Category Archives: How To

วิธีบันทึกการอ่านด้วยกระดาษโน้ต เพื่อให้เป็นคน Input เก่งขึ้น!

“การอ่านผ่านตา” ไม่มีทางช่วยให้อ่านหนังสือหรือตำราเรียนดีขึ้น การอ่านพร้อมกับเขียนสิ่งที่ตัวเองคิดกำกับเอาไว้ ถึงจะนำไปสู่การฝึกฝนทักษะการตีความ และพลังความคิดได้ “กระดาษโน้ต” จึงเข้ามามีบทบาท ในการเขียนบันทึกลงบนกระดาษโน้ตแล้วติดลงบนหนังสือหรือตำราเรียน นอกจากจะช่วยป้องกันไม่ให้หน้าหนังสือสกปรกแล้ว ยังดูสะดุดตาน่าอ่านมากขึ้นด้วย เราไปดู “วิธีบันทึกการอ่านด้วยกระดาษโน้ต เพื่อให้เป็นคน Input เก่งขึ้น!” พร้อมกัน  อ่านพร้อมคิดตามว่า “ต้องกลับมาทบทวนเรื่องใด” การอ่านหนังสือหรือตำราเรียนแตกต่างจากการอ่านนิยายและหนังสือที่สนใจ ดังนั้นอ่านแค่ครั้งเดียวแทบไม่มีประโยชน์ ถ้าอยากจดจำเนื้อหาให้แม่นยำจริง ๆ ควรอ่านทวนสัก 3 รอบ เคล็ดลับสำคัญคือ “ไม่อ่านนาน ๆ รวดเดียวจนจบ แต่ให้แบ่งอ่านทีละน้อย” รอบแรกที่หยิบหนังสือหรือตำราเรียนขึ้นมาอ่าน อย่าลืมคิดตามด้วยว่า “ต่อไปควรทบทวนเรื่องอะไร” เพราะการเตรียมเรื่องที่ต้องทบทวนเอาไว้ล่วหน้า เป็นก้าวแรกสู่การพัฒนาศักยภาพการเรียนและการทำงาน ติดกระดาษโน้ตบนจุดที่ต้องการทบทวน เวลาติดกระดาษโน้ต อย่าลืมเขียนกำกับไว้ด้วยว่า “ติดเพราะเหตุใด” พูดอีกอย่างหนึ่งคือ จดบันทึกความประทับใจและสิ่งที่ตนคิดเสมอระหว่างการอ่านแล้วติดเอาไว้ในหน้านั้น ๆ หากไม่ทำเช่นนี้ ตอนย้อนกลับมาอ่านอาจงงว่า “ติดกระดาษโน้ตไว้ตรงนี้ทำไม” สำหรับคนที่ชอบจดลงบนหน้ากระดาษโดยตรง เพราะไม่ต้องการให้มีอะไรมาบดบังบรรทัดอักษร ลองใช้กระดาษโน้ตแบบฟิล์มใส ซึ่งติดแล้วยังมองเห็นตัวหนังสือที่อยู่ใต้กระดาษโน้ต การระบุวันที่บนกระดาษโน้ต เช่น “จะทบทวนเมื่อไร” เป็นกลเม็ดสำหรับย้ำเตือนให้รู้ว่าต้องทบทวนซ้ำเนื่องจากเนื้อหาของสิ่งที่จดจำได้ในการอ่านครั้งแรกถือเป็นความทรงจำระยะสั้น หรือความทรงจำที่ลืมได้ง่าย การเปลี่ยนความทรงจำระยะสั้นให้เป็น […]

สำเร็จสบายสบายด้วย 4 เทคนิคเรียนรู้ไวแบบคนขี้เกียจ

“นะโอะยุกิ ฮนดะ” บิดาแห่งความขี้เกียจ ผู้ซึ่งพยายามสุดชีวิตเพื่อหาวิธีที่ง่ายที่สุด สั้นที่สุด และสะดวกที่สุดในการทำทุกอย่างให้สำเร็จตามเป้าหมายโดยใช้ “ความขี้เกียจ” เป็นตัวขับเคลื่อน จนคิดค้นเทคนิคการเรียนรู้เร็วสำหรับคนงาน (โคตร) ยุ่ง ออกมา ให้คุณได้อัปสกิลตัวเองอย่างไวไม่ว่าด้านใดก็ตาม เราลองมาทำ “กลไก ที่แม้แต่คนขี้เกียจก็ยังทำได้เรื่อย ๆ ด้วยเทคนิค “สำเร็จแบบสบายสบายด้วย 4 เทคนิคเรียนรู้ไวแบบคนขี้เกียจ” ! 1. ถ้าอยากได้ผลสำเร็จจงเป็น “มนุษย์คู่มือ” อย่าเริ่มจากศูนย์ จงเปลี่ยนภูมิปัญญาของผู้ริเริ่มให้เป็นองค์ความรู้ของตัวเอง ถ้าเราทำตามวิธีเหล่านั้น ไม่ว่าใครก็สร้างผลสำเร็จที่มีประสิทธิภาพได้อย่างแน่นอน และสิ่งที่สรุปรวมสิ่งนี้ไว้ก็คือต้นฉบับของคู่มือนั่นเอง ขอแนะนำคู่มือ 3 ประเภทที่ผู้ใหญ่จะนำไปใช้ประกอบการเรียนรู้ได้ 1. การอ่านหนังสือธุรกิจ เราสามารถซื้อเคล็ดลับและประสบการณ์ของผู้ที่ประสบความสำเร็จได้ในราคาถูกเพียงหลักร้อยเท่านั้น จึงไม่มีทางที่เราจะไม่นำสิ่งนี้มาใช้ หนังสือธุรกิจถือว่าเป็น “บันทึกประสบการณ์การสอบผ่าน” สำหรับผู้ใหญ่ 2. ฟังเรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จ ถ้าคุณอยากคว้าใบรับรองคุณวุฒิอะไรสักอย่าง ทางลัดคือ ต้องฟังเรื่องราวของคนที่สอบผ่านแล้วจริง ๆ คุณจะได้รู้วิธีเลือกหนังสืออ่านสอบและสถาบันสอนที่เขาแนะนำ นอกจากนี้ เมื่อไรที่คุณอยากมีทักษะการตลาดที่จำเป็นต่อการทำงาน ทางลัดคือการฟังเรื่องราวของผู้คนต่าง ๆ เช่นกัน ไม่จำเป็นว่าเขาจะต้องเป็นคนมีชื่อเสียง อาจเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในบริษัทอื่นจากวงการเดียวกัน หรือเป็นรุ่นพี่ที่ทำยอดขายได้สูง […]

3 เรื่องหลอกลวงเกี่ยวกับการอ่านหนังสือแบบผิด ๆ ที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้อง

ความเข้าใจที่นักอ่านมือใหม่ คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ และคนที่อ่านหนังสืออยู่บ้าง แต่ไม่รู้สึกว่ามีประโยชน์สักเท่าไหร่ เชื่อกันอย่างผิด ๆ ก็คือ ต้อง “อ่านเร็ว” “อ่านเยอะ” และ “เลือกอ่าน” ความเชื่อที่ทึกทักกันไปเองนี้เป็นสิ่งที่รบกวน “การเตรียมตัวก่อนอ่าน” และกีดขวางวิธีอ่านเพื่อใช้ประโยชน์จากหนังสือ เมื่อยึดติดกับ “การอ่านเร็ว” เนื้อหาสำคัญก็จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ถ้าคิดแต่ว่า “ต้องอ่านให้ได้เยอะ ๆ” ก็จะพลาดเป้าหมายในการอ่านไป และเมื่อจุกจิกกับ “การเลือกอ่าน” ก็จะเผลออ่านแต่หนังสือตามใจตัวเองเท่านั้น มาปรับทัศนคติในการอ่านหนังสือของคุณกับ “3 เรื่องหลอกลวงเกี่ยวกับการอ่านหนังสือแบบผิด ๆ ที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้อง” แม้แต่งานวิจัยระดับโลกก็ยังปฏิเสธเรื่องการอ่านเร็ว ปี 2016 ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้ตรวจสอบว่า “การอ่านเร็วทำได้จริงหรือไม่” จากข้อมูลวิจัยกว่า 145 ชิ้น สรุปผลไว้ดังนี เมื่อเพิ่มความเร็วในการอ่าน ระดับความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านจะลดลง (ระหว่างความเข้าใจกับความเร็วในการอ่าน คุณต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง) จากปัจจัยที่กำหนดความเร็วและเวลาในการอ่านการเคลื่อนไหวของดวงตาและวิสัยทัศน์ในการมองเห็น มีผลน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์  เทคนิคการอ่านโดยมองตัวอักษรแล้วจำเป็นภาพแทบไม่มีผลใด ๆ และเทคนิคการอ่านเร็วก็ไม่ได้ช่วยให้สมองจดจำเนื้อหาของหนังสือได้เลย สรุปก็คือ การอ่านเร็วเป็นแค่เทคนิคการอ่านข้ามไปแบบลวก ๆ เท่านั้น เมื่อมองในอีกมุมหนึ่ง […]

3 เทคนิคการเขียนที่สะกิดใจคนและกระตุ้นให้ลงมือทำ

การที่คนจะอ่านสิ่งที่เราเขียนหรือไม่นั้น ไม่ได้อยู่ที่เขียนเก่งหรือเขียนได้สละสลวยแค่ไหน แต่เป็นพลังดึงดูดที่บอกว่า “สิ่งที่จะเติมเต็มความต้องการของคุณอยู่ตรงนี้นะ” การนำคำที่เกี่ยวข้องกับความต้องการมาเรียบเรียงเข้าด้วยกัน จะทำให้ข้อความที่คุณเขียนกลายเป็นข้อความที่ผู้อ่านอยากลองอ่าน โดยใช้กลไกการทำงานดังนี้ ร้อยเรียงคำสำคัญที่น่าสนใจ > ผู้อ่านเห็นคำนั้น > เกิดความคิดว่าจะอ่าน ขอแนะนำ “3 เทคนิคการเขียนที่สะกิดใจคนและกระตุ้นให้ลงมือทำ” วิธีเขียนที่สะกิดใจกระตุ้นให้ลงมือทำ และชักจูงให้คนทำตามที่ใจคิด เทคนิคที่ 1 สิ่งที่อยู่ในใจกับสิ่งที่แสดงออกมา ถ้าต้องใช้เทคนิคสิ่งที่อยู่ในใจกับสิ่งที่แสดงออกมากับคนที่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ ข้อความว่า “ก็เป็นคนเหมือนกันนี่นา” “ถ้าเป็นคนธรรมดาละก็คงจะ…” จะเป็นคีย์เวิร์ดที่กระตุ้นความสนใจได้เป็นอย่างดี เช่น เมื่อพูดกับครูซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องรับผิดชอบสูง “เพิ่งรู้มาว่าเมื่อรวมการทำงานที่นอกเหนือจากเวลางานแล้ว จำนวนชั่วโมงโดยเฉลี่ยที่ครูต้องทำล่วงเวลานั้นเกินกว่า 95 ชั่วโมงเลยทีเดียว นอกจากนี้ ไม่ใช่ดูแลแค่นักเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ปกครองด้วยช่างเป็นงานที่ยากลำบากซึ่งคนธรรมดาต้องทำไม่ได้แน่ๆ แต่ครูก็เป็นคนเหมือนกันนี่นา บางวันก็คงอยากสนุกให้สุดเหวี่ยง บางครั้งก็คงอยากเที่ยวให้เต็มที่ใช่ไหมล่ะ เอาน่า! ทำงานหนักแบบนี้ นาน ๆ ทีก็มาเที่ยวกันหน่อยไหม” ถ้ามีคนมาพูดแบบนี้ บรรดาคุณครูคงพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแน่นอน เมื่อพูดได้ตรงเป้า อีกฝ่ายจะเป็นคนเสริมเนื้อหาให้เอง ช่องว่างระหว่างสิ่งที่อยู่ในใจของอีกฝ่าย (อุดมคติ) กับสิ่งที่แสดงออกมา (ความเป็นจริง) เต็มไปด้วยพลังงานที่สะกิดใจคนได้ การช่วยให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองเป็นอย่างไร จึงเป็นอีกวิธีที่การแสดงให้เขาเห็นว่าเป็นคนสำคัญ เทคนิคที่ 2 […]

ทำไม NETFLIX ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในธุรกิจสตรีมมิ่ง

นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก NETFLIX จากร้านเล็ก ๆ กลายเป็นบริษัทมหาชน และมีฐานลูกค้า (ผู้ชม) อยู่ทั่วทุกมุมโลก NETFLIX มีกลยุทธ์ในการบริหารองค์กรและบริหารคอนเทนต์อย่างไรจึงประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นและได้รับการยอมรับจากผู้ชมทั่วทุกมุมโลก “ทำไม NETFLIX ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในธุรกิจสตรีมมิ่ง” ที่นี่มีคำตอบให้คุณ! ปี 2019 หลังเป็นบริษัทมหาชนได้ 17 ปีราคาหุ้น NETFLIX ทะยานจาก 1 ดอลลาร์เป็น 350 ดอลลาร์ เทียบกันแล้ว เงินทุน 1 ดอลลาร์ที่ลงกับหุ้นกลุ่ม S&P 500 หรือ NASDAQ ตอนที่เน็ตฟลิกซ์เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์น่าจะเพิ่มค่าถึงแค่ 3 ถึง 4 ดอลลาร์ ในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นที่รัก NETFLIX ผู้บริโภคและนักวิจารณ์ก็รักบริษัทนี้เหมือนกัน หนัง รายการ หรือซีรีย์ที่ NETFLIX สร้างเองอย่างเรื่อง Orange Is the New Black และ The Crown […]

4 วิธีสร้างทัศนคติใหม่ที่ไร้อำนาจครอบงำ

“คำพูด” ถือเป็นหน้าต่างของแต่ละคนในการสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ ไปยังผู้อื่น ซึ่งสามารถบ่งบอกตัวตนและทัศนคติได้เป็นอย่างดี ดังนั้นหากมีการเสริมสร้าง “พลังภายในคำพูด” ด้วยการ “สร้างทัศนคติใหม่” ที่ไร้การครอบงำจากคตินิยม และกรอบความคิดของสังคม ก็จะทำให้คำพูดของคุณทรงพลังมากขึ้นกว่าเดิม เพราะผู้คนเกิดใหม่ได้จากทัศนคติใหม่ ขอแนะนำ 4 วิธีสร้างทัศนคติใหม่ที่ไร้อำนาจครอบงำ โดยบูซ่าง แล้วคุณจะรู้ว่าทัศนคติมีอิทธิพลต่อการพูดของคุณมากมายขนาดไหน   1. เรียนรู้อย่างกว้างขวาง ขยายขอบเขตระบบความรู้ที่ตัวเองมี ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราควรเรียนรู้วิชามนุษยศาสตร์ เพราะเป็นวิชาที่ให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต แม้จะไม่มีการกำหนดเป้าหมายไว้ให้แต่ก็ยังได้สัมผัสถึงพื้นฐานของทัศนคติอย่างล้นเหลือ และช่วยให้เราเข้าใจทัศนคติได้ถ่องแท้อย่างเป็นธรรมชาติ 2. จดจำความหมายให้ลึกซึ้ง สร้างความกล้าหาญอย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะไม่หวั่นไหวไปตามแรงกดดันภายนอก เมื่อเราได้ไตร่ตรองและฝันถึงทัศนคติใหม่ ๆ เมื่อนั้นเราจะเจอกับแรงกดดันจากภายนอกทั้งที่มีและไม่มีตัวตน เนื่องจากทัศนคติแตกต่างไปจากเดิม ตัวเราจะเริ่มตกที่นั่งลำบากเพราะถูกพิจารณาว่าเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลหรือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ถึงจะทรมานตกที่นั่งลำบากยังไงก็ตาม ก็ต้องอดทนเพื่อตามหาทัศนคติใหม่ ๆ ให้พบจนได้ 3. สอบถามอย่างใคร่รู้ แก้วที่มีน้ำเต็มแล้วยากที่จะเติมน้ำเพิ่มลงไปได้อีก ถ้าจะเติมลงไปก็ต้องเทน้ำที่มีอยู่เดิมออกเสียก่อน… เราต้องมีความคิดเชิงวิพากษ์ คือ สงสัยในน้ำที่มีอยู่เต็มแก้ว โยนคำถามเข้าไปในสิ่งที่ดำเนินไปอย่างแน่นอนและเปลี่ยนประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคคำถามที่เรียกว่าการ “สอบถามอย่างใคร่รู้” นั่นเอง 4. คิดจากรอบข้างก่อน เริ่มพิจารณาตัวเรากับคนรอบข้างโดยละเอียดก่อนที่จะไปคำนึงถึงระดับโลก ซึ่งสิ่งแรกที่เราต้องทำคือ มองดูชีวิตประจำวันของตัวเองใหม่ เพราะตัวเราเองจะต้องเปลี่ยนแปลงก่อน จึงจะเริ่มการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้ […]

3 เรื่อง Real-time Context ที่ควรรู้ เมื่อสภาพอากาศรอบตัวส่งผลต่อยอดขายมากกว่าที่คิด

ไม่น่าเชื่อว่าสภาพอากาศจะเป็นตัวแปรที่ส่งผลต่อยอดขายของธุรกิจเราได้ เคยมีกรณีศึกษาว่า วันที่อากาศดีจะทำให้ผู้หญิงฝรั่งเศสกล้าให้เบอร์กับผู้ชายแปลกหน้าเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับวันฟ้าครึ้มเต็มไปด้วยเมฆดำ และในวันที่อากาศดีเดียวกันนี้ ยังส่งผลให้คนขับรถทางไกลมีน้ำใจหยุดรับคนเดินทางที่ยืนโบกรถข้างถนนให้ติดรถไปด้วย เมื่อสภาพอากาศมีผลกระตุ้นอารมณ์ และมนุษย์ส่วนใหญ่ก็ตัดสินใจด้วยอารมณ์เป็นหลักทั้งที่รู้ตัวและที่ไม่รู้ตัว ดังนั้นถ้าเรารู้ว่าสภาพอากาศส่งผลต่อการซื้อของลูกค้ารูปแบบใด นั่นหมายความว่าเรารู้ Insight นั้นแล้ว การใช้ผลพยากรณ์สภาพอากาศมาตัดสินใจว่าควรทำการตลาดแบบใดในวันพรุ่งนี้ ก็จะช่วยทำให้เพิ่มยอดขายกับธุรกิจของคุณมากที่สุด พบกับ 3 เรื่อง Real-time Context ที่ควรรู้ เมื่อสภาพอากาศรอบตัวส่งผลต่อยอดขายมากกว่าที่คิด เมื่อฟ้าฝนไม่เป็นใจ ส่งผลให้ยอดขายเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ในวันที่อากาศไม่ค่อยดีส่งผลให้จำนวนคนที่เดินเข้าห้างสรรพสินค้าลดลง แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าวันไหนอากาศดีก็จะมีคนออกจากบ้านมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในวันที่สภาพอากาศไม่ดี ยอดขายทั้งหมดจะหายไป เพียงแต่คนจะเปลี่ยนมาซื้อในช่องทางออนไลน์มากกว่า เห็นไหมครับว่าสภาพอากาศนั้นส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อของเรามากขนาดไหน ในการศึกษาชิ้นหนึ่งของ Rich Relevance ค้นพบว่า ในวันที่อากาศหนาวหรือฝนตก จะมีคนเข้ามายังเว็บไซต์อย่างเว็บช็อปปิ้งเสื้อผ้าออนไลน์เว็บของตกแต่งบ้าน และเว็บค้าปลีกและค้าส่งเพิ่มขึ้นกว่า 12 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับวันที่อากาศดีมีแดดออก แต่ในขณะเดียวกัน สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปก็ไม่ได้ส่งผลต่อจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ของธุรกิจประเภทห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่เรียกกันว่า Big Box Retailers เลย ถ้าเราสามารถค้นพบได้ว่าเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงแบบนี้จะส่งผลกระทบต่อยอดขายอย่างไรได้บ้าง เราก็สามารถพยากรณ์การขายได้ล่วงหน้าว่า ควรจะต้องหาสินค้าใดมาสต๊อกเตรียมขายไว้ หรือควรจะต้องจัดแคมเปญการตลาดแบบไหนจึงจะกระตุ้นการขายได้ดีที่สุด นี่คือพลังของบริบทที่เป็นสภาพอากาศ ที่สามารถเป็นอาวุธลับให้คุณเอาชนะคู่แข่งที่ไม่เข้าใจเรื่อง Contextual Marketing ได้สบาย […]

7 คำสอน “พลังภายในคำพูด” จากเหล่านักปราชญ์ วิธีเปลี่ยนภาษาพูดอย่างเห็นผล

เพราะคำพูดคือกระจกสะท้อนความเป็นคุณ หากอยากพูดถ้อยคำที่ล้ำลึก เราก็ต้องเป็นคนที่ล้ำลึก หากอยากพูดถ้อยคำที่น่าเชื่อถือ เราก็ต้องเป็นคนที่น่าเชื่อถือก่อน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องหมั่นขัดเกลาตัวตนภายในและคำพูดอยู่เสมอ ขอแนะนำ 7 คำสอน “พลังภายในคำพูด” จากเหล่านักปราชญ์ วิธีเปลี่ยนภาษาพูดอย่างเห็นผล 1. พระศากยมุนี เรื่องราวของจุนทะ ผู้นับถือในพระศากยมุนีได้ถวายภัตตาหารที่เสียแล้วให้โดยไม่รู้ตัว จนพระศากยมุนีอาการทรุดหนักถึงแก่ชีวิต ด้วยความกรุณาของพระศากยมุนี ท่านไม่อยากให้จุนทะเสียใจและกล่าวโทษตนเองว่าเป็นสาเหตุให้ท่านต้องมาตาย จึงได้เรียกอานนท์ลูกศิษย์ของตนมาสั่งเสียว่าเพราะตนอายุมากแล้วจึงถึงแก่เวลา ดึงเอามุมมองเรื่องของการทำบุญเข้ามาใช้ ว่าเป็นบุญแก่จุนทะซะอีกที่ได้เป็นผู้ถวายภัตตาหารมื้อสุดท้ายซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่ได้บุญสูงสุด แสดงให้เห็นว่าคำหนึ่งคำจากคนธรรมดาต่างจากนักปราชญ์ คำของนักปราชญ์มีเสียงสะท้อนก้องอยู่และสัมผัสกับความจริงใจของคน นี่จึงเป็นเหตุผลให้เราต้องเริ่มเรียนการพูดด้วยการขัดเกลาตัวเอง 2. ขงจื๊อ อย่างในเรื่องความกตัญญู ขงจื๊อได้ตอบคำถามกับเมิ่งอี้จื่อ ผู้ปกครองรัฐลู่ในเชิงวิจารณ์ว่า อย่าได้บกพร่องในการดูแลราษฎรเหมือนกับการดูแลพ่อแม่ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง หรือกับ จื่อโหยว ลูกศิษย์ของขงจื๊อ ที่เลี้ยงดูพ่อแม่อย่างดีแต่ขาดความเคารพนับถือ ก็ได้ตำหนิว่า แม้แต่สัตว์เลี้ยงก็ยังให้อยู่ให้กิน การเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยวัตถุจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหนเชียว จะเห็นว่าถ้าเป็นคนที่ตอบคำถามให้ทุกคนเหมือน ๆ กันหมด เราจะไม่มีใจอยากคุยเปิดอกในเรื่องที่กังวลและไม่ต้องการคำแนะนำจากเขาด้วย ดังนั้นจึงต้องมีความลึกซึ้งในแต่ละเรื่องราวเพื่อที่จะได้สนทนาได้หลากหลายและยืดหยุ่นนั่นเอง 3. ฟ่านหลี ฟ่านหลีเป็นผู้คอยปรนนิบัติให้กับเจ้านายอย่างเทียนเฉิงซี เมื่อครั้งเดินทางไปโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเขาได้กล่าวว่า หากจะให้เจ้าของโรงเตี๊ยมต้อนรับเคารพยำเกรงเราทั้งสองก็ต้องทำอะไรสักอย่างให้สร้างสรรค์ผิดแปลกไปจากเดิม โดยฟ่านหลีอุปมาความต่ำต้อยของตนด้วยนิทาน การที่งูใหญ่เลื้อยนำแล้วงูเล็กเลื้อยตามเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น เมื่อผู้คนเห็นงูเลื้อยผ่านมาก็จะฆ่าทั้งสองตัวทิ้ง แต่ถ้างูใหญ่แบกงูเล็กขึ้นหลังไปผู้คนจะคิดว่าเป็นลางบอกเหตุจากเทพเจ้า เหมือนกับผู้ที่ดูสูงศักดิ์ปรนนิบัติคนที่ดูต่ำต้อยกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ทั้งคู่รับบทตรงกันข้ามสถานะที่แท้จริงของตน กล่าวคือ […]

หลักความล้มเหลว 7 ประการ ศาสตร์ที่สอนไม่ให้ทำซ้ำ

หลักสำคัญของความล้มเหลว 7 ประการ ศาสตร์แห่งการเรียนรู้อดีต เพื่อไม่ทำซ้ำในปัจจุบัน หลักทั้ง 7 ประการ จะมีแง่มุมดี ๆ อะไรบ้าง ให้เรานำไปปรับใช้ในชีวิตได้ ติดตามต่อได้ที่บทความ “หลักความล้มเหลว 7 ประการ ศาสตร์ที่สอนไม่ให้ทำซ้ำ” 1. ความล้มเหลวก็แค่นั้นแหละ ความล้มเหลวเกิดขึ้นกับเราทุกคนและจะยังเป็นเช่นนั้นต่อไปในช่วงต่าง ๆ ของชีวิต เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ คุณจะเห็นว่าทุกคนล้วนเหมือนกันบนโลกใบใหญ่ที่ไม่เหมือนดาวดวงอื่นและอุดมสมบูรณ์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ป้องกันเราจากความล้มเหลวได้ตลอด การปฏิเสธความล้มเหลวก็เหมือนการขอให้ไม่มีออกซิเจน หรือไม่มีสิ่งอื่นซึ่งปรากฏอยู่จริง 2. คุณไม่ใช่ความคิดที่แย่ที่สุดของคุณ ความคิดเลวร้ายที่สุดมักไม่บอกความจริงกับเรา ซึ่งอาจเป็นผลจากความสลดใจ ความตื่นตระหนก ความโศกเศร้า หรือกลไกการป้องกันทางประวัติศาสตร์ที่มีอายุยืนกว่าประโยชน์ของมัน โดยมาในรูปเสียงของพ่อแม่แสนดุ ครูที่ไม่เห็นด้วยกับเรา หรือนักวิจารณ์ในความคิดที่เตือนเราไม่ให้มักใหญ่ใฝ่สูง แต่พวกเขามีหลักฐานอะไรมายืนยันบ้างไหม แล้วทำไมเราต้องฟัง ดังนั้นเราควรมีชีวิตโดยแยกออกจากความคิดเชิงลบ และมีหน้าที่สอบสวนความถูกต้องและเปลี่ยนวิธีพูดกับตัวเอง 3. เกือบทุกคนรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวในช่วงวัยยี่สิบ หากรู้สึกว่าตัวเองหลงทางในทศวรรษนั้น ไม่ได้ทำสิ่งที่ควรจะทำ หรือคนอื่นประสบความสำเร็จมากกว่า ดีกว่า และเร็วกว่าคุณ รับรองว่าคุณไม่ได้เป็นเช่นนี้คนเดียว คนส่วนใหญ่ก็รู้สึกเหมือนกัน สัญญาเลย แค่ใช้ชีวิตผ่านทศวรรษนี้ไปให้ได้ คุณกำลังเรียนรู้บทเรียนอันมีค่าเกี่ยวกับตัวเอง 4. การเลิกราไม่ใช่โศกนาฏกรรม […]

4 กลเม็ดช่วยคนเครียดง่าย เพราะความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้าง่ายเวอร์

การสัมผัสรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ เช่น อารมณ์ความรู้สึกของผู้คน เสียงแค่เพียงแผ่วเบา หรือกระทั่งแสงเลือนราง คือสาเหตุที่ทำให้คนอ่อนไหวง่ายเหนื่อยง่ายกว่าคนทั่วไป คนที่อ่อนไหวง่ายยังคาดเดาสภาพร่างกายของตัวเองได้ดีเยี่ยม จึงยิ่งเหนื่อยง่ายมากขึ้น ขอแนะนำ “4 กลเม็ดช่วยคนเครียดง่าย เพราะความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้าง่ายเวอร์” วิธีพลิกแพลงเพื่อลดแรงบั่นทอนที่คนอ่อนไหวง่ายได้รับจากสิ่งกระตุ้นเร้าจนทำให้เครียด 1. พลิกแพลงเพื่อปกป้องตัวเองจาก “สิ่งกระตุ้นเร้า” วิธีนี้เป็นเคล็ดลับป้องกันในเชิงกายภาพแทนการปิดกั้นหัวใจ การข่มประสาทรับรู้ไว้ระยะหนึ่งเวลาอยู่ในสถานที่ที่ไม่ชอบหรือเวลาเจอกับคนไม่ถูกชะตาเป็นเรื่องจำเป็นก็จริง แต่ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า ไม่จะเป็นการอิ่มเอมกับเรื่องน่ายินดี การสัมผัสสิ่งไม่น่าพิสมัยหรือสิ่งชวนให้เจ็บปวด ล้วนต้องใช้ “ประสาทรับรู้” หากทำให้ประสาทรับรู้ด้านชาก็จะเท่ากับว่า “รับรู้เรื่องไม่น่าพิสมัยหรือเรื่องชวนให้เจ็บปวดน้อยลง แต่ก็ได้สัมผัสการใช้ชีวิตอย่างปลื้มปริ่มยากขึ้นเช่นกัน” ยิ่งถ้าปิดกั้นประสาทรับรู้เป็นเวลานาน คราวนี้อาจกลายเป็นไม่รู้ว่าอะไรคือความสุขสำหรับตน และเกิดคำถามเช่น “ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไร” หรือ “คำว่าสนุกสนานเป็นความรู้สึกแบบไหน” เพราะฉะนั้น กรณีจำเป็นต้องหาทางรับมือในระยะสั้น ขอให้ใช้วิธี “เริ่มจากป้องกันด้วยวัตถุ” เพื่อลดสิ่งกระตุ้นเร้าอันเป็นบ่อเกิดของความเครียด แทนการปิดกั้นประสาทรับรู้ แล้วค่อย ๆ ถอยห่างออกจากสถานที่หรือบุคคลที่ก่อให้เกิดความเครียด เพียงแค่นี้ก็ไม่จำเป็นต้องปิดกั้นประสาทรับรู้แล้ว 2. แยกประสาทสัมผัสทั้งห้า วิธีป้องกันสิ่งกระตุ้นเร้า การมองเห็น : การจำกัดสิ่งที่มองเห็นให้เหลือแค่เท่าที่จำเป็น ถือเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการป้องกันสมองไม่ได้พัก การได้ยิน : แค่เตรียมที่อุดหูไว้ในกระเป๋าเวลาออกนอกบ้าน แล้วหมั่นนำมาใช้เพื่อป้องกันเสียงระคายหู ก็ลดความเครียดได้มากแล้ว […]

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า