ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊
肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล
คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…
: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored
————————————————————-
121
อาจารย์ต่างหากคือปรมาจารย์
วันที่แปดหลังจากโม่หรานจากไป เซวียเจิ้งยงได้รับจดหมายฉบับแรกจากเขา
กระดาษฮ่วนฮวา [1] เขียนด้วยลายมือโย้เย้ที่พยายามจะเขียนให้ตรงอย่างที่สุด แต่ก็ป่วยการ
‘ท่านลุงไม่ต้องห่วง วันนี้ข้าอยู่ที่ท่าเรือฝานฮวา ทุกอย่างเรียบร้อยดี วันก่อนทางนี้เกิดเรื่องวุ่นวาย เคราะห์ดีไม่มีผู้ใดบาดเจ็บล้มตาย หลานจัดการกับภูตน้ำที่ก่อเรื่องแล้ว ยามนี้ที่ท่าเรือเป็นปกติสุข ได้รับตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงเงินจากนายท้าย แนบมาพร้อมจดหมายนี้ ฝากทักทายท่านป้ากับอาจารย์ด้วย’
วันที่หนึ่งร้อยยี่สิบ จดหมายฉบับที่ยี่สิบสอง
‘ท่านลุงไม่ต้องห่วง เมื่อไม่นานนี้หลานได้ศิลาวิญญาณชั้นเลิศมาโดยบังเอิญ หากนำไปเลี่ยมฝังลงบนดาบโค้งหลงเฉิงของเซวียเหมิง จะกลายเป็นอาวุธเหนือสามัญ แม้มิอาจเทียบเทียมเทพศัสตรา แต่ก็หายากยิ่ง ฝากทักทายท่านป้ากับอาจารย์ด้วย’
วันที่หนึ่งร้อยสามสิบ จดหมายฉบับที่ยี่สิบสี่
‘ท่านลุงไม่ต้องห่วง ช่วงนี้หลานฝึกบำเพ็ญอยู่ในหุบเขาหิมะ ในหุบเขาหิมะหนาวเหน็บตลอดทั้งวัน ทำให้เกิดบุปผาพืชพรรณประหลาด ในบรรดานั้นมีดอกบัวหิมะล้ำค่าหายากอย่างยิ่ง เสียดายบริเวณทุ่งดอกไม้มีปีศาจวานรพันปีเฝ้ารักษาอยู่ ตอนที่หลานเพิ่งมาถึงใหม่ๆ พลังวิญญาณยังต่ำต้อย วิชายุทธ์ไม่ล้ำลึก จึงมิอาจเด็ดมาได้ หลายวันนี้ก้าวหน้าขึ้นมาก สามารถฝ่าทำลายการป้องกันของมันได้ จึงเด็ดมาสิบกว่าดอก ส่งกลับมาพร้อมจดหมายฉบับนี้ ฝากทักทายท่านป้ากับอาจารย์ด้วย’
…
สิ่งที่ส่งมาพร้อมจดหมาย มักจะมีสิ่งของกระจุกกระจิก โอสถวิเศษ ก้อนศิลา พรรณไม้
นอกจากเขียนจดหมายให้เซวียเจิ้งยง โม่หรานยังเขียนถึงซือเม่ยเป็นการส่วนตัวด้วย เนื้อหาก็เป็นเรื่องที่พบเห็นจากทั่วสารทิศ และเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ
รอยหมึกที่ขีดเขียนบนกระดาษ จากเริ่มแรกที่ยังมีเขียนตัวอักษรผิด ต่อมา แม้เรียกไม่ได้ว่าตัวอักษรงดงาม แต่โครงสร้างเส้นขีดก็เรียบร้อยบรรจงขึ้น จุดที่เขียนผิดก็น้อยลงเรื่อยๆ แล้ว
พริบตาก็ผ่านไปหนึ่งปี
วันนี้เซวียเจิ้งยงดื่มชาวสันต์ที่เพิ่งเก็บใหม่ ทั้งยังได้รับจดหมายอีกฉบับจากโม่หราน
เขายิ้มจนอ่านจบ ทั้งยังยื่นจดหมายให้หวังฟูเหรินอ่านด้วย หวังฟูเหรินอ่านแล้วก็ยิ้มเช่นกัน “ตัวอักษรของเด็กคนนี้สวยขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
“เหมือนคนผู้หนึ่ง?”
“ผู้ใด”
เซวียเจิ้งยงเป่าใบชา หาอรรถาธิบายข่ายอาคมบรรพกาลฉบับหนึ่งจากในกองม้วนตำราที่หัวโต๊ะ “เจ้าดูอักษรของอวี้เหิง มีความคล้ายคลึงเจ็ดส่วนใช่หรือไม่”
หวังฟูเหรินถือม้วนตำราพลิกดู เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เหมือนจริงๆ”
“ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงยอดเขาสื่อเซิง เขากราบอวี้เหิงเป็นอาจารย์ อวี้เหิงให้เขาหัดอ่านตำราเองก่อน เขากลับรู้อักษรเพียงไม่กี่ตัว ต่อมาอวี้เหิงจึงสอนเขาอยู่หลายวัน เริ่มตั้งแต่ชื่อของเขาเอง จากเรื่องง่ายๆ ค่อยเพิ่มระดับความยาก” เซวียเจิ้งยงส่ายหน้า “ตอนนั้นเขาไม่ตั้งใจเรียน มักเขียนตัวอักษรยึกยือเหมือนวาดยันต์ เวลานี้กลับดูเข้ารูปเข้ารอยแล้ว”
หวังฟูเหรินยิ้ม “เขาสมควรลงเขาออกท่องยุทธภพจริงๆ ข้าว่าเขาอยู่ข้างนอก สุขุมขึ้นไม่น้อยแล้ว”
เซวียเจิ้งยงเองก็ยิ้ม “ไม่รู้ว่าหลังจากออกตระเวนห้าปี กลับมาแล้วจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นไร ตอนนั้นเขาน่าจะอายุเท่าใดนะ ยี่สิบสอง?”
“ยี่สิบสอง”
“เฮ้อ” เซวียเจิ้งยงถอนหายใจ คล้ายสะท้อนใจอยู่บ้าง “เดิมข้าคิดว่าอวี้เหิงจะได้ชี้นำพวกเขาไปจนถึงอายุยี่สิบปี คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิตแท้ๆ”
คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต โม่หรานเองก็คิดเช่นนี้
เขาท่องไปทั่วจากฟ้าใต้จรดทะเลเหนือ จากแดนหมอกฝนแห่งเจียงหนาน สู่ด่านต้าส่านแห่งไซเป่ย ยามคิมหันต์ จิบสุราเย่ว์จิ่ว [2] ริมแม่น้ำโถวเหลา ยามเหมันต์นั่งข้างหลุมผิงไฟฟังเสียงเชียงตี๋ [3]
ชาติก่อนหลังตั้งตนเป็นตี้จวิน ใต้หล้าล้วนเป็นของเขา เขากลับไม่เคยเหยียบย่างหมื่นนทีพันขุนเขา ไปดูแสงไฟของเรือหาปลาทางตะวันออก อุโมงค์ส่งน้ำข่านเอ๋อร์จิ่ง [4] ทางตะวันตก ไม่เคยสังเกตสองเท้าดำปิ๊ดปี๋ของลูกหาบที่เดินไปตามเส้นทางปูหิน เนื้อหนังปริแตก ส้นเท้าแข็งด้านราวกับเหล็ก ไม่เคยได้ยินเด็กเล็กๆ ฝึกร้องออกเสียงในบึงกก เสียงแหลมก้องฟ้า เหมือนเสียงผ้าไหมฉีกขาดว่า “แท้แล้วบุปผาสะพรั่งทุกแห่งหน กลับล้วนเพียงกำแพงผุพังได้ยวนยล…” [5]
เขามิใช่ท่าเซียนจวินอีกต่อไป ชาตินี้ก็จะไม่มีวันเป็นท่าเซียนจวินอีกแล้ว เขาคือ…
“พี่ชาย” เป็นเสียงใสกังวานของเด็กน้อยคนหนึ่งที่เจอในย่านชุมชนหนึ่ง “พี่ชาย ท่านช่วยนกน้อยตัวนี้หน่อยได้หรือไม่ ปีกมันหัก ข้า…ข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี”
“เซียนจวินน้อย” เป็นเสียงแหบพร่าของผู้ใหญ่บ้านชราแห่งหมู่บ้านสือจิ้ว “ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณท่านมาก หากมิได้ท่าน หมู่บ้านเราที่มีแต่หญิงม่าย เด็ก คนแก่ ถูกปีศาจร้ายรังควานเช่นนี้ คงได้แต่ต้องทิ้งบ้านเกิด บุญคุณยิ่งใหญ่ของเซียนจวิน ข้า…ข้าจะไม่มีวันลืมเลย”
“ท่านผู้เมตตา” เป็นเสียงสั่นเครือของยาจกที่พบเจอระหว่างทาง “ท่านผู้เมตตา เราสองแม่ลูกไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว ขอร้องท่านโปรดทำบุญสักหน่อย โปรดเมตตาด้วย…”
โม่หรานหลับตาลง
จากนั้นก็ลืมตาขึ้นอีก
เพราะมีคนเรียกเขา
“ปรมาจารย์โม่”
คำเรียกขานเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกทิ่มแทง เงยหน้าขึ้นมองชายฉกรรจ์ผิวดำที่กำลังเรียกเขาเช่นนี้ เอ่ยอย่างค่อนข้างจนปัญญา “ข้ามิใช่ปรมาจารย์ อาจารย์ข้าต่างหากจึงจะใช่ อย่าเรียกข้าเช่นนี้อีกเลย”
ชายฉกรรจ์เกาศีรษะอย่างซื่อๆ “ขออภัย คนในหมู่บ้านล้วนเรียกท่านเช่นนี้ ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”
ช่วงนี้โม่หรานอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งบริเวณชายแดนของโลกบำเพ็ญเพียรระดับล่าง ห่างจากหมู่บ้านออกไปหลายหลี่มีภูเขาหิมะสูงตระหง่าน มักมีปีศาจหิมะลงเขามาอาละวาด ล้วนเป็นปีศาจเล็กๆ ที่มีพลังวิญญาณต่ำ หุ่นกลเทพท่องราตรีที่อาจารย์ทิ้งไว้ย่อมเพียงพอที่จะรับมือได้ น่าเสียดายหมู่บ้านนี้ห่างไกลเหลือเกิน เทพท่องราตรีมาไม่ถึงที่แห่งนี้ ในเมื่อไม่มีหนทางอื่น เขาจึงต้องลองทำดูตามแบบร่างที่อาจารย์ทิ้งไว้
หลังจากล้มเหลวหลายครั้ง ในที่สุดก็สร้างตัวแรกออกมาสำเร็จ ถึงเทพท่องราตรีที่เขาสร้างจะห่างชั้นจากของอาจารย์ในเรื่องความสวยงามอยู่มาก ทั้งมิได้คล่องแคล่วปราดเปรียวเหมือนของอาจารย์ แต่เจ้ามนุษย์ไม้ก๊อกๆ แก๊กๆ นี่ก็ยังใช้ประโยชน์ได้
เจ้าสิ่งประดิษฐ์แปลกใหม่นี้ทำให้ชาวบ้านที่นี่ยินดีปรีดายิ่งนัก ทุกคนต่างพากันเรียกเขาว่า “ปรมาจารย์โม่” เรียกจนโม่หรานรู้สึกกระดากอย่างยิ่ง
แต่ยังมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกกระดากยิ่งกว่าตามมาหลังจากนั้น
ยามโพล้เพล้ของวันหนึ่ง แสงสายัณห์อาบย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดงฉานไปครึ่งแถบ เขากลับจากการไปนั่งร่วมชั้นเรียนที่สถานศึกษาบนเขาไท่ซาน ระหว่างที่เดินไปตามทางเดินเล็กๆ ในป่าซิ่งที่มีผู้คนขวักไขว่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียก
“ปรมาจารย์ฉู่!”
ทันทีที่ได้ยิน โม่หรานหันไปโดยไม่แม้แต่จะคิด จากนั้นก็รู้สึกว่าน่าขบขัน ในโลกนี้ผู้ใช้อาคมที่แซ่ฉู่มีตั้งมากมาย เขากลับฟังเสียงลมเป็นเสียงฝน ทึกทักเอาว่าอาจารย์ของตนฟื้นขึ้นมาก่อนกำหนดไปเสียได้
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน
เขายิ้มพลางส่ายหน้า กำลังจะหันกลับ พลันได้ยินเสียงร้องเรียกอีก “ปรมาจารย์ฉู่!”
“…”
โม่หรานหอบตำราในอ้อมแขน หรี่ตาเขม้นมองในฝูงชน พลันเห็นมีคนกำลังกวักมือเรียกเขา เสียดายที่อยู่ไกลเกินไป จึงมองเห็นหน้าตาของคนผู้นั้นไม่ชัดเจน เห็นเพียงคร่าวๆ ว่าเป็นชายหนุ่มสวมชุดนักพรตสีฟ้า สะพายธนูคันหนึ่ง มีหมาป่าตัวหนึ่งติดตามอยู่ข้างกาย
ไม่นานคนผู้นั้นก็เดินเข้ามาใกล้ ทว่าขณะที่โม่หรานกับเขามองเห็นหน้ากันชัดเจน ต่างก็ตกตะลึงกันไปทั้งคู่
“ท่านคือ…”
“โม่หราน” เขาตอบสนองขึ้นมาก่อนอีกฝ่าย เนื่องจากหอบม้วนตำราอยู่ จึงไม่สะดวกแสดงความเคารพ ได้แต่พยักหน้าให้อย่างง่ายๆ สายตาจับอยู่ที่ใบหน้าของชายหนุ่มด้วยความประหลาด “คิดไม่ถึงว่าจะได้พบคุณชายหนานกงที่นี่ บังเอิญนัก”
ที่แท้คนที่เรียกเขาว่า “ปรมาจารย์ฉู่” ก็คือหนานกงซื่อบุตรสายตรงของสำนักหรูเฟิง
เนื่องจากเมื่อชาติก่อนคนผู้นี้ตายไปเสียก่อน โม่หรานจึงไม่เคยพบหน้าเขา ต่างจากฉู่หว่านหนิงซึ่งเคยเป็นเค่อชิง ดังนั้นหนานกงซื่อย่อมต้องคุ้นเคยกับฉู่หว่านหนิง โม่หรานมองประเมินอีกฝ่าย ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปหยุดอยู่ที่ซองลูกธนูในมือหนานกงซื่อครู่หนึ่ง
นั่นเป็นซองผ้าใส่ลูกธนูที่เก่าคร่ำคร่าอย่างยิ่ง บนซองปักลายดอกซานฉา [6] เนื่องจากผ่านกาลเวลามายาวนาน สีสันลวดลายจึงซีดจางไป กลีบดอกที่เคยสดใสเริ่มเป็นสีเหลืองหม่น ราวกับว่าดอกไม้ที่ปักอยู่บนผ้า สุดท้ายก็มิอาจอยู่ยืนยาว สักวันก็ต้องเหี่ยวเฉาเช่นกัน
ตัวหนานกงซื่อนั้นดูเปล่งประกายสดใสไปทั้งร่าง มีเพียงซองลูกธนูนี้เท่านั้นที่เก่ายิ่งนัก ถึงขนาดเห็นร่องรอยปะชุนชัดเจน โม่หรานรู้ได้ทันทีว่า ซองลูกธนูนี้จะต้องเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับเขาเป็นแน่ แต่บนโลกนี้ผู้ใดไม่มีสิ่งของที่หวงแหนสักสองสามอย่างบ้างเล่า ต่อให้เป็นคนที่ดูดีมีสง่าราศีเพียงใด ก็ย่อมต้องมีความทรงจำช่วงหนึ่งที่เก็บไว้ในใจมายาวนาน
ไม่มีผู้ใดที่จะเรียบง่าย ดูไร้หัวจิตหัวใจอย่างที่เห็นภายนอก
หนานกงซื่อมุ่นคิ้ว “โม่หราน…จำได้แล้ว ศิษย์ของปรมาจารย์ฉู่?”
“อืม”
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หนานกงซื่อก็เอ่ยด้วยท่าทีที่ดีขึ้นเล็กน้อย “ขออภัย เมื่อครู่อยู่ไกล เห็นรูปร่างและการแต่งกายของท่าน จึงเข้าใจไปว่าปรมาจารย์ฉู่ออกจากการเก็บตัวก่อนกำหนดโดยที่ข้าไม่รู้เสียอีก”
โม่หรานเลื่อนสายตาจากซองลูกธนู มิได้ละลาบละล้วงถาม เพียงตอบอย่างสงบ “เมื่อครู่ท่านรียกข้าเช่นนี้ ข้าเองก็คิดว่าอาจารย์ออกจากการเก็บตัวก่อนกำหนดโดยที่ข้าไม่รู้เช่นกัน”
หนานกงซื่อหัวเราะ อาจด้วยชาติกำเนิดที่สูงส่ง ทำให้แม้ยามหัวเราะ ใบหน้าหล่อเหลาก็ยังฉายความเย่อหยิ่งอยู่หลายส่วน ความเย่อหยิ่งของเขานี้แตกต่างจากเซวียเหมิง เซวียเหมิงนั้นหยิ่งทะนงในความสามารถของตนเอง ขณะที่หนานกงซื่อนั้น คล้ายมีความไม่เป็นมิตร โอหัง และขี้ฉุนเฉียว
ทว่าเขาหน้าตาดีอย่างยิ่ง ความไม่เป็นมิตรนี้จึงมิได้ทำให้เขาน่ากลัว เพียงทำให้เขาดูพยศขึ้นเท่านั้น
โม่หรานอดคิดในใจไม่ได้ หนานกงซื่อ [7] …หนานกงซื่อ ช่างเป็นม้าพยศที่มีอิสรเสรีจริงๆ
ขณะกำลังใจลอย ก็ได้ยินหนานกงซื่อเอ่ยว่า “เหตุฟ้าแยกที่โลกภูตผีเปิดออกก่อนหน้านี้ทำให้ปรมาจารย์ฉู่ต้องประสบเคราะห์ร้าย ข้าเสียใจอยู่นาน เคราะห์ดีได้ต้าซือชี้แนะ ช่วยให้ปรมาจารย์กลับฟื้นคืนชีพได้ หากเขาฟื้นขึ้นมาเมื่อใด ข้าต้องไปเยี่ยมคารวะที่ยอดเขาสื่อเซิงแน่นอน”
“เช่นนั้นก็ขอรอการมาเยือนของคุณชายแล้ว”
หนานกงซื่อโบกมือ พลันเหลือบเห็นตำราในมือโม่หราน จึงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “นี่สหายโม่กำลังทำอะไรรึ”
“เรียนหนังสือ”
หนานกงซื่อคิดว่าเรียนหนังสือที่เขากล่าว คงเป็นการเล่าเรียนวิชาที่ลึกซึ้ง ไม่คิดว่าพอมองดูอย่างละเอียดแล้ว กลับพบว่าล้วนเป็นตำราจำพวก คัมภีร์อิสรจร [8] คัมภีร์จารีตพิธี [9] …จึงอึ้งงัน ก่อนจะเอ่ยว่า “พวกนี้…ล้วนเป็นคัมภีร์พื้นฐานที่ข้าท่องจำมาตั้งแต่เด็ก ท่านอ่านพวกนี้ไปมีประโยชน์อะไร”
โม่หรานมิได้รู้สึกอับอาย กลับตอบอย่างสงบเยือกเย็น “เมื่อยังเด็ก ข้าเขียนไม่เป็นแม้กระทั่งชื่อของตนเอง”
“แค็ก…” หนานกงซื่อกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “สมัครเรียนที่สถานศึกษา?”
“อืม หลายวันมานี้ข้าไปเก็บศิลาวิญญาณสำหรับใช้ฝึกบำเพ็ญบนเขาไท่ซาน แล้วเจอสถานศึกษาซิ่งหลินเปิดใหม่เข้า ข้าไม่มีอะไรทำ จึงไปฟังดูสักหน่อย”
หนานกงซื่อพยักหน้า เห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว จึงเอ่ยว่า “สหายโม่คงยังไม่ได้กินข้าวเย็นกระมัง ในเมื่อมายังถิ่นสำนักหรูเฟิงแล้ว ซ้ำท่านยังเป็นศิษย์ของปรมาจารย์ฉู่ ข้าย่อมต้องทำหน้าที่เจ้าบ้านให้ดีที่สุด พวกพ้องของข้ารอข้าอยู่ที่หอสุรา ไปดื่มด้วยกันสักหน่อยเป็นอย่างไร”
โม่หรานคิดดู ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรต้องทำ จึงตอบรับ “หากปฏิเสธย่อมไม่สุภาพ”
“หออู่อวี๋ เป็นหนึ่งในหอสุราที่มีชื่อที่สุดในพื้นที่ของหลินอี๋ ทำไส้ใหญ่เก้าขดน้ำแดงได้อร่อยเลิศล้ำที่สุด เคยได้ยินหรือไม่” หนานกงซื่อถามเขาพลางพาเดินไป
“ไยจะไม่เคยได้ยินเล่า” โม่หรานยิ้ม “ร้านอาหารลือชื่ออันดับต้นๆ ของโลกบำเพ็ญเพียรระดับสูง คุณชายหนานกง ท่านเข้าใจเลือกสถานที่ได้ดียิ่งนัก”
“ข้ามิได้เป็นคนเลือกหรอก”
“อ้อ เช่นนั้นเป็น?”
“พวกพ้องของข้าเลือก”
ในฐานะที่เคยใช้ชีวิตมาชาติหนึ่ง โม่หรานย่อมเข้าใจถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนในสำนักหรูเฟิงอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แม้ปากไม่พูด ทว่าในใจนึกประหลาดใจเล็กน้อย…เยี่ยวั่งซีเองก็มา?
แต่เมื่อเขาตามหนานกงซื่อขึ้นไปยังหอสุรา เลิกม่านมุกก้าวเข้าไปในห้อง คนที่อยู่ข้างในทำให้เขาแทบสำลัก…
เห็นเพียงซ่งชิวถงแต่งกายในชุดผ้าไหมสีขาวบางเบา ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองดอกท้อด้านนอกที่กำลังบานสะพรั่ง นางได้ยินเสียงจึงหันหน้ามา ปิ่นระย้าสีทองข้างจอนผมเปล่งประกาย ยิ่งขับเน้นผิวพรรณผุดผาด ริมฝีปากแดงดุจแต้มชาด เป็นความงามที่เกินกว่าจะพรรณนา
โม่หรานชักขาข้างที่ก้าวเข้าไปกลับมาตามสัญชาตญาณ
เขาคิดว่า หากบอกหนานกงซื่อตอนนี้ว่าข้าไม่ชอบกินอาหารซานตง โดยเฉพาะไส้ใหญ่น้ำแดงอะไรนั่น จะยังทันหรือไม่
[1] คือชื่อเรียกกระดาษที่เซวียเทา (ค.ศ. 768-831) กวีหญิงสมัยราชวงศ์ถัง สั่งให้ช่างใช้น้ำจากลำธารฮ่วนฮวาทำขึ้นมา เป็นกระดาษที่มีสีชมพู และมีกลิ่นหอมของดอกไม้ เอาไว้สำหรับเขียนจดหมายรัก และบทกวีสั้นๆ ทั้งนี้เพราะเซวียเทาชอบสีชมพู และในขณะนั้นนางอาศัยอยู่ในเฉิงตู ซึ่งเป็นดินแดนแห่งดอกฝูหรง นางจึงนำดอกฝูหรงมาบดคั้นน้ำทำเป็นสีกระดาษ ต่อมาผู้คนรับอิทธิพลจากแนวคิดของนาง ทำกระดาษออกมาเป็นสิบสี
[2] กล่าวกันว่าเป็นสุราข้าวที่มีมาในอาณาจักรเย่ว์โบราณตั้งแต่ยุคพระเจ้าอวี่ หนึ่งในสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิของจีน
[3] ขลุ่ยเชียง เป็นเครื่องดนตรีของชนเผ่าเชียง ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในเขตปกครองตนเองของทิเบต อำเภออาป้า มณฑลซื่อชวน ลักษณะเป็นขลุ่ยไม้ไผ่สองเลาผูกประกบติดกัน แต่ละเลามีรู 5-6 รู ยาวประมาณ 13-19 เซนติเมตร โดยมากใช้เป็นเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว เนื้อเพลงที่บรรเลงค่อนข้างครอบคลุม ส่วนใหญ่สื่อถึงอารมณ์คิดถึงโหยหาของชาวเชียง
[4] คานัต (qanat) คือระบบชลประทานใต้ดิน เป็นวิศวกรรมการจัดการน้ำแบบโบราณที่พบในซินเจียง เอเชียกลาง และตะวันออกกลาง
[5] เป็นถ้อยรำพันขณะอยู่ในสวนดอกไม้ของตู้ลี่เหนียง นางเอกในเรื่องหมู่ตานถิง (ศาลาโบตั๋น) ขยายความได้ว่า สีสันตระการของธรรมชาติมีอยู่ทุกแห่งหน ช่างสวยงามนัก แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น กลับไม่มีสภาพแวดล้อมงดงามที่เข้ากับมันได้ มีแต่เพียงซากกำแพงผุพังชมความงามของมัน เป็นท่อนที่ตู้ลี่เหนียงรำพึงถึงความงามของตนเองว่าคงมีแต่อาจารย์คร่ำครึที่ได้เห็น อยู่แต่ในห้องเรียนอันน่าอึดอัด แล้ววัยสาวของนางก็ล่วงเลยไปเงียบๆ อย่างรวดเร็ว ความงดงามเสมือนถูกกักขัง ไม่มีใครได้รับรู้
[6] ดอกคามีเลีย
[7] ชื่อ “ซื่อ” ของหนานกงซื่อ มีความหมายถึง ฝูงม้าสี่ตัว
[8] เซียวเหยาโหยว เป็นบทแรกในคัมภีร์เต๋าของจวงจื่อ ปราชญ์จีนในยุคจ้านกั๋ว (ยุครณรัฐ) ว่าด้วยแนวคิด “อิสรจร” ว่าเป็นการดำรงอยู่อย่างอิสระระหว่างฟ้าดิน ด้วยจิตใจที่เบิกบาน ปลอดโปร่ง มุ่งเน้นการดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ
[9] หลี่จี้ คือคัมภีร์ที่รวบรวมข้อเขียนว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมตามแนวคิดของสำนักขงจื่อ
???