모든 악당은 멍청이다
Every Villainis Lemon
ตัวร้ายไม่ได้เรื่องทุกราย
จังนยัง เขียน
ตรองสิริ แปล
โปรย
ปีเตอร์ เจ้าหน้าที่ซีไอเอได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมภารกิจ ‘พ่อมด’
ไม่รู้ว่าโลกกลมหรือเป็นคราวซวย
เมื่อเป้าหมายการจับกุมในภารกิจครั้งนี้กลับเป็นคนรักเก่าของเขา
ไลนัส ทายาทธุกิจไอทียักษ์ใหญ่ คนรักเก่าของปีเตอร์
ตกเป้นผู้ต้องสงสัยว่าผลิตอาวุธสงคราม แถมยังเป็นผู้ป่วยจิตเวชขึ้นรุนแรง
นับเป็นบุคคลอันตรายระดับที่ก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สามได้
ทว่าในความทรงจำของปีเตรอ์ ไลนัสดูไม่เหมือนคนบ้าคลั่งแบบนั้นแม้แต่น้อย
ตลอดแปดปีที่ไม่ได้พบกัน เกิดอะไรขึ้นกับไลนัสกันนะ
แล้วทำไมพบกันคราวนี้อีกฝ่ายดันทำเหมือนยังรักปีเตอร์มาตลอดล่ะ
“ฉันยินดีโกหกคนทั้งโลก ขอเพียงให้ได้นายมา”
“ทุกคำที่ฉันเคยพูดกับนายคือใจจริงของฉัน ไม่ว่านายจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
2.1
“ได้ยินว่าเขาเป็นลูกชายของธอมัส สวินนีย์”
ปีเตอร์เงยหน้าเพราะคำว่าลูกชายของ ‘ธอมัส สวินนีย์’ ผู้ก่อตั้งบริษัทไอทีวิลสันซึ่งเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจสำหรับเหล่าคนคลั่งไคล้คอมพิวเตอร์ ปีเตอร์เห็นชายรูปร่างหน้าตาโดดเด่น แม้ฝ่ายนั้นกำลังเดินผ่านแคมปัสท่ามกลางกลุ่มคนอื่น ๆ แต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเพื่อนหมายถึงคนไหน ทั้งที่อยู่ท่ามกลางคลื่นมนุษย์ ทว่าใบหน้าอีกฝ่ายเด่นชัดในคลองสายตาตั้งแต่แรกเห็น
“…ไม่ใช่ว่าเป็นลูกชายของเกรซ เคลลี หรอกเหรอ”
จริงอยู่ที่อีกฝ่ายเด็กเกินกว่าจะเป็นลูกชายของเกรซ เคลลี แต่หน้าตาเขาช่างดูไม่คล้ายธอมัส สวินนีย์ ‘คนนั้น’ เสียเลย ที่พอจะเรียกได้ว่าเหมือนพ่อคงมีแค่เรือนผมสีทอง ถึงอย่างนั้นผมทองของธอมัสก็ดูสากและหงอกหมดแล้ว ไม่ส่องประกายเงางามอย่างชายหนุ่มเบื้องหน้า ปีเตอร์เคยเห็นรูปสมัยธอมัสยังหนุ่ม หน้าตาเขาจัดว่าค่อนข้างดี แต่ก็ไม่เข้าขั้นหล่อจัด มีข่าวลือเหมือนกันว่าภรรยาของธอมัสซึ่งปกปิดตัวตนจากสาธารณชนนั้นสวยมาก นึกไม่ถึงว่าจะสวยขนาดนี้
“เหมือนแค่แม่เหรอ”
ปีเตอร์ถามก่อนยัดแซนด์วิชเข้าปาก
“เปล่าเลย เห็นแบบนั้น แต่คนพูดกันว่าเขาเป็นถึงแฮ็กเกอร์ฝีมือฉกาจเชียวนะ คนเจาะระบบของเพนตากอน[1]เมื่อคริสต์มาสปีก่อนก็เขานี่ละ แสดงว่าเขาต้องเหมือนพ่อด้วยสิ คูซานยังเคยถามเลยว่า หรือพวกเขาจะใช้พันธุวิศวกรรม[2]”
เทอร์เนอร์ผู้นั่งอยู่ข้าง ๆ กล่าวเสียงราบเรียบ รูปลักษณ์ภายนอกโขกมารดาคนสวยจนหล่อเหลาปานดาราฮอลลีวูดกับนายแบบบนรันเวย์กรุงปารีสไม่พอ เนื้อในยังถอดแบบบิดาผู้เป็นราชาไอทีของโลกอีก คำกล่าวอ้างเรื่องใช้พันธุวิศวกรรมจึงฟังดูไม่เกินจริงเลย
“ชีวิตช่างไม่ยุติธรรม”
เทอร์เนอร์บ่นพลางเคี้ยวแซนด์วิช
“แค่มีพ่ออย่างธอมัส จะหน้าตาธรรมดาหน่อยหรือไม่เก่งเลยก็ได้นี่หว่า โลกเล่นมีคนแบบนี้อยู่ ตัวฉันเลยเหมือนถูกสร้างขึ้นลวก ๆ อย่างนั้นแหละ”
ปีเตอร์มองเทอร์เนอร์บ่นพึมพำพลางปัดเศษขนมปังให้ร่วงหล่น แล้วหันมองปลายจมูกของไลนัสซึ่งมีรูปทรงคล้ายจมูกของดาราหญิงในภาพยนตร์สมัยก่อนอย่างน่าอัศจรรย์
“งั้น ๆ แหละ คงไม่มีเรื่องให้โคจรมาเจอกันหรอก”
ทั้งชีวิตปีเตอร์คงไม่มีวาสนาให้ข้องเกี่ยวกับคนประเภทนั้น ชนชั้นบนย่อมคบหาสมาคมกันเอง และเขาก็ไม่มีเรื่องให้ต้องไปเกี่ยวข้องด้วย ปีเตอร์เรียนเก่งก็จริง แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งในหมู่เด็กเก่งมากมายที่มีทุกปี ไม่มีจุดเด่นแต่อย่างใด ซึ่งคนพิเศษจริง ๆ ก็ต้องคบหาแค่คนพิเศษด้วยกันอยู่แล้ว
“หรือถึงจะโคจรมาเจอกันจริง ก็คงในฐานะประธานบริษัทกับนักวิจัยที่ยืนอยู่คนละฟากของโรงอาหารนั่นละ”
เหมือนผู้คนมากมายที่เดินเฉียดกรายผ่านกันทุกวันก็ยังจำกันไม่ได้ แม้ปีเตอร์คงจะจำอีกฝ่ายได้อีกนานก็ตาม
ปีเตอร์เคี้ยวแซนด์วิชพลางทอดสายตามองไลนัสราวกับกำลังชมภาพยนตร์ และเขาเป็นผู้ชมที่เฝ้ามองตัวละครโลดแล่นในโลกของตัว
“…”
วินาทีที่จะละสายตา ไลนัสคล้ายรู้ตัวว่าถูกจ้องจึงหันมามองปีเตอร์ เทอร์เนอร์ที่จ้องอีกฝ่ายเหมือนกันรีบหันหน้าหนี ทว่าปีเตอร์ทำไม่ได้
นัยน์ตางดงามน่าทึ่งของไลนัสทำให้ปีเตอร์ชะงักค้าง เขาเกิดอยากรู้ว่าคนที่ตนสบตาใช่มนุษย์มีเลือดเนื้อจริง ๆ หรือเปล่า
“…”
หน้าตาปีเตอร์คงเหลอหลามาก ไลนัสถึงอมยิ้มน้อย ๆ ดวงตายาวรีโค้งยิ้มอ่อนโยน นัยน์ตาสวยสะท้อนประกายประหลาด
เขาเหม่อมองจนอีกฝ่ายเดินลับไปจากสายตา
ในนาทีสั้น ๆ นั้นพลันทำให้ปีเตอร์นึกสงสัยว่า การได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกของกลุ่มอภิสิทธิ์ชนจะรู้สึกอย่างไร
ปีเตอร์คิดว่าเดี๋ยวตนก็ลืมและคงไม่มีเหตุให้สบตาไลนัสอีก ทว่าพวกเขากลับได้พบกันอีกครั้งเร็วเกินคาด
***************
ปีเตอร์ลูบแก้มเกร็งเครียดของตัวเอง เขาไม่คิดว่าจะเจอเจ้าของใบหน้าในรูปอีก อย่างน้อยก็ไม่คิดว่าจะเจอด้วยสาเหตุนี้
“โค้ดเนมคือ ‘พ่อมด’ ค่ะ”
ลอร์เรนเล่าประวัติย่อของไลนัสอย่างคล่องแคล่วด้วยสีหน้าติดเหนื่อยอ่อน
“ไลนัส ที. สวินนีย์ เกิดวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 198X อายุสามสิบปีบริบูรณ์เมื่อสี่เดือนก่อน แม่เป็นชาวอังกฤษเชื้อสายยิว พ่อเป็นชาวอเมริกันชื่อธอมัส สวินนีย์ ทุกคนคงรู้จักดีว่าเขาคือผู้ก่อตั้ง ‘วิลสัน’ บริษัทด้านไอที”
ลอร์เรนกล่าวเสริมอย่างเผ็ดร้อน “ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอย่างอื่นบ้างไหมนอกจากโกยเงินเป็นกอบเป็นกำ” วิลสันเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เริ่มจากจับธุรกิจไอที ปัจจุบันขยายธุรกิจไปหลากหลายสาขา ทั้งด้านการผลิต การคมนาคมขนส่ง ตลอดจนการทำคอนเทนต์เชิงวัฒนธรรม
“…เป้าหมายคือวิลสันเหรอครับ”
ความหมายของคำถามนี้คือ นี่ใช่ภารกิจชิงตัวบุตรชายของธอมัสเพื่อเข้าถึงข้อมูลลับของบริษัทวิลสันหรือเปล่า หากเป้าหมายคือบริษัทวิลสัน ก็เท่ากับนอกเหนือความรับผิดชอบของซีไอเอ ลอร์เรนชำเลืองมองโจนาธานเจ้าของคำถามแล้วส่ายหน้า
“ไม่ใช่ค่ะ เป้าหมายของภารกิจคือผู้ชายคนนี้ ไลนัส สวินนีย์”
หล่อนกดรีโมตข้ามรูปถ่ายอื่น ๆ จนถึงรูปที่คล้ายรูปถ่ายติดบัตร รูปหน้าตรงของไลนัสก่อให้เกิดเสียงอุทานแผ่วเบาจากสมาชิกในทีม เครื่องหน้าทุกส่วนของชายหนุ่มล้วนงดงามและเหมาะเจาะพอดิบพอดี สมบูรณ์แบบเสมือนรูปโฉมตามอุดมคติที่ใครสักคนรังสรรค์ปั้นแต่ง ดวงตายาวรีกับมุมปากหยักน้อย ๆ ก็สวยน่าประทับใจ
“พระเจ้าช่วย นี่มันเจ้าชายแห่งยุคใหม่ชัด ๆ ลูกชายคนเดียวของสวินนีย์หน้าตาเป็นแบบนี้เหรอ เป็นไปได้ยังไง”
อเล็กซ์กระซิบเหน็บแนม ปีเตอร์ตอบแกน ๆ “ก็จริง” เขาก็เคยคิดแบบเดียวกันตอนเห็นไลนัสครั้งแรก
“แล้วทำไมต้องจับตัวเจ้าชายด้วยครับ”
โจนาธานยกมือถามอีกรอบ ต่อให้เฉย ๆ กับภารกิจที่เหมือนเป็นคนร้ายลักพาตัวเจ้าชาย ทว่าการแตะต้องลูกชายของสวินนีย์ย่อมก่อให้เกิดปัญหา ต้องมีเหตุผลที่ซีไอเอยอมปฏิบัติภารกิจเสี่ยงแบบนี้มานานครึ่งปีแน่นอน ทว่าหลังฟังประวัติย่อกับดูหน้าตาเป้าหมายก็ยังไม่มีคนเดาเหตุผลออก เพราะบุตรชายผู้ก่อตั้งบริษัทวิลสันคงไม่มีทางเป็นผู้ก่อการร้าย ลอร์เรนใช้มือข้างที่ถือรีโมตชี้ที่ฉาก
“เพราะเขาคือพ่อมดค่ะ”
“พ่อมดงั้นเหรอ”
ทุกคนจ้องลอร์เรนด้วยสีหน้างุนงง
“สักสิบปีก่อนเคยมีนักพัฒนาอาวุธดาวรุ่งพุ่งแรงใช่ไหม เขาเป็นผู้ทำให้ระเบิดของเหลวกลายเป็นสินค้าแพร่หลาย และเป็นผู้สร้างปืนคลื่นแม่เหล็กที่กองทัพสหรัฐฯกำลังพัฒนาให้เสร็จสมบูรณ์ ตลอดจนออกแบบเครื่องบินรบรุ่นที่หก ไหนจะรถถัง RT-X100 กับขีปนาวุธเร็กซ์…ซึ่งทั้งหมดก็ได้ใช้ประโยชน์ในอิรักอย่างดีเหนือความคาดหมาย”
หญิงสาวกดข้ามรูปบนฉากเร็ว ๆ แสดงให้เห็นรูปถ่ายอาวุธพัฒนาล่าสุดที่พวกเขาต่างรู้จักกันดีจนคร้านจะกล่าวถึงให้ละเอียด
“ทั้งหมดนี้เกิดจากฝีมือคนคนเดียว…ไลนัส สวินนีย์ ซึ่งตอนนั้นเขาอายุเพียงยี่สิบเอ็ดปีเท่านั้น”
ลอร์เรนพูดเรื่องชวนอึ้งด้วยท่าทางนิ่งเฉยแล้วกล่าวต่อ
“สิ่งที่เหมือนเสกด้วยเวทมนตร์จริง ๆ คือเขาพัฒนาอาวุธดังกล่าวทุกชิ้นได้ในปีเดียว และในช่วงหนึ่งปีนั้นเขาทำสัญญาเป็นฟรีแลนซ์ทำงานให้รัฐบาลของเรา หลังจากนั้นเขาก็เก็บตัวเงียบ อ๊ะ แน่นอนว่าการปล่อยให้เขาผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมเงียบหายสร้างผลเสียมหาศาลระดับชาติ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ซีไอเอควรออกโรง…ปัญหาคือ ‘แสงจันทร์’ อาวุธชิ้นสุดท้ายที่ไลนัสคิดค้น”
บนฉากแสดงรูปถ่ายห้องวิจัยที่ไหม้เป็นตอตะโก คอมพิวเตอร์กับฮาร์ดดิสก์ทุกชิ้นเสียหายยับเยิน
“ตอนเขาหายตัวไป พิมพ์เขียวกับเอกสารที่เขาสร้างไว้ถูกทำลายและเผาวอดทั้งหมด แต่ก็เป็นช่วงก่อนเริ่มสร้างแสงจันทร์ จึงเข้าใจกันว่าข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธนั้นเป็นความลับสุดยอด…จนกระทั่งชื่อของมันถูกลงทะเบียนในงานจัดแสดงอาวุธที่กรุงปารีส”
หกเดือนก่อน บัญชีรายชื่ออาวุธในงานจัดแสดงถูกแฮ็ก ไม่มีข่าวอื่นรั่วไหล เว้นแต่บัญชีชื่ออาวุธชิ้นนั้นซึ่งระบุชื่อของไลนัสกับชื่อสินค้าว่า Moonlight 0.1 กลับปรากฏบนโลกอินเทอร์เน็ตเพียงอึดใจ
“แน่นอนว่าข้อมูลถูกลบทันที แต่ก็เพียงพอให้พวกค้าอาวุธกับสำนักข่าวกรองทั่วโลกมั่นใจ จนสภาพไม่ต่างจากงานประมูลสินค้าสักนิด”
อาวุธลับชิ้นใหม่จากนักพัฒนาอัจฉริยะในงานจัดแสดงอาวุธย่อมทำให้ทุกคนตาลุกวาว
“เขาไม่ต้องการเงิน ต่อให้ไม่รับมรดกมหาศาลจากครอบครัว ก็ยังมีค่าตอบแทนก้อนโตจากการทำงานพัฒนาอาวุธตลอดหนึ่งปีอยู่ในมือ”
ลอร์เรนพูด “แน่นอนว่า” ก่อนที่คนอื่น ๆ จะทันแย้ง
“จริงอยู่ ถึงร่ำรวยแล้วก็ใช่จะไม่อยากได้เงิน แต่ที่ฉันสื่อคือเขาไม่ได้หวังแค่เงิน เพราะถ้าเขาโลภ ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องทิ้งงานจากรัฐบาลของเราแล้วไปเข้าร่วมงานนี้ ทางเรารู้คุณค่าของเขาดีที่สุด หากเขากลับมาทำงานให้ ก็พร้อมจะมอบค่าตอบแทนสูงยิ่งกว่าที่เขาเรียกร้องซะอีก”
แค่หนึ่งปียังทำให้ศักยภาพของกองทัพสหรัฐฯเปลี่ยนแปลงยิ่งยวด ขอเพียงได้ตัวไลนัสกลับมาร่วมงาน ต่อให้เป็นคฤหาสน์สร้างด้วยธนบัตรมูลค่าร้อยดอลลาร์ รัฐบาลสหรัฐฯก็ยังยินดีมอบให้
“ยังไม่มีใครรู้ว่าเขาต้องการอะไร เหตุผลอาจเพราะเขาเปลี่ยนความคิด มีวัตถุประสงค์อื่น หรืออาจแค่เปลี่ยนใจเฉย ๆ ถึงแม้จุดยืนทางการของเราจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของไลนัสก็เถอะ”
ลอร์เรนคลึงเปลือกตาด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
“พวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่าวิธีแฮ็กคล้ายฝีมือไลนัส แต่แน่นอนว่ายังมีโอกาสไม่ใช่อยู่ด้วย”
หมายความว่าถึงหวังให้ไม่ใช่ ก็ยังหาหลักฐานยืนยันไม่เจอ โจนาธานเอ่ยคำถามที่สมาชิกในทีมต่างกำลังสงสัย
“ ‘แสงจันทร์’ คืออะไรครับ”
ลอร์เรนยิ้มจาง หล่อนมองพวกหัวหน้าทีมในห้องด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“ทางเราก็ไม่รู้ นี่คือหนึ่งในสิ่งที่พวกคุณต้องหาคำตอบ”
“…ไม่รู้กระทั่งหน้าตาของมันด้วยเหรอครับ”
“รูปลักษณ์ภายนอกน่ะไม่รู้แน่ ๆ แล้วยังไม่รู้ประเภทด้วย สันนิษฐานว่าอาจเป็นระเบิดนิวเคลียร์ประเภทหนึ่ง แต่ก็ยังฟันธงไม่ได้ เขาเคยสร้างระเบิดของเหลว เราจึงไม่ควรฟันธงว่าเป็นอาวุธรูปแบบไหน แล้วไลนัสก็ไม่ใช่คนที่เราจะคาดเดาการกระทำได้”
ถึงลอร์เรนจะกล่าวเสริมว่า “เราไม่อาจเข้าใจความคิดความอ่านของคนประเภทนี้หรอก” แต่ตามสืบนานตั้งครึ่งปี ยังไม่รู้กระทั่ง ‘แสงจันทร์’ เป็นอาวุธแบบไหนเนี่ยนะ สีหน้าของพวกหัวหน้าทีมเจื่อนลง
“หาข้อมูลให้แน่ชัดทั้งเรื่องแสงจันทร์ พิมพ์เขียวของมัน รวมถึงตัวไลนัส อย่าให้มีเรื่องไหนตกหล่น หากถูกชาติฝ่ายศัตรูชิงไปเพียงนิด ภารกิจ ‘พ่อมด’ ก็เท่ากับล้มเหลว”
ผู้อำนวยการพูดเสียงเฉียบขาดอย่างคนหลังชนฝา
นี่เป็นภารกิจที่ไม่ง่ายเลย พวกเขาต้องรับมือกับบรรดาผู้ค้าอาวุธและหน่วยข่าวกรองทั่วทุกหัวระแหง ซึ่งต่างตาลุกวาวจ้องอาวุธราวกับจะแห่ประมูลกลางตลาด ซีไอเอต้องขัดขวางทุกคู่แข่งแล้วกวาดอาวุธเหล่านั้นมาครอบครองให้ได้
“ซานดรากับอเล็กซ์ พวกคุณร่วมมือกับเอฟบีไอปฏิบัติภารกิจในประเทศ คอยจับตาฝั่งตลาดค้าอาวุธด้วยกันกับริชาร์ด”
ลอร์เรนวางปึกเอกสารรายงานให้ซานดรากับอเล็กซ์
“โจนาธานกับแกรี มีแหล่งข่าวกรองในเนเธอร์แลนด์แล้วใช่ไหม”
หญิงสาวยื่นหนังสือเดินทางกับตั๋วเครื่องบินให้โจนาธานกับแกรีก่อนทั้งคู่จะทันพยักหน้าเสียอีก
“พวกคุณต้องเดินทางไปเนเธอร์แลนด์ทันที และคอยประสานงานกับทีมแบล็กฮอว์ก ส่วนคุณ…ปีเตอร์?”
ปีเตอร์ซึ่งกำลังเหม่อมองกระดาษรายงานเงยหน้ามองหล่อน ลอร์เรนมองเขาแล้วยิ้มน้อย ๆ
“คุณเองก็ต้องไปเนเธอร์แลนด์เหมือนกัน”
“…? ผมหรือครับ”
“ใช่ สถานที่ที่เราเข้าใจว่าเป็นที่พักของไลนัสถูกปิดกั้นระบบโทรคมนาคมทั้งหมด เราเคยลองเชื่อมต่อด้วยดาวเทียมแล้ว แต่ถูกตามสืบจนเจอภายในสามสิบวินาที ยิ่งกว่านั้นระบบพื้นฐานยังมีการเปลี่ยนรหัสลับแบบสุ่มทุก ๆ สามชั่วโมง เราจึงจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจาะข้อมูล”
ปีเตอร์อ้าปากค้างกับคำสั่งของลอร์เรน เขามีฝีมือด้านการแฮ็กกิ้งก็จริง แต่ปีเตอร์ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ภาคสนามที่เก่งกาจเป็นพิเศษ
“คุณต้องลอบเจาะระบบให้ได้ จากนั้นใส่ประวัติส่วนบุคคลของพวกเจ้าหน้าที่เราเข้าไป แล้วภารกิจถึงจะเริ่มต้น”
“เอ่อ…แต่ผมแทบไม่เคยลงปฏิบัติภาคสนาม…”
“ผ่านการฝึกพื้นฐานแล้วใช่ไหม”
คำถามของผู้อำนวยการทำให้ปีเตอร์พยักหน้ารับงง ๆ
“ผ่านการฝึกพื้นฐานทุกอย่างแล้วครับ แต่คะแนนก็อยู่แค่ระดับคาบเส้น”
ปีเตอร์ไม่อยากทำท่าขาดความมั่นใจต่อหน้าทุกคนหรอก แต่เขาก็ไม่อยากเชื่อมั่นในตัวเองเกินเหตุกับภารกิจสำคัญที่มีคีย์เวิร์ดเชื่อมไปถึงสงครามโลกครั้งที่สามเช่นกัน แถมยังเป็นภารกิจที่หลายทีมก่อนหน้าทำไม่สำเร็จด้วย การมอบหมายให้เขาผู้มีประสบการณ์ปฏิบัติภารกิจภาคสนามไม่มากจึงดูไม่เหมาะสมนัก แต่ถึงปีเตอร์จะกลัดกลุ้ม ผู้อำนวยการก็ไม่ล้มเลิก
“ต่อให้คุณถูกจับได้ก็ไม่ถูกยิงหรอก อย่าห่วงเลย หรือถึงถูกยิงจริง ๆ เขาก็จะรักษาให้ทันท่วงที”
“ครับ?”
ปีเตอร์จ้องอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ผู้อำนวยการตบบ่าเขา
“ที่นั่นเป็นโรงพยาบาลน่ะ”
“…ไลนัสพักอยู่ในโรงพยาบาลเหรอครับ”
ปีเตอร์ย้อนถาม ลอร์เรนวางหนังสือเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน และเอกสารรายงานลงตรงหน้าปีเตอร์ก่อนตอบเขา
“โรงพยาบาลโรซาแคร์ที่เนเธอร์แลนด์ เป็นโรงพยาบาลจิตเวชที่ขึ้นชื่อเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยแข็งแกร่งเป็นเลิศ และยังเป็นสถานที่รับบำบัดเฉพาะผู้ป่วยทางจิตระดับรุนแรง”
ประโยคสุดท้ายของลอร์เรนเล่นเอาปีเตอร์อ้าปากค้างทีเดียว
[1] Pentagon คือ อาคารที่ทำการกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกา
[2] เทคนิคการสร้างดีเอ็นเอสายผสม หรือ Recombinant DNA เพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตให้มีลักษณะตามต้องการ