การกลับมาของนางฟ้า
回归的女神
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
ซานซาน แปล
— โปรย —
หนิงซี เด็กเก่งขั้นเทพที่เพื่อนๆ สมัยมัธยมปลายตั้งฉายาให้ว่า “ยายกระปุกหมู”
ต้องสูญเสียครอบครัวเพราะการกลั่นแกล้งของเพื่อนนักเรียน
จนเธอต้องระหกระเหินไปเรียนต่อต่างประเทศ ปากกัดตีนถีบตามลำพังเพื่อเอาชีวิตรอด
เจ็ดปีผ่านไป เธอกลับมาอีกครั้งพร้อมกับรูปร่างหน้าตาที่สวยงามราวกับนางฟ้า
และก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงเป็นขวัญใจของแฟนคลับจำนวนมาก
ทว่าการกลับมาครั้งนี้ของเธอไม่ใช่แค่เพื่อแสวงหาเกียรติยศ เงินทอง แต่เพื่อแก้แค้น!
เมื่อหนิงซีหวนกลับประเทศอีกครั้ง ฉางสือกุย
ประธานหนุ่มหล่อพ่อรวยที่แอบชอบเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน
จึงรีบก้าวเข้ามาสารภาพรักกับเธอก่อนที่จะสายเกินไปอย่างครั้งก่อน
ท่ามกลางเรื่องราวความรักของไฮโซหนุ่มกับดาราสาวมีปมปัญหาผุดขึ้นมามากมาย
ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและข่าวลือนานัปการไปด้วยกันอย่างไม่ย่อท้อ
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
5
“หนิงซี สีหน้าคุณเมื่อกี้เล่นได้ถึงอารมณ์แล้ว แต่วิ่งให้ช้าลงอีกนิดนะ” ผู้กำกับดูหน้าจอแล้วเงยหน้าขึ้นบอกเธอ “ขอฉากนี้ใหม่อีกรอบได้ไหม”
หนิงซีหอบหายใจนิดหน่อย เงยหน้าขึ้นปล่อยให้ช่างแต่งหน้ากับฝ่ายเสื้อผ้าช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่องให้เธอตามสบาย พลางทำไม้ทำมือบอกผู้กำกับว่าตกลง
เห็นเธอพูดง่ายแบบนี้ ผู้กำกับยิ้มบางอย่างพึงใจ ความจริงฉากที่ถ่ายเมื่อกี้ก็ไม่เลวแล้ว ถ้านักแสดงไม่อยากถ่ายใหม่ เขาคงไม่ฝืนใจ แต่ถ้าทำให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นได้ก็ยิ่งดี
“เอาละ ทุกทีมเตรียมพร้อม หนึ่ง สอง สาม แอ๊คชั่น!”
…
ในคืนฝนตกที่เงียบเหงาวังเวง บนถนนที่รถแล่นสวนกันไปมา เธอวิ่งสุดฝีเท้าประหนึ่งขอเพียงวิ่งไปถึงปลายทางก็จะไขว่คว้าความสุขของเธอไว้ได้
เรือนผมยาวของเธอเปียกน้ำฝนจนชุ่มจับกันเป็นก้อนแนบติดข้างแก้ม ขับเน้นให้ดวงหน้าซีดขาวราวกระดาษ
เธอร้องไห้ น้ำตาไหลพรากลงมาผสมรวมกับสายฝน เมื่อรถข้างหน้าเคลื่อนห่างไปไกลขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าเดิมของเธอยิ่งถูกแทนที่ด้วยความสิ้นหวังมากขึ้นทุกขณะ ถึงกระนั้นก็ตาม รถคันนั้นก็ไม่ได้หยุดแล่น
ตอนรถพุ่งชนเธอ เธอล้มลงอย่างปราศจากสุ้มเสียง แต่ยังเหยียดมือไปยังทิศทางของรถโดยสารคันนั้น ฝนตกหนักขึ้นตามลำดับ ชะคราบโคลนบนหลังมือเธอออกจนสะอาดสะอ้าน แต่ก็พาเลือดสีแดงสดไหลแผ่ไปทั่วอาบย้อมผืนดินใต้ร่างเธอให้พลอยเป็นสีแดงไปด้วย
รถบัสคันนั้นกลับหยุดลงในเวลานี้ เพราะมีคนเห็นว่าเกิดอุบัติเหตุข้างหลัง พระเอกที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวเพียงมองไปทางจุดเกิดเหตุรถชนด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนกับผู้โดยสารคนอื่นๆ
จวบจนคนบนถนนสองคนเดินผ่านมา
“น่าสงสารจัง ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย”
“นั่นสิ ได้ยินว่าตายคาที่ จริงๆ เลย…เฮ้อ”
จู่ๆ ความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงที่บรรยายไม่ถูกก็พลุ่งขึ้นกลางใจเขาระลอกหนึ่ง เขาผลุนผลันลงจากรถ เบียดแทรกฝูงชนที่มุงดูอยู่เข้าไป ใบหน้าที่ทำให้เขาหลงใหลใฝ่ฝันทั้งยามฝันยามตื่นปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตา
เขาวิ่งถลาเข้าไปหาเด็กสาวบนพื้น กุมมือเธอที่เหยียดไปข้างหน้า
“คัต!” ผู้กำกับตะโกนสั่ง ทีมงานที่รออยู่ด้านข้างยื่นผ้าเช็ดตัวเนื้อหนาผืนใหญ่ให้ฉู่เหิงกับหนิงซี
หนิงซีเอาผ้ามาห่มตัว ดื่มน้ำซุบร้อนๆ สองสามอึกจนสบายตัวขึ้นแล้วเอาผ้าแห้งเช็ดผม
“พี่ฉู่ เมื่อกี้แววตาพี่ได้อารมณ์จริงๆ ผู้กำกับชมไม่หยุดปากเลยนะ” ผู้ช่วยของฉู่เหิงเดินติดหน้าตามหลังเขาพร้อมกับยกคำพูดของผู้กำกับมาเล่าต่ออีกที
ฉู่เหิงทำหน้ายิ้มๆ ไม่พูดอะไร เขาเช็ดหยดน้ำที่หน้าออกแล้วหันมองหนิงซี เห็นเธอตามผู้ช่วยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก็พูดว่า “คุณพกยาแก้หวัดติดตัวมาด้วยหรือเปล่า”
ผู้ช่วยพยักหน้า
“เอาไปให้หนิงซีชุดหนึ่งด้วยนะ”
นักแสดงหน้าใหม่คนนี้หน่วยก้านดีมาก ถ้าค่ายจิ่วจี๋ออกแรงดันเธอเต็มที่ละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะปั้นดาราหญิงแถวหน้าคนหนึ่งออกมาได้จริงๆ
“ได้ครับ พี่ฉู่”
…
“ไปกันเถอะ” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างสถานที่ถ่ายทำเป็นนานดึงสายตากลับ หันหลังเดินกลับไปทางรถยนต์ที่จอดอยู่
“ค่ะ เจ้านาย” เลขาฯเดินตามหลังเขาไปอย่างงุนงง เธอคิดแล้วไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมอยู่ดีๆ เจ้านายก็มาดูคนถ่ายหนัง
เธอมองคนที่เดินอยู่ข้างหน้า เขาสูงสง่า อกผายไหล่ผึ่ง เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์เหลือล้นคนหนึ่ง
หลังขึ้นรถ เธอเอียงคอตวัดตามองเจ้านายอย่างระมัดระวัง แม้เขาก้มหน้าไม่พูดจา แต่ดูคล้ายว่าอารมณ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เธอไม่กล้าถามมาก มองเขาแวบเดียวก็ดึงสายตากลับแล้วเบือนหน้าไปมองหยดฝนบนหน้าต่างรถ พวกมันไหลหยาดลงมาไม่ขาดสายทิ้งคราบน้ำเป็นทางยาว
หนิงซีมีฉากปรากฏตัวในเรื่อง ใจมันรักเธอ ไม่มากนัก ถ่ายไม่กี่วันก็เสร็จแล้ว หลังจากนั้นจางชิงอวิ๋นไม่ได้ให้เธอทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ระยะหนึ่ง แต่จ้างอาจารย์มาสอนการแสดง เช่น การพูด การใช้เสียงและร่างกาย เป็นต้น ช่วงนี้เลยถือว่าเธอได้อยู่สบายๆ หน่อย
ตอนที่ได้รับโทรศัพท์จากอาจารย์ประจำชั้นสมัยมัธยมปลาย เธอกำลังมาสก์หน้าอยู่
ก่อนเธอจะไปเรียนเมืองนอก อาจารย์ประจำชั้นเคยช่วยเธอไว้หลายเรื่อง ดังนั้นสองสามปีมานี้เธอกับอาจารย์จึงไม่เคยขาดการติดต่อกันเลย ทุกวันเทศกาลเธอยังส่งของขวัญกลับมาให้ ขณะที่อาจารย์ก็จะส่งของฝากพื้นเมืองในประเทศไปให้
เธอกลับมาคราวนี้ไม่ได้บอกใครทั้งนั้น พอได้ยินเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยของอาจารย์ ใบหน้าเธอก็แต้มยิ้ม “หนูไม่อยากพลาดวันคล้ายวันเกิดอายุห้าสิบห้าปีของอาจารย์นี่คะ
“ใช่ค่ะ หนูกลับประเทศแล้ว
“ถึงเวลาอย่าหาว่าหนูน่ารำคาญก็แล้วกัน”
หนิงซีวางสายแล้วลุกไปค้นตู้เสื้อผ้าครู่หนึ่ง หาชุดเหมาะๆ มาเปลี่ยนแล้วแต่งหน้าให้ตัวเองบางๆ ถึงถือกระเป๋าออกไปข้างนอก
เดือนที่แล้วหญิงสาวทำเรื่องขอเปลี่ยนเป็นใบขับขี่จีนได้แล้ว แต่ปกติไม่ต้องขับรถเอง ตอนนี้เลยยังไม่ได้ซื้อรถ ขณะที่เธอหิ้วของถุงเล็กถุงใหญ่ยืนรอกลางแดดมาครึ่งชั่วโมงแล้วไม่เห็นรถรับจ้างสักคัน ก็เริ่มมีความคิดว่าตัวเองจะซื้อรถดีหรือไม่
หนิงซีเสียเวลาพักใหญ่กว่าจะเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไปโรงเรียนมัธยมปลายที่หนึ่งแห่งนครหลวง เวลาผ่านไปห้าหกปีแล้ว ที่นี่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร มีแค่ต้นไม้ริมทางที่เขียวชอุ่มร่มรื่นขึ้นนิดหน่อย
ตรงสนามกีฬา พวกนักเรียนชายสวมเครื่องแบบกำลังเตะบอล มีเหล่านักเรียนหญิงส่งเสียงเชียร์อยู่ข้างสนาม พอเธอเห็นภาพนี้แล้วกลั้นยิ้มไม่อยู่
หญิงสาวหมุนตัวเดินไปทางหอพักอาจารย์ทางตะวันตก ขึ้นบันไดไปชั้นห้าโดยไม่หยุดพักหายใจแล้วเคาะประตูห้องของอาจารย์เหยา
มีคนมาเปิดประตูอย่างรวดเร็ว อาจารย์เหยาสวมแว่นตายืนอยู่ข้างใน พอเห็นหนิงซีก็ดึงประตูเปิดกว้างเต็มที่ชักชวนเธอเข้าไปนั่งทันทีด้วยความดีใจ
“ดูเธอสิ ตอนอยู่เมืองนอกคงไม่ค่อยกินข้าวละมั้ง ผอมไปตั้งเยอะขนาดนี้” อาจารย์เหยาทั้งสงสารทั้งตำหนิไม่ลง ไพล่ไปบ่นหนิงซีว่าไม่ควรซื้อของมามากมายอย่างนี้ อาจารย์จางคู่ทุกข์คู่ยากของเธอนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆ ท่าทางเป็นคนอารมณ์เย็นมาก
“หลายปีนี้อาจารย์กับคุณอาจางสบายดีไหมคะ” หนิงซีถือถ้วยชาสองมือ ทอดสายตามองสองสามีภรรยา เห็นทั้งคู่สีหน้าผ่องใสเปล่งปลั่งก็คลายใจลงได้
“ดีๆๆ สบายดีทุกอย่าง” อาจารย์เหยากับอาจารย์จางอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมานานแล้ว ทั้งคู่มีลูกสองคน ลูกๆ กตัญญู ใฝ่ก้าวหน้า ตอนนี้เพิ่งเรียนจบออกไปทำงาน ไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้ว
ศิษย์อาจารย์สองคนพูดคุยกันไปได้ชั่วครู่ อาจารย์เหยาเอ่ยถึงเรื่องงานตอนนี้ของหนิงซี “เธอเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ กลับมาแล้วน่าจะหางานได้สบายมาก ก็ที่นั่นน่ะ เป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังสามสิบอันดับแรกของโลกเชียวนะ”
“หนูเซ็นสัญญากับบริษัทแล้วค่ะ พวกเพื่อนร่วมงานก็เข้ากันได้ดีมาก อาจารย์ไม่ต้องห่วง” หนิงซีแย้มยิ้ม หั่นแอปเปิลที่ปอกเปลือกแล้วในมือเป็นสองส่วน จากนั้นยื่นให้อาจารย์เหยากับอาจารย์จาง
อาจารย์เหยามองเปลือกผลไม้เบื้องหน้าหนิงซีที่ปอกโดยไม่ให้เปลือกขาดจากกันแล้วรู้สึกปวดใจอยู่บ้างอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้เด็กสาวที่ได้รับการประคมประหงมชนิดริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมในตอนนั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
เพียงแต่การเติบโตของลูกศิษย์ต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงเหลือเกิน แพงเสียจนเธอมักเป็นห่วงชีวิตในช่วงที่ผ่านมาของหญิงสาวคนนี้บ่อยๆ
เมื่อใกล้ถึงเวลาเที่ยงวัน อาจารย์จางเข้าครัวไปทำอาหาร หนิงซีคิดจะไปช่วยแต่ถูกอาจารย์เหยาห้ามไว้
“ให้เขาทำเถอะ พวกเราสองคนจะได้คุยกันตามประสาศิษย์อาจารย์ให้เต็มที่” อาจารย์เหยาจะปล่อยให้เธอเข้าครัวได้อย่างไร “หลายปีมานี้ที่อาจารย์ติดต่อกับเธอทางโทรศัพท์ เธอเอ่ยถึงแต่เรื่องดีๆ ไม่เห็นเคยเล่าเรื่องแย่ๆ อาจารย์ก็เลยไม่รู้ว่าตกลงเธอไปใช้ชีวิตอยู่ที่อื่นแล้วเป็นยังไงกันแน่” อาจารย์เหยาพูดถึงตรงนี้ก็ถอนใจเฮือก “อาจารย์รู้ว่าเธอเป็นเด็กรักดีคนหนึ่ง แต่เธออยู่คนเดียวตามลำพัง ถ้ามีปัญหาอะไรต้องบอกให้อาจารย์รู้นะ”
“ค่ะ” หนิงซีพยักหน้ายิ้มๆ หยิบลำไยสองลูกมาคลึงเล่นในมือ “หลายปีนี้หนูไม่ได้เจอปัญหาอะไรสักเท่าไหร่หรอกค่ะ”
ต่อให้มี ก็เป็นเพียงพวกเรื่องในอดีต เธอไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
อาจเพราะต้อนรับเธอกลับมา อาจารย์เลยเตรียมอาหารกลางวันไว้เยอะเป็นพิเศษ ถึงจะเป็นอาหารที่ทำกินเองง่ายๆ ที่บ้าน แต่หนิงซีกินข้าวได้สองชามโตเลยทีเดียว
คนกินกินอย่างเอร็ดอร่อย คนทำย่อมแอบดีใจเป็นที่สุด อาจารย์จางถูกชะตากับลูกศิษย์ของภรรยาคนนี้อย่างยิ่งเช่นกัน เขารู้เรื่องในอดีตพวกนั้น อีกทั้งยังช่วยวิ่งเต้นให้หนิงซีไม่น้อย ฉะนั้นในสายตาเขาหนิงซีจึงเป็นเหมือนลูกศิษย์ของเขาครึ่งตัว
เพิ่งกินข้าวเสร็จ มือถือของหนิงซีก็ดังขึ้น คนที่โทร.มาคือจางชิงอวิ๋น
ที่แท้ภาพยนตร์เรื่อง ใจมันรักเธอ จะเข็นออกฉายให้ทันช่วงวันหยุดยาวฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กับวันชาติจีน แม้หนิงซีมีบทในเรื่องไม่มาก แต่ก็ต้องช่วยโปรโมตผ่านทางออนไลน์ด้วย
แต่หนิงซีเองยังไม่มีแอ็กเคานต์ของโซเชียลมีเดียในประเทศเลย จางชิงอวิ๋นถึงโทร.มาแจ้งให้เธอเข้าบริษัท จะได้ประชุมเรื่องนี้กัน
พอหนิงซีบอกเขาว่าอยู่ที่ไหน จางชิงอวิ๋นที่ปลายสายอีกด้านหนึ่งพูดว่าจะมารับเธอ
หนิงซีนั่งที่บ้านอาจารย์ต่ออีกครู่เดียวก็ลุกขึ้นขอตัวกลับ อาจารย์เหยารู้ว่าเธอมีงานรออยู่ก็ไม่รั้งไว้อีก แค่กำชับเธอว่าหากมีเวลาว่างต้องมาหาอาจารย์ที่บ้านบ่อยๆ แล้วบอกว่าจะจัดงานวันคล้ายวันเกิดของตัวเองที่โรงแรมไหน
…
หลังหนิงซีกลับไปแล้ว อาจารย์เหยาเพิ่งนั่งลงบนโซฟาพลางทอดถอนใจกับอาจารย์จาง
“ลูกศิษย์มาเยี่ยมคุณนะ แล้วคุณยังถอนหายใจอีกทำไม” อาจารย์จางตบหลังอาจารย์เหยาเบาๆ พลางพูดปลอบ “ผมเห็นหนิงซีเป็นเด็กมีหัวคิด ต้องมีชีวิตที่ดีแน่นอน คุณอย่าวุ่นวายใจไม่เข้าเรื่องเลย”
“ฉันเป็นห่วงลูกศิษย์ของตัวเอง แล้วมันวุ่นวายใจไม่เข้าเรื่องตรงไหนเรอะ” อาจารย์เหยาค้อนสามีอย่างไม่ชอบใจ “หนิงซีรุ่นราวคราวเดียวกับลูกเรา ลูกเราโตขนาดนี้แล้วพวกเรายังอดเป็นห่วงไม่ได้ นับประสาอะไรกับหนิงซีที่ต้องสู้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวล่ะ”
อาจารย์จางได้ยินแล้วถอนใจเฮือก โคลงศีรษะไม่รู้จะพูดอะไรอีกดี
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง” หลังรับหนิงซีขึ้นรถแล้ว จางชิงอวิ๋นมองตัวอักษรขนาดใหญ่บนป้ายที่แขวนหน้าประตูโรงเรียน
โรงเรียนมัธยมปลายที่หนึ่งแห่งนครหลวง
ที่นี่เป็นหนึ่งในโรงเรียนมัธยมปลายที่ดีที่สุดไม่กี่แห่งของเมือง ถ้าผลการเรียนไม่ดี ถึงมีเงินก็ไม่แน่ว่าจะเข้าได้
“มาเยี่ยมอาจารย์ของฉันเมื่อก่อนค่ะ” หนิงซีคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วคลี่ยิ้มตอบ “สมัยฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้ยังเป็นยายอ้วนคนหนึ่งอยู่เลยนะ”
จางชิงอวิ๋นสตาร์ตรถก่อนมองรูปร่างอ้อนแอ้นเซ็กซี่ของเธอนิดหนึ่ง “เดาไม่ออกจริงๆ ครับ”
หนิงซีหัวเราะ เธอมองประตูโรงเรียนมัธยมที่ห่างจากเธอไปไกลขึ้นเรื่อยๆ หลุบตาลงพูดว่า “คุณไม่เคยได้ยินสุภาษิตจีนเหรอคะ”
“อะไรครับ”
“สตรีเติบใหญ่สิบแปดเปลี่ยน ยิ่งเปลี่ยนยิ่งโฉมงามยังไงละคะ”
จางชิงอวิ๋นจับน้ำเสียงของเธอได้ว่าแกมเยาะหยันจางๆ เขาหยักยิ้มพูดตอบ “งั้นก็ดีกว่าผม ผมไม่เคยหน้าตาดีมาตลอดชีวิต”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจู้จี้เรื่องหน้าตาของผู้จัดการส่วนตัวค่ะ” หนิงซีเอามือข้างหนึ่งรองใต้คาง สีหน้าใจกว้าง แต่ในนัยน์ตากลับแฝงแววหยอกล้ออยู่ในที
จางชิงอวิ๋น “…งั้นก็ขอบคุณจริงๆ ครับ”