[ทดลองอ่าน] คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน เล่ม 3 ตอนที่ 76

《古代吃货生存指南》
คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน

 

เข่อเล่อเจียงทัง เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —
ด้วยฝีมือการปรุงอาหารเลิศรสของ เจียงซูเหย่า
นอกจากจะมัดใจ เซี่ยสวิน ผู้เป็นสามีแล้ว
ยังผูกใจคนในครอบครัวสามีไว้ได้ด้วย

ไม่ว่าปัญหาใดล้วนแก้ไขได้ด้วยอาหารแสนโอชะ
ทั้งคนสูงศักดิ์และคนธรรมดา เมื่อได้ลิ้มลองแล้ว
ไม่มีใครที่จะเพิกเฉย

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

76

 

หลังกำหนดเป้าหมายในภายภาคหน้าแล้ว สิ่งแรกที่เจียงซูเหย่าทำคือบอกเซี่ยสวินว่านางคิดอย่างไร

เซี่ยสวินคาดเดาไว้นานแล้วว่านางจะต้องคิดเช่นนี้ ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย เขาถามนางว่า “คิดดีแล้วใช่หรือไม่ว่าจะทำอย่างไร”

เจียงซูเหย่าส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ค่อยๆ คิดไป สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือทำย่านอาหารริมทางให้ดีก่อน”

เซี่ยสวินเห็นด้วย “ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”

“หลังจากนี้คาดว่าข้าคงออกจากจวนบ่อยครั้ง ท่านไม่ถือสาหรือ”

เซี่ยสวินกล่าวว่า “ไฉนเจ้าเอาแต่ถามคำถามเหล่านี้ เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ถือสา”

เจียงซูเหย่าโล่งใจแล้ว มีเซี่ยสวินคอยหนุนหลัง นางก็สามารถทำสิ่งที่อยากทำได้อย่างวางใจและหาญกล้า

จากช่วงที่อากาศกำลังจะร้อนไปจนถึงอากาศร้อนในฤดูคิมหันต์ค่อยๆ จางหาย เจียงซูเหย่าปรับปรุงรสชาติของอาหารในย่านอาหารข้างทางไปเรื่อยๆ และเพิ่มอาหารประเภทใหม่ขึ้นมา ขณะเดียวกันได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหลินซื่ออย่างต่อเนื่องเพื่อยืนยันการดำเนินงานก้าวต่อไป

นับแต่วันที่เปิดย่านอาหารริมทาง การค้าก็เพื่องฟูขึ้นทุกวัน อาหารที่ขายมีรสชาติเยี่ยมยอด แต่ราคาไม่แพง หากขัดสนก็ยังสามารถหาอาหารอร่อย ราคาถูก และอิ่มท้องกินได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่กังวลมิกล้าควักเงินในตอนแรก หรือลูกค้าที่เพียงอยากลิ้มลองความแปลกใหม่ ไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนัก ต่างก็ถูกพิชิตด้วยอาหารและบรรยากาศในย่านของกินเล่นริมทาง ครั้นถึงยามเย็น ผู้คนหลั่งไหลเข้ามามากขึ้น แม้แต่ถนนที่ตั้งใจขยายให้กว้างก็ยังคับแคบไปถนัดตา

ลูกค้าที่พิถีพิถันจะเข้าไปในร้าน หรือไม่ก็ขึ้นไปชั้นสอง ส่วนคนที่ไม่พิถีพิถันจะนั่งม้านั่งไม้ที่วางอยู่หน้าร้านรับลมเย็นท่ามกลางคนแปลกหน้า เพราะชอบความครึกครื้น

เมื่อเจียงซูเหย่าเริ่มสนใจการค้า ตามปกติจะมาดูแลที่นี่ทุกสองสามวัน ขณะที่หลินซื่อเดิมมาตรวจสอบทุกวัน ทว่ายามนี้น้ำหนักตัวนางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เจียงซูเหย่ามิกล้าปล่อยให้มารดามายังสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ส่งเสียงเอะอะโวยวาย และร้อนจัดบ่อยนัก หลินซื่อทำได้แค่ให้พ่อบ้านที่มีความสามารถสองคนมาพำนักในโรงเตี๊ยมย่านนี้ เพื่อให้พวกเขาคอยรับคำสั่งจากเจียงซูเหย่า

ย่านอาหารเพิ่งเปิดได้สิบกว่าวัน ถนนหนทางกลับมิอาจวางโต๊ะเก้าอี้ได้อีกแล้ว โชคดีที่หลินซื่อมองการณ์ไกล กว้านซื้อที่ดินริมถนนเส้นนี้ไว้แล้ว รวมถึงร้านค้าที่หัวถนนและท้ายถนนด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเห็นม้านั่งไม้ เก้าอี้ไม้วางอยู่ที่หัวถนนและท้ายถนนในย่านนี้

เจียงซูเหย่าเดินผ่านฝูงชน นางหน้าตางดงามผุดผาด กิริยาท่าทางสง่า มวยผมอย่างหญิงที่ออกเรือนแล้ว  เพียงมองเสื้อผ้าที่สวมแวบเดียวก็มองออกว่าเป็นฮูหยินที่มีฐานะดี เหล่าลูกค้าอดหันมองนางไม่ได้

แต่ที่นี่คือเขตอิทธิพลของสกุลหลิน พวกอันธพาลท้องถิ่นที่มักยืนแกร่วอยู่หน้าร้านอาหารและแผงลอยอื่นๆ มิกล้าเข้ามา สำหรับเจียงซูเหย่าแล้ว การเดินไปเดินมาแถวนี้จึงปลอดภัยยิ่ง ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีคนก่อกวน

มีพ่อบ้านเดินตามนางอยู่ด้านหลัง ลูกค้าคิดแค่ว่านางเป็นฮูหยินของเรือนใดเรือนหนึ่งของสกุลหลิน กลับไม่คิดว่าเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนเซียงหยางปั๋ว

เหล่าคนตะกละจะมาที่นี่ทุกวัน ไปๆ มาๆ ก็เห็นเจียงซูเหย่าจนคุ้นตา

“เถ้าแก่ดีจริงๆ” พวกเขานั่งรออาหารอยู่บนม้านั่งยาวข้างทาง แล้วกล่าวทักทายเจียงซูเหย่าอย่างกระตือรือร้น

คราแรกเจียงซูเหย่ายังปรับตัวไม่ทัน แต่ยามนี้คุ้นชินแล้ว นางผงกศีรษะให้พวกเขา

“รสชาติใช้ได้หรือไม่” นางมองลูกค้าที่ไม่คุ้นหน้าพลางถาม

ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นพ่อค้าที่เดินทางมาหาซื้อสินค้าที่เมืองหลวง มีคนแนะนำถึงได้รู้จักย่านอาหารย่านนี้ พวกเขาอยู่ในวัยกลางคน หาเงินได้มากพอแล้ว แค่อยากกินของอร่อย ยามนี้เมื่อมาถึงย่านอาหาร ถือว่าได้กินอย่างถึงอกถึงใจแล้ว

“เถ้าแก่ช่างถ่อมตัว ข้าขึ้นเหนือล่องใต้ เคยกินอาหารมากมาย แต่ข้าเพิ่งเคยลิ้มลองอาหารที่แปลกใหม่และรสชาติแบบนี้เป็นครั้งแรก”

เจียงซูเหย่าสดับเช่นนั้นก็กล่าวว่า “อย่างนั้นก็ดี”

นางยังคงเดินตรงไปด้านหน้า ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ท่ามกลางผู้คนที่สัญจรมาในย่านนี้ดูคล้ายจะมีคนแปลกๆ ปะปนอยู่หลายคน ต่างบอกกันว่าลักษณะของคนมาจากจิตใจที่หนุนส่ง คนพวกนี้หดหัวหดคอ หลบสายตา และทำตัวลับๆ ล่อๆ มองก็รู้แล้วว่าผิดปกติ

เจียงซูเหย่าหันไปสั่งการกับพ่อบ้านประโยคหนึ่ง เขารีบขานรับและขอให้คนที่สกุลหลินเชิญมาตามไปเงียบๆ

เจียงซูเหย่าเดินเข้าไปตรวจดูทุกร้าน พลิกดูสมุดบัญชีเมื่อไม่กี่วันก่อน พร้อมกับประเมินสถานการณ์การค้า ก่อนหยุดอยู่ที่ร้านขายบะหมี่เย็นร้านหนึ่งกะทันหัน

“เจ้าคิดว่าอาหารของที่นี่อร่อยหรือ” คุณชายที่สวมเสื้อแพรคนหนึ่งพึมพำกับสหายที่อยู่ข้างๆ ว่า “ข้าคิดว่าไม่น่าเชื่อถือ”

“ข้าก็คิดอย่างนั้น เจ้าดูร้านนี้สิ แคบเกินไปแล้ว”

พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเสียงแผ่วเบา มีสองคนเดินลงบันไดมากวักมือเรียกพวกเขา “ขึ้นมาได้แล้ว มีโต๊ะว่างแล้ว”

พวกเขาเดินไปทางด้านนั้นอย่างไม่เต็มใจนัก ขณะเดินก็กล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าต้องรอโต๊ะเพื่อจะกินอาหาร แม้แต่ร้านปาเจินไจยังไม่เคยให้ข้ารอโต๊ะมาก่อนเลย”

“ข้าอยากรู้นักว่าจะอร่อยมากเพียงใด”

“ไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนคิดอันใดอยู่ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ออกจากสำนักศึกษาสักครั้ง ไม่ไปหอสุรา แต่กลับมากินอาหารที่นี่แทน”

เจียงซูเหย่าตามพวกเขาขึ้นไปชั้นบน เพียงเพราะคนทั้งสองที่เพิ่งลงมาเรียกคนที่ชั้นล่างนั้นค่อนข้างคุ้นตา หากไม่ใช่เซี่ยเย่และเซี่ยเฮ่าของเรือนใหญ่ยังจะเป็นผู้ใดได้อีก

ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางมักรู้สึกว่าการที่คนทั้งสองชวนสหายมากินดื่มที่นี่เป็นเพราะย่านอาหารริมทางเปิดโดยสกุลหลิน ราษฎรทั่วไปพอใจกับอาหารที่ขายในย่านนี้มาก ไม่รู้ว่าเหล่าคุณชายที่คุ้นเคยกับการกินอาหารที่ปรุงอย่างพิถีพิถันและหายากจะมีความคิดเห็นเช่นไร หากพวกเขาไม่พอใจ อย่างนั้นจะไม่ทำให้เซี่ยเย่กับเซี่ยเฮ่าขายหน้าหรอกหรือ

หลงจู๊ของร้านขายบะหมี่เย็นตามขึ้นไปชั้นบนด้วย สอบถามเจียงซูเหย่าว่ามีอันใดจะสั่งการหรือไม่

เจียงซูเหย่าให้เขาแยกโต๊ะเล็กออกมาตัวหนึ่ง

ขณะที่นางนั่งลง เหล่าคุณชายที่อยู่ทางด้านนั้นก็สั่งไปหลายอย่างแล้ว

“ไฉนถึงมีแต่บะหมี่เย็น ไม่มีเนื้อหรือ”

เสี่ยวเอ้อร์อธิบายว่า “แขกท่านนี้ หากอยากกินเนื้อบริเวณใกล้ๆ มีปิ้งย่างเสียบไม้ ของทอดเสียบไม้ อาหารตุ๋น ไก่ทอดขอรับ ข้าจะไปเอารายการอาหารมาให้ ท่านสั่งที่นี่ พวกเราจะให้คนไปซื้อจากร้านใกล้ๆ แล้วเอามาส่งให้ขอรับ”

วิธีการพูดนี้แปลกใหม่ ทุกคนมองหน้ากัน เดิมคิดจะจับผิดอย่างระมัดระวัง แต่เวลานี้หากยังจะจับผิดอีกก็ออกจะใจร้ายอย่างเห็นได้ชัด จึงได้แต่พยักหน้าและตอบว่าดี

พอได้รับรายการอาหาร ทุกคนตะลึงตาค้าง

รายการอาหารนี้เยอะเกินไปแล้ว หนาเป็นปึก มีมากมายหลายอย่าง ที่สำคัญคือแต่ละอย่างล้วนไม่เคยกินมาก่อน

เสี่ยวเอ้อร์กล่าวว่า “ประเภทเนื้อสัตว์จะอยู่ในนี้ทั้งหมด หน้าท้ายๆ จะเป็นเครื่องดื่มเย็นๆ มีวุ้นเย็น73 ชาผลไม้ ข้าวเย็น[1] และอื่นๆ พวกท่านค่อยๆ เลือกเถิดขอรับ”

คราวนี้มิอาจจู้จี้จุกจิกได้จริงๆ คุณชายผู้สวมเสื้อแพรที่เมื่อครู่จู้จี้จุกจิกที่สุดกระแอมกระไอ ก่อนกล่าวว่า “อืม ดูคล้ายว่าต้องสิ้นเปลืองความคิดไปมากมายขณะคิดรายการอาหาร แม้มีหลายประเภทมาก แต่ไม่รู้ว่าได้คำนึงถึงรสชาติหรือไม่”

เซี่ยเฮ่าหมดความอดทนแล้ว “พอได้แล้ว หากเจ้าไม่อยากกินก็ช่างเถิด อย่าเรื่องมากนักเลย”

อีกฝ่ายไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา “ข้าแค่พูดเท่านั้น ไยจะต้องโมโหมากขนาดนี้ด้วย”

บรรยากาศชะงักงันเล็กน้อย เซี่ยเย่ออกหน้าคลี่คลายสถานการณ์ “สั่งอาหารกันก่อนเถิด ข้าขอแนะนำของทอดเสียบไม้ พวกเจ้ามีใครต้องการบ้าง อืม ยังมีเนื้อแพะย่างที่สั่งได้ ช่างเถิด อย่างนั้นก็เอาปิ้งย่างเสียบไม้ในรายการอาหารแผ่นนี้มาให้พวกเราก็แล้วกัน”

เสี่ยวเอ้อร์จดรายการอาหารแล้วถอยออกไป ทิ้งให้แขกรออย่างอึดอัด โดยไม่มีผู้ใดพูดสักคำ

เซี่ยเฮ่ามิอาจระงับความโกรธไว้ได้ กล่าวกับเซี่ยเย่เสียงแผ่วเบาว่า “เห็นอยู่ว่าพาพวกเขามาสถานที่ที่ดี คนทั้งกลุ่มกลับไม่เต็มใจ เหลือเกินจริงๆ”

สีหน้าเซี่ยเย่ยังเป็นปกติ ไม่ขึ้งเคียด “ไยจะต้องเสียเวลาพูดมากด้วย รออาหารมาก่อน การโต้เถียงเมื่อครู่ก็ชัดเจนแล้ว”

บะหมี่เย็นมาถึงก่อน พอนึ่งบะหมี่จนสุกก็พักให้เย็น วางถั่วงอกไว้ด้านล่าง ราดซีอิ๊ว น้ำมันพริก น้ำส้มสายชู น้ำกระเทียม จากนั้นโรยเกลือ ฮวาเจียว ต้นหอม และปิดท้ายด้วยแตงกวาหั่นฝอยก็พร้อมกิน

ในชามกระเบื้องใบใหญ่เต็มไปด้วยบะหมี่เย็นสีเหลืองอ่อน กระเทียมสับสีขาวนวล ซีอิ๊วหวานสีน้ำตาลแดง น้ำมันพริกมันวาว แตงกวาหั่นฝอยและต้นหอมซอยสีเขียว แม้สีสันเรียบง่าย แต่ไม่ซ้ำซากจำเจ บะหมี่เย็นมีกลิ่นซับซ้อน เปรี้ยว หวาน ชา เผ็ด และหอม ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารของผู้คนได้แม้เป็นฤดูคิมหันต์ที่ไม่ใคร่เจริญอาหารนักก็ตาม

หลังใช้ตะเกียบคลุกเคล้าให้เข้ากัน บะหมี่เย็นที่นุ่มเหนียวถูกเคลือบด้วยน้ำปรุงรสอย่างสม่ำเสมอ แต่ละเส้นมีสีน้ำตาลแดง และมันเงาด้วยน้ำมันพริก น่าอร่อยกว่าบะหมี่ที่ราดน้ำแกงร้อนๆ จืดชืดที่กินอยู่เป็นประจำ

ทุกคนขยับตะเกียบเงียบๆ ด้วยเป็นบะหมี่เย็น จึงไม่จำเป็นต้องกินคำเล็กเพราะเกรงว่าจะถูกลวก พวกเขาล้วนคีบคำใหญ่เข้าปาก สิ่งแรกที่ได้สัมผัสคือความเย็นสดชื่น ตามด้วยความกลมกล่อมและความหวานของซีอิ๊วหวาน กลิ่นหอมและรสเผ็ดจากน้ำมันพริก ความชาของฮวาเจียว ความเผ็ดของกระเทียม และความเปรี้ยวของน้ำส้มสายชูแผ่ไปทั่วปลายลิ้น กระตุ้นต่อมรับรสโดยพลัน ก่อนพุ่งตรงไปที่หน้าผาก ทำให้กลุ่มคนที่เบื่ออาหารรู้สึกอยากอาหาร

บะหมี่เย็นเคี้ยวหนึบ แต่ละเส้นแยกกันชัดเจน เพราะเป็นบะหมี่น้ำด่าง กินแล้วจึงหอมกลิ่นขี้เถ้า น้ำมันพริกเผ็ดแต่ไม่แห้ง เมื่อเทียบกับความเผ็ด จะหอมมากกว่า ความเผ็ดเพียงเสริมความหอมให้เด่น เมื่อผสมกับซีอิ๊วหวานที่ต้มจากน้ำตาลทรายแดง ต้าเลี่ยว อบเชย ชะเอมเทศ และเครื่องเทศอื่นๆ ในความเผ็ดจะมีกลิ่นหอม ในความหอมจะมีรสหวานเล็กน้อย

บะหมี่เย็นทำง่ายมาก นอกจากบะหมี่แล้ว เครื่องเคียงอื่นๆ มีแค่แตงกวาหั่นฝอยและถั่วงอก แค่รสชาติที่เรียบง่ายก็ให้ความเย็นสดชื่นเพียงพอ เส้นบะหมี่นุ่มเหนียวผสมกับถั่วงอกกรอบๆ กัดแล้วดัง “กร้วมๆ”

ถั่วงอกขมและหวานนิดหน่อย แตงกวาหั่นฝอยหอม สดชื่น ชุ่มฉ่ำ เมื่อกำจัดความมันของน้ำมันพริกในบะหมี่เย็นออกไป จะเหลือเพียงความเปรี้ยว เผ็ด สด และหอม ไม่จำเป็นต้องรอและไม่ต้องระวังสามารถคีบเข้าปากและเคี้ยวคำใหญ่ได้เลย ความทรมานจากการไม่อยากอาหารในหน้าร้อนที่มีมานาน ในที่สุดก็ได้รับการช่วยชีวิตแล้ว

เวลานี้ยกข้าวเย็นมาแล้ว ในชามกระเบื้องขาวเต็มไปด้วยวัตถุดิบหลากสีสัน ข้าวเหนียวขาวอวบอิ่ม เห็ดหูหนูโปร่งแสงอ่อนนิ่ม พุทราแดง ลูกเกด บัวลอยเผือก แตงโม ถั่วลิสงบด ผลไม้เชื่อม วางกองรวมกันหลากหลายสี มีก้อนน้ำแข็งใสแวววาวลอยอยู่ในน้ำ และกลิ่นหอมหวานปะปนมากับไอเย็นที่ลอยขึ้นมา

“เหตุใดถึงแช่ข้าวในน้ำเย็น มิหนำซ้ำยังใส่ผลไม้เชื่อมด้วย” คนจู้จี้จุกจิกเมื่อครู่พูดขึ้นมาอีกครา หลังกินบะหมี่เย็นแล้ว ครั้งนี้เพียงทอดถอนใจ มิกล้าพูดมากอีก

พอเขากินเข้าไปแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด กลิ่นหอมสดชื่นของผลไม้และความหวานเลี่ยนของผลไม้เชื่อมที่ละลายในน้ำเย็นกลายเป็นความหวานเล็กน้อยที่สดชื่น เวลานี้ข้าวเหนียวไม่ถือว่าเป็นอาหารจานหลัก แต่กลับเป็นของหวานอย่างหนึ่ง นุ่มเหนียวหวานชุ่มฉ่ำ แช่อยู่ในน้ำเย็น แต่ละเม็ดอวบอิ่ม เหนียวเล็กน้อย เย็นจัด หนึบหนับ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าว และหวานกำลังดี เมื่อกินคู่กับบะหมี่เย็นช่วยคลายร้อนได้

ครั้งนี้เขามิอาจบ่น ได้แต่หุบปากเงียบ

กระทั่งปิ้งย่างเสียบไม้มาถึง ทุกคนยิ่งประหลาดใจกับกลิ่นหอมจัดและกลิ่นเผ็ดร้อนของอาหารที่ย่างด้วยเตาถ่าน เมื่อครู่ยังรู้สึกว่าฤดูร้อนสมควรกินของเย็นๆ ดื่มของเย็นๆ ยามนี้รู้สึกว่าการกินเนื้อคำใหญ่ถึงจะดีที่สุด เผ็ด เค็ม น้ำมันไหลออกมาเสียงดังฉ่า ทั่วร่างกระปรี้กระเปร่าขึ้น นี่ถึงจะเรียกว่าถึงอกถึงใจ!

เมื่อคนทั้งกลุ่มกินกันอย่างเต็มที่ ก็ได้ยินคนข้างๆ กล่าวถึงย่านอาหารเสียงดัง

เวลากินอาหารพวกเขาไม่พูดคุย ทุกคนจึงเงี่ยหูฟัง

จากนั้นทุกคนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป

“พวกเขาเพิ่งบอกว่าที่แห่งนี้เปิดโดยสกุลหลินอย่างนั้นหรือ”

“สกุลหลินหรือ เป็นสกุลหลินของจวนเซียงหยางปั๋ว อย่างนั้นที่นี่ไม่ใช่…”

ทุกคนพากันหันมองเซี่ยเย่กับเซี่ยเฮ่า “ที่นี่คงไม่ใช่ของคุณหนูใหญ่เจียงสกุลหลินกระมัง”

เซี่ยสวินอาจไม่ค่อยรู้ว่าปีนั้นเจียงซูเหย่าใจกล้ามากเพียงใด แต่พวกเขาที่มีอายุเท่ากันกลับรู้อย่างถ่องแท้ หลังเกิดเรื่องตกน้ำเมื่อปีนั้น คนกลุ่มนี้ขอเพียงได้ยินว่าในงานเลี้ยงมีสตรีก็จะพากันเดินอ้อม

การนินทาเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ พวกเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เมื่อพวกเขาเอ่ยถึงเจียงซูเหย่า ก็เริ่มไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง พากันทอดถอนใจที่เซี่ยสวินโชคร้าย เป็นถึงทั่นฮวาที่มีความสามารถน่าทึ่ง สุดท้ายกลับต้องวิวาห์กับถุงฟางข้าว

เซี่ยเย่กับเซี่ยเฮ่าฟังแล้วไม่สบายใจ ขณะจะโต้แย้ง คุณชายที่เรื่องมากที่สุดเมื่อครู่ก็ชิงกล่าว “เวลานี้พวกเราอยู่ในสถานที่ที่มีความสุขที่สุดในแผ่นดิน อย่าบังคับให้ข้าต้องอัดเจ้า!” กล่าวคำไม่น่าฟังถึงบุตรีของคนอื่นเขาในถิ่นของสกุลหลิน หลังจากนี้ยังอยากมากินอาหารอีกหรือไม่

ทุกคนกลัวสหายร่วมสำนักศึกษาที่มีฝีปากร้ายผู้นี้เป็นที่สุด จึงหุบปากอย่างไม่เต็มใจ และไม่คิดเชื่อมโยงอาหารรสเลิศเหล่านี้กับเจียงซูเหย่า

เซี่ยเย่เห็นเช่นนั้น ก็กล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า “อาหารเหล่านี้ ไม่สิ กล่าวให้ถูกต้อง อาหารในถนนเส้นนี้ทั้งหมด ล้วนแต่เป็นอาหารที่ท่านอาสะใภ้สามของข้าคิดค้น”

ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนระเบิดเสียงหัวราะออกมา

“ช่างมีอารมณ์ขัน ช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง”

“ถนนเส้นนี้มีของกินมากมายที่คิดค้นขึ้นโดยคนคนเดียว อย่างนั้นมิเท่ากับว่าจะต้องรอไปจนถึงเมื่อไรก็ไม่รู้หรือกว่าจะคิดออกมาได้ เจ้าอย่าหลอกพวกข้าหน่อยเลย”

พวกเขาคุยกันอยู่ แต่จู่ๆ ก็หยุดลง

เจียงซูเหย่าเดินออกจากด้านหลังฉากบังตาพลางเหลือบมองพวกเขา

เมื่อนึกถึงความบ้าบิ่นของนางเมื่อปีนั้น ผู้คนที่ดื่มน้ำแกงและรูดกินของปิ้งย่างอยู่ก็ตัวสั่นสะท้าน และพากันขดตัวเข้ามุม

เซี่ยเย่กับเซี่ยเฮ่าไม่คิดว่าเจียงซูเหย่าจะอยู่ที่นี่ หนำซ้ำนางยังได้ยินสหายร่วมสำนักศึกษาวิพากษ์วิจารณ์นางจึงกล่าวอย่างละอายใจว่า “ท่านอาสะใภ้สาม”

“รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง ถูกปากหรือไม่” เจียงซูเหย่าถาม

ทุกคนผงกศีรษะช้าๆ “ดี ดีมาก”

นางวางใจแล้ว “อย่างนั้นก็ดี ดูคล้ายว่าไม่มีปัญหาด้านรสชาติ” ทั้งราษฎรทั่วไปและคุณชายผู้เรื่องมากต่างชอบเหมือนกันถือว่าได้มาตรฐาน

สิ้นเสียง นางก็หันหลังเดินลงไปชั้นล่าง เพิ่งเดินถึงหัวบันได พลันนั้นเซี่ยสวินก็เดินขึ้นบันไดมา

เมื่อเหล่าบัณฑิตของสำนักศึกษามองออกว่าเป็นเจียงซูเหย่ายังต้องตั้งสติครู่หนึ่ง แต่เมื่อเหลือบเห็นแผ่นหลังของเซี่ยสวิน ก็จำได้ทันทีว่าเขาเป็นเซี่ยซานหลางที่พวกตนเลื่อมใสมานานปี

ทันทีที่เห็นสีหน้าเย็นชาของเซี่ยสวิน พวกเขาก็ถอนหายใจ “เฮ้อ คู่รักคู่แค้น…หืม”

เซี่ยสวินผู้มีสีหน้าเย็นชารีบเดินมาตรงหน้าเจียงซูเหย่า ก้มหน้าลงพร้อมกับระบายยิ้มบนดวงหน้าราวกับนภาที่ปลอดโปร่ง “ได้ยินคนบอกว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าก็เลยมาหา วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง เหนื่อยหรือไม่ ต้องปรับปรุงรสชาติหรือไม่”

เจียงซูเหย่าส่ายหน้า “น่าจะไม่มีแล้ว”

เซี่ยสวินกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ก็บอกแล้วว่าฝีมือการทำอาหารของเจ้ายอดเยี่ยม ไยต้องกังวลว่าจะไม่ถูกปากของลูกค้า”

“ที่ไหนกัน พอปรับปรุงรสชาติหลายครั้ง ทุกคนถึงได้บอกว่าดีขึ้น”

แม้เซี่ยสวินกลัวว่านางจะเหน็ดเหนื่อย แต่ก็รู้สึกว่านางเปล่งประกายไปทั่วร่าง ครั้นเห็นนางพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นและแสวงหาความก้าวหน้าในการทำอาหาร สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนยิ่งขึ้น เสียงอ่อนอย่างไม่น่าเชื่อ “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบคิดค้นอาหาร และชอบที่จะพัฒนาฝีมือการทำอาหาร แต่อย่าทำให้ตนเองเหน็ดเหนื่อย”

เจียงซูเหย่าพยักหน้าก่อนเดินลงบันได

เซี่ยสวินรีบเดินตามหลัง ยื่นแขนออกไปพยุง ด้วยกลัวว่านางจะก้าวพลาดจนลื่นล้ม

สายลมในคืนฤดูคิมหันต์จู่ๆ ก็พัดโชยมาเสียงอื้ออึง

บัณฑิตทุกคนงุนงง มองฉากตรงหน้าปากอ้าตาค้าง

พวกเขาตาบอดอยู่อย่างนั้นหรือ คุณชายสามสกุลเซี่ยไฉนถึงได้ปฏิบัติต่อเจียงต้า[2]แบบนี้ ไหนบอกว่าไม่เต็มใจไม่ใช่หรือ ไหนบอกว่าเป็นคู่รักคู่แค้นกันอย่างไรเล่า นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นคู่ที่รักกันมาก

สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือเซี่ยเย่และเซี่ยเฮ่าอาจจะโกหก แต่เซี่ยซานหลางไม่มีวันโกหก

ดังนั้นอาหารที่พวกเขากินเหล่านี้ถูกคิดค้นโดยคุณหนูใหญ่เจียงจริงหรือ

เซี่ยเฮ่ามองพวกเขาที่นิ่งงันเป็นไก่ไม้[3] มีสีหน้าไม่อยากเชื่อและใบหน้าแดงก่ำ ก็ส่ายหัวพลางถอนหายใจ กล่าวว่า “ใบหน้าปวดแสบปวดร้อนใช่หรือไม่ เฮ้อ วันนั้นข้าก็รู้สึกแบบเดียวกันนี้”

 

[2] คุณหนูใหญ่สกุลเจียง

[3] หมายถึง เหม่อค้างด้วยความตกตะลึงหรือตื่นตระหนกจนตัวแข็งทื่อราวกับไม้สลักรูปไก่

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า