สูงศักดิ์ หรือปัญญาชนที่สง่างามจะมากินอาหารที่นี่” เรื่องนี้ไม่มีทางเรียบง่ายเช่นนั้นอีกต่อไป หลังจากนี้จะต้องมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ “เพียงแต่น่าเสียดายนับแต่ที่กุ้ยเฟยเสด็จเข้าวังแล้วก็ทรงปฏิญาณว่าจะไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับการค้าของสกุลหลินอีก หาไม่แล้วพวกเราก็คงไม่ต้องทนรับความอยุติธรรมแบบนี้ จะต้องข่มขวัญคนเหล่านั้นที่คิดอยากยื่นมือเข้ามาได้เป็นแน่ขอรับ”

เจียงซูเหย่าสดับตรับฟังที่เขาพูดเช่นนี้ อดเป็นทุกข์ไม่ได้ “อย่างนั้นจะทำอย่างไรดี หากมารดาอยู่ที่นี่ด้วย จะต้องรู้วิธีจัดการเป็นแน่”

เซี่ยสวินยืนอยู่ข้างๆ กระแอมกระไอ “แค็ก”

เจียงซูเหย่าหันมองเขาอย่างไม่เข้าใจ

เซี่ยสวินรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง เขาเน้นย้ำของการมีตัวตน “แค็ก”

เจียงซูเหย่า “ให้คนไปเอาน้ำมาให้ท่านเขยสักถ้วย”

เซี่ยสวินกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าไม่ดื่มน้ำ” เขาไม่นิ่งเงียบอีกต่อไป กล่าวออกไปตามตรงว่า “เบื้องหลังสกุลหลินคือจวนเซียงหยางปั๋ว มิอาจแข่งขันกับคนมีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังหอสุราอื่นๆ ในเมืองหลวงได้ แต่เจ้าไม่เหมือนกัน”

“ข้าหรือ” เจียงซูเหย่ามองเขาอย่างแปลกใจ ถามว่า “ท่านคงไม่ได้หมายถึงจวนเซี่ยกั๋วกงใช่หรือไม่”

เซี่ยสวินพูดไม่ออกอยู่บ้าง “แน่นอนว่าไม่ใช่” เขาไม่ได้เอ่ยเสียงดังยามที่อธิบายว่า “เป็นรัชทายาท”

“รัชทายาทรึเจ้าคะ” เจียงซูเหย่าปากอ้าตาค้าง

“ใช่ ก่อนหน้านี้มีวิธีการทำน้ำแข็ง ต่อมาหลอกล่อด้วยอาหารรสเลิศ ข้าเชื่อว่ารัชทายาทจะต้องทรงช่วยเหลือเป็นแน่” เซี่ยสวินกล่าวว่า “วันนี้ให้พวกเขาปิดไปก่อน วันรุ่งขึ้นข้าจะเข้าเฝ้ารัชทายาท ขอเพียงแสดงเจตนานี้ออกไป หลังจากนี้หากยังมีคนก่อเรื่องอีกจะต้องไตร่ตรองให้มากๆ แล้ว”

เจียงซูเหย่าผงกศีรษะ ก้อนหินในใจก็วางลง หันมองลูกค้าที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่หน้าประตูร้านด้วยความกลัดกลุ้ม “อย่างนั้นทางนี้จะจัดการอย่างไรดี”

พ่อบ้านกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “พวกเราชี้แจงแล้ว บอกทุกคนว่าทางการจะคืนความยุติธรรมให้พวกเราเองขอรับ”

แม้เจียงซูเหย่าไม่เข้าใจการทำการค้า แต่ก็รู้ว่าสิ่งนี้มิอาจสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า มีแต่จะรู้สึกว่าสกุลหลินใช้อำนาจรังแกคน “แบบนี้ไม่ได้ จะต้องขจัดความข้องใจของพวกเขาให้หมดสิ้น เพื่อที่ว่าหากวันหน้ายังมีคนก่อเรื่องอีก ลูกค้าจะไม่ได้สงสัยว่าพวกเราทำอาหารไม่สะอาด”

หลงจู๊นิ่งเงียบ เกาหัว “นี่…”

เจียงซูเหย่ากล่าวว่า “เจ้าไปที่แผงขายอาหารใกล้ๆ แล้วยืมรถลากที่มีเตามาที พวกเขาไม่ใช่บอกว่าร้านของพวกเราไม่สะอาดหรอกหรือ อย่างนั้นพวกเราก็แสดงขั้นตอนการผัดให้พวกเขาดู ให้พวกเขาเห็นกับตาตนเองว่าสะอาดมากเพียงใด”

พอหลงจู๊สั่งการลงไป ทุกคนก็ทำงานอย่างว่องไว ไม่นานก็เตรียมการได้อย่างเหมาะสม

แม่ครัวซุนเหนียงจื่อของร้านนี้เป็นบ่าวที่เกิดในสกุลหลิน นางแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย สามีเป็นคนตะกละและชอบเล่นพนัน เมื่อเสียพนันจะทุบตีเตะถีบนาง บางครั้งแม้แต่บุตรชายก็ไม่ละเว้น ทั้งปีร่างกายนางไม่มีวันใดที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ หลังหลินซื่อตัดสินใจเปิดย่านอาหารริมทาง และกลับไปที่เรือนใหญ่ของสกุลหลินครั้งหนึ่ง บังเอิญเห็นนางเดินกะเผลกพร้อมกับรอยแผลเป็นบนดวงหน้า

คนอื่นๆ ไม่แปลกใจเพราะเห็นจนคุ้นชินแล้ว แต่เพราะได้รับความไม่เป็นธรรมจากการวิวาห์ หลินซื่อจึงเคืองแค้นเรื่องที่สตรีถูกรังแก และต้องการตัวนางโดยพลัน สามีของซุนเหนียงจื่อเป็นคนเรื่องมาก หากกับแกล้มไม่อร่อยหรือไม่พอใจกับอาหารสองมื้อต่อวัน ก็จะทุบตีเตะถีบ ซุนเหนียงจื่อกลัวจะโดนทุบตี จึงตั้งใจทำอาหารเป็นพิเศษ เมื่อเวลาผันผ่านก็ฝึกฝนจนมีฝีมือในการทำอาหาร สามารถควบคุมความร้อนของไฟได้ดีมาก

ยามนั้นหลินซื่อเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องนี้แก่เจียงซูเหย่า เจียงซูเหย่าเสนอแนะให้ซุนเหนียงจื่อเรียนรู้การทำข้าวผัด ข้าวผัดฟังแล้วทำง่าย แต่อยากทำให้ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ตั้งแต่หุงข้าวจนถึงผัดข้าว ทุกขั้นตอนต้องพิถีพิถัน ข้าวสวยต้องแยกเป็นเม็ด มิอาจเกาะติดกัน ไข่เหลวควรห่อหุ้มเม็ดข้าวให้มากที่สุด ขณะเดียวกันต้องรับรองได้ว่าข้าวผัดจะส่งกลิ่นหอม อย่าผัดไข่เหลวที่เคลือบเม็ดข้าวจนไหม้ ไม่ว่าการควบคุมความร้อนของไฟหรือพละกำลังในการผัด จะต้องมีข้อกำหนดที่เข้มงวด

ซุนเหนียงจื่อมีนิสัยขลาดกลัว ตอนแรกหลินซื่อให้นางมาเป็นแม่ครัวที่ร้าน ปฏิกิริยาแรกของนางคือปฏิเสธ ต่อมาหลินซื่อเน้นย้ำหลายรอบว่านางไม่ต้องออกไปปรากฏตัวและรับรองว่าสามีนักพนันของนางจะมิกล้าลงมือกับนางอีก เงินเดือนของแม่ครัวมากเพียงพอ สามารถส่งบุตรชายของนางเข้าสำนักศึกษาได้ ซุนเหนียงจื่อถึงฝืนใจรับปาก ยามนี้นางได้ลิ้มรสความหอมหวานของงานนี้แล้ว ทุกวันจะหมกตัวทำข้าวผัดอยู่ในห้องครัวเล็กอย่างสบายใจ

เพียงแต่ความสบายใจนี้ได้ถูกทำลายลงในเย็นนี้เสียแล้ว

“ไม่ใช่บอกว่าข้าไม่ต้องออกไปปรากฏตัวหรอกหรือเจ้าคะ” นางหลากใจ ถามว่า

หลงจู๊ไม่เข้าใจความกังวลของนาง “นี่ถือว่าเป็นการปรากฏตัวที่ใด ก็แค่ทำอาหารต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น อีกอย่าง เจ้าไม่ใช่คุณหนูในห้องหอจากสกุลใหญ่สักหน่อย พูดเรื่องการปรากฏตัวไปไย เจ้าไม่เห็นคุณหนูใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านนอกหรอกหรือ”

ซุนเหนียงจื่อเพียงมิกล้าเจอหน้าคนเท่านั้น ในอดีตสามีมักหาข้ออ้างทุบตีเตะถีบนาง ยามนี้นางอยู่ห่างจากกรงเล็บมารของสามีแล้ว แต่นางก็ยังประหวั่น

หลงจู๊พยายามโน้มน้าว สุดท้ายกล่าวว่า “ฮูหยินปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลว ยิ่งกว่านั้นคุณหนูยังเชื่อมั่นที่จะสอนวิธีทำอาหารให้เจ้า ยามนี้ถึงคราวเจ้าต้องออกโรงแล้ว เจ้าจะปฏิเสธอย่างนั้นหรือ”

วาจาของเขาซึมเข้าสู่หัวใจของซุนเหนียงจื่อ ซุนหนียงจื่อกัดฟันตอบรับ “ได้ ข้าจะไป”

แผงขายอาหารถูกผลักไปตั้งที่ทางเข้าห้องโถงใหญ่และมีผู้คนมามุงดูอยู่หน้าถนนจำนวนมาก

หลงจู๊นำจานที่พวกอันธพาลกินออกมา “นี่คืออาหารที่คนเหล่านั้นกิน ทุกคนเห็นได้ว่าที่เหลืออีกครึ่งจานเป็นข้าวผัดไข่” เขาชี้ไปที่ซุนเหนียงจื่อ “นี่คือแม่ครัวของร้านพวกเรา ต่อจากนี้นางจะผัดข้าวผัดไข่ให้ดูหนึ่งกระทะ ทุกคนจะเห็นวัตถุดิบ ข้าวของเครื่องใช้ และวิธีการผัดข้าวผัดของพวกเราว่าจะออกมาไม่สะอาดจนคนกินไปแล้วครึ่งจานก็อาเจียนหรือไม่”

ความคึกคักนี้เป็นสิ่งแปลกใหม่ ลูกค้าทั้งหลายพากันแสดงความคิดเห็น

“ข้าวผัดหรือ ฟังแล้วธรรมดามาก ข้าเห็นวิธีทำอาหารของร้านอื่นไม่ง่ายเลย แต่ข้าวผัดนี้ดูก็รู้แล้วว่าทำง่าย”

“จริงด้วย จะต้องเป็นข้าวสวยกับไข่ไก่ จะอร่อยเพียงใดเชียว ถึงสะอาด แต่ก็ไม่น่ากินแต่อย่างใด”

ซุนเหนียงจื่อรู้สึกว่าสายตาของทุกคนจ้องมาด้านนี้ นางยิ่งตื่นเต้น

ดูคล้ายนางจะจำความตื่นกลัวยามที่นางทำอาหารในอดีตได้ และจะถูกทุบตีหากทำอาหารได้ไม่อร่อย…เมื่อนางนึกถึงเรื่องนี้ มือก็เริ่มสั่น

รู้สึกว่ามีคนมุงมากขึ้นเรื่อยๆ นางอยากถอยออกมา

พลันนั้นก็มีมืออันอบอุ่นวางบนไหล่ของนาง “เจ้าไม่เป็นอันใดกระมัง”

ซุนเหนียงจื่อหันไปสบตาคู่งามของเจียงซูเหย่า

“เจ้ากลัวมากหรือ” เจียงซูเหย่าถาม

ซุนเหนียงจื่อไหนเลยจะเคยใกล้ชิดกับผู้สูงศักดิ์ถึงเพียงนี้ นางรีบก้มหน้างุด “มิกล้าเจ้าค่ะ”

เจียงซูเหย่าหัวเราะนิดๆ อย่างช่วยไม่ได้ “มีอันใดกล้าหรือมิกล้ากัน หากเจ้ากลัว อย่างนั้นก็ไม่ต้องฝืนใจ พวกเราค่อยคิดหาวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ ข้ารู้ว่าเกิดอันใดขึ้นที่เรือนของเจ้า ข้าเข้าใจ”

ซุนเหนียงจื่อตัวสั่น เงยหน้าด้วยความประหลาดใจ

นางเป็นเพียงบ่าวไพร่ เรื่องเลวร้ายเหล่านั้นของนางอาจทำให้หูของคุณหนูใหญ่สกปรก ทว่าคุณหนูใหญ่ไม่เพียงได้ยิน แต่ยังจำได้ด้วย มิหนำซ้ำยังปลอบใจนางอย่างอ่อนโยน และเข้าอกเข้าใจนาง

นางอ้าปากหลายครั้ง แต่กลับไม่รู้ว่าจะเอ่ยอันใด ทำได้แค่หน้าแดงและก้มหน้าลง

เจียงซูเหย่าตบไหล่ของซูเหนียงจื่อ “ไม่เป็นไร การทำอาหารไม่สมควรเป็นเรื่องที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบ สมควรเป็นเรื่องที่น่ารื่นรมย์ สบายใจ และพึงใจ เช่นเดียวกับอาหารรสเลิศเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจคน หวังว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้” เจียงซูเหย่าพูดประโยคนี้จบก็หันหลังเดินจากไป เตรียมจะหารือกับพ่อบ้านว่าจะทำอย่างไร

ขณะสาวเท้าออกไป ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกที่พยายามบังคับไม่ให้สั่นเครือดังมาจากด้านหลัง

“คุณหนูใหญ่!”

เจียงซูเหย่าหันหน้ามอง เห็นนัยน์ตาแดงก่ำของซุนเหนียงจื่อ นางเค้นยิ้มสดใสให้ตน “บ่าวทำได้เจ้าค่ะ”

เจียงซูเหย่าตะลึงงัน “…บอกแล้วว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องฝืนใจ”

“ไม่ คุณหนูใหญ่ บ่าวไม่ได้ฝืนใจเจ้าค่ะ”

สิ้นเสียง นางก็ยอบกายคารวะอย่างนบนอบ ก่อนหันหลังเดินออกจากห้องโถงไปหน้าประตูร้าน

เตาไฟลุกโชน เปลวเพลิงไหวระริกอยู่ในอากาศ อากาศเปลี่ยนไปร้อนขึ้น

เมื่อทุกคนเห็นว่าเป็นแม่ครัว ไม่ใช่พ่อครัว ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกดูแคลน ถึงอย่างไรพ่อครัวในหอสุราก็ล้วนแต่เป็นผู้สืบทอดของพ่อครัวหลวง ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีแม่ครัวคนใดที่มีความสามารถ

ซุนเหนียงจื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขา เดิมสมควรกลัวจนหัวหด มิกล้าก้าวไปด้านหน้า แต่ยามนี้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ถูกกระตุ้น คุณหนูใหญ่สอนทำข้าวผัด ดูแคลนนางย่อมได้ แต่อย่าบังอาจดูแคลนคุณหนูใหญ่

นางพยายามไม่สนใจสายตาของผู้ชม จินตนาการว่าตนอยู่ในห้องครัว

เปลวเพลิงไหวระริก ข้าวสวยที่เตรียมไว้แล้ว เครื่องเคียง…นางกวาดตามองรอบๆ จิตใจค่อยๆ สงบลง ทันทีที่ถือด้ามกระทะ ก็เข้าใจคำพูดประโยคนั้นของคุณหนูใหญ่

การทำอาหารเดิมสมควรเป็นเรื่องสบายใจ

ทุกคนพบว่าหญิงที่ออกเรือนแล้วผู้นี้เดิมแลดูขี้ขลาดตาขาว พลันเปลี่ยนเป็นฮึกเหิม ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน

นางถือด้ามกระทะ ลนด้วยเปลวไฟสองสามรอบ เพื่อให้ก้นกระทะร้อน ทาน้ำมันรอบกระทะอย่างคล่องแคล่ว พลิกข้อมือขวา และตักข้าวสวยหนึ่งกระบวยใส่กระทะ

ข้าวผัดไข่ใช้ข้าวค้างคืน หุงข้าวโดยใช้ผ้าขาวบางรองเข่งนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้มีไอน้ำมากเกินไปและให้แน่ใจว่าข้าวไม่ชื้นมากเกินไป ข้าวสวยที่ผัดออกมานี้ถึงจะแยกจากกันเป็นเมล็ด หลังใส่ข้าวสวยลงในกระทะแล้ว ควรกดให้ข้าวกระจายอย่างรวดเร็ว เรี่ยวแรงต้องสม่ำเสมอ และต้องใช้ความเร็ว มิอาจบี้ข้าวสวยจนเละหรือขาดจากกันได้ เม็ดข้าวที่ผัดออกมาแบบนี้จะไม่อวบอิ่มพอ

ขั้นตอนต่อไปคือการผัด ซุนเหนียงจื่อทำสิ่งที่คุ้นเคยอย่างง่ายดาย ขณะผัดข้าวก็ออกแรงแขน ข้าวสวยถูกพลิกไปมากระเด้งกระดอนอยู่ในกระทะ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าวค่อยๆ โชยออกมา เมื่อเห็นเม็ดข้าวไม่ชื้นแล้ว นางยื่นมือออกไปหยิบชามใส่ไข่แดงเหลวสีเหลืองทองแวววาวมาหมุนเป็นวงกลมกลางอากาศอย่างไหลรื่น ราดลงบนข้าวสวยจนทั่ว ขณะเดียวกันข้อมือก็ยังตวัดกระทะเหล็กไม่หยุด

หลังเทไข่เหลวลงในกระทะแล้ว ซุนจื่อเหนียงก็เริ่มผัดต่ออย่างเร็วรี่ นางกระดกกระทะเหล็กด้วยมือเดียว ให้ก้นกระทะหมุนวนบนเปลวไฟอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ดันเม็ดข้าวด้วยตะหลิวไม้เบาๆ และสม่ำเสมอ กลิ่นหอมของไข่ที่เข้มข้นและสดใหม่ค่อยๆ ฟุ้งกระจายในอากาศ ทุกครั้งที่ผัด ไข่จะห่อหุ้มเม็ดข้าวเอาไว้ ตามการตวัดกระทะของนาง เม็ดข้าวขาวที่ลอยขึ้นไปในอากาศก็ค่อยๆ กลายเป็นสีเหลืองทองและอวบอิ่มทุกเม็ด

นางเคยชินกับการทำงานหนักและเหน็ดเหนื่อย การสูญเสียแรงกายแค่นี้ไม่คุ้มค่าที่จะเอ่ยถึง นางถือกระทะเหล็ก ตวัดไปมา เม็ดข้าวกระดอนและหมุนวนอยู่ในอากาศ ราวกับจะหนีออกจากกระทะ แต่ทุกครั้งกลับตกกลับลงในกระทะอย่างมั่นคง คนมุงดูจนตาลาย

เมื่อเห็นว่าใกล้เสร็จแล้ว นางก็ยกมือขึ้นสูง โรยเกลือและต้นหอมซอยลงในกระทะเล็กน้อย กลิ่นข้าวผัดไข่ในอากาศหอมฉุน หลังสะบัดกระทะอีกครา ข้าวสวยวาดเส้นโค้งกลางอากาศอย่างนุ่มนวล เคาะตะหลิวหนึ่งที เทข้าวผัดไข่ใส่จานกระเบื้องสีขาวใบใหญ่ เคลื่อนไหวไหลรื่นดั่งเมฆเหินน้ำไหล พาให้คนมองสบายกายสบายใจ

ทุกคนอดหันมาสนใจข้าวผัดไข่ที่ “เรียบง่าย” ไม่ได้

ข้าวผัดกองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ สีทองเรืองรองคละเคล้าสีเหลืองอ่อน แต่ละเม็ดอวบอิ่มชัดเจน ดูคล้ายแผ่นทองคำที่หักแล้วส่องแสงวิจิตรอยู่บนจานกระเบื้องสีขาว ขับเน้นให้ข้าวสวยเรืองรองยิ่งขึ้น กลิ่นหอมเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ความหอมของไข่และข้าวส่งกลิ่นออกมาเต็มที่

ซุนเหนียงจื่อผัดข้าวเสร็จแล้ว ค่อยพบว่าบริเวณโดยรอบเงียบลงแล้ว

เหล่าลูกค้าที่ในใจสงสัยเมื่อครู่ต่างนิ่งเงียบ ง่ายดายหรือไม่ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงไข่เหลวกับข้าวสวยเท่านั้น แต่เหตุใดข้าวผัดไข่กระทะนี้กลับน่าเย้ายวนเช่นนี้

หลงจู๊กล่าวว่า “มีลูกค้าท่านใดอยากชิมหรือไม่”

เมื่อครู่ช่วยคลายข้อกังขาของผู้คนเรื่อง “อาหารไม่สะอาด” แล้ว เวลานี้ก็ถึงเวลาคลายข้อสงสัยเรื่อง “รสชาติพื้นๆ” แล้ว

ผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ด้านหน้าก้าวออกมาก่อน เขาเป็นชาวนาที่ทำงานหนักเพื่อส่งเยาเอ๋อร์เรียนหนังสือ เยาเอ๋อร์เอาการเอางาน สอบเคอจวี่ได้เข้าสู่ราชสำนัก ยามนี้เป็นรองเสนาบดีกรมคลังของราชสำนัก บุตรชายกตัญญู รู้ว่าเขาอยากกินของอร่อย ก็เสาะแสวงหาและรวบรวมอาหารรสเลิศที่ทำอย่างประณีตให้เขากินทั้งวัน แต่บุตรชายไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาจดจำมานานหลายปีคืออาหารที่มีกลิ่นหอมเรียบง่าย หาใช่อาหารล้ำค่าและรสชาติดี

ผู้เฒ่ารับช้อนมาท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของฝูงชน ตักข้าวผัดไข่เข้าปากคำหนึ่ง

ข้าวผัดไข่ที่เพิ่งออกจากกระทะร้อนกรุ่น กลิ่นหอมของไข่ตลบอบอวล เอาเข้าปาก กลิ่นหอมละมุนและความกลมกล่อมกระจายไปทั่วโพรงปาก ไข่เหลวชั้นนอกอ่อนนุ่มห่อหุ้มเม็ดข้าวอวบอ้วน หอมหวาน นุ่ม เนียนละเอียดไว้อย่างแน่นหนา

เม็ดข้าวอวบนิ่ม การผัดช่วยขจัดไอน้ำในโพรงข้าว ทำให้ข้าวสวยอวบอิ่ม ไม่นุ่มและไม่แข็งเกินไป เม็ดข้าวแต่ละเม็ดกระเด้งกระดอนในปากพร้อมกับกลิ่นหอมสดชื่นของต้นหอม กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำมันและไขมัน ความกลมกล่อมของไข่แดงผสานกับความชุ่มฉ่ำและความหอมหวานของข้าวสวย พาให้คนตกอยู่ในภวังค์ในชั่วพริบตา ดูคล้ายว่านี่คือรสชาติของคำว่าอบอุ่น ธรรมชาติ บริสุทธิ์ และอ่อนโยน

ผู้เฒ่าไม่ได้ลิ้มรสชาติแบบนี้มานานแล้ว เวลานี้รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง

“เป็นอย่างไรบ้าง” ลูกค้าที่มุงดูอยู่ข้างๆ เห็นเขานิ่งเงียบเนิ่นนานมากจึงรีบถาม

“ดี” เขาพยักหน้านิดๆ ก่อน แล้วค่อยพยักหน้าแรงขึ้นเรื่อยๆ “ดีมาก เอาสิ่งนี้มาให้ข้าหนึ่งจาน!” เขากล่าวจบก็หันหลังเดินเข้าร้านที่ไม่มีใครสักคน

“นี่…ขนาดนั้นเชียวรึ” ทุกคนมองหน้ากันไปมา ต่างฉงนถึงความน่าเชื่อถือของผู้เฒ่าคนนี้

ตอนนั้นเองทุกคนในสำนักศึกษาที่เพิ่งกินเสร็จเดินผ่านมาพอดี ได้เบียดเข้าไปมุงด้วยเช่นกัน

คุณชายผู้จู้จี้จุกจิกที่ตะกละกินมาโดยตลอด ได้ยินว่าที่นี่ต้องการคนชิมอาหาร จึงรีบสาวเท้าเดินเข้าไป “ข้าเอง ข้าเอง”

หลงจู๊เห็นเขาสวมเสื้อแพร เห็นชัดว่าไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป และไม่ใช่ลูกค้าที่ร้านอาหารอยากเชิญชวน จึงหันมองเจียงซูเหย่าที่อยู่ไกลๆ ด้วยความกังวลอยู่บ้าง แต่เจียงซูเหย่าไม่ได้ส่ายหน้า เขาเก็บสายตา ก่อนยื่นช้อนกระเบื้องให้คุณชายผู้จู้จี้จุกจิกอย่างลังเล

แม้คุณชายผู้จู้จี้จุกจิกมีฝีปากร้ายกาจ แต่เป็นคนแยกถูกผิดอย่างชัดเจน วัตถุดิบในจานมีแค่ข้าวสวยกับไข่เหลว เขาก็ไม่ได้เรียกร้องจะกินเนื้อมังกร

เขาตักเข้าปากช้อนหนึ่ง ไข่เหลวอ่อนนุ่มและเนียนละเอียดเคลือบเม็ดข้าวบางๆ พาให้คนรู้สึกว่าได้กินข้าวสวย แต่เม็ดข้าวสวยมีกลิ่นหอมของไข่เข้มข้น ข้าวสวยชุ่มฉ่ำและหอมหวานนั้นสุกกำลังพอดีและเหนียวหนึบ หลังกัดลงไปแล้ว กลิ่นหอมยิ่งแรงขึ้น การคุมความร้อนของไฟอย่างแม่นยำทำให้ข้าวสวยอ่อนนุ่ม ขณะเดียวกันไข่เหลวยังคงให้ความรู้สึกว่าเป็นน้ำไข่ที่กลมกล่อมและเนียนลื่น คล้ายกลิ่นหอมของไขมันที่หมุนวนและแผ่กระจายอยู่ในปาก

“รสชาติธรรมดา มีเพียงกลิ่นหอมของไข่และข้าวเท่านั้น แต่ทั้งสองรสชาติเข้ากันได้อย่างลงตัว กระตุ้นความฮึกเหิมจนถึงขีดสุด ดูคล้ายทำง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความคิดสร้างสรรค์มากมาย” เขาแสดงความคิดเห็น หนำซ้ำยังคิดจะยื่นช้อนเข้ามาตักอีก แต่หลงจู๊ดึงจานออก

ทำอันใดน่ะ มีน้ำลายติดอยู่บนช้อนนะ!

“แค็ก” เขาเพียงแต่สนใจชิมรสชาติจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท “อย่างนั้นเอามาให้ข้าหลายจานหน่อย”

สหายร่วมสำนักศึกษาที่อยู่ด้านหลังสะกิดเขา “ยังกินไม่พออีกหรือ”

“พวกเราเอากลับไปกินที่สำนักศึกษา อ่านหนังสือจนดึกดื่น เจ้าไม่กินมื้อดึกอย่างนั้นหรือ” คุณชายผู้จู้จี้จุกจิกกล่าวเสียงเบาว่า “หรือเจ้ายังอยากไปขโมยหมั่นโถวที่โรงอาหาร”

บรรดาสหายร่วมสำนักศึกษาพากันนิ่งเงียบ

วันนี้คุณชายผู้จู้จี้จุกจิกได้กินของอร่อยแล้ว จึงค่อนข้างอารมณ์ดี กล่าวชมซุนเหนียงจื่อว่า “ฝีมือไม่เลว”

ซุนเหนียงจื่อมองเขาอย่างอึ้งงัน จากนั้นหันมองผู้คนที่มุงดูอยู่ด้านข้าง พวกเขาสูดจมูก พยายามสูดกลิ่นหอม ปากก็กล่าวถึงรสชาติของอาหาร สีหน้าไม่ได้มุ่งร้ายแต่อย่างใด มีแต่ความโหยหาและคาดหวังต่ออาหารเท่านั้น ทั้งยังเจือความอ่อนโยนและเต็มไปด้วยเจตนาดี

ผู้เฒ่าเดินเข้ามาในร้านแล้วตบโต๊ะ ครอบครัวชาวนาของเขามักกล่าวเสียงดัง “อย่ามัวแต่ตะลึง! รีบผัดให้ข้าหนึ่งจาน ข้าผู้เฒ่าหิวจนทนไม่ไหวแล้ว”

ผู้คนทั้งหลายระเบิดเสียงหัวเราะอย่างเป็นมิตร ผู้เฒ่าเดินไปรอบๆ ย่านอาหารข้างทางทั้งวัน พวกเขาจึงรู้จักเขา สัพยอกว่า “ท่านผู้เฒ่าระวังกินจนแน่นท้องนะ!”

“ถุย เจ้าคิดว่าข้าเป็นเจ้ารึ กระเพาะเท่าลูกแมว”

ซุนเหนียงจื่อคุ้นเคยกับชีวิตที่ขลาดกลัวจนตัวสั่นมาช้านาน วันใดไม่ถูกทุบตีก็จะโขกศีรษะกับพื้นขอบคุณสวรรค์ที่เห็นใจนาง และการอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบและผ่อนคลายนี้ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก ราวกับต้นกล้าที่แทงโผล่พ้นผิวดิน ในส่วนลึกของใจที่ใดสักแห่งกำลังสั่นไหว และตกอยู่ในความอ่อนนุ่มที่อธิบายไม่ได้ จู่ๆ นางก็รู้สึกว่านางเข้าใจคำพูดประโยคนั้นของคุณหนูใหญ่แล้ว

อาหารรสเลิศเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจคน

“ฮ่าๆๆ ท่านผู้เฒ่าอย่าได้ดันทุรังยัดเข้าไปเพียงเพราะเส่าจือ[1]ผู้นี้ฝีมือดีเสียเล่า” ลูกค้ายังเย้าแหย่กัน

“ไม่ๆ นี่ไม่ใช่ความดีความชอบของข้า” ซุนเหนียงจื่อเงยหน้าทันควัน กล่าวแก้ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่าและความมีชีวิตชีวาที่ขาดหายไปนาน “เป็นคุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่เป็นคนสอนข้า ข้าวผัดที่ข้าทำนั้นอร่อยน้อยกว่าที่คุณหนูใหญ่ทำมาก! ท่านผู้เฒ่าอย่าเร่งรัด ข้าจะไปผัดให้ท่านประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”

คุณชายผู้จู้จี้จุกจิกเงี่ยหูฟัง มองสหายร่วมสำนักศึกษา สุดท้ายก็เบนสายตาไปที่เซี่ยเย่ “คุณหนูใหญ่หรือ คงจะไม่ใช่คุณหนูใหญ่เจียงกระมัง”

เซี่ยเย่กลอกตา “ใช่แล้ว”

ใบหน้าของคุณชายผู้จู้จี้จุกจิกแตกร้าว เกือบเขวี้ยงช้อนในมือทิ้ง “ไม่! ข้าไม่ยอมรับ! ข้าไม่ยอม! นี่ นี่…พวกเจ้ายิ้มอันใดหรือ! วันนั้นคนที่ตกน้ำไม่ใช่พวกเจ้าสักหน่อย!”

พวกเขาพูดคุยกันเสียงดังเกินไป ทุกคนพากันหันมองทางนี้ มองแล้วก็มีคนจำเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมได้ “นี่คือบัณฑิตของสำนักศึกษาชิงถังกระมัง”

“เอ๊ะ นั่นเป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุด บัณฑิตที่เล่าเรียนที่นั่นทั้งร่ำรวยทั้งสูงศักดิ์ ไม่มีทางได้รับเชิญ”

“อย่างนั้น…พวกเราเข้าไปชิมดีหรือไม่”

“ดีสิๆ ข้าแค่ได้กลิ่นก็หิวแล้ว”

เมื่อมีคนแรกย่อมมีคนที่สองตามมา ผู้คนที่เมื่อครู่คิดจะชมความครึกครื้นทยอยกันเข้ามาในร้าน ทำให้หลงจู๊ดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง รีบสั่งเสียวเอ้อร์ให้พาพวกเขาไปหาที่นั่ง เดิมเข้าใจว่าอีกหลายวันจากนี้ร้านอาหารจะต้องเงียบเหงาไร้ผู้คน นึกไม่ถึงว่าการค้าจะเฟื่องฟูกว่าไม่กี่วันก่อนเสียอีก

ย่านอาหารกลับมาคึกคักเเฉกเช่นกาลก่อนอีกครั้ง ความวุ่นวายเมื่อครู่ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่นี่มีแค่เสียงหัวเราะและอาหารอันโอชะ เฉพาะลูกค้าที่ลือกันปากต่อปากเท่านั้น นอกจากรสชาติแปลกใหม่ในย่านอาหารริมทางแล้ว ยังมีเถ้าแก่ที่เปิดเผย เที่ยงตรง และใจกว้างที่อยู่เบื้องหลังร้านของกินเล่นด้วย

ไอร้อนกระจายออกไป ย่านอาหารริมทางส่งกลิ่นหอมโชยออกไปไกลสิบหลี่ ลูกค้ามีทั้งเดินทั้งนั่ง ต่างคนต่างมีเรื่องราวของตนเอง ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ แต่สุดท้ายอาหารหอมกรุ่นชามหนึ่งจะช่วยปลอบประโลม ดื่มด่ำในคืนฤดูคิมหันต์ที่แสนธรรมดาครึกครื้นยิ่งนัก

โคมแดงที่แขวนอยู่บนถนนสว่างไสวตามแนวถนนเป็นแถวยาว ราวกับมังกรไฟที่เจิดจ้าและวูบวาบ สว่างกว่าเวหาที่เกลื่อนไปด้วยดารา

เซี่ยสวินมองฉากครึกครื้นจบแล้วหันไปกล่าวกับเจียงซูเหย่า “วางใจได้แล้วสินะ”

เจียงซูเหย่าพยักหน้า ตอบว่า “วางใจแล้วเจ้าค่ะ” นางหันหลังเดินไปที่หัวถนน “ในที่สุดก็จัดการทางด้านนี้ใกล้จะเสร็จแล้ว”

เซี่ยสวินเดินเคียงข้างนาง ปกป้องนางจากเด็กซนที่วิ่งไม่ดูทาง เขาถามว่า “จากนี้ยังจะมาที่นี่บ่อยครั้ง อีกหรือไม่”

เจียงซูเหย่าโบกมือให้ผู้อาวุโสของเด็กซนที่กล่าวขออภัยเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นอันใด หลังผู้อาวุโสคว้าตัวเด็กน้อยจากไปแล้ว นางก็ดินไปข้างหน้าพร้อมกับเซี่ยสวิน ตอบว่า “ไม่มาบ่อยครั้ง แล้ว”

เซี่ยสวินพยักหน้า

นางกล่าวเสริมอีกประโยค “จากนี้ข้าจะอยู่ที่เรือนเป็นเพื่อนท่าน”

เซี่ยสวินที่ไม่ทันตั้งตัวถูกอ่านทะลุ ใบหูแดงก่ำอย่างรวดเร็ว เขาไม่ใช่บุรุษหนุ่มขี้อาย ชอบปกปิดความคิดผู้นั้นอีกต่อไป เขาคือคนในดวงใจที่เจียงซูเหย่ายอมรับกับปากตนเอง

เขากระดกมุมปาก กล่าวว่า “แบบนี้ดีมาก”

ท่าทางยอมรับแบบหนังหน้าหนานี้ ทำให้เจียงซูเหย่าหัวเราะจนตัวงอ

ขณะที่หัวเราะอยู่นั้น เซี่ยสวินพลันยืนนิ่งไม่ไหวติง

เจียงซูเหย่าหยุดหัวเราะ เข้าใจว่าเขามีเรื่องใด กลับได้ยินเขาถามว่า “เหนื่อยแล้วกระมัง”

“นิดหน่อยเจ้าค่ะ” เจียงซูเหย่าตอบอย่างงุนงง

เซี่ยสวินยื่นมือออกไป “อย่างนั้นให้ข้าจูงมือเจ้ากลับเรือนเถิด”

แสงไฟที่สว่างไสวและอบอุ่นสาดส่องต้องวงหน้าด้านข้างของเขา ทำให้ใบหน้าเย็นชาในยามปกติดูนุ่มนวลและอบอุ่นอย่างเห็นได้ชัด เจียงซูเหย่าวางมือลงในอุ้งมือของเขา แล้วเลียนแบบวาจาของเขา “แบบนี้ดีมาก”

ถนนเส้นที่ขายของกินเล่นริมทางที่ธรรมดาและครึกครื้น คนทั้งสองจับจูงมือกันเดินไปที่หัวถนน บางครั้งเขยิบเข้าไปใกล้ บางครั้งแยกจากกันเพื่อหลีกเลี่ยงฝูงชน แต่นิ้วทั้งสิบยังคงสอดประสานกันแน่น แผ่นหลังหายลับไปที่หัวถนน และค่อยๆ กลมกลืนไปกับโลกมนุษย์ในคืนฤดูคิมหันต์

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า