不要物种歧视
อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 3
月下蝶影
เย่ว์เซี่ยเตี๋ยอิ่ง
เขียน
นกแก้ว
แปล
— โปรย —
ที่สุดแล้วไม่ว่าเป็นมนุษย์หรือปีศาจก็ล้วนต้องการใครสักคนอยู่ข้างกาย
ฝูหลีเองก็เข้าใจข้อนี้ดี และดีใจที่ตนเองมีจวงชิงอยู่ข้าง ๆ
แต่ข่าวลือต่าง ๆ ที่ปรากฏในโลกออนไลน์กับในโลกผู้ฝึกตนนั่นมากไปหรือเปล่า
นี่เราเป็นแค่ ‘เพื่อนร่วมงาน’ และ ‘พี่น้อง’ กันเท่านั้นนะ
ทว่าสิ่งที่ถูกลือไปนั้นกลับเป็น ‘…’
แบบนี้แล้วจวงชิงจะไม่โกรธเกลียดจนตีตัวออกห่างเขาไปหรอกเหรอ
แต่ก็ไม่นี่…นอกจากไม่ออกห่างแล้วยังขยับมาใกล้ชิดมากเกินไปด้วยซ้ำ
ทั้งสองควรใส่ใจกับการจัดการเหล่าปีศาจมากกว่านี้นะ
ควรตั้งใจทำงานและใส่ใจสายตาของเพื่อนร่วมงานมากกว่านี้ด้วย
ทว่ามังกรทองตนนี้บทจะเอาจริงขึ้นมา เขาจะห้ามอีกฝ่ายได้ยังไงล่ะเนี่ย!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 97
ลมหนาวพัดมาเป็นระลอก ฝูหลีกระโดดลงจากตัวจวงชิงกลับร่างมนุษย์อย่างเกรงใจ “เมื่อครู่ขอบคุณมากนะ”
“เรื่องเล็กน้อย” จวงชิงมองฝูหลีทีหนึ่ง “ไม่ต้องขอบอกขอบใจอะไรผมหรอก”
ฝูหลีเห็นสีหน้าแววตาจวงชิงยังคงเดิม ไร้ซึ่งแววดูถูกที่เขากลัวงู จึงค่อยสบายใจขึ้น เอ่ยปากอย่างอารมณ์ดีว่า “ผมเลี้ยงข้าวเย็นคุณแล้วกัน ไปเถอะ”
จวงชิงจำไม่ได้แล้วว่าเคยอ่านเจอที่ไหนว่าอาหารอร่อยทำให้คนลืมความกลัวและความทุกข์ได้ ดังนั้นแม้ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน แต่สุขภาพจิตของพนักงานก็เป็นเรื่องสำคัญ เขาสองจิตสองใจไม่ถึงสามวินาทีก็ตอบตกลง
ทั้งสองไปร้านนกฮูกเหมือนเดิม ลูกค้าในร้านอาหารไม่เยอะนัก แต่ฝูหลีพบว่าในร้านมีผู้ช่วยเพิ่มมาคนหนึ่ง ซึ่งก็คือปีศาจนกเค้าแมวที่ก่อนหน้าเคยขโมยของกินและถูกปล่อยตัวไปตนนั้น
นกเค้าแมวเห็นพวกเขาก็เกร็งขึ้นมาเล็กน้อยแล้วพูดโดยไม่ต้องคิดว่า “ผมมาทำงานที่นี่เป็นผู้ช่วยพ่อครัว”
“ไม่ต้องเกร็ง พวกเรามากินข้าวเท่านั้น” เมื่อฝูหลีกับจวงชิงนั่งลง เห็นเถ้าแก่ส่งยิ้มมาให้ ฝูหลีก็ยิ้มตอบ
พอรู้ว่าฝูหลีกับจวงชิงไม่ได้มาจับตนจริง ๆ นกเค้าแมวก็เบาใจ เขาหยิบเมนูอาหารวางตรงหน้าคนทั้งสองและหยิบสมุดจดเล่มเล็กพร้อมปากกามาเตรียมจดรายการอาหาร
“ช่วงนี้หอยลายกับกุ้งแดงเป็นอย่างไรบ้าง อันไหนน่าสนใจกว่ากัน แนะนำผมหน่อย” ฝูหลีถามอีกฝ่าย
“หอยลายตัวใหญ่สด รับประกันรสชาติได้ครับ กุ้งแดงช่วงนี้ตัวค่อนข้างเล็กหน่อยก็จริง แต่รับรองว่าทุกตัวยังเป็น ๆ” นกเค้าแมวชี้ไปที่อ่างใส่กุ้งแดงตรงมุม “ฆ่าเสร็จผัดทันที ถ้าพวกคุณสั่งทุกจาน ผมจะแถมให้…สองตัว!”
“งั้นเอาหอยลายกับกุ้งแดงอย่างละจาน” จากนั้นฝูหลีก็สั่งอาหารทะเลเพิ่มอีกหลายอย่าง
ตอนนกเค้าแมวถือรายการอาหารไปหาเถ้าแก่ เขากังวลอยู่บ้างว่าจะทำอย่างไรให้เถ้าแก่รู้สึกว่าที่สองคนสั่งอาหารเยอะขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก
เถ้าแก่เห็นนกเค้าแมวทำหน้าพิกลก็กระซิบ “คนเราบางคนก็กินจุโดยธรรมชาติ อาชีพทำอาหารอย่างพวกเราจะแสดงความรู้สึกเพราะคนอื่นกินเยอะไม่ได้หรอกนะ แบบนี้เสียมารยาท”
นกเค้าแมว “…”
ดูท่าเขาคงกังวลมากไปเองเสียแล้ว
“ถ้าลูกค้าทุกคนเหมือนพวกเขา ผมคงรวยไปนานแล้ว”
เมื่อกินข้าวเสร็จ ตอนจ่ายเงินเถ้าแก่ยังลดราคาให้สิบหยวน บอกว่าเป็นราคาพิเศษสำหรับลูกค้าประจำ ด้วยความดีใจฝูหลีเลยควักอีกร้อยหยวนสั่งหอยลายกลับบ้านสองที่ใหญ่ เอาไปให้คุนเผิงกับกงฟู่ชิมด้วย
จวงชิงขับรถมาส่งฝูหลีที่นอกประตูกรมควบคุมแล้วพูดกับอีกฝ่าย “รีบกลับไปนอน พรุ่งนี้เช้าเข้างานตรงเวลาล่ะ”
“รับทราบ” ฝูหลีหาวพลางหิ้วกล่องอาหารหายตัวเข้าไปยังตึกหอพักหลังสำนักงานกรมควบคุมอย่างรวดเร็ว จากนั้นไปเคาะประตูห้องคุนเผิงซึ่งกงฟู่ก็อยู่ข้างในด้วยอย่างที่คิด
ในสมัยโบราณคุนเผิงกับกงฟู่มีจุดยืนแตกต่างกัน ทว่าด้วยปัจจุบันที่จอมปีศาจค่อย ๆ ล้มหายตายจากไป พวกเขาจึงเลิกยึดติดกับแนวคิดโบราณอย่างสัตว์มงคลเอย อสูรร้ายเอย และเริ่มใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสันติ
อาจเพราะสำหรับพวกเขาแล้ว นอกจากพวกเขากันเองที่ยังระลึกความหลังต่าง ๆ ในยุคสมัยนั้นได้ ก็ไม่มีใครอื่นรู้ว่ายุคสมัยของจอมปีศาจบรรพกาลเป็นอย่างไรอีก
ครั้นเห็นหอยลายที่ฝูหลีเอามาฝาก คุนเผิงกับกงฟู่ก็ฉีกตะเกียบกันอย่างพร้อมเพรียง อีกทั้งยังหยิบเบียร์เย็นเฉียบจากตู้เย็นมาสองสามกระป๋อง ทั้งดื่มทั้งกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
“ค่อย ๆ กินไปนะครับ ข้าน้อยกลับไปนอนแล้ว” ฝูหลีอ้าปากหาว หันหลังเตรียมจะออกไป
“เดี๋ยวก่อน” กงฟู่เรียกฝูหลี เช็ดคราบมันบนปากเสร็จก็พูด “ช่วงนี้เจ้าง่วงนอนประจำใช่หรือไม่”
ฝูหลีพยักหน้าก่อนจะลงนั่งขัดสมาธิเบื้องหน้ากงฟู่ “ใต้เท้ากงฟู่รู้หรือครับว่าเกิดอะไรขึ้น”
“พอรู้บ้างนิดหน่อย” กงฟู่วางตะเกียบลง “ตบะเจ้ารุดหน้าขนานใหญ่ ร่างกายย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย แต่เพราะพลังวิญญาณในโลกมนุษย์เบาบาง ทำให้ร่างกายที่เพิ่งบรรลุขั้นได้รับพลังวิญญาณไม่พอถึงได้เป็นเช่นนี้”
“แล้วข้าน้อยควรทำอย่างไรดี”
“แรก ๆ ก็เป็นเช่นนี้แหละ แต่ง่วงบ่อย ๆ ก็ชินเอง” กงฟู่คีบหอยลายขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วดูดน้ำซอสบนเปลือก จนเขากินเสร็จยังเห็นดวงตากลมโตดำขลับของฝูหลียังจับจ้องที่ตนก็พลันใจอ่อน ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ถือว่าข้ากลัวเจ้าแล้ว สองหมื่นปีก่อนข้าเคยเรียนวิชาหลอมยาตำรับหนึ่ง เดิมข้าเรียนเพื่อฆ่าเวลายามเบื่อ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะได้ใช้ เพียงแต่แม้ข้ามีเตาหลอมยาและรู้วิธีหลอม ทว่ากลับขาดยาวิเศษสามตัว”
“ขาดอะไรล่ะ ทางข้าพอมีเครื่องปรุงยาที่เมื่อก่อนติดมือใส่มา เดี๋ยวข้าค้นก่อน ไม่แน่อาจจะมีครบก็ได้”
“ไท่ซุ่ยอายุห้าพันปี ซานเซิงซวี[1]อายุไม่ถึงเจ็ดวัน และเยว่หลิวซา[2]” กงฟู่ถอนหายใจ “ถ้าเป็นเมื่อก่อนของสามอย่างนี้ไม่นับว่าหายาก แต่ปัจจุบัน…”
“ข้ามีเยว่หลิวซาอยู่” คุนเผิงหยิบน้ำเต้าหยกจากถุงเฉียนคุนแล้ววางลงบนโต๊ะ “เจ้าเอาไปใช้ตามสบาย”
“เอาออกมาเยอะขนาดนี้ทำอะไร จะอวดรวยหรือให้ข้าเอาไปทากำแพงเล่น” กงฟู่เอาเยว่หลิวซาจากน้ำเต้าหยกมานิดหน่อย จากนั้นคืนน้ำเต้าหยกให้คุนเผิง “เอากลับไป ๆ ข้าขี้เกียจช่วยเจ้าดูแลของสับปะรังเคของเจ้า”
“เชอะ” คุนเผิงเก็บน้ำเต้าหยกกลับเข้าถุงเฉียนคุน “ทำเป็นรังเกียจว่าของข้าสับปะรังเค แล้วเจ้ามีหรือ”
ฝูหลีเห็นทั้งสองเริ่มจะตีฝีปากกันอีกแล้วก็รีบห้ามทัพ “เดี๋ยวขอรับ ข้าน้อยขอถามหน่อย ซานเซิงซวีคืออะไรหรือขอรับ”
“ก็คือผมไฟของคนสามหัวที่อายุไม่ถึงเจ็ดวัน เผ่าคนสามหัวเกิดพร้อมต้นไม้ ตายพร้อมต้นไม้ ก่อนต้นไม้ประจำตัวจะเหี่ยวตาย พวกเขามีสามชีวิต ดังนั้นจึงเรียกพวกเขาว่าซานเซิงซวี คนสามหัวที่เพิ่งเกิดยังไม่แปดเปื้อนธุลีแดง ทั้งร่างเต็มไปด้วยพลังชีวิต” กงฟู่ถอนหายใจอีกครั้ง “ของนี่ดูเหมือนหาง่าย แต่ก็ได้มายากที่สุด เพราะต้องเป็นผมที่คนสามหัวยินยอมถอนเองเท่านั้นถึงจะแฝงพลังวิญญาณ หากบังคับถอนซานเซิงซวีก็จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังอาฆาต หากกินเข้าไปสถานเบาก็วิกลจริต สถานหนักคือถึงแก่ชีวิต”
“ก็แค่ผมไม่กี่เส้น ละเอียดอ่อนขนาดนั้นเชียว?” คุนเผิงเดาะลิ้น ก่อนจะพลันนึกถึงคนสามหัวสองสามคนในกรมควบคุมที่วัน ๆ ปีนต้นหลางกันเพื่อจับแมลงหรือรดน้ำต้นไม้ขึ้นมาได้ “เจ้ากระต่ายน้อย ในสวนกรมควบคุมมีคนสามหัวไม่ใช่หรือ เจ้าไปขอผมสักสองสามเส้นกับพวกนั้นก็ได้แล้ว”
“ไม่ได้” กงฟู่ส่ายหัวกล่าว “คนสามหัวพวกนั้นดูไม่เหมือนเพิ่งเกิดพร้อมกับต้นฝูฉาง ต่อให้พวกนั้นยอมให้ก็หลอมยาไม่ได้ผล”
“เช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไร” คุนเผิงโยนตะเกียบพลางพูดอย่างกังวลใจ “โลกมนุษย์ตอนนี้พลังวิญญาณเบาบางจะตาย ต้นฝูฉางนับวันก็ยิ่งน้อยลงอยู่แล้ว ต้นฝูฉางที่ตั้งครรภ์คนสามหัวยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ ทั่วประเทศนี้พวกเราจะไปหาคนสามหัวเพิ่งคลอดไม่ถึงเจ็ดวันได้จากไหน”
ฝูหลีเห็นกงฟู่กับคุนเผิงกลัดกลุ้มเพราะตัวเขาแล้วกลับพลันปล่อยวางได้ เขาหยิบไท่ซุ่ยออกมาจากถุงเฉียนคุน “ผมมีไท่ซุ่ยอยู่”
กงฟู่ฝืนยิ้ม หยิบไท่ซุ่ยขึ้นมา
คุนเผิงยังไม่ยอมจำนน “เจ้ากระต่ายน้อย ตอนพวกคนสามหัวเพิ่งเกิด เจ้าเป็นคนพาพวกนั้นกลับมา ตอนนั้นพวกมันไม่ได้ให้ของตอบแทนอะไรเจ้าเลยหรือ”
“ของตอบแทน?” ฝูหลีฉุกคิดขึ้นได้ ดูเหมือนตอนนั้นฉางเหมาให้ผมเขามากำหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าผมพวกนั้นใช้ทำอะไรได้เลยโยนเข้าถุงเฉียนคุนส่ง ๆ
“ฉางเหมาให้ผมข้าน้อยมา” ฝูหลีเปิดถุงเฉียนคุน หยิบเส้นผมที่ต้าเหมาให้ออกมา เมื่อเส้นผมอยู่บนมือกงฟู่ก็เปลี่ยนเป็นเส้นไหมสีเขียวอ่อน พลังชีวิตเอ่อท้นจนต้นไม้ใบเหี่ยวเหลืองนอกหน้าต่างผลิยอดอ่อนสีเขียว ดอกไม้นานาพรรณแบ่งบานในแปลงดอกไม้ เป็นภาพที่สวยงามหาใดเปรียบ
“ของดี เจ้าถึงกับได้รับพรจากผู้นำเผ่าเสียด้วย” กงฟู่หยิบออกมาเพียงสองเส้น “สองเส้นก็เพียงพอแล้ว”
ฝูหลี “…”
ผู้นำเผ่า…?
ผู้นำของกลุ่มประชากรสามคนก็นับเป็นผู้นำเผ่าได้กระมัง
“เมื่อก่อนข้าคิดเสมอว่าจวงชิงเป็นลูกรักแท้ ๆ ของสวรรค์ จนวันนี้ข้าถึงเพิ่งพบว่าจวงชิงอาจเป็นแค่ลูกเลี้ยง ส่วนเจ้าต่างหากคือลูกแท้ ๆ” คุนเผิงมองไปยังต้นไม้ที่งอกใบเขียวนอกหน้าต่าง “ถ้าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ คงไม่มีวาสนาดีเช่นนี้”
กงฟู่ที่ชอบขัดแย้งกับคุนเผิงเสมอ ยามนี้ถึงกับใช้ความนิ่งเงียบแสดงอาการเห็นด้วย
คุนเผิงอาจไม่รู้ แต่เขารู้แก่ใจดี คนสามหัวเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขี้งกที่สุด มีความรู้ติดตัวแต่กำเนิด หากมีอะไรไม่พอใจก็จะแหกปากร้องไห้จนกระทั่งเหนื่อยตายเอง ร้องเจ็ดวัน ภูเขาสะเทือนต้นไม้สะท้าน ร้องสี่สิบเก้าวัน สิ่งมีชีวิตในระยะร้อยลี้ล้วนล้มตาย เมื่อร้องครบร้อยวัน ตัวตาย นำพาให้มังกรดินพลิกตัว[3]
โดยรวมคือเป็นเผ่าพันธุ์พิสดารที่คนเดียวสามารถร้องไห้แล้วเกิดผลกระทบเท่ากับร้อยคน แถมยังหยิ่งยโส ดูแคลนพวกมนุษย์หัวเดียว เรียกได้ว่าในสายตาพวกเขา นอกจากเฟิ่งหวงแล้ว สิ่งมีชีวิตที่เหลือล้วนเป็นแค่ขยะ
ดังนั้นการที่ฝูหลีได้รับของขวัญจากผู้นำคนสามหัว จึงมีความเป็นไปได้น้อยกว่ามนุษย์ธรรมดาถูกรางวัลใหญ่สิบล้านในปัจจุบันเสียอีก
บางที…นี่คงเป็นโชคลาภอย่างหนึ่ง
“การหลอมยาต้องใช้เวลาเจ็ดวัน ระหว่างนี้ข้าจะให้คุนเผิงช่วยเฝ้าเตาหลอม ดังนั้นช่วงเจ็ดวันนี้เจ้าไม่ต้องหิ้วของกินมาให้พวกข้าหรอก” กงฟู่กลัวหอยลายเย็นแล้วจะไม่อร่อยจึงรีบเลือกตัวใหญ่ ๆ สองตัวมากิน
“ทำไมต้องให้ข้าพัดเตาให้เจ้าด้วยล่ะ” คุนเผิงไม่ยอม ใต้เท้าคุนเผิงผู้ยิ่งใหญ่อย่างตนเหมือนเป็นกุมารก่อไฟ[4]พวกนั้นหรือ
“เจ้าไม่ห่วงใยร่างกายฝูหลีหรือ”
“ห่วง”
“เจ้าไม่เป็นห่วงพลังตบะของฝูหลีหรือ”
“ห่วงสิ”
“เช่นนั้นยังถามอะไรอีก” กงฟู่แย้มยิ้มอย่างสง่า “เจ้าเองก็หาได้หลอมยาเป็นไม่ นอกจากเฝ้าเตาแล้วยังจะทำอะไรได้อีก”
คุนเผิง “ข้า…”
ข้าถึงบอกว่าเจ้าพวกสัตว์มงคลดัดจริตพวกนี้น่ารังเกียจที่สุด ทำเป็นผู้สูงส่งมีคุณธรรมจอมปลอม
“เรื่องพรรค์นี้จะรบกวนใต้เท้าคุนเผิงได้อย่างไร ให้ข้า…”
“เจ้าไม่ต้องไปทำงานหรือ” กงฟู่โบกมือ “เจ้าไม่รู้อะไร คุนเผิงเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นอกจากพ่นน้ำแล้วยังพ่นไฟได้ ช่วยลดธาตุไฟบริสุทธิ์ในการให้ความร้อนเตา พวกเราจะได้ไม่สิ้นเปลือง ทุกวันนี้โลกเรายากลำบากนัก อะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัด”
“แบบนี้นี่เอง” ฝูหลีตระหนักได้โดยพลัน จึงกล่าวขอบคุณคุนเผิงทันใด “ใต้เท้าคุนเผิง รบกวนท่านแล้ว”
คุนเผิงเบือนหน้า “ช่างเถอะ ข้าเห็นแก่หน้าเจ้า”
“ขอบคุณใต้เท้า” ฝูหลีล้วงขนมจากถุงเฉียนคุนให้ทั้งสองอีกกองใหญ่ ก่อนจะจากไปด้วยความซาบซึ้งใจ
“เสแสร้ง!” คุนเผิงพ่นคำน่ารังเกียจใส่กงฟู่
กงฟู่หาได้สนใจอีกฝ่ายไม่ ทั้งยังเอาแต่คุ้ยหาขนมที่ตัวเองชอบในกอง มีของอร่อยอยู่ตรงหน้าทั้งที ใครจะไปสนว่าคุนเผิงจะพูดพล่ามอะไร
ณ เขตอาคมวิญญาณชั้นใต้ดินกรมควบคุมอันมืดสลัว จวงชิงกดเปิดสวิตช์ไฟบนผนัง จากนั้นจับเฝยเว่ยไปขังในค่ายกลสะกดวิญญาณ ที่นี่มีเขตอาคมแข็งแกร่ง ไม่ว่าเฝยเว่ยจะมีพลังมากแค่ไหนก็ไม่ส่งผลกระทบกับสภาพอากาศธรรมชาติของโลกภายนอก
เฝยเว่ยซึ่งถูกแช่แข็งมานาน พอถูกจับเข้าเขตอาคมก็ไร้เรี่ยวแรงขัดขืน มีเพียงหางสองหางขยับเล็กน้อย เผ่าพันธุ์เฝยเว่ยล้วนอาศัยอยู่บนภูเขาหุนซีหรือไม่ก็เขาไท่หัวสองที่นี้ตั้งแต่เกิด เผ่าพันธุ์เฝยเว่ยที่เขาไท่หัวจะมีปีกบินได้ ส่วนเผ่าเฝยเว่ยที่เขาหุนซีร่างกายจะกำยำกว่าและมีสองลำตัว ทว่าไม่มีปีก สองเผ่าพันธุ์ไม่ไปมาหาสู่กัน อีกทั้งต่างฝ่ายต่างแอบดูถูกกันอีกต่างหาก
ภายหลังเนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย อากาศหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เฝยเว่ยจำนวนไม่น้อยล้มหายตายจากไปเงียบ ๆ ท่ามกลางความหนาวเหน็บ หลังจากนั้นเฝยเว่ยบนเขาหุนซีก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของเฝยเว่ยบนเขาไท่หัวอีกเลย
สำหรับเฝยเว่ยแห่งเขาหุนซีตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ซึ่งถูกจวงชิงจับมาตัวนี้นิสัยขี้ขลาดมาก ทุกวันไม่อาบแสงจันทร์ก็นอนหลับ เมื่อสองเดือนก่อนจู่ ๆ มันสลบไป พอรู้สึกตัวอีกทีก็มาโผล่ที่ใหม่แล้ว
สามพันกว่าปีก่อนมีผู้อาวุโสออกนอกภูเขาโดยพลการ ทว่าหลังจากข่าวเรื่องฝ่ายนั้นสลายเป็นเถ้าธุลีท่ามกลางแสงอาทิตย์แพร่กลับมาถึงเขาหุนซี บรรดาเฝยเว่ยบนเขาหุนซีก็ไม่กล้าออกไปไหนอีก และด้วยเหตุนี้เองทำให้พวกมันหลบความโกลาหลต่าง ๆ ของโลกมนุษย์และโลกปีศาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาได้สองสามพันปี ทว่าเนื่องจากไม่กี่ร้อยปีก่อนอากาศเกิดหนาวเย็นลงสุดขั้วอย่างฉับพลัน ทำให้ปีศาจมากมายบนเขาหุนซีหลบหนีภัยพิบัตินี้ไม่ทัน พากันล้มหายตายจากไป
ครั้นคิดถึงเหล่าผู้อาวุโสที่ตายจากไป เฝยเว่ยก็ขดตัวกลมอย่างหวาดกลัว แต่เพราะขนาดตัวมหึมา ซ้ำยังมีสองลำตัว เมื่อขดเป็นวงแล้วสภาพจึงดูน่ารังเกียจยิ่งกว่าเดิม
ฉาวอวิ๋นผู้รักความสวยงามถึงกับปิดตาอย่างทนไม่ได้ ทำไมร่างเดิมของบรรดาจอมปีศาจบรรพกาลถึงได้ดูเป็นเช่นนี้กันหมด ไม่คิดถึงสุนทรียะด้านความงามกันบ้างเลย
“ทำไมคุณถึงมาปรากฏตัวที่มณฑลฉงซาน” จวงชิงหาได้เลิกการไต่สวนเพราะสภาพ ‘น่าสงสาร’ ของเฝยเว่ย เนื่องจากการปรากฏตัวของเฝยเว่ยไม่เพียงสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ หนำซ้ำยังทำให้สัตว์หิวน้ำตายนับไม่ถ้วน เขาไม่สามารถทำเป็นไม่แยแสได้
เฝยเว่ยส่งเสียงแปลก ๆ ออกมาเป็นชุด พวกฉาวอวิ๋นพากันงุนงง นี่พูดอะไรน่ะ
จวงชิงเคยศึกษาภาษาปีศาจบรรพกาลจากตำราโบราณของเผ่าปีศาจ จึงพอฟังคำพูดของเฝยเว่ยออกคร่าว ๆ เจ้าเฝยเว่ยตัวนี้ฟังภาษาพวกเขาไม่เข้าใจ เอาแต่โวยวายจะกลับเขาหุนซี ด้วยเหตุนี้จวงชิงจึงใช้ภาษาปีศาจโบราณถามอีกรอบ
ครั้งนี้เฝยเว่ยฟังออก มันส่ายหัวพูด “ข้าหาได้ตั้งใจไม่ เป็นผู้อื่นพาข้ามา”
เฝยเว่ยซึ่งถูกหางฟาดตัวปลิวบวกกับโดนแช่แข็งมาไม่กล้าหือกับจวงชิง มันตั้งใจตอบคำถาม “เผ่าพวกข้ามีคำสอนสืบกันมาว่า เบื้องนอกเขาหุนซีมีจอมปีศาจที่ทำให้พวกข้ากลายเป็นเถ้าธุลีได้ ดังนั้นพวกข้าเผ่าเฝยเว่ยจึงไม่ออกจากภูเขา”
“กลายเป็นเถ้าธุลี?” จวงชิงจำได้ ดูเหมือนว่ามีจอมปีศาจสักตนเคยเล่าว่า มีเฝยเว่ยที่จู่ ๆ ก็สลายเป็นเถ้าธุลี หรือว่าคำสอนของเผ่าเฝยเว่ยจะมาจากเรื่องนี้
“ใช่แล้ว” เฝยเว่ยพยักหน้าซ้ำ ๆ “เผ่าพันธุ์พวกข้าระมัดระวังตัวมากมาโดยตลอด สามพันกว่าปีมานี้ไม่เคยออกจากเขาหุนซีสักครั้ง ทว่าไม่กี่ร้อยปีก่อนบนภูเขาหนาวเย็นลงเรื่อย ๆ อย่างกะทันหัน เผ่าพันธุ์ข้ารวมถึงปีศาจตนอื่น ๆ ต่างบาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วนภายในระยะเวลาไม่กี่วัน ปัจจุบันทั้งภูเขาเหลือข้าเฝยเว่ยอยู่เพียงตัวเดียว”
จวงชิงเล่าสิ่งที่เฝยเว่ยพูดให้เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ฟังอีกรอบ
“ไม่กี่ร้อยปีก่อนอากาศหนาวกะทันหัน…” ด้วยความเป็นปิ่นหงส์ ฉาวอวิ๋นจึงไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับอุณหภูมิมากนัก ถึงขนาดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปีไหนหนาวที่สุด
“ที่มันพูดน่าจะหมายถึงยุคน้ำแข็งน้อย[5]” จวงชิงจำได้ว่าสมัยนั้นหนาวมากเป็นพิเศษ ทั่วโลกโกลาหล ผู้คนลำบากยากแค้น ชีวิตนับไม่ถ้วนต้องแข็งตายไม่ก็หิวตาย
ฉู่อวี๋เองก็จำได้ เขาพยักหน้าหงึก ๆ “ผมจำได้ว่าช่วงเวลานั้นหนาวมาก หนาวจนน้ำกลายเป็นน้ำแข็งหมด ถ้าไม่เพราะผมมีพลังตบะก็อาจจะแข็งตายในยุคนั้นแล้วก็ได้”
“แล้วผู้ใดพาเจ้าออกมา” จวงชิงมุ่นคิ้วพลางเอ่ยถามต่อ
เฝยเว่ยส่ายหัวตอบ “ข้าไม่รู้”
[1] ซานเซิง แปลว่า สามชาติหรือสามชีวิต ซวี แปลว่า หนวดหรือเครา
[2] เยว่ แปลว่า พระจันทร์ หลิวซา แปลว่า ทรายไหลหรือทรายดูด
[3] หมายถึง แผ่นดินไหว
[4] กุมารที่คอยดูแลไฟในการหลอมยาของไท่ซ่างเหล่าจวิน
[5] Little Ice Age ราวปี ค.ศ.1300 ถึงปี ค.ศ.1850 เหตุเกิดจากภูเขาไฟระเบิดและการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในทะเล