[ทดลองอ่าน] ข้าอยากเป็นภรรยาจอมยุทธ์ ตอนที่ 3.2

ข้าอยากเป็นภรรยาจอมยุทธ์
鸢鸢相报

 

จ้าวเฉียนเฉียน 赵乾乾 เขียน
ลีลรักษ์ แปล

 

— โปรย —
หวังชิงเฉี่ยน บุตรีเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ผู้มีความคลั่งไคล้ที่จะเป็นจอมยุทธ์หญิง
และมีความใฝ่ฝันว่าอยากแต่งงานกับจอมยุทธ์หนุ่ม
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าวันหนึ่งบุตรชายอัครเสนาบดี ฟั่นเทียนหาน
ผู้มีคุณสมบัติเป็นเลิศระดับจ้วงหยวนบู๊คนใหม่จะมาสู่ขอนาง
ที่ไม่มีคุณสมบัติกุลสตรีตามแบบฉบับอะไรเลย นอกจาก “ความรวย”

นางแคลงใจนักว่าเขาคงแต่งเพราะหมายตาสินเดิมเจ้าสาวอันมหาศาลของนางล่ะสิ!
แต่ในเมื่อสตรีอย่างไรก็ต้องออกเรือน แต่งกับจ้วงหยวนบู๊
ก็ใกล้เคียงความฝันของนางกึ่งหนึ่ง เช่นนั้น “แต่งก็แต่ง”

แต่หลังจากแต่งงานกันแล้ว กลับพบว่าเรื่องราวมันแสนจะพิลึกพิลั่นกว่านั้นมาก
มีอย่างที่ใด ในจวนจ้วงหยวนที่นางกับสามีอยู่ด้วยกัน
ยังมีญาติผู้น้องของเขาตามมาอยู่ด้วย!
ทั้งนางยังถูกดึงเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวความรักความแค้นของคนอื่นโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีก

ตกลงว่าที่สามีจ้วงหยวนบู๊รูปงามยืนกรานจะแต่งงานกับนางเป็นเพราะอะไรกันแน่
แล้วความฝันที่จะได้ผาดโผนผจญภัยไปกับยอดฝีมือผู้รู้ใจของนางจะเป็นอย่างไรต่อ

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

3.2
ญาติผู้น้องหญิง

หลังกินมื้อเที่ยงเสร็จ ข้ากับเป่าเอ๋อร์กำลังนั่งคุยเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้อง ฟังนางเล่าว่าเซียวจื่ออวิ๋นชอบเดินยักย้ายส่ายสะโพก จนพวกบ่าวแอบเรียกนางลับหลังว่าปีศาจงู

ตอนที่ฟั่นเทียนหานผลักประตูเข้ามาข้ากำลังหัวเราะเบิกบาน พอเห็นเขาเท่านั้นแหละ ข้าก็ตกใจจนสำลักน้ำลาย

ข้าไม่ได้เจอหน้าใต้เท้าฟั่นท่านนี้มาสามสี่วันแล้ว ได้ยินว่าเขาติดตามท่านอัครเสนาบดีไปตรวจดูความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงแก้เผ็ดเซียวจื่ออวิ๋นได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรคตลอดหลายวันที่ผ่านมา

เขารินชาใส่ถ้วยยื่นให้ข้าถึงมือ พร้อมกับกันเป่าเอ๋อร์ที่กำลังตบหลังให้ข้าออกไป เทียบกับแรงตบที่ทำให้ข้าถึงตายได้ของเป่าเอ๋อร์แล้ว เขาตบได้นุ่มนวลกว่ามาก ระหว่างใจลอยอยู่นั้นเอง จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าเขาเหมือนท่านแม่ที่กล่อมข้าเข้านอนสมัยข้ายังเด็ก

ดูแล้ว หากมิใช่เพราะข้าสำลักน้ำลายจนเลอะเลือน ก็คงเพราะกลิ่นอายบุรุษเพศของเขาไม่มากพอ

รอจนข้าสงบลงแล้ว เขาจึงถาม “เจ้าแต่งเข้าบ้านมากี่วันแล้ว”

ข้าโพล่งออกไป “แปดวัน ไม่มากไม่น้อย”

ฟั่นเทียนหานชอบใจ “จำแม่นจริงๆ”

ข้านิ่งเงียบไม่ต่อคำ หนึ่งวันที่ราวกับแรมปีเช่นนี้จะจำไม่แม่นได้อย่างไร

“พรุ่งนี้ข้ากับเจ้าต้องกลับไปบ้านเดิมฝ่ายภรรยากระมัง”

ข้าไม่เข้าใจ “เหตุใดต้องกลับบ้านเดิมด้วย เจ้าอยากหย่ากับข้าแล้วหรือ”

เขาถอนหายใจ “ฟังเสียงเจ้าเหมือนจะดีใจมากกว่านะ”

ข้ายกมือขึ้นลูบรอยยิ้มบนหน้าให้เรียบ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้ว ข้าเศร้าใจจะตายไป”

เขาขยับเก้าอี้มาแล้วนั่งลง เอ่ยกับข้าว่า “ชิงเฉี่ยน พรุ่งนี้เรากลับบ้านเดิมไปเยี่ยมญาติฝ่ายภรรยาต่างหาก เจ้าลองคิดดูว่าพ่อเจ้ากับพวกอี๋เหนียงชอบอะไรบ้าง จะได้ให้พ่อบ้านหลี่ไปเตรียมไว้”

นึกไม่ถึงว่าคำถามง่ายๆ นี้กลับทำให้ข้าไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ ข้ามีอี๋เหนียงเก้าคน จึงมักจำความชอบของแต่ละคนสลับกัน ส่วนพ่อข้านั้น สิ่งที่เขาชอบข้ารู้ดีมาก…ผู้หญิง

ฟั่นเทียนหานดึงหางเปียที่เคลียไหล่ข้าเบาๆ “นี่เจ้ารู้แล้วอุบเงียบหรือ”

ข้าดึงผมเปียของข้ากลับมา ฟ้าดินเป็นพยานได้ ข้ากำลังอุบเงียบเสียที่ใดกัน

สุดท้ายเป็นเป่าเอ๋อร์ที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ข้า นางเอ่ยว่า “ของนายท่านคืออาหารเลิศรส ส่วนฟูเหรินทั้งหลายชอบพวกเครื่องทองและหยกที่สตรีนิยมกันเจ้าค่ะ”

ข้าเหลือบมองเป่าเอ๋อร์ด้วยความผิดหวัง พ่อข้าชอบอาหารเลิศรสอย่างนั้นหรือ ข้าเป็นลูกสาวเขามาสิบแปดปี เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกก็คราวนี้เอง ไม่ว่าผู้ใดล้วนรู้ดีว่าเจ้าเสเพลหวังสมัยหนุ่มกินแต่อาหารหยาบๆ จนชิน พอร่ำรวยขึ้นมาจึงเกิดอาการกินอาหารหรูแล้วผิดสำแดง กินเข้าไปเท่าใดก็อาเจียนออกมาหมด

เป่าเอ๋อร์ถูกข้าเหล่ตามองก็ตระหนักถึงความผิดพลาดของตน ตะลีตะลานเอ่ยว่า “เอ่อ ของคุณหนูคืออาหารเลิศรส ส่วนนายท่านชอบกระสัน เอ๊ย สีสันเจ้าค่ะ”

คำพูดนี้ของนางทำให้ข้าขบขันยิ่งนัก มือกุมท้องหัวเราะไม่หยุด สุดท้ายฟั่นเทียนหานต้องจี้สกัดจุดเพื่อไม่ให้ข้าหัวเราะจนตะคริวกินท้อง

ตกเย็นพ่อบ้านหลี่ส่งของขวัญจำนวนหนึ่งมาให้ข้าตรวจดู สิ่งใดพึงมีล้วนมีพร้อมสรรพ ตั้งแต่หูฉลาม รังนก ตลอดจนเครื่องประดับต่างๆ ก่อนหน้านี้ข้าสงสัยมาตลอดว่าฟั่นเทียนหานแต่งงานกับข้าเพราะจ้องอยากได้สินเดิมของข้า กอปรกับจวนจ้วงหยวนยังค่อนข้างเล็ก ข้าถึงขั้นรู้สึกว่าตนควรเรียนรู้หลักการเป็นแม่ศรีเรือนที่ขยันขันแข็งและมัธยัสถ์ เพื่อเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นตัวอย่างของสามีภรรยาที่ยากจนต้องตรอมตรมทุกเรื่องราว…เห็นทีข้าจะคิดมากเกินไป

มือเย็น ฟั่นเทียนหานกับเซียวจื่ออวิ๋นไม่ได้มากินข้าวด้วย ข้าจึงให้เป่าเอ๋อร์มานั่งกินด้วยกันเสียเลย ระยะนี้เป่าเอ๋อร์ใช้ชีวิตยากลำบากยิ่งนัก เพราะกฏระเบียบในจวนจ้วงหยวนห้ามมิให้บ่าวนั่งตีเสมอเจ้านาย นางจึงไม่สามารถร่วมโต๊ะกับข้าได้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่านางไม่สามารถกินข้าวที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งของข้าได้ และหมายความว่านางมักกินไม่อิ่ม

กินไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ ฟั่นเทียนหานก็โผล่มา คราวนี้เป็นเป่าเอ๋อร์ที่สำลักข้าวเกือบตาย

ข้าตบหลังเป่าเอ๋อร์ พลางต่อว่าฟั่นเทียนหาน “นิสัยชอบโผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเช่นนี้ ท่านแก้ไขหน่อยเถอะ”

เป่าเอ๋อร์รีบลุกขึ้นจะยกที่นั่งให้ แต่ข้ากดนางให้นั่งลงแล้วเอ่ยว่า “นั่งไป ดูตัวเจ้าสิ ผอมจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว ยังไม่นั่งกินข้าวดีๆ อีก”

เอ่ยจบ ข้าก็มองใบหน้าอวบอ้วนมันแผล็บที่ฉายแววร้อนตัวของเป่าเอ๋อร์ จากนั้นเหลือบมองฟั่นเทียนหานผ่านๆ พลางถาม “ท่านจะกินด้วยกันหรือไม่”

สีหน้าของฟั่นเทียนหานเหมือนกำลังพินิจพิเคราะห์ว่าเป่าเอ๋อร์ผอมลงตรงไหน พอได้ยินก็ตอบไปตามเรื่อง “ข้าดื่มน้ำแกงสักหน่อยก็พอ”

ข้าหยิบชามเปล่าขึ้นมาจะตักน้ำแกงให้เขา แต่เขากลับเอื้อมมือมาหยิบชามน้ำแกงของข้าแทน ดื่มไปเล็กน้อย เขาก็มุ่นคิ้ว “น้ำแกงนี้ไม่ถูกปากข้า ไม่ต้องตักแล้ว”

ข้าทำเป็นไม่ได้ยินตักน้ำแกงมาชามหนึ่ง เลื่อนชามที่เขาดื่มไปเมื่อครู่หลบไปทางด้านหนึ่ง แล้วยกชามที่เพิ่งตักใหม่ขึ้นมาซด

เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ชักสีหน้าเล็กน้อย ทันใดนั้นก็โน้มตัวลงมาดูดปากข้า

นี่ๆๆ…

เมื่อสติที่เตลิดเปิดเปิงไปกลับมา ตรงหน้าข้าก็เหลือเพียงเป่าเอ๋อร์ที่เอามือปิดปากแอบยิ้ม ข้าเม้มปากโดยไม่รู้ตัว เอ่ยว่า “เป่า…เป่าเอ๋อร์ เขา…”

เป่าเอ๋อร์เอ่ยเย้าแหย่ “ท่านเขยรอท่านเรียกสติกลับมาไม่ไหว ถูกพ่อบ้านหลี่มาตามตัวไปแล้ว ท่านดื่มน้ำแกงอีกสักหน่อยเถิด โดยเฉพาะชามที่ตักมานั่น อย่าให้เสียของ”

 

ชาวบ้านมักกล่าวกันว่า หากวิตกกังวลมากเกินไป ผมจะขาวโพลนภายในชั่วข้ามคืน แต่หากบอกว่ามีคนนิสัยเปลี่ยนภายในชั่วข้ามคืนละก็ เช่นนั้นควรเรียกว่าผีเข้าสิงได้หรือไม่ วันนี้ตั้งแต่เช้ามา ฟั่นเทียนหานก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ราวกับถูกผีเข้าสิง

เขาส่งคนมาเรียกข้าแต่เช้าให้เตรียมตัวออกเดินทางกลับบ้านเดิม ข้ากับเป่าเอ๋อร์สาละวนวุ่นวายอยู่พักใหญ่กว่าจะออกมาได้ แต่ฟั่นเทียนหานมารอที่ประตูใหญ่ก่อนแล้ว เขายืนอยู่ระหว่างสิงห์คู่ที่ขนาบหน้าประตูจวนจ้วงหยวน ดูหล่อเหลาองอาจยิ่งกว่าสิงโตเป็นร้อยเท่า

ข้าเดินยิ้มร่าเข้าไปหา “เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่”

นี่เป็นคำทักทายที่สุดแสนจะธรรมดา แต่พอเขาได้ยินกลับหน้าแดงขึ้นมาทันที เอ่ยเสียงขุ่นว่า “ขึ้นรถ”

เวลานี้เองข้าถึงได้สังเกตเห็นว่ามีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตู ขณะที่กำลังจะหารือกับเขาว่าข้าไม่ชอบนั่งรถม้า แต่พอเห็นเขายังทำสีหน้าบอกบุญไม่รับ ข้าก็ได้แต่ต้องยอม

ม้านี่ก็ไม่รู้ว่าไปกินหญ้าเซียนอะไรมา วิ่งฉิวราวกับควบเมฆขี่หมอก เขย่าจนท้องไส้ข้าปั่นป่วนจนอยากอาเจียน ข้าพยายามฝืนนั่งอยู่สักพัก สุดท้ายก็ขยับเข้าไปหาฟั่นเทียนหานซึ่งนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของรถม้า เอ่ยว่า “ระยะทางระหว่างจวนจ้วงหยวนกับบ้านข้าห่างกันไม่ไกลมาก เต็มที่ก็เพียงครึ่งก้านธูป มิสู้เราเดินไป ฝึกกำลังกายไปในตัว ”

เขาปรายตามองข้าอย่างเย็นชา เขยิบออกห่างจากข้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าอยากลงไปเดินก็ไปเองสิ”

ถูกทำเย็นชาใส่โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ข้าลูบจมูกป้อยๆ แล้วลุกกลับไปนั่งที่เดิม ไม่คาดว่าเจ้าม้าที่กินหญ้าเซียนเข้าไปจะเกิดอาการผิดสำแดงขึ้นมา จัดท่ามังกรเทพฟาดหางมาให้หนึ่งกระบวน เหวี่ยงข้ากระเด็นไปอีกฝั่งของภายในตัวรถ ตกลงไปในอ้อมแขนของฟั่นเทียนหานเสียอย่างนั้น

ฟั่นเทียนหานกอดข้าไว้ จากนั้นจู่ๆ ก็ปล่อยมือทิ้งข้าลงทันที ทำราวกับข้าเป็นโรคร้ายแรงที่สามารถติดต่อได้อย่างไรอย่างนั้น

ข้าทึ่มทื่อไป ท่าทางราวกับตัวเองถูกลวนลามจนตกใจเป็นนกหวาดเกาทัณฑ์ของเขานี่มาได้อย่างไรกัน หากข้าจำไม่ผิด เมื่อวานคนที่ถูกลวนลามคือข้ามิใช่หรือ เหตุใดกลับกลายเป็นเขาที่ทำตัวเหมือนหญิงสาวถูกพรากพรหมจรรย์แทนเล่า

แม้ว่าข้าจะไม่มีประสบการณ์ในด้านชีวิตคู่มากนัก แต่ก็ยังรู้ว่าการที่จู่ๆ สามีภรรยาจะนึกอยากจุมพิตกันขึ้นมาเป็นบางเวลาก็เป็นเรื่องปกติ เดิมข้าก็ยังสงบนิ่งได้อยู่ แต่พอถูกเขาทำท่าทีประดักประเดิดใส่เช่นนี้ ข้าก็แอบรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้องเช่นกัน

ข้าลูบสะโพกย้ายไปนั่งตรงมุมรถเงียบๆ แต่เพิ่งจะหย่อนก้นลงนั่ง รถก็กระเด้งกระดอนอีกจนอยากอาเจียนเต็มที ได้แต่เอ่ยปากอีกครั้ง “รถม้านี้ข้านั่งไม่สบายจริงๆ ให้ข้าลงไปเถอะ”

เขาทำสีหน้าเหลืออด “เจ้าเปราะบางถึงเพียงนี้เชียว? อยากลงก็กระโดดออกไปทางหน้าต่างแล้วกัน”

คนอย่างข้าทนคำท้าทายของผู้อื่นไม่ได้เป็นที่สุด ทันทีที่เขาพูดจบ ข้าก็แหวกม่านหน้าต่างกระโดดออกไป พลิกตัวตีลังกา ร่อนลงสู่พื้นอย่างมั่นคง ถึงได้บอกแล้วอย่างไร คนเราต้องหัดฝึกทักษะการป้องกันตัวไว้บ้าง ท่าห่านป่าร่อนถลาที่ลักเรียนมาจากอาจารย์นี้ แม้ไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้าเหาะลงมาจากหลังคาได้ แต่เหาะลงมาจากรถม้ายังนับว่าเหลือเฟือ

สารถีร้อง “อวี้…” เสียงยาวให้ม้าหยุด เจ้าม้าบ้าจึงหยุด

ม่านรถเลิกขึ้น เป่าเอ๋อร์ชะโงกหน้าออกมา ขยี้ตาพลางถามว่า “คุณหนู ท่านลงไปทำไมเจ้าคะ รีบขึ้นมาเร็วเข้า”

ท่านแม่ย่าเป่าเอ๋อร์ที่วาสนาสูงเทียมฟ้าท่านนี้ พอก้าวขึ้นรถก็หลับทันที แม้แต่ตอนที่ข้ากับฟั่นเทียนหานล้มกลิ้งอยู่ในรถม้าไปหนึ่งรอบก็ไม่ได้ทำให้นางตื่นแต่อย่างใด

ศีรษะของใต้เท้าฟั่นโผล่ออกมาที่หน้าต่างเช่นกัน เวลานี้ใบหน้าเขาราบเรียบไร้อารมณ์ น้ำเสียงเยียบเย็น “ปล่อยนางไป ข้าอยากดูเหมือนกันว่านางจะรั้นไปได้สักกี่น้ำ”

ฟังนะ นี่มันคำพูดคำจาที่คนเขาใช้พูดกันหรือ

 

ข้าเดินเตร่เตะหินไปบนถนนตามลำพัง ส่วนรถม้าวิ่งช้าบ้างเร็วบ้างตามหลังข้ามา เป่าเอ๋อร์เกาะขอบหน้าต่างรถ ร้องแรกแหกกระเชอ แต่ก็ไม่ได้ลงมาเดินเป็นเพื่อนคุณหนู เจ้าลูกหนังลูกนี้นี่

วันนี้อากาศดีมาก เมฆบางเบา สายลมพัดโชย เป็นอากาศที่เหมาะแก่การร่อนเหยี่ยวกระดาษ

ลำพังรถม้าที่ตามอยู่ข้างหลังก็น่าหงุดหงิดจะแย่อยู่แล้ว เทพบุตรหน้าดำบนรถม้านั่นยิ่งทำให้ข้าหงุดหงิดหนักกว่าเดิม ข้าจึงเดินเลี้ยวเข้าตรอกเล็กที่รถม้าวิ่งเข้ามาไม่ได้เสียเลย

เคยมีคนบอกข้าว่า ถนนหนทางในเมืองหลวงนี้คดเคี้ยวเลี้ยวลด มักทำให้คนเราประหลาดใจและพบเจอเรื่องไม่คาดฝันอยู่เสมอ และคนที่อยู่ตรงหน้าข้าก็เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงจริงๆ

ข้าเสียงสั่น “ศิษย์…ศิษย์พี่ใหญ่ เหตุใดท่านจึงได้พกม่วงควงแดง[1]ไปทั้งตัวเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้น”

ศิษย์พี่ใหญ่ลูบบาดแผลและรอยฟกช้ำบนใบหน้าพลางเอ่ย “ข้ากับอาจารย์ถูกคนลอบทำร้ายในวันแต่งงานของเจ้า อาจารย์บาดเจ็บภายใน กำลังซ่อนตัวพักฟื้น ข้าดักรออยู่นอกจวนจ้วงหยวนมาหลายวันกว่าเจ้าจะออกมา รีบไปหาอาจารย์กับข้าเร็วเข้า”

ข้าสังเกตเขาโดยละเอียดอย่างไม่เห็นด้วย นี่ก็ผ่านมาสิบวันแปดวันแล้วนับตั้งแต่ข้าแต่งงาน ไม่ว่าอย่างไรสีสันบนใบหน้าเขาก็ไม่ควรจะเปล่งปลั่งสดใสเช่นนี้สิ ข้าโน้มตัวเข้าไปยื่นนิ้วเช็ดหน้าเขา วิชาแปลงโฉมนี้ยอดเยี่ยมมหัศจรรย์พันลึกจริงๆ

ศิษย์พี่ใหญ่ถูกเปิดโปงก็โมโห เม็ดหมากล้อมเม็ดหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ กระแทกเข้าที่จุดปราณของข้าสักจุด ขออภัยด้วย ข้ามักจำชื่อจุดลมปราณไม่ได้เสมอ คิดถึงเมื่อก่อนตอนข้าเรียนวิชาสะกดจุดกับอาจารย์ หนึ่งเดือนให้หลังข้าก็รู้เพียงแค่ว่ามีจุดหนึ่งเรียกว่าจุดอิ้นถังและจุดหนึ่งเรียกว่าจุดไท่หยาง[2] สุดท้ายอาจารย์ได้แต่ปลอบข้าว่า “อย่างน้อยจุดที่เจ้าจำได้ก็คือจุดที่ถึงแก่ชีวิตได้ หากถึงยามเข้าตาจน เจ้ามุ่งโจมตีที่จุดเหล่านี้ก็ใช้ได้แล้ว” ข้านึกอิจฉามาตลอดที่อาจารย์เตรียมอาวุธลับให้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นเม็ดหมากล้อม ที่ทั้งเรียบหรูและพกพาสะดวก จะอยู่ในบ้านหรือออกเดินทางก็ใช้งานง่ายดาย ไม่เหมือนอาวุธลับที่อาจารย์ให้ข้าอย่างเข็มปักผ้า เก็บไว้ในแขนเสื้อข้าต้องคอยระวังไม่ให้ทิ่มถูกตัวเอง เก็บไว้ที่อื่นข้าก็มักหาไม่เจอ ลำบากข้าจะแย่

ข้ายืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น ค้างอยู่ในท่ายื่นมือไปข้างหน้า ขาข้างหนึ่งลอยค้างกลางอากาศ เดิมข้าคิดจะอ้าปากด่าชุดใหญ่ แต่พบว่าคนสารเลวที่ควรถูกสับเป็นพันชิ้นสกัดแม้กระทั่งจุดใบ้ของข้าด้วย

ศิษย์พี่ใหญ่ทำหน้าเศร้า “เฉี่ยนเอ๋อร์ เจ้าตั้งใจฟังที่ข้าพูดก็พอ”

ข้าเลิกเปลือกตาข้างเดียวที่ยังสามารถขยับได้ มารดามันเถอะ สภาพข้าเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะไม่ฟังได้อีกหรือ

เขากระแอมให้คอโล่ง มองข้าอย่างลึกซึ้ง หากข้าไม่ได้คิดไปเอง สายตาที่เขามองข้าเปี่ยมไปด้วยความรักความห่วงใย หัวใจข้าบีบรัดแน่น ดอกท้อดอกนี้พลาดฤดูผลิบานมานานเกินไปหรือไม่ กิ่งอื่นติดลูกออกผลไปนานแล้ว ไยต้องมาลำบากเสนอหน้าให้อับอายเอาป่านนี้

เป็นดังคาด เขาเริ่มต้นก็เปิดประตูพบภูเขา ตรงเข้าประเด็นทันที “เฉี่ยนเอ๋อร์ ข้ารักเจ้า”

ได้ยินเช่นนี้ ตัวข้าอยากจะสั่น แต่จนใจที่ถูกสกัดจุดไว้ จึงทำได้เพียงกลอกลูกตา แสดงระลอกคลื่นที่ปั่นป่วนภายในใจข้า

เขาเอ่ยต่อ “ข้า…ข้ารู้ว่าเจ้ายังโกรธข้า ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่แต่งงานกับไอ้ลูกผู้ดีกางเกงแพร[3]นั่น เขาไม่ใช่คนดี ก่อนหน้านี้ข้าทำไม่ดีต่อเจ้า เรา…เราไปจากที่นี่ ไปเริ่มต้นใหม่ในที่ที่ไม่มีผู้ใดรู้จักเรา ดีหรือไม่”

ข้ากลอกตาอีกครั้ง ในใจกู่ร้องว่าไม่ดี แต่ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจได้อย่างไร เขาจึงพล่ามต่อ “เฉี่ยนเอ๋อร์ เจ้าชอบท่องยุทธภพ ออกพเนจรไปสุดหล้าฟ้าเขียวเป็นที่สุดมิใช่หรือ เช่นนั้นเราก็ท่องไปให้สุดขอบฟ้า กุม…กุมมือกันชมตะวันขึ้นและตะวันตกดิน มองปุยเมฆล่องลอยด้วยกัน หากเจ้าเบื่อเรื่องในยุทธภพ เราก็ไปอยู่บนเขา ไถพรวนที่ดินสักผืน กลางวันเจ้าทอผ้า ข้าทำนา กลางคืนก็ขึ้นไปชมดาวบนหลังคาด้วยกัน…”

ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าศิษย์พี่ใหญ่จะเป็นคนพูดมากเช่นนี้ เทียบกันแล้วยังพูดพล่ามไม่รู้จบสิ้นยิ่งกว่านักเล่านิทานเสียอีก เห็นเขาเคลิบเคลิ้มไปกับภาพอนาคตอันสวยงามที่เขาถักทอขึ้นมาเองแล้ว ข้าก็ช้อนตามองฟ้าด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้ทว่าไร้น้ำตา คนโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งเช่นข้าไม่เหมาะที่จะมาฟังคนที่มองการณ์ไกลฝันถึงอนาคตจริงๆ

ในม่านน้ำตานั้น ข้าเห็นฟั่นเทียนหานนั่งอยู่บนกำแพง มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ ใต้แสงตะวันแผดกล้า ข้าเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัด ทั้งยังไม่อาจบอกได้ว่าเขาได้ยินไปมากน้อยเพียงใด

เวลานี้ข้าไม่สนแล้วว่าเมื่อครู่เพิ่งเล่นแง่กับเขาอยู่ พยายามส่งสายตาให้เขาสุดฤทธิ์เป็นเชิงให้เขามาช่วยข้า แต่เขากลับไม่ขยับ ยังคงนั่งอยู่บนกำแพงในท่านั้นต่อไป

มารดามันเถอะ เจ้านั่งรอให้ตายก็ไม่ได้เห็นฉากดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง[4]หรอก

ศิษย์พี่ใหญ่วาดฝันถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ดวงตะวันจันทรา เดือนและดาว เมฆเคลื่อนตะวันรอนจบไปหนึ่งคำรบ พลันตระหนักได้ว่าข้ายังยืนขาเดียวห่อเหี่ยวอยู่ตรงหน้าเขา จึงเอ่ย “เฉี่ยนเอ๋อร์ เจ้าไปกับข้าเถอะ” แล้วดีดเม็ดหมากออกมา ตัวข้าพลันเบาหวิว ร่างอ่อนยวบจะล้มลงกับพื้น ศิษย์พี่ใหญ่พุ่งเข้ามาหาข้าอย่างว่องไว แต่ข้ากลับถูกพลังลึกลับบางอย่างกระชากไปข้างหลัง ตกสู่อ้อมแขนของใครคนหนึ่ง

ข้าเงยหน้าขึ้นมองฟั่นเทียนหาน เขานั่งเอกเขนกอยู่บนกำแพงมิใช่หรือ แอบย่องมาอยู่ข้างหลังข้าตั้งแต่เมื่อใด

ฟั่นเทียนหานเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “จอมยุทธ์ต้วนไม่รู้หรือว่าชิงเฉี่ยนแต่งให้ข้าแล้ว นางอยู่ก็เป็นคนตระกูลฟั่นของข้า ตายไปก็เป็นผีตระกูลฟั่น”

ชิชะ คำพูดนี่ไม่เป็นมงคลเลยนะ

แต่ตอนนี้ข้าไม่มีแรงจะคิดเล็กคิดน้อยกับเขา ได้แต่ปล่อยตัวแอบอิงอยู่ในอ้อมแขนเขาเงียบๆ บุรุษที่ฝึกยุทธ์ กล้ามเนื้อแน่นเป็นมัด พิงแล้วไม่นิ่มไม่แข็ง สบายกำลังดี

ศิษย์พี่ใหญ่ซัดเม็ดหมากอีกเม็ดออกมา “ฟั่นเทียนหาน ปล่อยตัวเฉี่ยนเอ๋อร์”

ฟั่นเทียนหานโอบข้าพลางเบี่ยงตัวหลบ ตอบเสียงเย็นชา “ต้วนจ่านซิว ข้าขอเตือนเจ้า จงเรียกนางว่าฟั่นฟูเหรินจะดีที่สุด”

ในใจข้ามีความสุขยิ่งนัก เมื่อราวครึ่งเดือนก่อนข้ายังเป็นคุณหนูแห่งจวนจอมเสเพลหวังที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน รอวันเข้าหอมานานแสนนาน ชั่วพริบตาข้ากลับกลายเป็นที่หมายปองเหมือนซาลาเปาร้อนหอมกรุ่น หากบอกว่าจากไปเพียงสามวันต้องขยี้ตามองใหม่ก็ไม่นับว่าเกินไป

ยังไม่ทันที่ข้าจะได้ถามว่าพวกเขาไปสนิทสนมถึงขั้นเรียกชื่อของกันและกันตั้งแต่เมื่อใด พวกเขาก็บีบให้ข้าต้องตัดสินใจเลือก

ศิษย์พี่ใหญ่มองข้า “เฉี่ยนเอ๋อร์ บอกเขาไปสิว่าเจ้าเต็มใจจะไปกับใคร”

แววตาเขาเปี่ยมด้วยความรู้สึก มองเสียจนข้ารู้สึกแสบจมูกขึ้นมา หวนนึกถึงตอนนั้นที่ข้าดื่มไม่ได้กินไม่ลงเพราะเขา ซูบผอมจนตัวบางเป็นแผ่นกระดาษทั้งยังหลั่งน้ำตาทุกครั้งยามลมพัดผ่าน เขายังยืนอยู่ข้างๆ เกลี้ยกล่อมว่า ลูกหลานชาวยุทธ์ไม่ควรคิดเพ้อฝันเรื่องความรักที่ทำให้คนหลงผิดเช่นนี้ ยามนี้ใจข้าด้านชาไปนานแล้ว เขากลับมาแสดงสีหน้ารักใคร่ลึกซึ้งดุจห้วงสมุทร ต่อให้โชคชะตาชอบเล่นตลกเพียงใดก็ไม่น่าจะเล่นจนเขามีสภาพเป็นเช่นนี้

อาจเพราะข้าไม่ได้ออกเสียงนานเกินไป อ้อมแขนของฟั่นเทียนหานกระชับตัวข้าแน่นขึ้นเล็กน้อย ข้าเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ดวงตาสองคู่สบประสานกัน ดุจหมอกยามพลบคลี่คลุมฟ้ากว้าง สายฟ้าสวรรค์ชักนำอัคคีพสุธา[5]

ทันใดนั้นศิษย์พี่ใหญ่ก็ซัดหมากมาอีกเม็ด ฟั่นเทียนหานกำลังจะสกัด ไม่รู้ว่าสมองข้าถูกรถม้าเขย่าจนเสียหายไปหรือไร จึงได้ยื่นมือออกไปขวางด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้มือข้าจึงปัดมือฟั่นเทียนหานออก เม็ดหมากพุ่งมากระแทกหว่างคิ้วของข้าอย่างจัง

ก่อนหมดสติไป ข้าเอาแต่คิดว่าข้าคงต้องตายแน่แล้ว อาจารย์บอกว่าจุดอิ้นถังคือหนึ่งในจุดที่อันตรายถึงชีวิตที่สุด ฝีมือซัดเม็ดหมากของศิษย์พี่ใหญ่ ข้าไม่เคยเคลือบแคลงเลยแม้แต่น้อย หากข้าตายไปในสภาพเช่นนี้ พรุ่งนี้ทุกตรอกซอกซอยคงเล่าลือกันสนุกปากว่า ลูกสาวจอมเสเพลหวังไม่รักษาจรรยาสตรี เพิ่งแต่งงานไม่ทันไรก็คบชู้สู่ชาย ถูกสามีจับได้คาหนังคาเขา ด้วยความอับอายจึงปลิดชีพตัวเอง…จากนั้นพอผ่านไปนานวันเข้า ก็จะมีเรื่องเล่าขานฉบับที่เร้าใจยิ่งกว่าแพร่ไปทั่วตลาด ลูกสาวจอมเสเพลหวังเป็นดอกหยางไหลตามน้ำ[6] ท่อนแขนกลมกลึงดุจหยกให้ชายมากหน้าหลายตาหนุนต่างหมอน คืนหนึ่งควบขี่บุรุษมากเกินไป สำส่อนเกินพิกัดจึงล้มลงขาดใจตายระหว่างทางกลับบ้าน สามีผู้แสนดีของนางจึงนับว่าได้พ้นเคราะห์พ้นโศกเสียที สาธุ สาธุ

 

 

[1] หมายถึง เต็มไปด้วยสีสันสดใสทั้งม่วงทั้งแดง ดูสวยสดงดงาม เดิมใช้เป็นคำเปรียบเปรยถึงสีสันสดใสของดอกไม้และทัศนียภาพ แต่ในบริบทนี้เอามาใช้ในเชิงประชด

[2] จุดลมปราณสองจุดนี้ อยู่ที่ตำแหน่งหว่างคิ้ว และขมับ ตามลำดับ

[3] กางเกงแพร หมายถึงเสื้อผ้าหรูหราที่สวมใส่ เป็นการเปรียบเปรยถึงบุตรหลานของคนมั่งคั่งร่ำรวย ลูกผู้ลากมากดี มีนัยประชดประชันถึงคนรวยที่วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นกินดื่ม หยิบหย่ง สำรวย ไม่เคยทำงานทำการ ไม่เคยผ่านความลำบาก

[4] หมายถึง หญิงที่มีสามีแล้วไม่สำรวมตัว คบชู้สู่ชาย

[5] หมายถึง หลงรักในทันที

[6] หมายถึง ผู้หญิงที่มีใจรวนเร

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า