Category Archives: How To

เทคนิคการหยุดพัก “เรื่องที่ต้องทำ” เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

การมี เรื่องที่ต้องทำ เยอะแยะไปหมด เช่นเรื่องงานที่มีโปรเจกต์นู่นนี่เข้ามาแทรกจนจัดตารางงานไม่ได้ หรือเรื่องส่วนตัวที่ต้องจัดการ ต้องซักผ้า ถูบ้าน พาแม่ไปหาหมอ ฯลฯ การที่ต้องถูกกำหนดการต่างๆ ไล่ตามทุกวันจะทำให้เราเป็นโรคเครียดได้ ถ้ายังต้องใช้สมุดแพลนเนอร์ หรือกิจกรรมต่างๆ ในปฏิทินในสมาร์ทโฟนแล้วละก็ แสดงว่าคุณมีกำหนดการที่ยุ่งเหยิงพอสมควรเลย คนส่วนใหญ่มักหงุดหงิดเมื่อต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างในช่วงสั้นๆ ถ้าสิ่งนั้นสำเร็จไปได้ด้วยดีก็เป็นเรื่องน่ายินดี แต่ส่วนใหญ่มักไม่เป็นแบบนั้นด้วยสิ เทคนิคหยุดพัก เรื่องที่ต้องทำ จะช่วยให้สุขภาพของคุณดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ   เว้นช่องไฟบ้าง สำหรับคนที่งานยุ่งตลอดทั้งสัปดาห์ ควรจัดตารางงานวันไหนสักวันหนึ่ง โดยให้ครึ่งวันนั้นสบายๆ ไม่เร่งรีบบ้าง สำหรับคนที่ไม่ได้งานยุ่งขนาดนั้น ลองนำไปใช้ในการกำหนดตารางงานของตัวเองดู โดยให้แต่ละกิจกรรมเว้นช่วง ไม่ติดมากจนเกินไป เช่น เมื่อเสร็จงานหนึ่งแล้ว ให้ออกไปเดินเล่น 5 นาที ไปสูดอากาศ หลับตานิ่งๆ กินขนม ใดๆ ก็แล้วแต่ที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย แล้วจึงเริ่มลงมือทำงานถัดไป การทำงานติดต่อกันโดยไม่หยุดแม้แต่จะลุกไปเข้าห้องน้ำ ส่งผลให้สมองทำงานหนักจนเกินไป จนอาจทำให้เกิดอาการปวดหัว วิงเวียนศีรษะ หรือเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ ในกรณีที่ยุ่งจนไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ   ความพยายามที่มากเกินไปส่งผลให้งานแย่ลง ในวงการกีฬา หากมีการฝึกซ้อมต่อเนื่องที่ยาวนานเกินไป ความเหนื่อยล้าอาจทำให้สถิติไม่ดีขึ้นได้ ฟอร์มการเล่นก็ตกลงด้วย หากเป็นความเหน็ดเหนื่อยในระดับปกติ […]

ทำงานยังไงให้ได้เงินเดือนสูง ไม่ว่าจะทำงานอยู่ในองค์กรไหน

หลายคนคิดว่าถ้าอยาก เงินเดือนสูง ต้องทำงานสายงานพวกวิศวกร คอมพิวเตอร์ สถาปนิก หรือแพทย์เท่านั้น ทั้งที่ความจริงแล้วเราทุกคนสามารถพัฒนาวิธีการทำงานเพื่อเพิ่มเงินเดือนให้ตัวเองได้ เทคนิคที่จะแนะนำนี้ เป็นวิธีการทำงานจากประเทศญี่ปุ่นที่จะช่วยให้คุณมี เงินเดือนสูง ไม่ว่าจะอยู่ในองค์กรไหน   จงเป็นคนที่สร้างเงินสดได้ การฝากเงินสดไว้ที่ธนาคารได้ดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อย แทบไม่ได้กำไรเลย หรือเวลานำสินค้าไปขายแล้วได้เงินก็จริง แต่ก็ไม่อาจทำเงินได้มากกว่าราคาของมันเอง แต่ถ้าเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเช่นที่ดิน หรือโรงงานจะก่อให้เกิดค่าเช่าหรือผลิตสินค้าระยะยาวได้ จึงมีพลังในการสร้างเงินสดที่สูงกว่าสินค้า สิ่งที่สร้างเงินสดได้มากที่สุดคือคนและพลังของแบรนด์ ไม่ว่าเครื่องจักรจะดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีคนใช้สิ่งเหล่านี้ ก็จะไม่ก่อให้เกิดการสร้างเงินสดมหาศาล เหตุผลที่บางบริษัทเรียกบุคลากรว่าเป็น “ทรัพยากรบุคคล” ก็เพราะคนเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัทนั่นเอง ถ้าไม่มีคน บริษัทก็เพิ่มมูลค่าของสินค้า บริการ และหลักทรัพย์ไม่ได้ เราทุกคนจึงต้องมุ่งหวังที่จะเป็น “คนที่สร้างเงินสดได้” ยิ่งสร้างเงินสดให้กับบริษัทได้มากเท่าไร เงินเดือนของคุณก็จะสูงขึ้นเท่านั้น   ตำแหน่งไม่ส่งผลกับเงินสด บางคนคิดว่าตำแหน่งงานเป็นสิ่งที่บ่งบอกมูลค่าของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงไหนก็มีคนคิดแบบนี้มากจนน่าตกใจ และมัวแต่ภาคภูมิใจในตำแหน่ง ติดนิสัยพูดจาวางโตเป็นประจำ คุณจะไม่มีทางหาช่องทางทำเงินอื่นๆ ได้เลย นี่ถือเป็นทางตันสำหรับคนที่เอาแต่พึ่งพาตำแหน่งและไม่ขวนขวายหาวิธีเพิ่มมูลค่าตัวเอง คุณใช้ประโยชน์จากชื่อบริษัทและตำแหน่งได้ในระหว่างที่ยังทำงานในบริษัทเท่านั้น  ชื่อบริษัทใหญ่และตำแหน่งทำให้ผู้คนที่ติดต่อด้วยไม่เพิกเฉย และได้รับการปฏิบัติอย่างดี แต่นั่นเป็นเพียงความเคารพที่มีต่อชื่อบริษัทและตำแหน่งเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นจะได้รับการยกย่องไปด้วย ถ้าไม่อยากรู้สึกผิดหวังเมื่อต้องออกมาทำงานนอกบริษัท ให้ตั้งเป้าหมายไปที่การเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง บางทีตำแหน่งธรรมดาในบริษัท อาจจะเงินเดือนสูงกว่าตำแหน่งใหญ่ในอีกบริษัทหนึ่งก็เป็นได้นะ   ทำงานให้เหมือนเป็นประธานบริษัท […]

เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ด้วยการพักผ่อนให้ถูกวิธี

การ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เริ่มต้นด้วยการพักผ่อนให้ถูกวิธี การที่เรามัวแต่กังวลเรื่องงานแม้แต่ในวันหยุด หรือถึงเวลานอนก็นอนไม่ได้ ต้องขอแตะงานนิดๆ หน่อยๆ พฤติกรรมแบบนี้นอกจากจะทำให้เสียสุขภาพแล้ว ยังทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าในทุกๆ วันอีกด้วย การพักผ่อนที่จะช่วย เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำได้ด้วยวิธีเหล่านี้   แบ่งเวลาเป็นช่วงๆ มาตรการที่ได้ผลดีสำหรับคนที่เสพติดการทำงานวันหยุด หรือหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ คือการแบ่งเวลาเป็นช่วงๆ เช่น แบ่งเป็นช่วงเช้ากับช่วงบ่าย ถ้าใช้เวลาช่วงเช้าทำงานแล้ว เวลาในช่วงบ่ายจะตัดเรื่องงานออกไป โดยให้เวลากับสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย เล่นเกม ดูภาพยนตร์ หรือจะแบ่งเป็น 3 ช่วงคือ เช้า บ่าย และกลางคืนก็ได้เช่นกัน หรืออาจยอมจำนนไปเลยว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่คิดเรื่องงานในวันหยุด แล้วกำหนดว่าช่วงไหนจะทำงานหรือทำเรื่องส่วนตัวอื่นๆ หากกำหนดแบบนี้ ถึงแม้ช่วงเช้าจะดูโทรทัศน์ไปเรื่อยเปื่อย แต่ช่วงบ่ายได้วางแผนทำงานอย่างอื่นไว้แล้ว จึงสามารถเปลี่ยนโหมดความรู้สึกได้ง่ายขึ้น   พักผ่อน 5 นาทีระหว่างวัน เมื่อพูดถึงการพักผ่อน คนมักนึกถึงการนอนบนเตียงโดยไม่ทำอะไรเลย หรือใช้ชีวิตเรียบๆ ในบ้านของตัวเอง แต่หากมองอีกด้านหนึ่ง การพักผ่อนก็คือการได้ทำกิจกรรมที่ชื่นชอบเช่นกัน จะรอให้ถึงวันหยุดก็ดูจะนานไปหน่อย ลองมาพักผ่อนทำสิ่งที่ชอบ 5 นาทีระหว่างวันดู เช่น “กินขนมหวาน” […]

พัฒนาการทำงานของคุณให้ดีขึ้น ด้วยการพยายามให้ถูกวิธี

 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการ พัฒนาการทำงาน ให้ดีขึ้นอันดับต้นๆ ต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ความพยายามเป็นเรื่องที่ดี แต่หากพยายามแบบผิดวิธี อาจเหนื่อยฟรี และไม่ก้าวหน้าได้ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าความพยายามที่เราทำอยู่ จะส่งผลให้การทำงานดีขึ้นได้ บางครั้งคุณอาจรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงานในทุกวัน หรือต้องนำงานกลับมาทำที่บ้าน ทั้งที่ควรจะเป็นเวลาพักผ่อน การทำงานแบบนี้นอกจากจะเหนื่อยฟรีแล้ว ยังไม่ได้พัฒนาการทำงานด้วย ยังทำงานหนักเท่าเดิม หรือหนักกว่าเดิม และเหนื่อยเหมือนเดิมวนลูปอยู่แบบนั้น ลองมาดูวิธี พัฒนาการทำงาน ที่คุณจะไม่เหนื่อยฟรีอย่างแน่นอน เพิ่มความรวดเร็ว ความรวดเร็วเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ถ้าอยากพัฒนาการทำงานให้ดีขึ้น ความรวดเร็วหมายถึง การลงมือทำก่อนคนอื่น รวมถึงการคิดและเริ่มต้นทำงานให้เร็วกว่าคนอื่นเสมอ ส่วนความรวดเร็วอย่างที่สองคือ การทำงานให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ถ้าไม่หัดทำงานให้เร็วขึ้นอยู่เรื่อยๆ เราก็จะทำงานช้าอยู่อย่างนั้น หากเราทำงานโดยนึกถึง ความรวดเร็ว ทั้งสองแบบนี้ เราก็สามารถทำงานให้เร็วขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพได้ และสาเหตุที่ทำให้เราทำงานช้า หรือไม่ทันกำหนดส่งงานเป็นเพราะทำงานเป็น Routine ประเด็นแรกเลยจะต้องเลือกทิ้งในส่วนงานที่ไม่จำเป็น ประเด็นที่สองคือต้องปฏิรูปขั้นตอนในการทำงาน ตัวอย่างเช่น ในการผลิตสินค้า ที่ผ่านมาจะตรวจสอบคุณภาพสินค้าเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก็อาจยกขั้นตอนนี้มาทำก่อนหน้า หรือแทนที่จะทำงานไล่ไปเป็นลำดับ ก็อาจนำบางงานมาทำพร้อมกัน เป็นต้น ส่วนประเด็นที่สาม คือ ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานในแผนกหลักๆ ทั้งหมด โดยคอยสังเกตว่า ที่งานออกมาช้าเนื่องจากติดขั้นตอนไหน และจะแก้ไขได้ด้วยวิธีใด การทำงานเป็น […]

วิธีจัดโต๊ะทำงานสไตล์มินิมัล ที่ช่วยให้คุณทำงานง่ายขึ้นหลายเท่า

การ จัดโต๊ะทำงาน ถือเป็นการบ่งชี้ประสิทธิภาพในการทำงานเลยก็ว่า ยิ่งโต๊ะรกมากเท่าไร นั่นหมายความว่าคุณไม่สามารถจัดระเบียบชีวิต หรือการทำงานได้เลย การจัดโต๊ะทำงานให้มีระเบียบและเหลือสิ่งของน้อยชิ้น จะทำให้คุณรู้สึกโล่งสบายและทำงานสะดวกขึ้นหลายเท่านัก มาดูกันว่าการ จัดโต๊ะทำงาน สไตล์มินิมัล จะช่วยให้คุณทำงานง่ายขึ้นอย่างไร   จัดการเอกสาร สิ่งแรกที่ทำให้โต๊ะคุณรก ไม่เป็นระเบียบก็คือกองเอกสารที่สุมจนท่วมโต๊ะนั่นละ ถ้าต้องการรักษาพื้นที่ทำงานให้อยู่ในระดับ “น้อยแต่สบายใจ” การจัดการกับเอกสารต่างๆ จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ถ้าคุณจัดการกับเอกสารต่างๆ ทุกวัน ก็จะรู้ว่าเอกสารชิ้นไหนสำคัญจริงๆ และมีสมาธิกับสิ่งนั้นได้มากขึ้น คนเราได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ตาเห็นได้ง่ายกว่าสิ่งที่คิด เพื่อไม่ให้เรารู้สึกสับสันกับความรกของกองงาน จึงจำเป็นต้องแยกเอกสารออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้ 1.เอกสารสำหรับใช้งานจริง 2.เอกสารสำหรับสแกน 3.เอกสารสำหรับเก็บ 4.เอกสารที่จะนำไปทิ้ง   เอกสารที่ใช้งานจริง คือเอกสารที่ยังใช้งานอยู่ เช่น เอกสารที่ใช้ทำโปรเจ็กต์ ซึ่งเป็นประเภทที่มีมากที่สุดและยังเพิ่มขึ้นทุกวันด้วย นอกจากจะแบ่งกองแล้ว ยังต้องแบ่งตามความถี่ของการหยิบมาใช้งานด้วย เช่น เอกสารที่ใช้ประกอบการทำงาน หรือเอกสารแสดงความคืบหน้าของงาน จะต้องวางไว้ในที่ที่หยิบมาดูง่ายที่สุด แต่ไม่ถึงกับต้องใส่แฟ้มอย่างดี เพราะหยิบมาใช้งานได้ยาก   เอกสารสำหรับสแกน เอกสารประเภทนี้คือเอกสารที่อาจต้องหยิบมาใช้อ้างอิงบางครั้ง เช่น เอกสารโปรเจ็กต์ที่เสร็จสิ้นแล้ว แค็ตตาล็อกต่างๆ และเอกสารรายงานผลประกอบการ ควรใช้แฟ้มใส่เอกสาร […]

เปลี่ยนนิสัยตัวเองให้ดีขึ้น ด้วยการทำสิ่งเหล่านี้

การ เปลี่ยนนิสัยตัวเอง เป็นเรื่องสำคัญหากนิสัยที่คุณเป็นอยู่ มีบางอย่างที่ไม่ถูกใจใครหลายๆ คน เช่น มาสาย ขี้เหวี่ยง ขี้งอน ชอบโกหก ใช้คำพูดแรงๆ ฯลฯ นิสัยแบบนี้จะทำให้คนอื่นไม่อยากพูดคุย หรือสานสัมพันธ์กับคุณ ถ้าอยาก เปลี่ยนนิสัยตัวเอง ควรเริ่มจากการทำสิ่งเหล่านี้   นิสัยพูดจาไม่เข้าหู หรือใช้คำพูดไม่เหมาะสม นิสัยการพูดไม่ใช่แค่คำพูดติดปาก คำพูดที่เราใช้ในสถานการณ์ต่างๆ จะสะท้อนกลับและมีอิทธิพลต่อเราด้วย เช่น เขียนอีเมล เขียนเอกสารรายงานหรือเอกสารนำเสนองาน ตอบโต้ทางไลน์ หรือเขียนไดอะรี่ ทั้งหมดเป็นกิจกรรมที่ใช้คำพูดทั้งสิ้น ถ้าอยากเปลี่ยนนิสัย ให้ลองเขียนรายการคำที่ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ เป็นประจำ จากนั้นก็เปลี่ยนภาษาพูด หรือภาษาเขียนที่ใช้บ่อยเหมือนวิธีก่อนหน้านี้ ส่วนที่จัดการง่ายหน่อยก็เช่น สำนวนที่ใช้ในการเขียนอีเมล ถ้าปกติเขียนอีเมลด้วยประโยคเดิมๆ ว่า “ถึงคุณ____” ก็ลองใช้คำทักทายให้เข้ากับช่วงเวลา เช่น “อรุณสวัสดิ์ครับ” หรือ “สวัสดีครับ” หรือลองเปลี่ยนสติ๊กเกอร์ไลน์ที่ชอบใช้บ่อย หากดูระบบป้อนคำอัตโนมัติในสมาร์ทโฟน เราก็จะรู้คำที่ใช้บ่อยได้ง่ายๆ เมื่อใช้ระบบป้อนคำอัตโนมัติแล้ว ลองเปลี่ยนคำดู ตอนที่พิมพ์ก็ตั้งกฎไว้ว่าจะไม่ใช้คำที่ระบบเลือกให้ บางคนอาจรู้สึกว่ายาก แต่นี่เป็นวิธีที่ได้ผลลัพธ์ดีเยี่ยม การเปลี่ยนคำพูดก็คือการเปลี่ยนความคิด มนุษย์ไม่สามารถคิดได้โดยปราศจากภาษา คำพูดมีพลังมาก […]

พูดต่อหน้าคนเยอะๆ

เตรียมตัวอย่างไร เมื่อต้องพูดต่อหน้าคนเยอะๆ

สิ่งที่ต้องทำเมื่อต้อง พูดต่อหน้าคนเยอะๆ อันดับแรกๆ นั่นคือการเขียนเนื้อหา จากนั้นจึงพูด แต่กระบวนการจัดระเบียบความคิดที่จะมาแนะนำนี้จะช่วยให้การพูดต่อหน้าคนเยอะๆ ลื่นไหลมากยิ่งขึ้น มาดูกันว่าเมื่อต้อง พูดต่อหน้าคนเยอะๆ ควรเตรียมตัวอย่างไร   พูดให้ใครฟังและพูดทำไม นักพูดมือใหม่มักกำหนดหัวข้อหรือคำพูดที่ตัวเองอยากพูด แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ต้องทำเป็นสิ่งแรกคือ “วิเคราะห์คนฟัง” การพูดต่อหน้าคนเยอะๆ ไม่ใช่การพูดคนเดียว แต่เป็นการส่งต่อความคิดไปสู่ผู้ฟังและสื่อสารกัน ดังนั้นผู้พูดจะต้องเริ่มจากการคิดว่า “จะพูดให้ใครฟัง” และ “ทำไมถึงต้องพูด” เหตุผลหนึ่งที่ทำให้การพูดต่อหน้าคนหมู่มากล้มเหลวคือ ไม่ได้วิเคราะห์ผู้ฟังอย่างถูกต้อง วิธีวิเคราะห์ผู้ฟังแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนใหญ่ๆ ได้แก่ 1.มองให้ออกว่าผู้ฟังคือใคร สมมติว่าผู้ฟังคือนักเรียน คุณต้องแบ่งแยกว่าเป็นนักเรียนแบบไหน เช่น ชั้นประถม ชั้นมัธยมต้น ชั้นมัธยมปลาย นักศึกษาปริญญาตรี ฯลฯ และแบ่งแยกย่อยออกเป็นชั้นปี เช่น ประถม 1 ไปเรื่อยๆ การแบ่งแบบนี้จะทำให้รู้ว่าระดับสติปัญญาของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มนั้นแตกต่างกัน ความสนใจและจุดประสงค์ก็ต่างกันด้วย เช่น นักเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่ 6 คงสนใจการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมากกว่านักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 เป็นต้น   2.ส่งต่อข้อความที่จำเป็นต่อผู้ฟัง ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าทำไมต้องพูดให้พวกเขาฟัง วิธีนี้จะเป็นการคิดถึงเหตุผลว่าทำไมผู้ฟังต้องฟังสิ่งที่คุณพูด […]

ใช้ชีวิตให้มีความสุข

ใช้ชีวิตให้มีความสุข ด้วยการเลิกทำสิ่งเหล่านี้

ใครๆ ก็อยาก ใช้ชีวิตให้มีความสุข กันทั้งนั้น แต่ติดอยู่ที่ปัญหาหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องงานที่เครียด กดดัน เรื่องความสัมพันธ์ที่ระหองระแหง หรือเรื่องของคนอื่นที่เราเก็บมาคิดจนทำให้ชีวิตไม่มีความสุข การ ใช้ชีวิตให้มีความสุข ทำได้ง่ายๆ อยู่ที่ว่าคุณจะตัดสินใจทำมันหรือไม่   ตัดบางคนออกจากชีวิต เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากอย่างหนึ่งถ้าอยากมีความสุขในการใช้ชีวิตก็คือ การเลือกคบคน คนคนนั้นต้องใช้ชีวิต แบบเดียวกับเรา เพราะถ้าเลือกคบคนผิด ชีวิตเราก็อาจลำบากได้ คนเรามีหลายประเภท แต่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นคนดีและนำความสุข ความเจริญมาให้เราไปเสียหมด อาจมีคนเพียงเล็กน้อยที่เอื้อประโยชน์ ต่อความสำเร็จหรือความสุข แต่บางคนอาจทำให้คุณมีความทุกข์เสียมากกว่า นอกจากนี้ยังมีคนที่ชอบ “โกหก” “หลอกลวง” “ไม่รักษาสัญญา” และ “ทำแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ” การปฏิบัติตัวอย่างมีมิตรไมตรีต่อคนเหล่านี้ จะทำให้เราเหนื่อยล้า และใช้ชีวิตที่มีเพียงครั้งเดียวไปอย่างไร้ค่า ดังนั้น หากบังเอิญเจอคนที่อยู่ด้วยแล้วไม่มีความสุขหรือรู้สึกว่า “ไม่อยากคบกับคนแบบนี้เลย” ก็ควรสร้างระยะห่างหรือเลี่ยงที่จะเจอกัน ถึงแม้ถูกคนเกลียดบ้าง แต่ทุกคนก็ยังใช้ชีวิต ได้ตามปกติ แม้แต่นักแสดงหญิงที่มักถูกสาวๆ เกลียดและถูกกล่าวหา ต่างๆ นานา ก็เลือกใช้ชีวิตท่ามกลางกลุ่มคนที่ตัวเองชอบและมีความสุขได้เช่นกัน   หาสถานที่ที่เหมาะกับตัวเอง สมัยเป็นเด็กคงไม่มีใครบ่นว่าอยากย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น เพราะเรายังเลือกรูปแบบการใช้ชีวิตของตัวเองไม่ได้ แต่ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว […]

การใช้น้ำเสียง

เทคนิคการใช้น้ำเสียงให้น่าฟัง และเหมาะสมกับสถานการณ์

การใช้น้ำเสียง ที่น่าฟังเป็นปัจจัยสำคัญในการพูดคุย และยังช่วยพัฒนาทักษะการพูดด้วย มันจะช่วยทำให้การสนทนาน่าสนใจและนำมาซึ่งสายสัมพันธ์และความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมาก มาดูกันว่า การใช้น้ำเสียง แบบไหนที่น่าฟังและเหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุด   เลือกใช้น้ำเสียง ความหมายของการสื่อสารอยู่ที่น้ำเสียงที่ใช้มากกว่าคำพูดจริงๆ คุณจึงต้องใส่ใจกับเรื่องของน้ำเสียงที่ใช้ เช่น คุณสามารถพูดคำพูดเดียวกันโดยใช้น้ำเสียงที่ทำให้อีกฝ่ายมองว่าเป็นการพูดเล่นหรือเรื่องตลก และน้ำเสียงที่ทำให้อีกฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องที่จริงจังมาก เช่นคำว่า “ไปไกลๆ เลย” ซึ่งคุณสามารถพูดโดยใช้น้ำเสียงที่ดูเหมือนโกรธจริงจังหรือน้ำเสียงที่ดูเหมือนประหลาดใจและไม่อยากเชื่อ ทั้งสองสถานการณ์ใช้คำพูดเดียวกัน แต่ความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิงตามน้ำเสียงที่ใช้ นอกจากนั้นน้ำเสียงยังสำคัญมากๆ ด้วย เพราะจะทำให้คู่สนทนาสนใจสิ่งที่คุณจะพูดต่อไป เวลาที่พูดถึงประสบการณ์ที่ต้องเล่าไปเรื่อยๆ จึงต้องระมัดระวังเรื่องการใช้น้ำเสียงให้ดี เช่น ใช้น้ำเสียงเพื่อทำให้คำพูดมีพลังมากขึ้นเช่น พูดคำว่า “ช้าๆ” แบบช้าๆ เพื่อที่จะได้ความรู้สึกแบบเดียวกับตัวคำ และพูดถึงสิ่งที่ “เคลื่อนที่เร็วเรื่อยๆ” โดยพูดคำว่า “เร็วขึ้นเรื่อยๆ” แบบเร็วมาก วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความหมายและความสนใจในสิ่งที่คุณพูดได้ การสื่อสารดูมีชีวิตชีวาขึ้นด้วยการเลือกใช้น้ำเสียงนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นใช้น้ำเสียงที่ดูเหมือนประหลาดใจ ตื่นเต้น กระวนกระวายใจ ที่ช่วยเพิ่มความสนใจของอีกฝ่าย น้ำเสียงที่หลากหลายย่อมน่าฟังกว่าเสียงที่สม่ำเสมอคงเส้นคงวาแน่นอน และจำไว้ว่า ถ้าอยากให้คนอื่นรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่คุณพูด คุณต้องรู้สึกตื่นเต้นกับมันก่อน   ความเร็วในการพูด อีกหนึ่งวิธีที่ใช้สร้างสัมพันธ์เวลาคุยกับอีกฝ่ายคือต้องพูดให้เร็วพอๆ กัน ฉะนั้นถ้าอีกฝ่ายพูดค่อนข้างเร็ว คุณก็ต้องพยายามพูดให้เร็วพอๆ กัน แต่ต้องไม่เร็วจนน่าอึดอัดใจ และหากอีกฝ่ายเป็นคนพูดช้า […]

ความขัดแย้งในที่ทำงาน

สาเหตุ วิธีป้องกัน และวิธีแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในที่ทำงาน

ปัญหา ความขัดแย้งในที่ทำงาน มักมีอยู่ทุกบริษัท ทั้งปัญหาลูกน้องทะเลาะกัน ชิงดีชิงเด่น หัวหน้าไม่ให้คำปรึกษา ไปจนถึงปัญหาในขั้นตอนการทำงาน ซึ่งแต่ละปัญหาก็มีวิธีแก้ไขที่แตกต่างกัน มาดูกันว่าหากเกิด ความขัดแย้งในที่ทำงาน เราควรป้องกันหรือแก้ไขอย่างไร   การดุด่าในที่ทำงาน คนเราเมื่อถูกผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ว่าตำหนิติเตียนอย่างรุนแรง ก็อาจทำให้เกิดการกระทบกระเทือนทางจิตใจ หรือเรียกได้ว่า “บาดแผลในใจ” มนุษย์มีกลไกการป้องกันตัวเองอยู่ เมื่อได้รับความกระทบกระเทือน จิตใจจะตอบสนองว่า “ไม่อยากได้รับแรงกระทบกระเทือนแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง” จากนั้นกลไกจะทำงาน แทนที่อีกฝ่ายจะพิจารณาถึงเนื้อหาที่ถูกดุด่าว่ากล่าว แต่กลับตอบสนองด้วยความรุนแรง เช่น เถียงกลับ ชักสีหน้า ไม่ยอมทำงาน ฯลฯ การดุด่าในที่ทำงานต้องทำด้วยความพอดี ไม่มากจนเกินไป และอย่าใช้อารมณ์เยอะ เช่น “ทำไมไม่รู้จักคิดเองบ้าง!” “ไม่คิดจะทำงานด้วยตัวเองเลยหรือไง” เป็นต้น คำพูดแบบนี้จะทำให้การทำงานไม่ก้าวหน้า หัวหน้าก็สุขภาพจิตเสีย ลูกน้องก็เกิดความคับแค้นใจ จึงไม่สามารถทำงานด้วยความจริงใจได้อีก   ชอบนินทาลับหลัง ปัญหาเรื่องนินทาถือเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมาก แน่นอนว่าไม่มีคนไหนไม่ถูกนินทา แต่เนื้อหาที่นินทาจะแรงแค่ไหนต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป สมมติว่ามีคนมานินทาอะไรให้ฟัง ถ้าเราคิดว่า “หากไม่พูดออกมาเขาคงอึดอัดน่าดูสินะ” ก็แค่ฟังเสียหน่อยแล้วตอบรับว่า “อย่างนั้นเองหรือ” หากเราทำท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจ อาจทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า “คุณอยู่ข้างอีกฝ่ายเป็นพิเศษ” ก็เป็นได้ […]

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า