巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์
อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด
— โปรย —
หลังจาก ฟางเล่อจิ่ง มีผลงานการแสดงหลายเรื่อง
เขาก็ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์จีน
ฟางเล่อจิ่ง เองก็ตั้งเป้าหมายจะคว้ารางวัลนี้เช่นกัน
เพื่อลดคำครหาของผู้คนยามที่เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ เหยียนข่าย
แต่เขาดันต้องเผชิญกับดาราอาวุโสที่เป็นตัวเต็งอีกคน
แล้วเขาจะคว้ารางวัลนี้และเปิดเผยความสัมพันธ์ของเขากับ เหยียนข่าย ได้อย่างราบรื่นหรือไม่
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
80 นี่ไม่ใช่สไตล์การทำงานที่อีกฝ่ายควรเป็น!
อย่างกับเป็นคนอื่น!
เหยียนข่ายจับมือเขา ทั้งสองค่อยๆ เปิดกล่องด้วยกัน นาฬิกาข้อมือสีขาวเรียบหรูนอนอยู่บนกำมะหยี่สีดำ เปล่งประกายเลือนรางภายใต้แสงไฟ
“ทำขึ้นพิเศษเพื่อนายโดยเฉพาะเลย มีแค่เรือนเดียวในโลก” เหยียนข่ายเอ่ย “ช่างทำถามฉันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าชาตินี้มีโอกาสครั้งเดียว แน่ใจหรือเปล่าว่าจะสลักชื่อนี้”
“แล้วจากนั้นล่ะ คุณตอบเขาว่ายังไง” ฟางเล่อจิ่งถาม
“จากนั้นฉันเลยบอกเขาไปว่า งั้นรวมส่วนของชาติหน้า ชาติถัดๆ ไป แล้วก็ชาติถัดๆ ไปโน้น สลักให้ทีเดียวเลยแล้วกัน ยังไงซะ จะนัดคิวทีก็ไม่ใช่ง่ายๆ อยู่แล้ว” เหยียนข่ายพูดได้หน้าตาเฉย
ฟางเล่อจิ่งหลุดขำ กระชับมือซ้ายเข้ากับอีกคนแน่น
ด้านในสายนาฬิกาสลักอักษรย่อของชื่อทั้งสองไว้อย่างวิจิตรบรรจง สมบูรณ์แบบประหนึ่งผลงานศิลป์
“ชอบหรือเปล่า” เหยียนข่ายถาม
“อื้อ” ฟางเล่อจิ่งพิงกายไปในอ้อมแขนของเขา “ขอบคุณครับ”
“แค่ขอบคุณ?” เหยียนข่ายขบเม้มติ่งหู น้ำเสียงแหบพร่ายั่วเย้า
กระดุมชุดนอนถูกปลดออกทีละเม็ด เผยให้เห็นร่างกายขาวนวล บอบบาง และนุ่มหยุ่น เนื่องจากการถ่ายภาพยนตร์ ทำให้บนตัวมีรอยฟกช้ำเพิ่มขึ้นไม่น้อย เหยียนข่ายจูบไล้ทุกตารางนิ้วอย่างอ่อนโยน ด้วยความรู้สึกทั้งรักทั้งสงสาร
โคมไฟบนหัวเตียงถูกปรับให้สลัวที่สุด ส่องให้เห็นเพียงเค้าร่างที่กอดรัดพัวพันกันอันเลือนราง ชั่วขณะที่อารมณ์พัดพา ราวกับทุกสิ่งในโลกล้วนไม่มีอยู่ เหลือเพียงกระแสแห่งห้วงอารมณ์และความปรารถนาที่ไม่ยินยอมสลายหายไป ราวกับการบูชายัญของเผ่าแม่มดที่เต็มไปด้วยการบูชาอันเคร่งครัดและข้อห้ามอันบ้าคลั่ง
เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟางเล่อจิ่งซุกตัวในที่นอนนุ่ม แพขนตาสั่นระริกเล็กน้อย
แม้เมื่อคืนจะเพลียแค่ไหน แต่นาฬิกาชีวิตที่มาจากการถ่ายภาพยนตร์ก็ยังทำหน้าที่อย่างไม่บกพร่อง ปลุกเขาให้ตื่นจากความฝันแสนหวานตรงเวลา
“เด็กดี ยังเช้าอยู่เลย” เหยียนข่ายกอดเขาไว้ในอ้อมแขน “นอนอีกสักพักเถอะ”
“แล้วทางกองถ่ายล่ะ” เสียงของฟางเล่อจิ่งแหบพร่า เขาไม่ได้ลืมตา
“ให้เป็นหน้าที่ฉันก็พอ” เหยียนข่ายลูบแผ่นหลังของเขา “วันนี้นายขอลา”
“อื้อ” ฟางเล่อจิ่งโอบเอวเขาไว้ ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกครั้งด้วยความอบอุ่นและสบายใจ เหยียนข่ายเอื้อมมือไปคว้ามือถือจากอีกด้าน แล้วส่งข้อความหาฟิลลิปส์
“เล่อเล่อขอลา?” หลังจากอันเซลได้ยินเรื่องนี้ก็นิ่วหน้าเล็กน้อย “เมื่อคืนเขาตากฝนนานจนไม่สบายหรือเปล่า”
“ใช่ๆ” ฟิลลิปส์พยักหน้า “อีกอย่าง ญาติของเค้ามาเยี่ยมพอดี วันนี้เลยอยากพักที่โรงแรมหนึ่งวัน”
“ได้ ไม่มีปัญหา” เนื่องจากฟางเล่อจิ่งตรงต่อเวลาเสมอและนานๆ ทีจะขอลาหยุดสักครั้ง อันเซลเลยไม่คิดอะไรมาก เขาพยักหน้าอนุญาตอย่างไม่อ้อมค้อม แล้วยังบอกด้วยว่าจะไปเยี่ยมหลังเลิกงาน
ไม่ได้เด็ดขาด! ฟิลลิปส์หน้าถอดสี “คุณอย่าไปดีกว่า” ไม่งั้นผมตายแน่
“ทำไม” อันเซลแสดงท่าทีงุนงง
“เพราะ…ญาติของเล่อเล่อไม่ชอบคนต่างชาติหนวดเฟิ้ม โดยเฉพาะคนแบบคุณนี่แหละ” ฟังดูมีเหตุมีผลสุดๆ!
เสิ่นตุ๊บป่องที่กำลังดื่มน้ำอยู่อีกด้านแทบสำลักออกมาหลังได้ยิน
คุณยายหกนี่เปราะบางจริงด้วยแฮะ
อันเซลที่หนวดเคราเต็มหน้าตกใจมาก “แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ”
“ถูกต้อง” ฟิลลิปส์พยักหน้าอย่างใสซื่อ
อันเซลเกิดความรู้สึกหลากหลาย
ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะถูกเลือกปฏิบัติเพราะเรื่องหนวด
ไม่ง่ายเลยกว่าจะขอลาสำเร็จ ฟิลลิปส์โล่งอก หลังส่งข้อความรายงานเหยียนข่ายก็ตั้งใจจะกลับไปนอนที่โรงแรม ทว่าพอหันหลังไปเห็นเร็กเลยยิ้มแฉ่งทันที เพียงแต่เขายังไม่ทันเอ่ยปากชวนคุย เร็กกลับก้าวยาวๆ เดินไปทางเสิ่นหาน
“มีอะไรเหรอ” เสิ่นหานวางแก้วน้ำ
“วันนี้เล่อเล่อไม่ได้มาที่กอง” เร็กถาม “เขาไม่สบายหรือเปล่า”
“ความจริงก็ไม่นะ” ฟิลลิปส์โผล่พรวดเข้ามาทันเวลา แถมยังจูงแขนเขาอีกด้วย
เร็ก “…”
เสิ่นหาน “…”
ไม่ได้บอกว่าชอบสาวเซ็กซี่หรือไง ทำไมบรรยากาศรอบตัวถึงผิดปกติขนาดนี้!
“วันนี้เล่อเล่อไปไหน นายน่าจะรู้ดี” ฟิลลิปส์ขยิบตาให้เขา ลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก
เร็กขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ใช่ไหม” ฟิลลิปส์มองไปทางเสิ่นหาน
เสิ่นตุ๊บป่องสองจิตสองใจก่อนพยักหน้าอย่างแข็งขัน
“มีคนชอบเล่อเล่อตั้งเยอะแยะ” ฟิลลิปส์ยังคงกอดพร้อมถูไถแขนของเขาต่อ
เร็กเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนส่งยิ้มขอโทษให้เสิ่นหาน “รบกวนนายแล้ว”
“ไม่เลย” เสิ่นหานมองสังเกตเขา ตั้งใจรามือแล้วเหรอ
เร็กหันหลังเดินออกจากกองถ่ายไป
ฟิลลิปส์ยังคงติดหนึบบนแขนของเขาอย่างไม่ย่อท้อราวกับเป็นลิง แม้ว่าความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบของเขาจะไม่ถือว่าเตี้ย แต่เร็กสูงถึงสองเมตรทั้งยังล่ำสัน เพราะงั้นพอห้อยโหนแบบนี้เลยไม่ได้ดูแปลกอะไร
มือซ้ายของเร็กกำหมัดแน่น อยากอัดเจ้าลูกผู้ดีมีเงินนี่ให้กระเด็นไปซะ
ฟิลลิปส์ตัดสินใจเกาะหลังอีกฝ่ายเสียเลย
ทั้งสองเดินตุปัดตุเป๋ออกจากกองถ่ายไปตลอดทาง เสิ่นหานเอามือปิดตา ทนดูต่อไม่ไหวจริงๆ
นี่มันภาพบ้าบออะไรกันเนี่ย…
เนื่องจากฟางเล่อจิ่งลาหยุดกะทันหัน เพราะงั้นซีนตอนบ่ายเลยเปลี่ยนเป็นซีนอื่นโดยไม่ได้เตรียมการล่วงหน้า ภายในคอนโด ฟางเล่อจิ่งกำลังทำอาหารกับเหยียนข่าย ราวกับย้อนกลับไปยังช่วงเวลาอันแสนหวานและอบอุ่นเหมือนตอนอยู่ที่จีนก่อนหน้านี้
“ไม่อยากกลับแล้ว ทำไงดี” เหยียนข่ายสวมกอดเขาจากด้านหลัง
“ก็ไม่ต้องกลับสิครับ” ฟางเล่อจิ่งตักน้ำแกงอย่างระมัดระวัง ก่อนเป่านิ้วที่โดนลวก
“เป็นความคิดที่ดี” เหยียนข่ายเอ่ย “อยู่เป็นผู้ช่วยนายที่นี่ดีกว่า”
“แล้วเฝิงฉู่ล่ะ” ฟางเล่อจิ่งหันไปมองเขา
“ไม่รู้สิ” เหยียนข่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง “งั้นส่งเขาไปเป็นประธานบริษัทที่ตงหวนเป็นไง”
“ฮัดชิ้ว!” เฝิงฉู่ที่อยู่ในกองจามออกมา เขาคันจมูกเล็กน้อย
อยู่เฉยๆ ก็งานเข้าซะงั้น
“จะกลับเมื่อไหร่ครับ” ฟางเล่อจิ่งถามเหยียนข่าย
เหยียนข่ายนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจแล้วบอก “คืนพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว”
“รีบขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ฟางเล่อจิ่งได้ยินก็ตกใจ ก่อนหน้านี้ตอนเขาทำงานที่ต่างประเทศ อีกฝ่ายเคยมาเยี่ยม และอย่างน้อยๆ ต้องอยู่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ทำไมคราวนี้แค่สองวันก็ต้องกลับแล้ว
“ทำไงได้ ที่บริษัทยุ่งมาก” เหยียนข่ายเอ่ย “นายเองก็รู้ ช่วงนี้ผู้อาวุโสจานกับพ่อไปมาหาสู่กันอย่างใกล้ชิด ทั้งสองร่วมกันออกแนวคิดไม่น้อย ฉันจะเที่ยวพักผ่อนข้างนอกในเวลานี้ก็ไม่ได้”
“ผมคิดว่าเป็นช่วงวันหยุดสั้นๆ ของคุณซะอีก” ฟางเล่อจิ่งลูบเสี้ยวหน้าของเขาด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างหมดทางเลือก “ในเมื่อเหนื่อยขนาดนี้ ทำไมยังมาที่นี่อีกล่ะครับ” ยังไม่รวมเรื่องความต่างของเวลา แค่นั่งเครื่องบินอย่างเดียวก็เหนื่อยมากแล้ว
เหยียนข่ายมองเขา “เพราะอยากฉลองวันเกิดให้นายไง” ถึงจะได้เจอหน้ากันแค่ช่วงสั้นๆ ก็ไม่เป็นไร
ฟางเล่อจิ่งสวมกอดเอวของอีกฝ่าย ไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน
ความชื้นอุ่นๆ ส่งผ่านมาจากหัวไหล่ เหยียนข่ายเอื้อมมือไปตบบนแผ่นหลังของเขาเบาๆ “ไม่ต้องร้อง”
ฟางเล่อจิ่งเสียงอู้อี้ “อื้อ”
“ถ่ายเสร็จก็ได้กลับบ้านแล้ว” เหยียนข่ายจูบบนเส้นผมของเขา “ทนต่ออีกสักพัก โอเคไหม”
“อื้อ” ฟางเล่อจิ่งกอดเขาแน่นกว่าเดิม
“งั้นห้ามร้องไห้แล้วนะ” เหยียนข่ายอุ้มเขาไปวางลงบนขอบหน้าต่าง “เด็กดี”
ฟางเล่อจิ่งมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ
“คนอื่นต้องคิดว่าฉันรังแกนายแน่ๆ” เหยียนข่ายใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้เขา “ไม่ร้องแล้ว ยิ้มให้สามีหน่อย”
ฟางเล่อจิ่งปฏิเสธ “ไม่ยิ้ม”
“งั้นฉันยิ้มให้นายแล้วกัน” ประธานเหยียนลื่นไหลไปตามน้ำ
ทำให้ฟางเล่อจิ่งหัวเราะได้สำเร็จ
“ต้องอย่างนี้สิ” เหยียนข่ายบีบจมูกของเขา ขยับเข้าไปจูบซับคราบน้ำตาบนใบหน้า ก่อนไปหยุดที่กลีบปากอ่อนนุ่ม
เกี่ยวพันร้อนแรงดั่งไฟ
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟิลลิปส์ขับรถมาถึงคอนโดตามเวลานัดและรับฟางเล่อจิ่งกลับกองถ่าย
“นายร้องไห้เหรอ” ฟิลลิปส์ขยับมามองเขาใกล้ๆ
“เปล่า” ฟางเล่อจิ่งปฏิเสธ
“แต่ตานายบวมมากเลย” ปลายจมูกฟิลลิปส์แทบจะโดนอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยเน้นย้ำอย่างคนอ่านสถานการณ์ไม่ออก “แล้วก็แดงหน่อยๆ ด้วย แค่มองก็รู้แล้วว่าเพิ่งร้องไห้มา”
“ขับรถไป” ฟางเล่อจิ่งออกแรงดันหัวอีกคนกลับไป
“นายแน่ใจเหรอว่าจะกลับไปทั้งแบบนี้” ฟิลลิปส์เตือน “เราไปประคบน้ำแข็งก่อนดีกว่านะ”
“ไม่ต้อง” ฟางเล่อจิ่งปฏิเสธ
ฟิลลิปส์ทอดถอนใจ “คนมีความรักนี่เข้าใจยากจริงๆ” จากนั้นก็ขับรถไปพลางเอ่ยเสียงดัง “อา! นี่แหละความรัก!”
ฟางเล่อจิ่งใส่หูฟัง ไม่คิดจะฟังเขาพล่ามต่อ
“เล่อเล่อ” ภายในกองถ่าย เสิ่นหานกำลังอาบแสงอาทิตย์พลางอ่านบท หลังจากเห็นเขาก็ยิ้มร่าทักทาย “นายกลับมาแล้ว”
“อื้อ” ฟางเล่อจิ่งนั่งลงข้างเขา
“ว้าว” เสิ่นหานมองดวงตาบวมแดงของเขา ก่อนอุทานออกมา
ฟางเล่อจิ่งหยิกแก้มเขาแรงๆ
“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ” เสิ่นตุ๊บป่องน้อยอกน้อยใจ แค่ “ว้าว” ก็ไม่ได้เหรอ นายคิดมากไปเองแท้ๆ!
“อันนี้ให้นาย” ฟางเล่อจิ่งยื่นถุงกระดาษให้เขา
“อะไรน่ะ” เสิ่นหานเปิดดูด้วยความอยากรู้
“ตังเมถั่วโฮมเมดร้านโปรดของนาย” ฟางเล่อจิ่งตอบ
เสิ่นหานร่าเริงขึ้นมาทันที “ฝากขอบคุณบอสด้วยนะ!” เป็นสุดยอดเจ้านายแห่งชาติจริงด้วย ควรค่าแก่การร่วมมืออีกสุดๆ
ฟางเล่อจิ่งหรี่ตามองเขา “นายรู้แต่แรกว่าเขาจะมาแต่ไม่บอกฉัน!”
“เพื่อเซอร์ไพรส์นายไง” เสิ่นหานเอ่ยอย่างมีเหตุผล “เป็นไงบ้าง บอสได้ทำซึ้งให้นายหรือเปล่า” จูบอ่อนโยนบนเตียงหลังใหญ่ที่โปรยด้วยกลีบกุหลาบ แล้วเอ่ยคำหวานชวนซึ้ง ในนิยายเขียนไว้แบบนั้น
“ซึ้งบ้านนายสิ” ฟางเล่อจิ่งว่า “คราวหลังถ้ามีเรื่องแบบนี้อีก ห้ามปิดบังฉันแล้วนะ”
เสิ่นตุ๊บป่องผงกศีรษะรับอย่างขึงขัง ก่อนกระดิกนิ้วในใจ
No No No
ฉันน่ะสายลับตัวพ่อ
ถนัดงานตีเนียน เล่นละครเก่งสุดๆ
“ฉันจะไปทักทายผู้กำกับ” ฟางเล่อจิ่งลุกขึ้นยืน
“มีอีกเรื่องจะบอกนาย” เสิ่นหานว่า “เร็กกลับไปแล้ว”
“กลับไปแล้ว?” ฟางเล่อจิ่งหยุดฝีเท้า
“อือ กลับบ้านเกิดเขาน่ะ” เสิ่นหานเล่าเรื่องเร็กที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้อีกฝ่ายฟัง “คงอยากพอแล้วละมั้ง”
“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” ฟางเล่อจิ่งยิ้ม “เขาเป็นคนดี” แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยทำผิดแต่ก็ได้รับโทษตามกฎหมายไปแล้ว และว่ากันตามตรง นอกจากรูปลักษณ์ภายนอก เร็กในตอนนี้ก็เรียกได้ว่าสุภาพอ่อนโยนเลยละ
“นายจะแจกการ์ดคนดี[1]ไปทั่วไม่ได้นะ” เสิ่นหานทำท่าจริงจัง
เสียงแตรดังมาจากด้านนอกกองถ่าย แม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีการถ่ายทำใดๆ แต่อันเซลก็ยังขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ฉันไปแล้วนะ!” ฟิลลิปส์โบกมืออย่างร่าเริง “ลาก่อน เหล่าสหายของฉัน!”
“นายจะไปไหน” เสิ่นหานแปลกใจอย่างยิ่ง
“ไปตามหาชีวิตใหม่!” ฟิลลิปส์สวมหมวกฟางใบใหญ่ดูโอเวอร์เหมือนคาวบอยที่จะไปบุกเบิกอเมริกาตะวันตก! เพียงแต่ยานพาหนะที่ใช้ไม่ใช่วัว แต่เป็นปอร์เช่
ทุกคนในกองต่างไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “ตามหาชีวิตใหม่” ที่เขาพูด กระทั่งสามชั่วโมงถัดมา เบนท์ลีย์สีดำคันหนึ่งขับเข้ามาในกองถ่าย หลังประตูรถเปิดออก หนุ่มหล่อสวมเสื้อกันลมสีดำก็ก้าวลงมา พร้อมเข็มกลัดดอกกุหลาบสีแดงสดบนอก ดวงตาสีฟ้าเหมือนน้ำทะเล แม้เครื่องหน้าจะคล้ายฟิลลิปส์อยู่หลายส่วน ทว่าบุคลิกนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง
และคนอื่นก็เข้าใจในทันที มิน่าล่ะ ไม่ได้จะไปตามหาชีวิตใหม่อะไรหรอก ที่แท้ก็กลัวถูกพี่ชายลากกลับบ้านเท่านั้นเอง
“ฟิลลิปส์ล่ะ” ออกัสตินถามเสียงเย็น
“นายมาช้าไปก้าวหนึ่ง” อันเซลกางแขนสวมกอดเขา “สามชั่วโมงก่อน เขาเพิ่งบอกว่าจะไปตามหาชีวิตใหม่”
ออกัสตินทำหน้าถมึงทึง ดูไม่พอใจกับพฤติกรรมจงใจหลบเลี่ยงของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก และความไม่พอใจนี้ยังคงอยู่ต่อเนื่องไปจนถึงตอนพบเหยียนข่าย
“ไม่อยากให้เขาพยศแบบนี้ ก็อย่าเอาแต่ตามใจเขาสิ” เหยียนข่ายยื่นไวน์แก้วหนึ่งไปให้
ออกัสตินรับแก้วมาด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ ก่อนเงยหน้าดื่มลงไปรวดเดียว
“อยากให้ฉันช่วยไหม” เหยียนข่ายถาม “ดูเหมือนเขาจะชอบวงการภาพยนตร์นะ”
“ฉันจัดการเองได้” ออกัสตินส่ายหน้า
“ก็ได้ นายตัดสินใจเองแล้วกัน” เหยียนข่ายดูเวลา “ใกล้ได้เวลาแล้ว เราไปสนามบินกันเถอะ”
“อุตส่าห์บินตั้งไกลมาอิตาลี เพื่ออยู่ด้วยกันแค่วันเดียวเนี่ยนะ” ออกัสตินส่ายหน้า “ดูไม่เหมือนนายแต่ก่อนเลย”
“เพราะก่อนหน้านี้ฉันยังไม่เจอเขา” เหยียนข่ายสวมเสื้อกันลม “รอให้นายเจอใครคนนั้น อาจจะเข้าใจความรู้สึกของฉันในตอนนี้”
ออกัสตินไม่ได้เก็บมาคิดจริงจัง “ฉันไม่มีวันเจอใครคนนั้นอย่างนายหรอก”
“อย่ามั่นใจอะไรเกินไป” เหยียนข่ายเลิกคิ้ว
“ฝากทุกความรู้สึกของตัวเองไว้กับคนคนเดียวเป็นเรื่องที่อันตรายมาก” ออกัสตินว่า
“แต่มันก็เป็นการเดิมพันที่น่าสนใจ” เหยียนข่ายเอ่ย “นายไม่เข้าใจหรอก ฉันรักเขา”
“ฉันไม่มีทางร่วมวงเดิมพันอะไรทั้งนั้น” ออกัสตินส่ายหน้า “เพราะฉันเกลียดการพ่ายแพ้”
เหยียนข่ายยักไหล่ “งั้นเรามาคอยดูกัน”
ออกัสตินยิ้มแล้ววางแก้วไวน์บนโต๊ะอย่างแผ่วเบา
เครื่องบินทะยานขึ้นพร้อมเสียงดังกระหึ่ม เหาะเหินไปยังอีกฟากของมหาสมุทร
ในคฤหาสน์แถบชานเมือง นายท่านเหยียนกำลังจิบชาอย่างไม่รีบร้อน พร้อมศึกษาหนังสือหมากรุก
“พ่อ” เหยียนข่ายผลักประตูเปิด “ผมกลับมาแล้ว”
นายท่านเหยียนเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
“คุณลุง” ออกัสตินที่ตามเข้ามาค้อมตัวให้เล็กน้อย “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
นายท่านเหยียนสำลักชาออกมา
“พ่อ?” เหยียนข่ายรีบเข้าไปช่วยลูบหลังให้เขา “ไม่เป็นไรใช่ไหม”
ออกัสตินดึงกระดาษทิชชูจากอีกด้านแล้วส่งให้เขาด้วยสองมือ “คุณลุง”
“เดี๋ยวก่อน ทำไมพวกแกถึงกลับมาด้วยกัน” ผ่านไปนานกว่านายท่านเหยียนจะได้สติ ก่อนมองทั้งสองด้วยสายตาเหมือนเห็นสัตว์ประหลาด
“แล้วทำไมเราจะกลับมาด้วยกันไม่ได้ล่ะ” เหยียนข่ายสงสัย “ออกัสตินกลับมาช่วยผม”
“แค่ช่วยอย่างเดียว?” นายท่านเหยียนถามอีกประโยค
“ไม่งั้นจะเป็นอะไรล่ะ” เหยียนข่ายจำใจ “เขาจะอยากได้ทรัพย์สมบัติผมหรือไง”
นายท่านเหยียนลุกขึ้นยืน จ้องออกัสตินอย่างพิจารณาอยู่นานสองนาน
เหยียนข่าย “…”
ออกัสตินยืนนิ่งไม่ขยับ ก่อนใช้หางตาเหลือบมองเหยียนข่าย…นายแน่ใจนะว่าคุณลุงไม่ได้โดนคุณไสย
“แกตามฉันมา” ประมุขของบ้านหันหลังขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องหนังสือ
เหยียนข่ายสบตาออกัสตินก่อนสาวเท้าตามไป “ตกลงว่าเรื่องอะไรกันแน่ครับ”
“ไม่ใช่…เขาใช่ไหม” นายท่านเหยียนเอ่ยคำพูดชวนสะพรึง
ฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เหยียนข่ายช็อกแทบล้มทั้งยืน
“ไม่กี่วันก่อน แม่แกไปหาซินแส บอกว่าคราวนี้แกจะพาคนคนนั้นกลับบ้านด้วย” นายท่านเหยียนเสียงสั่น “ไม่ใช่เจ้านี่ใช่ไหม” ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็ดูสยองไปหน่อยนะ
“จะใช่ได้ยังไงเล่า!” เหยียนข่ายขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แทบจะคำรามออกมา!
“ค่อยยังชั่ว” นายท่านเหยียนโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เมื่อครู่เขาเกือบจะหัวใจวายอยู่แล้ว
เหยียนข่ายอยากจะกระอักเลือด
“ออกัสติน?” หลังได้ข่าว โมลี่ก็ตกตะลึงไม่น้อย
“ผมบอกคุณแล้วว่าพวกหมอดูข้างถนนเชื่อไม่ได้!” หนวดของนายท่านเหยียนกระตุกยิกๆ
“ฉันทำเพราะร้อนใจนี่” โมลี่ไม่สบอารมณ์อย่างมากที่เสียงของเขาดังกว่าเธอ
รู้ทั้งรู้ว่าลูกชายมีความรัก แต่ผ่านมาตั้งนานกลับยังไม่ได้เจอลูกสะใภ้สักที ไม่ว่าแม่คนไหนก็ทนไม่ได้ทั้งนั้น!
ภายในห้องรับแขกชั้นล่าง สายตาของออกัสตินดู…ซับซ้อน
“แอบฟังคนอื่นคุยกันไม่ใช่การกระทำของสุภาพบุรุษนะ” เหยียนข่ายว่า
“ฉันไม่เคยเป็นสุภาพบุรุษอยู่แล้ว” ใบหน้าออกัสตินซีดเผือด
ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาไปพักที่โรงแรมเสียก็ดี!
มาถึงก็เจอเรื่องชวนช็อกเสียอย่างนั้น
เหยียนข่ายเองก็กลัดกลุ้ม ใคร่ครวญว่าควรหาโอกาสเปิดเผยข้อมูลบางอย่างให้ครอบครัวเขารู้หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าแม่ที่ชอบก่อเรื่องแบบนี้จะสร้างปัญหาอะไรอีกไหม
ออกัสตินเนี่ยนะ…ผ่านไปครู่หนึ่ง ประธานเหยียนก็เสียวสันหลังวาบ อดหันไปเหลือบมองเขาไม่ได้
ทั้งสองสบสายตากันพอดี
ก่อนคลื่นไส้ด้วยความขยะแขยงกันทั้งคู่
ไม่เหลือเยื่อใยแห่งมิตรภาพเลย
เนื่องจากเหยียนข่ายไม่อยู่แค่สามวัน คนอื่นๆ ในบริษัทจึงไม่รู้และเข้าใจว่าเขาพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ขณะประชุมในวันจันทร์ ป๋ายอี้เปิดไฟล์พาวเวอร์พอยท์ อธิบายแผนงานขั้นถัดไปของบริษัทคร่าวๆ
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เหยียนข่ายถาม
คนอื่นพากันส่ายหน้าบ่งบอกว่าไม่มี มีเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งที่เอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ไว้หน้าคู่แข่งแบบนี้ ดูไม่ใช่วิสัยของท่านประธานเลยนะครับ”
เหยียนข่ายยิ้ม ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น
ว่ากันตามตรง นี่ไม่ใช่ความคิดของเขาจริงๆ นั่นแหละ ส่วนใหญ่มาจากแทมเบอร์กับท่านประธานใหญ่ต่างหาก
“จะใช้ไม้โหดกับเทียนจี้จริงเหรอ” หลังจบการประชุม ป๋ายอี้ไปหาเขาที่ห้องทำงาน
เหยียนข่ายพยักหน้า “นายคิดว่าไง”
“ความจริงไม่จำเป็นต้อง…” ป๋ายอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “โทษที ฉันหาคำที่เหมาะๆ ไม่ได้”
เหยียนข่ายส่งกาแฟแก้วหนึ่งให้เขา “โหด?”
ป๋ายอี้เลิกคิ้ว “นายพูดเองนะ ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
“ฉันรู้ว่านายกำลังคิดอะไร” เหยียนข่ายเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “พูดตามตรง นี่ไม่ใช่สไตล์ของฉันเหมือนกัน”
“งั้นทำไมต้องทำ” ป๋ายอี้ถามอย่างงุนงง “ถึงเทียนจี้จะล้มละลายจริง แต่เค้กก้อนใหญ่ขนาดนี้ เราคงกินไม่หมดหรอก กลับจะยิ่งกลายเป็นขี้ปากคนในวงการได้ง่ายขึ้นอีก ถึงจะเป็นความคิดของคุณลุง นายก็ควรเกลี้ยกล่อมเขา”
“ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ประธานใหญ่ แต่ยังมีใครอีกคนด้วย” เหยียนข่ายตบไหล่เขาเบาๆ “วางใจเถอะ ฉันไม่ทำเรื่องอะไรที่ไม่แน่ใจหรอก”
ป๋ายอี้ได้ยินก็นิ่วหน้าเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็พยักหน้ารับอยู่ดี
ภายในบริษัทเทียนจี้เอนเตอร์เทนเมนต์ เจ่อซานเพิ่งเสร็จสิ้นการประชุมสามัญด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ช่วงนี้ตงหวนทำหลายสิ่งหลายอย่างที่แทบทุกเรื่องพุ่งเป้ามายังเทียนจี้ ถึงแฟนคลับจะมองไม่ออก แต่คนในวงการกลับจับเบาะแสได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าทั้งสองบริษัทจะมีสถานภาพเป็นคู่แข่งกันอยู่ตลอด แต่ส่วนใหญ่จะรักษาระดับให้เหมาะสม ตอนนี้จู่ๆ อีกฝ่ายกลับเพิ่มการโจมตี ตัวเองจึงรับมือไม่ทัน
“ดูไม่ใช่นิสัยของเหยียนข่าย แต่เหมือนพ่อของเขามากกว่า หรือจะบอกว่าตอนนั้นพ่อของเขายังไม่รุนแรงขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ” รองประธานบริษัทเอ่ยขึ้น “เราต้องตอบโต้ไหม”
“จะตอบโต้ยังไง” เจ่อซานถาม
“พวกมันเล่นสกปรกได้ เราก็ทำได้เหมือนกัน” รองประธานว่า
“ออกไปก่อนไป” เจ่อซานโบกมือ “ฉันขอคิดอีกหน่อย”
รองประธานนิ่วหน้า “แต่…”
“ออกไป!” เจ่อซานตวาด
“ขอโทษครับ” รองประธานจำต้องกลืนคำพูดที่เหลือลงไปก่อนหันหลังออกจากห้องทำงาน
เจ่อซานโยนเอกสารในมือไปด้านข้าง แววตาดูขุ่นมัว
เมื่อครู่มีประโยคหนึ่งที่อีกฝ่ายพูดถูก คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นช่วงนี้ไม่ใช่สไตล์ของเหยียนข่าย และไม่เหมือนของนายท่านเหยียนด้วย กลับเหมือนวิธีการของคนอื่น
ส่วนคนที่ว่าเป็นใครนั้น ตัวเขาติดตามอีกฝ่ายมานานหลายปี คำตอบที่ได้นั้นชัดเจนเสียยิ่งกว่าชัดเจน
หลังลังเลอยู่นาน ในที่สุดเขาก็เลือกโทร.ไปถามหยั่งเชิง
“เชิญฉันไปกินข้าว?” ฟังเหมือนแทมเบอร์กำลังพักผ่อนอยู่ “ทำไมจู่ๆ ถึงมีเวลาว่างล่ะ”
“อยากคุยด้วยสักหน่อยน่ะครับ” เจ่อซานเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เอาเป็นคืนนี้ดีไหม”
“ไม่ดีกว่า” แทมเบอร์เอ่ย “ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก คงไม่มีเวลาไปตามนัด”
หลังวางสาย เจ่อซานมีสีหน้าโกรธจัดจนแทบจะบีบมือถือให้แหลกคามือ
และไม่กี่วันหลังจากนั้น ภาพแทมเบอร์กับท่านประธานใหญ่เหยียนนั่งดื่มชาด้วยกันก็ปรากฏในโลกออนไลน์ แม้เป็นเพียงภาพแอบถ่ายของปาปารัสซี่ ทั้งยังถูกลบทิ้งจนเกลี้ยงภายในบ่ายวันนั้นและไม่ได้เป็นที่สนใจของชาวเน็ตเท่าไหร่ ทว่ายังคงสร้างความปั่นป่วนขึ้นในวงการ…อย่างไรเสีย ต่อให้เป็นคนรุ่นหลังผู้มีฝืมือ แต่ทุกคนยังคงเคารพกริ่งเกรงต่อบริษัทฮว่าเฟิงในอดีต ยิ่งกว่านั้นยังคิดไม่ถึงว่าจานเทียนฮว่าจะเต็มใจหวนคืนวงการบันเทิงอีกครั้งด้วย
“พี่ใหญ่ จะทำยังไงต่อดี” ในที่สุดเรื่องที่ไม่อยากเห็นที่สุดก็เกิดขึ้น ผู้ช่วยทั้งหลายของเทียนจี้แทบนั่งไม่ติด…แค่พ่อลูกตระกูลเหยียนอย่างเดียวก็หืดขึ้นคอแล้ว ตอนนี้ยังมีจานเทียนฮว่าอีกคน ทุกย่างก้าวคือกลหมากสำคัญ ถ้ายังไม่ใช้มาตรการใดๆ คงตกหลุมที่ตัวเองขุดไว้จริงๆ แน่
เจ่อซานหลับตาลง สีหน้าไม่แสดงความรู้สึก
รองประธานทั้งหลายในห้องต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าปริปาก
“รูปนั้นใครเป็นคนถ่าย” หลังผ่านไปนาน ในที่สุดเจ่อซานก็ลืมตาแล้วเอ่ยถาม
“ไม่ทราบครับ” รองประธานส่ายหน้า “มีคนโพสต์ในเว็บบอร์ดข่าวสารของวงการโดยไม่ระบุชื่อ ไม่ถึงสามชั่วโมงก็ถูกลบทิ้ง เห็นว่าผู้เฒ่าจานต่อสายหาบรรณาธิการเว็บไซต์ด้วยตัวเอง ฟังเหมือนอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ” แน่นอนว่าสื่อสำนักอื่นๆ ย่อมไม่กล้าเล่นข่าวซ้ำอยู่แล้ว ตอนนี้คงรอดูท่าทีและเผยแพร่เฉพาะวงในเท่านั้น
“หาได้หรือเปล่าว่าร้านกาแฟร้านไหน” เจ่อซานขยายภาพถ่ายในคอมพิวเตอร์
“ตรวจสอบแล้วครับ เป็นร้านกาแฟส่วนตัวของตงหวน” รองประธานเอ่ย “คงไม่มีทางไปเช็กกล้องวงจรปิดได้แน่”
เจ่อซานหน้าซีดเผือด คว้าเอายาลดความดันบนโต๊ะมากินไปหนึ่งเม็ด “อีกครึ่งชั่วโมงเปิดประชุม”
[1] แจกการ์ดคนดี ในภาษาจีนหมายถึง การที่ฝ่ายหนึ่งปฏิเสธความรู้สึกของอีกฝ่ายด้วยคำพูดที่ว่าอีกฝ่ายดีเกินไป