[ทดลองอ่าน] ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา เล่ม 5 ตอนที่ 156 : วิชาควบขี่ของอาจารย์ดีเยี่ยม

ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊

肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล

คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…

: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)

 

** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored

 

————————————————————-

156

วิชาควบขี่ของอาจารย์ดีเยี่ยม

 

ฉู่หว่านหนิงสังเกตนางจากบนลงล่าง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่หอเซวียนหยวนก็รู้สึกว่าสตรีผู้นี้มีรูปโฉมล่มเมืองอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อมองใกล้ๆ ก็ยิ่งดูชดช้อยดุจโกมุทผุดวารี งามกระจ่างดุจสุรีย์ฉายเมฆ เกศเกล้าดำขลับดุจไม้อูมู่ [1] เงาระยับ งามล้ำเป็นหนึ่งในโลกาโดยแท้ จะเป็นที่พึงใจหนานกงซื่อก็ไม่แปลก

ขณะคิดเช่นนี้ก็อดเหลือบมองโม่หรานเงียบๆ ไม่ได้ อยากรู้ว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไร

ไม่คาดว่าพอเหลือบตาขึ้นมอง ก็สบเข้ากับสายตาของอีกฝ่ายพอดี โม่หรานมิได้มองซ่งชิวถงแม้แต่น้อย ราวกับที่ยืนอยู่ข้างกายหนานกงซื่อคืออากาศธาตุ เขาเอาแต่จ้องมาที่ตน ยามเมื่อสายตาสองคู่สบประสาน โม่หรานก็ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้

ฉู่หว่านหนิงถูกเขามองจนชาไปหมด แต่ยังตีสีหน้าสงบเยือกเย็น สายตาประสานกับโม่หรานชั่วขณะ ก่อนจะเบือนไปอย่างเฉยชา

“สนามประลองเซี่ยวเย่ว์เลี้ยงหมาป่าปีศาจไว้มากมาย ตัวที่ห้าวหาญที่สุดก็คือเหน่าไป๋จิน และมันก็เป็นตัวโปรดของข้าที่สุด”

หนานกงซื่อพากลุ่มคนเดินไปกลางสนามหญ้าโล่งกว้าง หยิบตี๋หยกที่เหน็บไว้ข้างเอวออกมาเป่าเป็นสัญญาณสูงแหลมสามครั้ง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ลมปีศาจก็ก่อตัวขึ้นในป่าทึบไกลออกไป ลำแสงขาวโพลนสายหนึ่งพุ่งออกมาจากในป่าดุจสายฟ้าพายุหมุน ชั่วพริบตา หมาป่าปีศาจขนมันวาวกรงเล็บทองตัวหนึ่งก็ทะยานเป็นแนวโค้งกลางอากาศ พร้อมเปล่งเสียงเห่าหอน เบื้องหลังคือแสงตะวันเย็นเยียบ ก่อนจะร่อนลงมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหนานกงซื่ออย่างมั่นคง

“บรู๋วๆ!”

หนานกงซื่อเข้าไปลูบลำคอที่มีขนฟูฟ่องของมัน พลางหันมายิ้มเอ่ยว่า “ปรมาจารย์ ท่านดูสิ มันโตขนาดนี้แล้ว ตอนที่ท่านจากไปปีนั้น มันยังเป็นลูกหมาน้อยอยู่เลย”

“ตอนที่ข้าจากไป มันตัวสูงเท่าชายฉกรรจ์แล้ว” ฉู่หว่านหนิงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ฮ่าๆๆๆ เช่นนั้นหรือ ข้าคิดเสมอว่ามันตัวเล็ก เป็นลูกหมาน้อยอยู่ตลอด”

“…”

“ปรมาจารย์ ท่านมาลองขี่ดู”

หนานกงซื่อว่าพลางเป่าตี๋อีก เรียกหมาป่าปีศาจสีขาวปลอดอีกสองตัวออกมาจากในป่า “ปรมาจารย์โม่ ท่านก็มาลองดูสักหน่อย”

คนทั้งสามพลิกกายขึ้นหลังหมาป่าปีศาจ หนานกงซื่อกล่าว “จับโซ่คล้องหรือขนคอมันไว้แน่นๆ ขาหนีบเอาไว้ให้มั่น เหมือนกับการขี่ม้า” หลังกล่าวจบ เขาก็ก้มหน้าเอ่ยกับซ่งชิวถง “ชิวถง เจ้าขี่ตัวเดียวกับข้า ข้าจะพาเจ้าไป”

เดิมฉู่หว่านหนิงคิดว่าตนขี่ไม่เป็น แต่พอขึ้นคร่อมหลังหมาป่า ลองเดินดูเล็กน้อย ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรยาก ถึงขั้นรู้สึกผ่อนคลายกว่าขี่ม้าทั่วไปมาก เพราะหมาป่าปีศาจมีจิตวิญญาณสูง สามารถสัมผัสถึงจิตใจของผู้ขี่มันได้อย่างชัดเจน

หนานกงซื่อยิ้ม “เป็นเช่นไร ลองวิ่งดูสักรอบ”

“ที่นี่จะไปไหนก็ได้หรือ”

“ได้ทั้งหมด อุทยานที่เขาด้านหลังกับสนามประลองเซี่ยวเย่ว์ วิ่งได้ตามสบาย”

โม่หรานยิ้ม “นี่จะแข่งกันหรือ”

“ลองดูสักตา” ฉู่หว่านหนิงเหลือบมองหนานกงซื่อที่พาซ่งชิวถงควบขี่บนหลังหมาป่าปีศาจแวบหนึ่ง คิดในใจว่านี่คือโอกาสที่จะเข้าถึงความรู้สึกของคู่รักนี้ จึงตอบรับด้วยความยินดี

หนานกงซื่อยิ้มพลางปลดสร้อยข้อมือศิลาวิญญาณเส้นหนึ่งออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะวิ่งไปยังทะเลสาบกานเฉวียนทางทิศเหนือของอุทยาน จับปลาสือปาน [2] ห้าตัว แล้วกลับมาที่เดิม คนที่กลับมาที่นี่คนแรกถือเป็นผู้ชนะ ได้สร้อยนี้เป็นรางวัล เป็นอย่างไร”

“สร้อยศิลาวิญญาณเจ็ดดาว คุณชายหนานกงช่างใจกว้างนัก”

“พันตำลึงทองยากซื้อความสุขข้า” หนานกงซื่อกระชับสายโซ่คล้อง ก้มหน้าเอ่ยกับซ่งชิวถง “เจ้านั่งให้มั่น อย่าให้ตกลงไป หากเร็วไปก็บอกข้า”

โม่หรานเหลือบมองซ่งชิวถง ยิ้มน้อยๆ เอ่ย “เกรงว่าสร้อยข้อมือของคุณชายหนานกง จะได้นำออกมาก่อนแล้ว”

“ฮ่า ดูถูกข้า ข้าโตมาบนหลังหมาป่า อย่าว่าแต่พาคนผู้หนึ่งไปด้วยเลย ต่อให้เพิ่มมาอีกคน ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ไปเถอะ ข้าจะนับสาม สอง หนึ่ง แล้วเริ่ม

“สาม สอง…หนึ่ง!”

เพิ่งสิ้นคำ ลำแสงขาวสามสายก็พุ่งฝ่าอากาศออกไปฟึ่บๆๆ ดุจลูกธนูขนนกทะลวงป่า ย่ำทุ่งหญ้าเวิ้งว้างไพศาล ฉับพลันก็กระโจนไปถึงอุทยานล่าสัตว์ หายลับเข้าไปในป่าทึบ

เดิมฉู่หว่านหนิงยังชะลอความเร็ว ตามอยู่ด้านหลังหนานกงซื่อและซ่งชิวถง ทว่าต่อมาเพราะเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นเป็นระยะของซ่งชิวถง ฟังนานเข้าก็รู้สึกเหนื่อยหูอย่างเลี่ยงไม่ได้ กอปรกับความออดอ้อนของแม่นางผู้นี้ทำให้เขารับไม่ได้จริงๆ จึงต้องเร่งความเร็วนำหน้าไปอย่างอดมิได้

ท่ามกลางเสียงร้องว่า “คุณชาย ท่านช้าๆ หน่อย” ที่ค่อยๆ ทิ้งห่างไปทางด้านหลัง ฉู่หว่านหนิงค่อยๆ รู้สึกถึงความสุขของหมาป่าปีศาจที่ตนควบขี่ สัตว์ภูตชนิดนี้เฉลียวฉลาดเป็นที่สุด ถึงขั้นขอเพียงเขาขยับปลายนิ้วเล็กน้อย เหน่าไป๋จินก็เข้าใจจิตใจเขา ตอบสนองในทันที มิน่าเล่าหนานกงซื่อจึงหวงแหนสัตว์เหล่านี้

ลมเหมันต์พัดปะทะใบหน้า ทว่ากลับไม่รู้สึกหนาว ฉู่หว่านหนิงแหงนมองแสงตะวันสาดกระจายเป็นเงาลายพร้อย ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้า เคลื่อนผ่านไปใต้ฝีเท้า เร่งกระชั้นดุจกระแสน้ำเชี่ยวกราก ถะถั่งไหลไปไกล เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ รู้สึกว่าการควบทะยานเช่นนี้ช่างสะใจยิ่งนัก ดังนั้นจึงกระตุ้นให้เหน่าไป๋จินวิ่งตะบึงอย่างบ้าคลั่ง กรงเล็บหมาป่าตะกุยฝุ่นดินคลุ้งตลบ ตะลุยย่ำป่าสนหนา

ด้านหลังเขา โม่หรานขี่หมาป่าปีศาจกรงเล็บดำตามติดอยู่ตลอด ชั่วขณะนั้นในใจฉู่หว่านหนิงรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

จู่ๆ เขาก็รู้สึกแน่ใจแล้วว่าในที่สุดตนก็มีอำนาจที่จะมุ่งไปข้างหน้าได้ตามอำเภอใจ ดูเหมือนไม่ว่าตนจะวิ่งไปที่ใด ด้านหลังล้วนมีเสียงฝีเท้านี้ มีคนผู้นี้ติดตามมาเสมอ เสียงฝีเท้าดังก้องไม่ขาด ไม่มีวันแยกจาก

ฉู่หว่านหนิงมาถึงทะเลสาบกานเฉวียนแทบจะในเวลาเดียวกับโม่หราน ริ้วคลื่นสีเขียวพราวระยับ น้ำในทะเลสาบใสดังคันฉ่อง ปราณวิญญาณธาตุน้ำเปี่ยมล้นอย่างยิ่ง เพราะมีกระแสวิญญาณหล่อเลี้ยง ไม้ดอกไม้ผลสองฝั่งทะเลสาบจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ของฤดูกาลที่ผันแปร ต้นส้มยามเหมันต์ยังชอุ่มใบ หลังพุ่มใบเขียวแน่นขนัดซ่อนผลสีทองไว้นับไม่ถ้วน กลิ่นหอมหวานสดชื่นของส้มอวลอยู่ในสายลม

ฉู่หว่านหนิงเหยียบลงบนพื้นอย่างมั่นคง กวาดตามองโดยรอบ “เป็นสถานที่ที่ดี เปี่ยมด้วยปราณวิญญาณ”

โม่หรานจูงหมาป่าปีศาจกรงเล็บดำเดินเข้ามา เอ่ยยิ้มๆ “หากอาจารย์ชอบ กลับไปก็ปลูกผลไม้บนยอดเขาสื่อเซิงไว้มากๆ หนึ่งปีสี่ฤดูกาล ใช้ปราณวิญญาณหล่อเลี้ยง อยากกินเมื่อใดก็เด็ดเอา”

ฉู่หว่านหนิงแค่นเสียงหึ ไม่พูดอะไร เดินไปริมทะเลสาบ ยกมือเรียกเทียนเวิ่นออกมา

โม่หรานเห็นไม่เข้าที รีบห้ามไว้ “ท่านจะทำอะไร”

“จับปลา”

“…อาจารย์คงไม่คิดจะเรียกลม ปั่นปลาในทะเลสาบหรอกนะ”

“คิดอะไรของเจ้า” ฉู่หว่านหนิงถลึงตาใส่เขา สะบัดมือเหวี่ยงแส้สีทองไปบนผิวทะเลสาบ จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไปทางทะเลสาบ “พวกเจ้ามีตัวใดที่ใช้ชีวิตจนเบื่อแล้ว ยินยอมติดเบ็ดขึ้นมาบ้าง”

เอ่ยเช่นนี้อยู่สามรอบ ฉู่หว่านหนิงก็เก็บเทียนเวิ่นกลับมา บนใบหลิ่วทองวิบวับ มีปลาอ้วนหลายตัวเหลือกตาอ้าปากพะงาบๆ มองท้องฟ้าอย่างเบื่อหน่ายชีวิตติดขึ้นมาจริงๆ

ฉู่หว่านหนิงมองดู แล้วหันไปถามโม่หราน “เขาบอกว่าต้องการปลาสือปานใช่หรือไม่”

“อืม”

“…เจ้ารู้หรือไม่ว่าปลาสือปานหน้าตาเป็นเช่นไร” ฉู่หว่านหนิงกล่าวจบ รู้สึกว่าถามเช่นนี้ออกจะอ้อมค้อมไปหน่อย จึงยกเทียนเวิ่นขึ้น ชูปลาที่ติดขึ้นมาเป็นพวงให้โม่หรานดู “ในปลาเหล่านี้ มีหรือไม่”

“…ข้าจับให้อาจารย์ดีกว่า”

โม่หรานจับปลามาสิบตัว แบ่งใส่ไว้ในถุงเฉียนคุนที่คอหมาป่าปีศาจทั้งสอง ฉู่หว่านหนิงจึงนำปลาที่ “ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว” หลายตัวที่ติดขึ้นมาเมื่อครู่ ปล่อยกลับลงน้ำไป พลางเอ่ยอย่างเฉยชา “ชีวิตสั้นนัก รบกวนทุกท่าน ทนอยู่ต่ออีกสักหน่อย”

ได้ยินเช่นนี้ โม่หรานก็รู้สึกว่าบุรุษผู้นี้ทั้งน่าขันและน่ารัก เขาใส่ปลาสือปานตัวสุดท้ายลงในถุงเฉียนคุนเรียบร้อยแล้ว จึงหันไป เห็นฉู่หว่านหนิงเดินขึ้นมาจากชายฝั่งทะเลสาบสีเขียว ผิวน้ำเป็นประกายทางด้านหลังอาบร่างสีขาวของเขาจนดูอบอุ่นและพร่าเลือน

โม่หรานพลันบังเกิดความปรารถนารุนแรง อยากก้าวเข้าไปกอดฉู่หว่านหนิงไว้ในอ้อมแขน อยากชิดใกล้เขา อยากลูบไล้เขาอย่างนุ่มนวล ทั้งอยากบดขยี้เขาให้แหลกลาญ อยากดึงเขาเข้าไปในสวนส้ม กดเขากับต้นไม้ ยกขาของเขาขึ้น แล้วกระหน่ำรุกรานเขาอย่างป่าเถื่อนไร้ขีดจำกัด

เขามองฉู่หว่านหนิงเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตกใจที่ความใคร่กระหายของตนขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ทั้งแข็งกร้าวเป็นที่สุด ทั้งอ่อนโยนอย่างยิ่ง…ทั้งหมดล้วนเกิดเพราะท่าน

ความรักเอยความรัก

มิใช่ว่าเป็นเช่นนี้หรอกหรือ

แข็งกร้าวร้อนแรง คือสัมผัสดุดัน ดุจคมมีดร้อนเป็นไฟที่กรีดเฉือนเจ้า

อ่อนโยน คือสัมผัสอ่อนละมุน ดุจธารวสันต์ที่โอบอุ้มเจ้า

“หนานกงซื่อก็จริงๆ เลย” ฉู่หว่านหนิงมิได้สังเกตเห็นแววตามืดหม่นสลับใสกระจ่างของโม่หราน เขาเดินมาตรงหน้าโม่หราน สำรวจถุงเฉียนคุนที่คอเหน่าไป๋จิน “พาแม่นางมาด้วย วิ่งช้านัก”

“ไม่แน่ว่าอาจกำลังทำอย่างอื่นอยู่”

ในหัวโม่หรานเริ่มร้อนนิดๆ แววตาเหมือนหมาป่าของเขาจ้องลำคอขาวเนียนที่เผยออกมาขณะฉู่หว่านหนิงก้มศีรษะ ท้องน้อยร้อนวูบ พึมพำเสียงหนักออกมาโดยไม่ทันยั้งคิด

ฉู่หว่านหนิงชะงักเล็กน้อย “ทำอะไร”

“..” โม่หรานได้สติกลับมา รู้ตัวว่าพลั้งปากไป จึงกระแอมแห้งๆ ทีหนึ่ง เบือนหน้าหนี “ไม่มีอะไร”

ฉู่หว่านหนิงกลับจับความได้ ดวงตาพลันเบิกกว้าง จากนั้นก็หรี่ลง ฉายแววอันตรายอีกครั้ง ทั้งดูกรุ่นโกรธนิดๆ “คิดอะไรของเจ้า ขึ้นม้ากลับได้แล้ว!”

โม่หรานขยับริมฝีปาก อยากบอกว่า ‘มิใช่ขึ้นม้า เป็นหมาป่าต่างหาก’ แต่เห็นสีหน้าดำทะมึน ใบหูแดงฉานของฉู่หว่านหนิงแล้ว จำต้องกลืนคำพูดที่จ่อริมฝีปากลงไป

เขามองฉู่หว่านหนิงขึ้นควบขี่เหน่าไป๋จินอย่างคล่องแคล่วชำนาญ ในใจนึกเสียดายอยู่หลายส่วน ท่วงท่าสง่างาม หล่อเหลาหาใดเปรียบ ทำให้รู้สึกโหยกระหายยิ่งนัก ในใจคิด หากฉู่หว่านหนิงเป็นคนของข้าก็คงดี เช่นนั้นข้าจะจับมากระทำให้อ่อนระทวยจนควบม้าไม่ได้ ขึ้นหลังหมาป่าก็ไม่ได้ ได้แต่ขึ้นมาบนอ้อมอกข้า

โม่หรานพลันตื่นตระหนกและรู้สึกผิดบาปกับความคิดเช่นนี้ เขาสะบัดศีรษะโดยไม่รู้ตัว

ท่าทางเช่นนี้ของเขาถูกฉู่หว่านหนิงเห็นเข้าพอดี “เป็นอะไรไป เหตุใดจึงส่ายหน้า ข้าพูดอะไรผิดหรือ”

“ไม่มีๆ สิ่งที่อาจารย์สั่งสอนล้วนถูกต้อง เป็นข้าที่คิดมากเกินไป”

แต่ไม่ได้กำลังคิดถึงเรื่องไร้สาระของหนานกงซื่อกับซ่งชิวถง

คนที่ข้าคิดคือท่านนั่นแหละ…

จากนั้นโม่หรานยังคิดว่า เฮ้อ หากหักขาเหน่าไป๋จินได้ก็คงดี เช่นนี้ฉู่หว่านหนิงก็ไม่มีหมาป่าให้ขี่ ไม่แน่ว่าอาจจะให้เกียรติ ยินยอมขึ้นหมาป่ากรงเล็บดำของข้า

เขาอยากกอดฉู่หว่านหนิงอีกครั้งเหลือเกิน เหมือนคนที่กระหายเจียนตาย คิดถึงความหวานล้ำดุจน้ำทิพย์ที่เคยถูกตนย่ำยี…โม่หรานคิดฟุ้งเช่นนี้ขณะตามติดฉู่หว่านหนิง เมื่อกลับมาถึงสนามประลองเซี่ยวเย่ว์ ก็เห็นซ่งชิวถงกับหนานกงซื่อรออยู่ที่นั่นแล้ว

ซ่งชิวถงนั่งอยู่บนพื้น ข้อเท้าขาวผ่องดุจหยกที่โผล่ออกมาเลอะคราบเลือด

ที่แท้ตอนที่หมาป่าออกวิ่งไปได้ครึ่งทาง นางลืมที่หนานกงซื่อกำชับว่าต้องเก็บเท้าหนีบขาไว้ให้แน่น ผิวหนังจึงถูกหนามครูดเข้า แม้เป็นเพียงบาดแผลเล็กๆ แต่หนานกงซื่อก็ไม่ละเลย รีบพานางกลับมาพันแผลก่อน

โม่หรานเหลือบมองขาของนางแวบหนึ่ง ขาคู่นั้นนับว่างาม แต่เทียบกับฉู่หว่านหนิงยังห่างไกลกันลิบ ทว่าชาติก่อนตนกลับพึงใจขาของซ่งชิวถง

ตาบอดจริงๆ !

บัดนี้เขารู้สึกว่าฉู่หว่านหนิงดีไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่ามองแนวราบก็ดี มองแนวตั้งก็ดี หรือแม้แต่นัยน์ตาที่มักเปล่งประกายเหยียดหยามเย็นชาคู่นั้น เขาล้วนรู้สึกว่านั่นคือความหยิ่งทะนง คือบุคลิกลักษณะ ฉู่หว่านหนิงควรเป็นเช่นนั้น งามล้ำเหลือคณา งามจะตายอยู่แล้ว

งามถึงขั้น ต่อให้ถูกอีกฝ่ายถลึงตา ถูกก่นด่า ถูกกลอกตาขาวใส่ ถูกเขาถลึงมอง ถูกเขาด่า เขาก็ล้วนรู้สึกชื่นบาน สดใสดั่งต้นหญ้างอกงาม นกขมิ้นโบยบิน

“ยอมเดิมพันย่อมกล้ารับความพ่ายแพ้” หนานกงซื่อตรงไปตรงมายิ่งนัก ยื่นสร้อยล้ำค่าให้ฉู่หว่านหนิง “สิ่งนี้เป็นของปรมาจารย์”

ฉู่หว่านหนิงมองสร้อยข้อมือ “ศิลาวิญญาณเจ็ดดาวหล่อเลี้ยงแก่นวิญญาณ ข้าต้องการจริงๆ ขอบคุณ”

โม่หรานฟังแล้วไม่สบอารมณ์ พึมพำอยู่ข้างๆ “คราวหน้าข้าจะซื้ออันที่ดีกว่าให้ท่าน”

“อะไรนะ” ฉู่หว่านหนิงได้ยินไม่ชัด จึงหันไปมองเขา

โม่หรานเห็นนัยน์ตาหงส์ของเขาอยู่ใกล้เพียงนั้น ลูกตาสะท้อนใบหน้าของตนอย่างชัดเจน เป็นระยะห่างที่ในตาข้ามีเจ้า ความรู้สึกฝาดเฝื่อนในใจจึงจางไปเล็กน้อย

โม่หรานยิ้ม “ข้าบอกว่า ครั้งหน้าหากเจอที่เหมาะกับอาจารย์กว่านี้ จะซื้อกลับมาให้ท่าน”

“ดี”

ฉู่หว่านหนิงตอบรับอย่างง่ายดาย ทำให้โม่หรานยิ่งลิงโลดใจ

เขาถึงขั้นเหลือบมองหนานกงซื่อด้วยสายตาอย่างคนใจแคบ ยังประชันขันต่อกับหนานกงซื่ออยู่โดยที่อีกฝ่ายมิได้สนใจ ภูมิใจหนักหนา อยากอวดอีกฝ่ายว่า อาจารย์รับของของเจ้า ก็เอ่ยขอบคุณอย่างมีมารยาท แต่รับของของข้ากลับมิใช่ เจ้าดู เขาเห็นข้ามิใช่คนอื่นคนไกล

ฉู่หว่านหนิงเอ่ยขึ้นมา “เจ้าอย่าลืมให้เหลาป่านออกใบเสร็จ ข้าจะเอาเงินคืนให้เจ้า”

โม่หราน “…”

ปลาสือปานน้ำจืดสิบตัวถูกนำออกมาจากถุงเฉียนคุน หนานกงซื่อพาพวกเขาไปยังกระท่อมไม้เล็กๆ ข้างสนามประลอง สำหรับใช้ยามล่าสัตว์ ด้านนอกมีเตาไฟเกาะคราบเขม่าดำ หม้อไหจานชามมีพร้อมสรรพ เพียงแต่กระท่อมไม้ดูเก่ากระดำกระด่าง เทียบกับสนามประลองกว้างใหญ่สวยงามแล้ว เหมือนไม่ได้สร้างขึ้นมาพร้อมกัน

ฉู่หว่านหนิงไล้ปลายนิ้วไปบนรั้วล้อม ก่อนจะหยุดลงที่หน้ามัดเชือกซึ่งผูกไว้บนรั้ว เชือกนั้นผ่านลมฝนมานับไม่ถ้วน มิได้ดูใหม่เอี่ยมเหมือนเมื่อแรกเริ่มนานแล้ว

หนานกงซื่อหยิบเครื่องปรุงออกมาจากในกระท่อม เห็นฉู่หว่านหนิงกำลังมองมัดเชือก จึงยิ้มเอ่ยว่า “นั่นข้าเป็นคนผูกไว้ในปีที่ปรมาจารย์จากไป แทบจะยุ่ยหมดแล้ว”

ฉู่หว่านหนิงมิได้พูดอะไร เพียงถอนหายใจเบาๆ นั่งลงบนม้านั่งเตี้ยที่แกะจากตอไม้

ตอนที่ฉู่หว่านหนิงรับใช้สำนักหรูเฟิง หนานกงซื่อยังเป็นเด็กน้อย ตนมักพาเขามาเดินเล่นที่สนามประลองเซี่ยวเย่ว์บ่อยๆ กระท่อมล่าสัตว์หลังนี้ยังคงอยู่มานับตั้งแต่ตอนนั้น

ไม่นานไฟก็ถูกก่อขึ้น ปลาสือปานถูกเสียบกิ่งไม้นำไปย่าง น้ำมันปลามันเยิ้มไหลหยดดังฉู่ฉ่าจากใต้หนังกรอบเกรียม กลิ่นหอมฉุยกระจายออกมา

หนานกงซื่อแบ่งหกตัวให้หมาป่าปีศาจที่หมอบอยู่ข้างรั้วไม้ อีกสี่ตัวที่เหลือโรยเกลือแล้วแบ่งกับทุกคน

ซ่งชิวถงกินเพียงไม่กี่คำก็ยื่นปลาย่างให้หนานกงซื่อที่แทะปลาอ้วนตัวหนึ่งหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว “ข้ากินไม่ไหวแล้ว คุณชายแบ่งของข้าไปเถิด”

ฉู่หว่านหนิงมองไปทางพวกเขา เห็นหนานกงซื่อรับปลาย่างมา กินตัวที่สองอย่างเปรมปรีดิ์ คิดในใจว่า ซ่งชิวถงผู้นี้ดูแล้วก็ว่าง่ายอ่อนโยน ช่างเอาใจใส่ ไม่เหมือนสตรีที่เป็นดอกซิ่งแดงออกนอกกำแพง [3] อย่างที่คนลือกันสักนิด คำซุบซิบนินทาพวกนั้น ไม่อาจถือเป็นจริงจังได้จริงๆ

ขณะกำลังคิด ใบบัวใบหนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้า เนื้อปลาบนนั้นถูกแกะอย่างดี ก้างปลาล้วนถูกเลาะทิ้งไปหมดแล้ว เนื้อขาวนุ่มยังมีไอร้อนกรุ่น

ฉู่หว่านหนิงประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อหันไปมองก็เห็นโม่หรานกำลังเก็บมีดสั้นสีเงินที่พกติดตัว พลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อาจารย์ กินนี่เถิด”

“เจ้าเอาใบบัวมาจากที่ใด”

“เก็บมาเรื่อยเปื่อยตอนที่จับปลาริมทะเลสาบเมื่อครู่” โม่หรานยื่นเนื้อปลาให้เขา “กินตอนร้อนๆ เย็นแล้วจะไม่อร่อย”

ฉู่หว่านหนิงรับใบบัวมา ในใจหวั่นไหวเล็กน้อย “ขอบคุณ”

เขาไม่ชอบกินถูกก้างปลาจริงๆ พอเนื้อปลาสือปานที่จัดการเรียบร้อยแล้วเข้าปากก็ละลายทันที ฉู่หว่านหนิงกินคำแล้วคำเล่าโดยไม่รู้สึกเลี่ยน หลังจากกินหมด ชาที่ต้มไว้เหนือกองไฟก็เดือดพอดี ซ่งชิวถงลุกขึ้นหยิบกาเหล็กออกจากเตา รินชาใส่ถ้วย ประคองถ้วยชายื่นให้ทุกคน

“ปรมาจารย์ฉู่ เชิญดื่มชา”

มือเรียวขาวประคองถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวใบเล็ก ลำแขนราวกับจันทร์ส่องเผยแต้มพรหมจรรย์ที่ข้อมือ

ฉู่หว่านหนิงพลันนึกถึงตอนประมูลที่หอเซวียนหยวน เจ้าหอเคยบอกว่าบนข้อมือนางถูกหัตถ์ทิพย์หานหลินแต้มชาดพรหมจรรย์เอาไว้ ดูเหมือนจะเป็นจุดนี้ ในเมื่อแต้มพรหมจรรย์ยังอยู่ เรื่องที่ซ่งชิวถงมีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับเยี่ยวั่งซีก็ยิ่งเป็นคำพูดเหลวไหล

คิดได้เช่นนี้ ฉู่หว่านหนิงก็คลายใจในที่สุด หนานกงซื่อเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ เหมือนม้าป่าบนทุ่งหญ้า เหมือนหมาป่าเดียวดายที่ทำตามใจตนเอง พยศและกร้าวกระด้างดั่งแกะด้วยคมดาบ คนเช่นนี้ ฉู่หว่านหนิงไม่เกลียดชัง ดังนั้นจึงไม่อยากให้เขาเจอคนไม่ดี

น้ำชาของซ่งชิวถงยื่นมาเบื้องหน้าโม่หราน โม่หรานรับมาแต่มิได้ดื่ม วางลงข้างตัว ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “แม่นางซ่ง ข้ามีของสิ่งหนึ่งจะให้เจ้า”

 

[1] ไม้เอโบนี (Ebony) หรือเรียกว่า ไม้ดำ เป็นไม้ที่มีเปลือกนอกสีเหลืองอ่อนอมเทา แกนในเป็นสีน้ำตาลแดงและเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อแก่จัด

[2] ปลาเก๋า

[3] หมายถึง ภรรยาลักลอบคบชู้

1 thoughts on “[ทดลองอ่าน] ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา เล่ม 5 ตอนที่ 156 : วิชาควบขี่ของอาจารย์ดีเยี่ยม

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า