อารมณ์และความเครียดจากการทำงาน ส่งผลเสียกับเราเสมอไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ เศร้า ทุกข์ใจ ฯลฯ และอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ การหาวิธีเพื่อ คลายความเครียด เป็นอีกทางหนึ่งในการบำบัดที่ถูกต้อง มาดูกันว่าจะมีวิธี คลายความเครียด ที่เกิดจากอารมณ์ได้โดยวิธีใดบ้าง รับรู้อารมณ์โกรธ ถ้าเราโกรธเจ้านายหรือโกรธเพื่อนร่วมงาน แล้วมัวแต่จะคิดควบคุมอารมณ์นั้น เรามักจะลืมปัญหาที่แท้จริงในการทำงาน แต่ถ้าเรารับรู้อารมณ์โกรธ หรืออารมณ์เกลียดเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน แล้วเฝ้ามองไว้แทนการควบคุม ระหว่างที่เราเฝ้ามอง เราจะหยุดแสดงอารมณ์โกรธ แล้วกลับมามีโอกาสระลึกถึง ไปจนถึงทบทวนปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงานว่าแท้จริงแล้ว สิ่งที่ทำให้เราโกรธคืออะไร และจะสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีใด อารมณ์ทุกข์ หากเจอเพื่อนกำลังทุกข์ใจ คุณจะทำอย่างไร เชื่อไหมว่าความทุกข์สามารถติดต่อกันได้เมื่อเราต้องอยู่ใกล้คนที่กำลังทุกข์ สมมติว่าเพื่อนกำลังเป็นทุกข์เพราะสามีป่วยหนัก ต้องใช้เงินรักษาเป็นจำนวนมาก ความทุกข์ของเราที่ติดต่อมาจากเพื่อนคือ เห็นใจเพื่อน สงสารเพื่อน จนตัวเองรู้สึกทุกข์ไปด้วย หากไม่อยากให้ทั้งเขาและเราเป็นทุกข์จะต้องช่วยบำบัดเพื่อนเสียก่อน โดยเริ่มจากค่อยๆ เข้าหา อย่าบุ่มบ่ามเข้าไป เงียบ ใช้มือแตะบ่า แตะมือ แตะหลัง อย่ารีบร้อน ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย และมองไปทิศทางเดียวกับเขาแล้วเงียบๆ หรือลองพูดว่า “เป็นฉัน ฉันคงแย่แน่ๆ” ไม่ปลอบ ไม่ตัดบท และไม่ปลุก แน่นอนว่าเราภาวนาให้เขาฟื้นตัวเองได้ในระยะเวลาไม่นาน คำพูดประเภท […]
Author Archives: AMARINBOOKS TEAM
ทักษะการ ตัดสินใจเร็ว เป็นทักษะที่ทุกคนควรมีติดตัวไว้ ดังทฤษฎีเฟิร์สเชสบอกไว้ว่า “การใช้เวลาตัดสินใจ 5 วินาทีกับ 30 นาที ผลลัพธ์อาจเหมือนกัน” ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นเลยที่เราต้องใช้เวลามากเพื่อตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วถ้าอยาก ตัดสินใจเร็ว ขึ้นต้องทำอย่างไรบ้าง มาดูกันเลย ใช้เวลานาน ไม่ได้ช่วยให้การตัดสินใจดีขึ้น รู้จัก “ทฤษฎีเฟิร์สเชส” กันไหม มีรายงานว่า ไม่ว่าจะเป็นเกมหมากรุกที่ต้องเดินหมากภายใน 5 วินาที หรือเกมหมากรุกที่สามารถใช้เวลาได้ถึง 30 นาทีนั้น ที่จริงแล้วคนเล่นมักเลือกเดินหมากด้วยวิธีการเดียวกันมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อสั่งสมประสบการณ์มากแล้ว สามารถใช้เวลาเพียง 5 วินาทีในการคิดคำตอบเดียวกับ 30 นาทีได้นั่นเอง หรือถึงจะใช้เวลานานขึ้น สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ต่างกับการตัดสินใจอย่างฉับพลัน ถ้าเป็นเช่นนั้น สู้ตัดสินใจไปเรื่อยๆ จะดีกว่าต้องรอให้จวนตัวแล้วค่อยตัดสินใจ จิตใจเราจะรู้สึกสบายขึ้น และไม่ตัดสินใจผิดพลาดได้จริง “ตัดทิ้ง” ในการทำงาน บางครั้งต้องตัดสินใจเรื่องลำบากใจ ในกรณีที่ต้องตัดสินใจ “ตัดทิ้ง” ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสิ่งสำคัญหรือพวกพ้องก็ได้ ในการละทิ้งไม่ได้ใช้เพียงความกล้าเท่านั้น สิ่งสำคัญคือ “เกณฑ์การตัดสินใจ” เพื่อตัดสินใจ […]
90 เปอร์เซ็นต์ของความรู้สึกในใจจะแสดงออกมาในรูปแบบบุคลิกและท่าทาง การ อ่านใจคน ให้ออกจะทำให้เราเป็นต่อทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือการงาน เราไม่สามารถในภาษาในการสื่อสารอย่างเดียว อวัจนภาษาหรือท่าทางก็ต้องสอดคล้องไปคู่กับการพูดด้วย เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังสื่อ เราจำเป็นต้องฝึกใช้ท่าทางและดูท่าทางของฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้เข้าใจนิสัยของฝ่ายตรงข้ามเพื่อรับมือและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอีกฝ่ายได้ด้วย มาดูกันว่าเราจะสามารถ “อ่านใจคน” จากการสังเกตบุคลิกและท่าทางได้อย่างไร สังเกตสิ่งนี้บนใบหน้า แล้วจะมองเห็นรอยยิ้มเสแสร้ง บางครั้งเราก็ต้องยิ้มเพื่อเอาใจเจ้านายเวลาที่ฟังเรื่องแสนน่าเบื่อ เจอคนที่ไม่ชอบหน้าที่ทำงาน เจอมุกตลกฝืดๆ วิธีสังเกตคนเวลาที่ยิ้มอย่าไม่เต็มใจนั้นให้ดูที่แก้ม เพราะเวลาที่คนเราหัวเราะหรือยิ้มจากใจจริงๆ กล้ามเนื้อไซโกมาติคัสเมเจอร์ตรงแก้มจะยกขึ้น ตัวอย่างเช่นเวลาเห็นใครเล่าเรื่องมุกตลกฝืดๆ แต่อีกฝ่ายยกแก้มขึ้น นั่นแปลว่าเขาตลกกับมันจริงๆ แต่ถ้าต่อให้หัวเราะดังแค่ไหนแต่แก้มไม่ยกขึ้นเลยนั่นคือการแสร้งยิ้ม และเขาคิดว่าสิ่งนี้มันน่าเบื่อ หากเรารู้แล้วว่าคนไหนที่แสร้งยิ้มกับเราสิ่งที่ควรทำคือควรหลบเลี่ยงก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายเกลียดได้ มองไปทางขวาแสดงว่าเป็นคนมุทะลุ มองไปทางซ้ายแสดงว่าเป็นคนยอมแพ้ง่ายๆ หรือ เมื่อเรากำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตาอาจจะหันไปมองด้านซ้ายหรือขวาในทิศทางหนึ่ง การทำแบบนี้สามารถทำให้เราอ่านนิสัยได้ด้วย มีผลวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดว่า คนที่มองด้านขวา ขณะคิดจะเป็นคนที่แน่วแน่ พุ่งชนกับปัญหา แต่ถ้ามองไปทางซ้าย คือคนที่เมื่อเจอสถานการณ์ที่ไม่ชอบใจจะเลือกที่อดทน และมีพฤติกรรมที่กลุ้มใจง่าย สรุปแล้วคนที่มองไปทางขวาคือชอบคิดวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหา ส่วนคนที่มองทางซ้ายจะมีแนวยอมแพ้ตั้งแต่ต้นนั่นเอง หากจะข่มขวัญผู้อื่นในเชิงจิตวิทยาต้องทำแบบนี้ การข่มขวัญทางจิตวิทยาส่งผลในเรื่องการเจรจาธุรกิจอยู่ไม่น้อย เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม เทคนิคที่เราสามารถทำได้ทันทีคือ การเอนไปข้างหลังแล้วยืดอก และการเอนไปข้างหลังนั้นเป็นการแสดงออกอย่างธรรมชาติและมีความหมายว่ากำลังโกรธอยู่อีกด้วย และเมื่อเราเอนไปข้างหลัง อีกฝ่ายก็จะเริ่มแสดงอาการกังวลออกมาและยอมประนีประนอมให้เราเอง แต่ถ้าอยากแสดงความเป็นมิตร ให้เราโน้มตัวมาข้างหน้า […]
นากอ่าน EP. นี้ เราเปิดปี 2020 ด้วยเทรนด์การตลาดยุคใหม่ที่น่าจับตามองที่สุด และหลายๆ แบรนด์เริ่มนำไปปรับใช้แล้ว นั่นก็คือ Personalized Marketing การตลาดแบบรู้ใจ พร้อมแขกรับเชิญคนพิเศษคุณ ณัฐพล ม่วงทำ เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน
ขึ้นชื่อว่า คนขี้เกียจ แล้ว ใครได้ฟังก็มักจะอธิบายความหมายนี้ในแง่ลบเสมอ เพราะเราถูกสอนมาว่าคนที่ขี้เกียจนั้นทำอะไรก็ไม่มีทางสำเร็จได้อย่างแน่นอน ถึงแม้เราจะเป็นคนขี้เกียจ แต่ถ้าใช้ความขี้เกียจให้ถูกที่ ใช้จุดแข็งของความขี้เกียจให้เป็น เราก็จะประสบความสำเร็จได้ไม่แพ้คนขยันอย่างแน่นอน มาดูกันว่า คนขี้เกียจ จะสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยวิธีใด ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจ สิ่งแรกคือเราต้องยอมก่อนคือ ตัวเองเป็นคนขี้เกียจ การขี้เกียจนั้นเหมือนกับพรสวรรค์ เราจะสามารถใช้พรสวรรค์ได้เมื่อเรายอมรับว่าตัวเองขี้เกียจจริงๆ เพราะคนที่ไม่รู้ตัวเองก็จะยังมีนิสัยเฉื่อยแฉะไปเรื่อยๆ บางคนไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจก็มี แต่ถ้าเรารู้ว่าจุดอ่อนขอเราคือความขี้เกียจ เราก็สามารถนำมันมาคิดพลิกแพลงให้เป็นประโยชน์เวลาทำงานได้ และยังมีใครหลายๆ คนที่เข้าใจว่าคำว่า อู้ กับ ขี้เกียจ นั้นเหมือนกัน การอู้นั้นคนการหนีปัญหา ถึงจะสบายแต่สบายได้เพียงไม่นาน เมื่อเวลาหมดเราก็ต้องกลับมาอยู่ดี แต่การขี้เกียจ (แบบก้าวหน้า) คือจะไม่หนีและใช้วิธีคิดพลิกแพลงเพื่อให้ตัวเองสบายไปเรื่อยๆ ยกระดับจิตใจด้วยเสียงเพลง เวลาที่เราต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ในที่ที่คนพลุกพล่านจะทำให้เรารู้สึกเสียสมาธิ เราสามารถฟังเพลงในเวลาที่ทำงานช่วยได้ นอกจากจะดึงสมาธิให้กลับมาได้แล้ว ยังช่วยให้งานเสร็จเร็วอีกด้วยเพราะเมื่อเราสร้างเงื่อนไขเพื่อให้เกิดสมาธิคือ “ออกไปข้างนอกใส่หูฟังนะ” “เปิดเพลงนี้” เมื่อเราทำตามขั้นตอนนี้ได้ สมองจะเปลี่ยนเป็นโหมดทำงานหรือสมาธิทันที นอกจากนี้เรายังกำนดเพลงว่าเวลาทำงานจะฟังเพลงแนวไหนก็จะยิ่งสะดวกมากขึ้น ใช้เจ้านายให้เป็นประโยชน์ เราไม่สามารถที่จะเลือกเจ้านายให้ตรงกับตามที่ใจเราต้องการ ความเป็นจริงเราต้องเจอทั้งเจ้านายที่ไม่ชอบ เจ้านายที่พึ่งพาไม่ได้ เมื่อเราเจอแบบนี้ต่อให้บ่นไปจะยิ่งเครียดไปเปล่าๆ ดังนั้นเราต้องใช้โอกาสนี้คือ […]
การพูดของเราในบางครั้งอาจเป็น คำพูดทำร้ายจิตใจ ที่ส่งผลกระทบกับคนรอบข้างได้โดยไม่รู้ตัว แต่ถึงรู้ตัว บางคนก็ยังแก้นิสัยนั้นไม่ได้อยู่ดี คิมยุนนา นักจิตวิทยาชื่อดังของประเทศเกาหลีได้เปรียบคำพูดของคนเหมือนกับชามคำพูด ชามจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับนิสัยของคนนั้นๆ คนที่มีชามคำพูดเล็กคือคนที่มีคลังศัพท์น้อย มักใช้คำพูดทำร้ายจิตใจคนอื่น และหวั่นไหวกับคำพูดคนอื่นได้ง่าย ส่วนคนที่มีชามคำพูดใหญ่จะเป็นคนที่มีคลังศัพท์มาก โน้มน้าวให้คนคล้อยตามได้ และมีสติที่จะรู้จักวิเคราะห์อีกฝ่าย และคำพูดนั้นจะเป็นสิ่งที่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเราด้วย มาดูกันว่า คำพูดทำร้ายจิตใจ ที่เราเผลอพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว ส่งผลเสียกับคนรอบข้างและตัวเราเองอย่างไร ใจเปลี่ยน คำพูดก็เปลี่ยน การพูดของคนเรานั้นได้รับอิทธิพลมาจากสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะมาจากแผลใจในอดีตที่ไม่ได้รับการสมาน ปัจจุบัน และความคิดในอนาคต อย่าง เจ้านายที่มักโมโหเกินเหตุกับลูกน้องที่ทำผิดเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย เขาก็ตำหนิอย่างรุนแรง ในวัยเด็กนั้นเขาขาดการดป็นที่ยอมรับจึงพยายามทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับ แต่แผลใจนี้ยังคอยรบกวนอยู่ตลอด สิ่งที่ควรทำคือเราต้องยอมรับ และเข้าใจตัวเองให้ได้ก่อนถึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงชามคำพูดของเราที่แตกได้ และเราต้องหัดที่จะตรวจสอบและค้นหาสิ่งที่อยู่ในคำพูดเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ การหาความรู้สึกที่แท้จริง เรามักจะมีความรู้สึกเพราะเรามีความคาดหวังกับสิ่งนั้น และเมื่อเรากลับมาคิดอีกที ความรู้สึกในใจตั้งแต่แรกนั้นมันคืออะไรกันแน่นะ เพราะทุกครั้งเวลาที่ความรู้สึกชั่ววูบเข้ามานั้นกระบวนการความคิดจะไม่ทำงาน และจะทำให้เราพูดโดยไม่เห็นอกเห็นใจฝ่ายตรงข้ามได้เลย ซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากและทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงอีกด้วย ดังนั้นเราจำเป็นต้องฝึกที่จะรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองให้ได้เวลาที่ความรู้สึกชั่ววูบครอบงำ ถ้าเราไม่รู้ความรู้สึกที่แท้จริงจะทำให้เราหลงทางในความรู้สึกของตัวเอง เพราะถึงเราจะพูดออกไปจนสบายใจแต่จะสร้างความทรงจำแย่ๆ ที่เผลอทำใส่คนอื่นได้ เช่น เป็นเพื่อนที่พูดให้ร้ายเพราะอิจฉา ไม่อยากฟังเพราะพูดมาก […]
นักขายหลายคนคงเคยโดนลูกค้าเดินหนีหรือปฏิเสธมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จริงๆ แล้วการขายนั้นจำเป็นต้องมีทักษะและอาศัย เทคนิคการขาย ที่เริ่มตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนการขายไปจนถึงการปิดการขาย ซึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้การเจรจาขายก็คือการเตรียมตัวก่อนการขาย เพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้าตั้งแต่แรกเห็น มาดูกันว่า เทคนิคการขาย ที่สามารถพิชิตใจลูกค้าตั้งแต่แรกพบต้องทำอย่างไร การแต่งกาย การเตรียมพร้อม และมารยาท การแต่งกายคือสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งเวลาที่ต้องไปขายสินค้า เพื่อให้บุคลิคดูสะอาด น่าเชื่อถือ ควรแต่งกายสีโทนเรียบที่สะอาดไร้รอยเปื้อน รองเท้าขัดเป็นเงา ผมตัดเรียบร้อย ต่อมาคือ การเตรียมการพูด เราเตรียมไว้เพื่อให้ปฏิบัติกับลูกค้าได้อย่างเหมาะสม น้ำเสียงที่ส่งไปยังลูกค้าอย่างสุภาพน่าฟัง ใบหน้ายิ้มแย้ม และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ มารยาท ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ไหนฐานะไหน เพศไหน อายุเท่าไหร่ ควรที่จะทำตัวให้สุภาพและให้เกียรติมากที่สุด มอบความสุขให้ทุกคนที่พบเจอ ต้องคิดอยู่เสมอว่าชีวิตเราเปรียบเสมือน “เสียงสะท้อน” คู่สนทนาเป็นดั่ง “กระจกสะท้อนตัวเรา” ทุกปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นคือภาพสะท้อนสิ่งที่ตนเองปฏิบัติ เราจึงควรทักทาย พูดคุย มอบความสุขให้ทุกคนที่พบเจอ สำหรับคนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรก ควรเริ่มจาก “เรื่องที่อีกฝ่ายสนใจ” “เรื่องที่คิดว่ามีความถนัด” แล้วต่อด้วยการถามเรื่องต่างๆ โดยให้คำถามนั้นออกมาจากใจจริง พูดให้ไหลลื่น นักขายที่ดีไม่จำเป็นต้องพูดช้าเพราะอยากให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างชัดเจน […]
ใครๆ ก็บอกว่าเด็กยุคนี้ต้องมี EF ถึงจะประสบความสำเร็จและอยู่รอดในสังคมอย่างมีความสุข แล้ว EF คืออะไร ทำอย่างไรลูกของเราถึงจะมี EF บ้างนะ เรามาหาคำตอบใน FamiRead Podcast กันเลยค่ะ รายการ FamiRead รายการผู้ช่วยมือหนึ่งของพ่อแม่ พิธีกร คือ บ.ก.แสตมป์จาก Amarin Kids คุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ กล่าวไว้ในหนังสือ เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้EF ว่า เด็กบางคนเรียนเก่งตอนเด็ก แต่ยิ่งโตผลการเรียนยิ่งแย่ลง เด็กบางคนตอนเด็กๆ เล่นตลอด แต่เมื่อโตกลับยิ่งตั้งใจเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ จนประสบความสำเร็จในชีวิต สิ่งที่ทำให้เด็กมีศักยภาพแตกต่างกันไม่ใช่ความฉลาด แต่เป็น Executive functions หรือที่คุ้นหูคุ้นปากกันดีว่า EF นั่นเองค่ะ EF คืออะไร ดีต่อเด็กๆ อย่างไร ทำอย่างไรลูกถึงจะมี EF วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันค่ะ โครงสร้างสมองของมนุษย์มี 3 ส่วน ได้แก่สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลางและสมองส่วนท้าย สมองส่วนท้ายคือสัญชาตญาณของชีวิต เป็นสมองส่วนที่ควบคุมระบบต่างๆ ในร่างกาย […]
การที่มีไอเดียเยอะๆ เป็นเรื่องที่ดี แต่การที่ไม่สามารถ จัดระเบียบความคิด ได้ต่างหากที่เป็นเรื่องแย่! ยิ่งเรามีเรื่องที่ต้องให้ทำมากเท่าไร เรายิ่งต้องจัดระเบียบมากขึ้นเท่านั้น หลายคนอาจคิดว่าเรื่องการ จัดระเบียบความคิด ยังไม่ใช่เรื่องจำเป็น แต่ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงวัยเรียน หรือทำงานก็ต่างจำเป็นต้องใช้ทั้งนั้น แม้กระทั่งในชีวิตประจำวันยังเรายังจำเป็นที่ต้องใช้ทักษะนี้เหมือนกัน มาดูกันว่าการ จัดระเบียบความคิด จะช่วยให้คุณทำงานได้ง่ายขึ้นอย่างไร การจัดระเบียบความคิดจำเป็นสำหรับใคร แต่ละช่วงวัย และการทำงานแต่ละอาชีพนั้นก้ต้องใช้ทักษะนี้ เพียงแต่แตกต่างกันออกไป แต่คนที่จำเป็นต้องใช้การจัดระเบียบความคิดมีดังนี้ • วัยรุ่น ถ้ามีทักษะการจัดระเบียบความคิด จะช่วยในเรื่องความสามารถของการเข้าใจ การจดจำ และการคิดจะดีขึ้นจะทำให้มองเห็นประเด็นสำคัญและภาพรวมได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย • นักศึกษาปริญญาตรี โท และนักศึกษาที่เตรียมหางาน สำหรับนักศึกษาที่กำลังเรียนควรใช้ Bucket List หรือกราฟชีวิตเข้ามาช่วยจัดระเบียบ เวลามีรายงานกลุ่มให้ใช้กระบวนการจัดระเบียบความคิดการพูดต่อหน้าสาธารณชน 5 ขั้นตอนมาช่วย นักศึกษาปริญญาโทสามารถใช้ประโยชน์ของ Digital Map เวลาเขียนวิทยานิพนธ์ และสำหรับนักศึกษาที่หางาน ควรเตรียมข้อมูลและจัดระเบียบความคิดเกี่ยวกับบริษัทและวิสัยทัศน์ตัวเองให้ดี • พนักงานบริษัท ผู้ก่อตั้งบริษัท การวางแผนถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับบริษัท ดังนั้นต้องใช้ทักษะในการจัดระเบียบความคิดตอนทำแผนงาน รวมทั้งตอนขายสินค้า และถ้าอยากยกระดับผลงานให้ดีขึ้นต้องใช้การจัดระเบียบความคิด […]
ในปัจจุบันนี้เราอยู่ในยุคที่งานเข้ามาก้าวก่ายในชีวิตของเราได้อย่างง่ายดาย การ พักผ่อน ถูกรบกวนอย่างหนัก เพราะเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนอย่างโทรศัพท์ แท็บเล็ต ที่เราสามารถติดต่อ เช็กอีเมลกันได้ตลอดเวลา ทำให้แม้จะเป็นวันหยุดเรากลับรู้สึกว่า หยุดเหมือนไม่ได้หยุด พักผ่อน ได้ไม่เต็มที่ จนทำให้เป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้าได้ ทำให้เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเพราะเป็นเรื่องที่สำคัญและส่งผลถึงเราโดยตรงอีกด้วย มาดูกันว่า ถ้าอยาก พักผ่อน แบบได้ประสิทธิภาพจริงๆ ต้องทำอย่างไร หลอกสมองให้ไม่ต้องคิด เคยรู้สึกไหมว่าเมื่อใกล้ถึงวันหยุดมักรู้สึกดีใจ แต่พอถึงวันหยุดจริงๆ เรากลับรู้สึกกังวลในเรื่องงานมากกว่าปกติ แสดงว่าเราอาจเสี่ยงกับ “ภาวะซึมเศร้าในวันหยุด” ได้ โดยจะมีอาการดังนี้ • ในวันธรรมดาตื่นนอนได้ตามปกติ แต่ในวันหยุดจะนอนนานเป็นพิเศษ • มักไม่สบายเมื่อถึงวันหยุด • หยุดงานทั้งทีแต่กลับไม่สดชื่น • กังวลเรื่องงานมากในวันหยุด ให้ลองสังเกตตัวเองดูว่ามีอาการแบบนี้หรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าเรากำลังอยู่ในภาวะแนวโน้มที่จะเป็นได้ วิธีรับมือคือเราควรรักษาจังหวะเวลาการใช้ชีวิตให้เหมือนเดิม เช่น เวลาตื่นนอน เวลาเข้านอน การทำตัวให้รู้สึกสดชื่นก็สามารถช่วยได้เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ และเปลี่ยนการคิด ให้ลองมาคิดว่า […]